มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
สันโดษ...ทางสู่ความพ้นทุกข์

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 162 เดือนมิถุนายน 2536
หน้า 1/1


ข้าไม่ใช่คนเก่ง แต่ข้าเป็นคนไม่เสียดายชีวิต เพราะตลอดชีวิต ของข้า แวดล้อมไปด้วยความว่างเปล่า...ท่านเองมีชีวิตแวดล้อมไปด้วย โลกียสุข ลาภ ยศ ต่างๆ ท่านจะกล้าพลีชีวิตได้อย่างไร"

ข้อความข้างบนนี้ ประทับใจฉันมาก ฉันได้มาจากคำพูด ของตัวเอก ในภาพยนตร์จีนเรื่องหนึ่ง เมื่อ ๓-๔ ปีก่อน และ ฉันเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ทุกประการ

ชีวิต ของใครก็ตาม หากบนเส้นทางชีวิตนั้น สำรวมระวัง ที่จะไม่ไปเสพ ไม่ให้โลกียสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ มามีฤทธิ์เสริมกิเลสกาม และ มานะอัตตา ของตนได้ ก็นับว่าเขาคนนั้นเป็น "ยอดคน"

พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นเลิศ ด้วยประปัญญาธิคุณ ก็ยังตรัสชี้ให้เห็นโทษภัยว่า "..เราน่าจะได้มาเห็นโทษภัย ของอามิสลาภ ยศ และ ความสุขในโลก สัตว์เหล่าใดมีสิ่งเหล่านี้มาก แล้วจะกลับเห็นโทษภัยในทรัพย์ ในลาภ ยศ และ ความสุข...จะไม่ประมาทมัวเมาหลงใหล ในกามคุณ ๕ มีน้อยในโลก

แต่ส่วนมากแล้วจะไม่กลัวในโทษภัย กลับจะประมาทมัวเมาหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ และ บรรดาสัตว์เหล่านี้ จะมีวิบากกรรม ที่เลวทรามในกาลต่อมา" (เพราะไปกอบโกย มาไว้ให้ตนเองมาก หรือ ถูกสิ่งเหล่านี้ย้อมจิตวิญญาณ ให้ตกเป็นทาส และ อยู่ห่างไกลจากนิพพาน)

ทิศทาง ของพระพุทธองค์พาทำ เป็นทิศทางไปสู่ความมักน้อย สันโดษ กิเลส ก็คือความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ที่เกินความจำเป็น ของชีวิตอย่างแท้จริง

เมื่อสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นฉันเรียนจบพยาบาลใหม่ๆ กำลังเฟรชชี่สดใส ไม่แก่งักเหมือนทุกวันนี้ (เฮ้อ...สังขารทั้งหลายไม่เ ที่ยงจริงๆ!) บังเอิญได้มาพบสัจธรรมอันบริสุทธิ์ ของพระพุทธองค์ ขณะนั้นมีสภาวจิต เหมือนคน ที่เดินคลำทางในถ้ำมืด...ทุกข์ทรมานมานานแสนนาน แล้วแสงทิพย์แสงธรรมก็สว่างจ้าขึ้นตรงหน้า จึงบอกอนุโมทนาตัวเองว่า เป็นบุญแล้ว ที่พบแสงสว่างนี้ เราเองก็จะได้ออกจากถ้ำมืดเสียที เราจะเดินตามทางสายนี้ตลอดไป

จากนั้นมาฉันก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม ด้วยความอุตสาหะวิริยะ แต่ปัญญา ของฉันดูจะน้อยไปสักหน่อย จึงต้องอาศัยหมู่มิตรดีสหายดีช่วยชี้แนะ คนโน้นชี้บ้าง คนนี้ชี้บ้าง ค่อยบ้างแรงบ้าง (แรงมากๆ บางทีก็เล่นเอาฉันมึนงงไปบ้างเหมือนกัน!) หวังดีบ้างหวังอย่างอื่นบ้าง ซึ่งก็�นับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ฉันก็เตือนตนเองให้ตระหนักในพระคุณเหล่านี้อยู่เสมอ

ขณะนั้นมีคุณหมอท่านหนึ่งในโรงพยาบาล ที่ฉันทำงานอยู่นี้ ท่านจะเป็นคนใจร้อน ใช้อารมณ์กับพยาบาล และ กับคนไข้ หรือ แม้แต่เพื่อนพยาบาล ซึ่งเป็นญาติธรรม (เพื่อนสนิท ของฉันเอง) ก็ยังเคยโดนหางเลขเลย

