มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
เมื่อความตายมาเยือน

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 164 เดือนสิงหาคม 2536
หน้า 1/1


ดิฉันกลับจากงานอบรมคุณภาพชีวิตที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีแล้ว จึงมาฟังธรรมที่สันติอโศก ขณะที่เดินทางกลับมาขึ้นเวรที่โรงพยาบาล ดิฉันเริ่มมีไข้สูงและปวดศีรษะมาก จึงรับประทานยาลดไข้ ทุก ๔-๖ ชั่วโมง แต่อาการไม่ทุเลา

อดทนขึ้นเวรได้ ๓ วัน วันที่ ๔ อาการทรุดหนัก ทนไม่ไหวจึงต้องให้น้องพยาบาลอีกคนขึ้นเวรแทน ๔ วันที่ผ่านมารับประทานอาหารไม่ได้เลยคลื่นไส้และปวดท้องมาก ดิฉันไม่ยอมไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะกลัวเข็มฉีดยา กลัวจะถูกให้น้ำเกลือและความคิดในขณะนั้นคิดว่า "เราทนไหวน่ะ" จึงอดทนนอนพักที่แฟลตพยาบาล ผลเลือดที่เจาะไปเมื่อวันก่อน เม็ดเลือดขาวต่ำมากเหลือเพียง ๒,๐๐๐ cell/m m3 คนปกติมี ๕๐๐๐-๑๐.๐๐๐ cell /m m3

หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันมักจะถูกตักเตือน เรื่องการพักผ่อนให้เพียงพออยู่เสมอ จาก สหธรรมมิตรหลายๆ ท่าน

"คุณควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรห่วงเรื่องงาน คนเจ็บ คนยากจนและคนมืดบอดทางธรรม ยังมีให้คุณช่วยเหลือตลอดโลกแตกนั่นแหละ"

"งานที่คุณทำอยู่นี้ คุณเกิดมาอีก ๕๐๐ ชาติ ก็ทำไม่หมด ไม่ควรพร่าประโยชน์ตน ทำลายสุขภาพตนเองอย่างนี้"

"คุณเหมือน คนที่มีคนรับใช้ที่ดี ใช้มันทำงานหนักหนาเท่าใดมันก็ไม่เคยบ่น คนรับใช้ในที่นี้ก็คือร่างกายของคุณ ควรถนอมมันบ้างเพื่อเอาไว้ทำงานศาสนาได้นานๆ"

ดิฉันได้แต่รับฟัง จะให้พักได้อย่างไรในเมื่องานต่างๆ พรั่งพรูเข้ามาให้ทำตลอดเวลา และเรี่ยวแรงของเราก็ยังพอทำได้ ชาตินี้เรามีร่างกายครบอาการ ๓๒ ไม่พิการ ไม่เป็นคนปัญญาอ่อน มีมันสมอง ข้อสำคัญ มีจิตวิญญาณที่ได้รับการขัดเกลาและถูกอบรม ให้โน้มไปในทางกุศลอยู่เสมอ ชาตินี้ได้เกิดมามีโอกาสดูแลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บป่วยทั้งทางกายและทางใจ มีโอกาสช่วยคนให้พ้นทุกข์ ทั้งด้านการพูด การเขียนและการลงมือปฏิบัติ ชาตินี้นับเป็นโอกาสทองของดิฉันจริงๆ หากต่อไปดิฉันเจ็บป่วยหรือแก่ตัวลง หรือชาติต่อไปเกิดมาพิการ ปัญญาอ่อนหรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดิฉันก็จะหมดโอกาสทำงานประเสริฐ เหล่านี้

เนื่องจากสมัยเป็นเด็ก ดิฉันทำงานหนักมาก พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายจึงแข็งแรง จิตได้รับการฝึกให้อดทนต่อความยากลำบากมาตลอดหลายครั้งที่ดิฉันนึกถึง ความแข็งแรง ความอดทน ของตัวเองก็ภาคภูมิใจในความโชคดีของชีวิต ข้อนี้เป็นอย่างมาก

แต่...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจะมีอะไรถาวรจีรัง...

เมื่อการล้มป่วยย่างเข้าวันที่ ๕ และ ๖ ดิฉันมีอาการหอบเหนื่อย ทุรนทุรายแน่น หายใจไม่อิ่ม ดิฉันบอกกับตนเองว่า เรากำลังอยู่ในภาวะ Metabolic Acidosis" (ภาระกรดคั่งในร่างกาย) และเริ่มมีจุดเลือดออกทั่วตัว

ดิฉันกระสับกระส่ายนอนราบไม่ได้ จึงไปหาหมอเพื่อขอใบรับรองแพทย์และลาป่วย ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะกลับมานอนพักที่แฟลตต่อ หมอเห็นอาการจึงจับให้นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ให้ยาและให้น้ำเกลือถึงหกขวด ในครั้งแรกดิฉันไม่พอใจ

" แค่จะมาขอใบรับรองแพทย์ ทำไมต้องจับให้น้ำเกลือด้วย เรื่องมากจริง" !

ดิฉันนอนดูตัวเองอยู่ในชุดคนไข้ มองน้ำเกลือที่มันหยดไหลเข้าไปขวดแล้วขวดเล่า หงุดหงิด ทรมานจริงๆ ต่อมาดิฉันก็เข้าสู่ระยะ "ช็อค" มีอาการเลือดออกตามไรฟัน,ตามระบบทางเดินอาหารและตามผิวหนังทั่วไป ความดันโลหิตต่ำลงเรื่อยๆ จนเหลือ ๗๐/๕๐ มม.ปรอท จึงคิดขอบคุณหมอว่า หมอตัดสินใจถูกต้องแล้ว

ช่วงที่กระสับกระส่ายมากๆ หายใจหอบเหนื่อยบอกกับตัวเองว่า "เราใกล้ตายแล้ว" จิตได้สัมผัสความรู้สึกที่ไม่ต้องการสิ่งใดๆ ในโลกอีกเลย นอกจากขอให้ชีวิตรอดมาได้ตัดกิเลสและทำงานศาสนาต่อเท่านั้น

"พ่อท่าน...ลูกไม่ไหวแล้วๆ" ดิฉัน พูดอยู่แค่นี้

จิตนึกย้อนถึงชีวิตที่ผ่านมา บางครั้งก็ปล่อยให้กิเลสครอบงำ ทำให้จิตวิญญาณไหลลงต่ำ ดิฉันก็ร้องไห้ เสียดายเวลาที่ถูกกิเลสผลาญพร่าไปเหลือเกิน

ดิฉันบอกกับตัวเองว่า หายจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ เราจะดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี และจะใช้ชีวิตที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่นี้เพื่องานศาสนาอย่างเดียว จะไม่เกเรจะไม่อ่อนข้อให้กับกิเลสอีก

จุดเลือดออกขึ้นทั่วตัว หนาแน่นมากขึ้น น่าขยะแขยงมาก ทั้งแสบผิวและคันยิบยับไปหมด

พ่อมาเยี่ยม ดิฉันให้พ่อดูจุดเลือดออกตามตัว พ่อพูดว่า

"นี่ เป็นไม่น้อยเลยนะเนี่ย ลูก"

"ก็หนักที่สุดในชีวิตเลยละพ่อ"

แม่เล่าให้ฟังภายหลังว่า ช่วงที่ดิฉันหอบเหนื่อยทุรนทุรายมาก แม่ร้องไห้คิดเตรียมวัดที่จะเผาศพ และจะไปเอาเงินก้อนหนึ่งที่ดิฉันฝากพี่ชายไว้มาจัดงานศพ ทางพ่อของดิฉันต้องเฝ้าบ้านมาเยี่ยมไม่ได้ก็ร้องไห้ทุกวันเสียใจว่าลูกจะมาตาย ตอนที่เงินไม่มีจะจัดงานศพ พ่อเตรียมเอาทองไปขาย พอแม่กลับไปบ้านเล่าอาการของดิฉันให้พ่อฟัง พ่อกับแม่ก็ร้องไห้กันอีก

ดิฉันฟังแล้ว หัวเราะ ขำพ่อกับแม่ว่าจะจัดงานศพให้ดิฉัน แต่จิตลึกๆ ก็ปวดร้าวสะเทือนใจว่าเราเจ็บครั้งนี้เบียดเบียนจิตใจพ่อแม่มากเหลือเกิน เราเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องเสียน้ำตา

พี่ๆ น้องๆ จากที่ไกลๆ ก็มาเฝ้ามาดูแลกัน ซื้ออาหารบำรุง แพงลิบลิ่วมาให้กิน (ดิฉันเห็นราคามันแล้ว แทบจะกินไม่ลงเลย !)