คุณหมอได้รับการยกให้ การยอมให้ มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีคลินิกใหญ่โต พูดอะไรก็มีแต่คนศิโรราบให้ แต่ถ้าไม่ได้ดังใจ คุณหมอจะเกิดความไม่พอใจทันที

เช่น คุณหมอแนะนำให้คนไข้หลังคลอดครรภ์ ที่ ๗ ให้ทำหมัน คนไข้ก็ไม่ยอมทำ ฉันเข้าใจดีว่า คนไข้เขามีความเชื่อปักมั่นว่า ทำหมันแล้ว จะไม่มีเรี่ยวแรงทำมาหากิน เลี้ยงลูกทั้ง ๗ คน ที่เธอทำให้เกิดมาแล้ว เธอ จึงปฏิเสธการทำหมัน เลยทำให้คุณหมอโมโหขึ้นมาทันที

ฉันซึ่งต้องทำงานใกล้ชิด ต้องอาศัยความอดทน ความใจเย็น และ มีน้ำใจให้นับแรมปี (โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน)

จนวันหนึ่ง คนไข้รายหนึ่งชมฉันให้คุณหมอฟังว่า เมื่อคืนถ้าไม่ได้ฉันช่วยเอาไว้ เขาคงตายแน่ๆ

..หมอคนนี้ วิ่งช่วยฉันทั้งคืนเลย หมอคนอื่นยังนอนบ้าง..

คุณหมอฟังแล้วพยักหน้า แล้วพูดจริงจังว่า

"ทั้งโรงพยาบาลนี้ ก็คนนี้แหละดี ที่สุด" ..ทั้งโรงพยาบาลนี้ ก็คนนี้แหละดี ที่สุด..

ทำให้ฉันได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว คุณหมอเองก็มองการปฏิบัติตน และ การทำงาน ของเราไปในทาง ที่ดีอยู่เหมือนกัน(แต่ฉันว่า คุณหมอจะชมฉันมากเกินไปกระมัง)

ห้าปีต่อมาวันนั้นคุณหมออยู่เวรกลางคืน มีคนไข้เป็นเด็กหญิง อายุ ๕ ขวบ มารดา ของคนไข้ พามาโรงพยาบาล ร้องไห้มาด้วย เธอให้ประวัติว่า ลูกสาว ของเธอไปลงเล่นน้ำในคลองข้างบ้านกับพี่ๆ พอขึ้นจากน้ำ ก็พบว่ามีปลิงเกาะอยู่ ที่ขาตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งกำลังเข้าไปในช่องคลอด มารดายืนยันว่า เห็นปลิงเข้าไปจริงๆ ตัว ที่เกาะอยู่ ที่ขา เธอดึงออกไปแล้ว แต่ตัว ที่เข้าไปภายใน เธอดึงออกมาไม่ทัน จึงรีบพาลูกมาให้หมอช่วย

จะด้วยเหตุผลใด ของคุณหมอก็ไม่ทราบได้ อาจไม่แน่ใจว่าปลิงเข้าไปจริง หรือ ไม่ หรือ อาจจะมีคนไข้หนักรายอื่นรออยู่ คุณหมอ จึงสั่งแต่เพียงว่า ให้เด็กนอนอยู่โรงพยาบาล และ ให้คอยเฝ้าสังเกตอาการไว้

หนึ่งคืนผ่านไป อาการ ของเด็กไม่ดีขึ้นเลย เด็กซึมลง ซีด มีอาการปวดท้อง และ ท้องอืดร่วมด้วย ความดันโลหิต และ ชีพจร ที่หมั่นคอยเช็คบ่อยๆ ส่งเค้าว่าอาการไม่มาทางเราแน่ คุณหมอ จึงตัดสินใจ(โค้งสุดท้าย) ให้ส่งเด็กเข้าไปห้องผ่าตัด� พยาบาล ที่ห้องผ่าตัดเล่าให้ฟังภายหลังถึงเหตุการณ์ต่อมาว่า พอคุณหมอกรีดมีดผ่านผนังหน้าท้องคนไข้ลงไป ก็พบว่ามีเลือดไหลออกมาขังในช่องท้อง ในปริมาณ ที่มากพอดู อะไรก็ไม่น่าขยะแขยงเท่า ทุกคนเห็นปลิงตัวใหญ่ อ้วนกลมอยู่ในท้องนั่นด้วย (ปลิงมันเจาะทะลุจากมดลูกเข้ามายังช่องท้อง) มันกินเลือดจนอิ่มตัวกลมใหญ่ พอมันละปาก ที่ดูดเลือดตรง ที่ใด ตรงนั้นเลือดก็จะไหลรินออกมาไม่หยุดง่ายๆ เพราะน้ำลาย ของมันมีสารคล้าย Heparin (เฮพาริน) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เลือดไม่ยอมแข็งตัว