ชีวิตเราที่ผ่านมา ได้เบียดเบียนและเป็นหนี้พระคุณคนอื่นมากมายเหลือเกิน ชีวิตที่เหลืออยู่จึงควรเป็นชีวิตแห่งการชดใช้และตอบแทนพระคุณโดยการเรียนรู้ให้เท่าทันกิเลส เอาชนะกิเลสให้ได้ รู้พักรู้เพียรรู้ประมาณเหมาะควร ปรับสมดุลต่างๆ ให้กับชีวิตและทำประโยชน์ให้ผู้อื่นให้เต็มที่

พยาบาลได้ผลัดเปลี่ยนเวรมาดูแล ดิฉันได้ซาบซึ้งว่าพยาบาลที่ดีที่คนไข้ต้องการนั้น แท้จริงควรมีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไรเป็นพยาบาลมาสิบกว่าปีที่ผ่านมาดิฉันเดาเอาว่า ถ้าเราเจ็บป่วยเราคงต้องการพยาบาลแบบนั้นแบบนี้ และก็ได้พยายามทำหน้าที่ของพยาบาลที่คิดว่า "คนไข้และญาติเขาคงต้องการอย่างนี้" อย่างเต็มที่

มาบัดนี้ ดิฉันเป็นคนไข้เองบ้าง ความเข้าอกเข้าใจมีขึ้นมาอย่างมากมาย (ความจริงถ้าป่วยตอนเริ่มเป็นพยาบาลใหม่ๆ ดิฉันคงจะทำงานได้ดีกว่านี้เยอะเลย เพราะได้เข้าใจสภาพจิตใจและความต้องการของคนไข้เป็นอย่างดีนั่นเอง)

พี่ผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่ง เวลาทำคลอดให้คนไข้เธอจะดุว่าคนไข้แรงๆ ถ้าคนไข้ร้องมากๆ แต่พอเธอมาคลอดบุตรเธอเจ็บปวดมากจึงร้องลั่นห้องคลอด ตั้งแต่นั้นมาเธอทำคลอดก็ไม่เคยดุคนไข้อีกเลย

ฉันยิ้มขำๆ "เราไม่ต้องไปคลอดเอง เราก็ไม่ดุคนไข้ได้"

ความทรงจำที่มีความสุข ในวันแห่งความรัก (๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ผุดขึ้นมาในห้วงของความคิด

ตอนเย็นของวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ดิฉันได้ไปเยี่ยมเพื่อนสนิทซึ่งอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่งและนอนค้างที่นั่น ตกกลางคืนเพื่อนของดิฉัน (ซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมชาวอโศกเหมือนกัน) มาปลุกว่า ให้ไปช่วยทำคลอดหน่อยดิฉันก็ลุกไปช่วยอย่างเต็มใจ คนไข้รายนี้ มีฐานะยากจนมากแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวมอมแมม เธอมีอาชีพรับจ้างทั่วไปเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

ดิฉันใส่ถุงมือช่วยทำคลอดหัวและดึงตัวเด็กออกมา เพื่อนดิฉันทำคลอดรกและเย็บแผลต่อ (เด็กคนนี้เลยมีชื่อพยาบาล ทำคลอดสองคนในหนังสือรับรองการเกิด !) ดิฉันอาบน้ำให้เด็กจนสะอาดแล้วเอาผ้าขนหนูห่อไว้ให้อุ่นและเอามาให้แม่เขาดู แม่เด็กยกมือขึ้นลูบไล้หน้าและใบหูของลูกอย่างทะนุถนอม

ดิฉันวางเด็กลงข้างๆ แม่ แล้วไปเอาผ้าขนหนู มาชุบน้ำเช็ดหน้า เช็ดตัว ขา และเลยไปถึงเท้าและฝ่าเท้าที่มอมแมมของคนไข้จนสะอาดโดยไม่รังเกียจเลย คิดว่าเราทำให้น้องสาวของเรา จากนั้นก็ไปชงโอวัลติน (เอาของเจ้าหน้าที่) ร้อนๆ มาให้มารดาหลังคลอดดื่มบำรุง (จำได้ว่าชิมก่อนจนรสดีได้ที่ เพื่อหวังจะโชว์ฝีมือว่าชงได้อร่อย!)