ทีมผ่าตัดบางคนร้องหวีดด้วยความกลัว บางคนขนหัวลุกด้วยความสยอง เราช่วยเด็กน้อยนั้นไว้ไม่ทัน มารดา ของเด็กอุ้มศพลูกรักกลับบ้าน ด้วยหัวใจ ที่แตกสลาย เสียงร้องไห้แทบจะขาดใจ ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ของฉัน คน ที่เสียน้ำตาไม่ได้มีเพียงมารดา ของเด็กเท่านั้น คุณหมอเองก็ร้องไห้เสียใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น

หากคุณหมอเชื่อมารดา ของเด็กแต่แรก ก็คงไม่ต้องเสียชีวิต ของคนไข้รายนี้ไปเป็นแน่ แต่ใครล่ะจะอยากทำงานให้ผิดพลาด เหตุการณ์นี้ได้เป็นแผลเกาะกินใจ ของคุณหมอมาจนทุกวันนี้

ยังมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่จะลืมเสียมิได้ สำหรับชีวิตในเสื้อกาวน์ ของคุณหมอ เรื่องนี้แม้ฉันเองก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

สองปีต่อมามีคนไข้หญิงรายหนึ่ง อายุ ๕๔ ปี ในชีวิต ของเธอได้ผ่านการคลอดบุตร มาถึง ๘ คน พออายุมากขึ้น เส้นเงิน และ กล้ามเนื้อ ที่ยึดมดลูกอยู่ จึงหย่อนตัว ไม่สามารถประคองดึงให้มดลูกอยู่ในท้องน้อยอีกต่อไป มดลูกทั้งอัน จึงไหลโผล่ออกมานอกช่องคลอด คนไข้รู้สึกเจ็บปวดทรมานมานับแรมปี ลูกๆ จึงพามาโรงพยาบาล เพื่อรับการผ่าตัด

จากการซักประวัติอย่างละเอียด คนไข้เป็นโรคหัวใจร่วมด้วย ฉันส่งเวรให้เวรต่อไปว่า ช่วยเรียนคุณหมอให้ทราบว่า คนไข้มีโรคหัวใจด้วยคงต้องส่งไปทำ E.K.G. (ตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า) ก่อนผ่าตัด การดมยา และ คนผ่าตัดจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นอีกหลายเท่าทีเดียว

ก่อนออกเวรวันนั้น ฉัน และ น้องพยาบาลอีกสองคน ยังพูดจากเย้าแหย่คนไข้ พวกเรา และ คนไข้ต่างก็หัวเราะขบขัน

สุดท้ายฉันก็พูดว่า "พยาบาลจะหยุดสี่วันนะคะ กลับมาขึ้นเวรอีกที ป้าคงผ่าตัดเรียบร้อยสบายดีแล้ว ขอให้หายไวๆ นะคะ อย่ากังวลเรื่องการผ่าตัดเลย หลังผ่าตัดถ้าปวดแผล ก็ขอยาพยาบาลเขาได้..."� ..ขอให้หายเสียทีเถอะหมอ ฉันทรมานมานานแล้ว..

..งั้นอีกสี่วันเจอกันนะจ๊ะ เอาเถอะแล้วจะส่งกำลังใจมาช่วย..

คนไข้กล่าวขอบอกขอบใจหน้าตายิ้มแย้ม

เมื่อฉันกลับไปขึ้นเวรอีก ก็ได้ทราบข่าวว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว ที่ห้องไอ.ซี.ยู. ! ฉันใจหายวูบ อะไรกันก็ตอนนั้นคนไข้ยังดีๆ อยู่เลย ฉันถามขึ้นทันทีว่า "ทำ E.K.G. ก่อนผ่าตัด หรือ เปล่า" ก็ปรากฏว่าทำแล้ว ผล ที่อ่านออกมาคือ คลื่นหัวใจไฟฟ้าปกติดี แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ล่ะ? คำถามนี้วนแล้ววนเล่าอยู่ในสมอง ของฉัน พี่พยาบาลตรวจการ ที่เคยเป็นพยาบาลดมยาสลบ บอกว่า "พี่ว่า ต้องแพ้ยาแน่ๆ เลย"

ข่าวนี้ดังมาก จนออกไปนอกโรงพยาบาล คุณหมอเองก็มีความทุกข์อย่างแสนสาหัส (เวลาคนไข้ไม่สบายก็ไปหาหมอ แล้วเวลาหมอไม่สบายล่ะจะไปหาใคร?!)

จากความผันแปรขึ้นลง ของโลกธรรมในชีวิต ทำให้คุณหมอหันเข้าหาธรรมะเป็น ที่พึ่ง บัดนี้คุณหมอจัดเป็นคุณหมอ ที่มีคุณธรรมมาก ใจเย็นสุขุมเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำบุญสุนทานมากขึ้น มีชีวิต ที่เรียบง่ายสันโดษมากขึ้น และ เป็นตัวอย่าง ที่ดีในสังคม

ในช่วง ที่คุณหมอพบกับความวิกฤติ ฉันก็มีแต่ความจริงใจ เห็นใจ ปรารถนา ที่จะให้คุณหมอพ้นทุกข์ และ ได้ให้ความช่วยเหลือพอสมควรตามฐานะเท่า ที่จะทำได้

ในเรื่อง ของความมีน้ำใจกับผู้อื่น การให้ความสำคัญต่อความทุกข์ ของผู้อื่น มากกว่าความทุกข์ ของตนเอง ฉันเองก็ได้คนไข้นี่แหละเป็นครูสอนฉัน

ช่วงปีแรกๆ ของการเป็นพยาบาล ค่ำวันหนึ่ง ฉันรับคนไข้หญิงอายุ ๕๐ ปี เข้ามาในแผนก คนไข้รายนี้เป็น โรคมะเร็ง ที่ปากมดลูก มีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดมากมาย ร่าง ที่ซีดเหลืองนั้นอ่อนเพลียมาก แต่ยังรู้สึกตัวดีอยู่

ฉันรีบนำเลือดไปให้คนไข้รายนี้ แต่เนื่องจาก คนไข้เสียเลือดไปมาก เส้นเลือด จึงตีบตัน แทงเข็ม ที่จะให้เลือดลำบากมาก ฉันต้องแทงใหม่อยู่ถึง ๒-๓ ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อชักเข็มออกมา เลือดก็พุ่งออกมาจากสายยางเปื้อนมือ และ เครื่องแบบสีขาว ของฉันแดงไปหมด

ขณะนั้นฉันกำลังงุ่นง่านอยู่ จึงบ่นในใจว่า

"เลือดก็ยังแทงไม่ได้ เส้นเลือดก็แห้งตีบตันเสียอีก... อ้าว! ยังไม่พอ ชุดขาวเปื้อนเลือดอีก!...เรานี่ซวยไม่เสร็จจริงๆ"

แต่ทันใดนั้น คนไข้ได้ใช้แขน ที่ยังว่างอยู่ หยิบผ้าเช็ดหน้า ของตน ( ที่จริงคงเป็นผ้าเช็ดน้ำหมาก เพราะมันเปรอะคราบน้ำหมากเต็มไปหมด) เช็ดเลือด ที่เปื้อนแขน และ ที่กระโปรง� ของฉันทันทีอย่างห่วงใย

..โถ..หมอ..เปื้อนหมดเลย..

ฉันตกตะลึง ลำคอตีบตันด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจอันงดงาม ของคนไข้ ที่กำลังช็อคเพราะสียเลือดมากรายนี้ ครู่หนึ่งฉัน จึงบอกให้คนไข้หยุดเช็ดเลือดบนชุดขาว ของฉัน

..ไม่เป็นไรหรอกป้า..

อารมณ์หงุดหงิดไม่รู้หายไปไหนหมด มีแต่ความอ่อนโยน และ ความรู้สึกบางอย่าง ที่เกิดขึ้น ท่วมท้นหัวใจ

ฉันได้ให้การรักษาพยาบาลคนไข้รายนี้อย่างดี ที่สุด เท่า ที่ฉันจะทำได้

ผู้หญิง ชาวนา บ้านนอกแก่ๆ เรียนไม่จบ ป.๔ ฐานะยากจนคนนี้ ก็เป็นครู ที่ดี ที่สุด สอนให้ฉันเห็นถึงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น การเห็นความสำคัญต่อความทุกข์ความเดือดร้อน ของผู้อื่น มากกว่า ของตัวเอง ความเสียสละ ความงดงาม ของจิตใจ ความรู้สึกหลายๆ อย่างมันพรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ ของฉันอย่างมากมาย

ขณะนี้ไม่ว่าป้าจะอยู่แห่งหนใด จะยังมีชีวิตอยู่ หรือ ไม่ ขอได้รับการน้อมระลึกจากหัวใจ ที่สำนึกในพระคุณ ของฉันเสมอ

วันก่อน ฉันไปให้ยา และ อาหารทางสายยาง แก่คนไข้อัมพาตรายหนึ่ง ยา ที่บดละลายน้ำเป็นสีดำ คงเป็นเพราะฉันผสมน้ำข้นไปหน่อย ยา จึงไม่ยอมไหลลงไปในสายยางสักที แต่พอขยับสายยาง น้ำยาเข้มข้นนั้นก็พุ่งตรงมาเปื้อนชุดขาว ของฉันเป็นทางยาว

อารมณ์ขณะนั้น ไม่มีปฏิฆะเลยแม้แต่น้อย ญาติ ของคนไข้กังวลว่า ชุดพยาบาลเปื้อนมาก คงจะซักออกลำบาก

ฉันยิ้ม และ บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่างกังวลไปเลย" รู้สึกอนุโมทนาตัวเอง ที่ไม่ได้เบียดเบียนจิตตนเองด้วยความโกรธเช่นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน นี่ก็เพราะอานิสงส์ ของการได้มาปฏิบัติธรรมนั่นเอง

นึกไปถึงคุณหมอ ซึ่งบัดนี้เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ใจเย็น สุขุม นึกถึงอกเขาอกเรามากยิ่งขึ้น

นึกถึงคนไข้ ที่เป็นทั้งครูสอนให้เราเห็นธรรมะในหลายๆประการ และ ยังเป็นผู้อนุเคราะห์ให้เราได้สะสมบุญบารมีอีกด้วย

ทำให้ฉันต้องสอนตัวเอง ให้ตระหนัก และ ใช้ทรัพยากร ของโลก มายังชีพอย่างมักน้อยสันโดษ และ คุ้มค่า หากเอามามากเกินไปก็เท่ากับเพิ่มหนี้ให้กับตัวเอง (หนี้ทางวัตถุ และ รวมทั้งหนี้ทางจิตวิญญาณด้วย)

ยิ่งเสพน้อยลง ก็คือการเบียดเบียนตัวเองให้น้อยลง ความเห็นแก่ตัวน้อยลงกิเลสก็ลดลง ธรรมปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถมองเห็นโทษภัย ของการกอบโกย หอบหวง โทษภัย ของการมีมากๆ และ ยิ่งทำให้ซาบซึ้ง ที่จะไม่เวียนกลับอีกต่อไป ทำให้เราเป็นผู้ทานออกไปได้มากขึ้น มีน้ำใจ เมตตา เห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น

ดังอุดมการณ์ชีวิต ที่คนไข้ สอนเอาไว้ว่า "จะมีน้ำใจเมตตากรุณาต่อผู้อื่น จะให้ความสำคัญต่อความทุกข์ความเดือดร้อน ของผู้อื่น ให้มากกว่า ของตนเองตลอดไป"

และ ได้บทสรุป ที่ว่า ความรักตัวรักตนมาก การมีชีวิตสะพรั่งไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร และ โลกียสุขนี้เอง คือ ที่เป็นอุปสรรคกีดขวาง ชีวิต ที่สันโดษ เข้มแข็ง อิสระ และ พ้นทุกข์

ลูกไกลพ่อ
๙ มีนาคม ๒๕๓๖ ; ๓:๔๐ น.

 



"จากนี้...จนสิ้นใจ"

ความรักใน หัวใจ ไหม้หมดแล้ว
เหลือแต่แวว ความหวัง ยังฉายฉาน
ชีวิตยัง ต้องสู้ อยู่กับงาน
เกินปล่อยกาล เวลา ฆ่าหัวใจ

ชีวิตเคย แพ้พ่าย แล้วหลายครั้ง
ล้มแล้วยัง หยัดยืน ลุกขึ้นใหม่
จะไม่ยอม ย่อท้อ อีกต่อไป
มิยอมให้ ใครนินทา ว่าอ่อนแอ

ยังมีคน มากมาย อยู่ในโลก
เขาทุกข์โศก เจ็บป่วย ด้วยบาดแผล
บางชีวิต ผิดหวัง ถูกรังแก
ชนะแพ้ ดีชั่ว มีทั่วไป

เถอะวันนี้ จะเข้มแข็ง และ แกร่งกล้า
เติมศรัทธา สร้างสรรค์ ดังฝันใฝ่
ทุ่มให้งาน ทั้งตัว และ หัวใจ
สร้างโลกให้ งดงาม ด้วยความดี

"แองเจล"

 

(สารอโศก อันดับ ๑๖๒ มิถุนายน ๒๕๓๖ )