วันนั้นเพื่อนและดิฉัน รื่นเริงกันมาก

พอนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นเช้ามืดของวันแห่งความรักดิฉันก็พูดเสียงดัง

"อ้าววันนี้ เป็นวันแห่งความรักนี่นา !"

"งั้นเด็กคนนี้ให้ชื่อว่า "รัก" ก็แล้วกันนะอ้อ!" เพื่อนของดิฉันพูดอย่างร่าเริง

"คนโต...พี่มันน่ะชื่อไอ้ลอย" แม่เด็กพูดและส่งยิ้มมาจากเตียงคลอด เพื่อนดิฉันรีบพูดว่า

"งั้นเหมาะเลย คนพี่ชื่อลอย คนน้องชื่อรัก"พอสว่างดี เพื่อนดิฉันลงไปในสวน เด็ดดอกไม้มาให้ดิฉันช่อหนึ่ง

"สุขสันต์ วันวาเลนไทน์นะอ้อ...ขอให้อ้อ เอาชนะและอยู่เหนือความรักให้ได้ตลอดไป"

"นี่ไปเด็ดดอกไม้มาจากต้นทำไมเนี่ย? เดี๋ยวก็เหี่ยวหมด!"

ดิฉันพูดบ่นและรับดอกไม้มา แต่ในใจคิดว่า

"เออแน่ะ! ปฏิบัติธรรมมาตั้งนาน เพื่อนเรายังมีอารมณ์หวานๆ อยู่อีก" จำได้ว่า เราสัญญากันว่าเราจะช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันเพื่อเอาชนะกิเลส เพื่อการเดินทางไปสู่ความสิ้นทุกข์ตลอดไป ดิฉันเองภูมิใจมากที่มีมิตรดีสหายดีเช่นนี้

ป่านนี้ "เด็กชายรัก" นั่น คงโตขึ้นมากแล้ว ดิฉันยิ้มคนเดียวเงียบๆ เพื่อนพยาบาลตึกต่างๆ และหมอมาเยี่ยมกันมากมาย (คนไข้และญาติคนไข้ก็มาเยี่ยมด้วย) ดิฉันอายเหลือเกินที่จะให้ใครๆ รู้ว่า ดิฉันเป็นไข้เลือดออก

"อะไร...แก่ป่านนี้แล้ว ยังเป็นไข้เลือดออกอีกเรอะ !? เห็นมีแต่เด็กเป็น

"ก็ไอ้ยุงลายตัวที่กัดน่ะ ตามันไม่ค่อยดี มองเห็นเราหน้าอ่อน มันเลยว่า "กัดเด็กคนนี้แหละวะ!" ดิฉันแกล้งตอบให้ตลกเพื่อกลบเกลื่อนความอาย

แต่ถ้าใครอื่นถาม ดิฉันจะตอบเพียงว่า "เป็นไข้"

"อะไร! เป็นไข้ถึงกับต้องให้น้ำเกลือเชียวหรือ !? เขาก็จะถามต่อ แต่ดิฉันก็จะนิ่งเสีย

ออกไปจากโรงพยาบาลได้ ๒ วัน พี่พยาบาลอาวุโสท่านหนึ่งก็มาสัมภาษณ์ ประวัติการทำงานและขอรูปถ่ายด้วยโดยบอกให้ทราบภายหลังว่า ทางผู้ใหญ่เขาประชุมกัน คัดเลือกดิฉันเป็น "คนไทยตัวอย่าง" ส่งชื่อเข้ากระทรวงเพื่อไปยังระดับประเทศ

และต่อมาเพื่อนๆ หลายคนมากระซิบว่า ปีนี้ดิฉันอาจได้สองขั้นอีก

ดิฉันทบทวนดูความขึ้นลงของชีวิต

ที่ผ่านมามีทั้ง ได้ลาภยศสรรเสริญ ได้รับการเข้าใจผิด ถูกป้ายสี ถูกนินทา เกิดมาแล้วก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่พ้น นึกถึงสภาพจิตที่ไม่ต้องการสิ่งใดเลย เมื่อความตายรออยู่ตรงหน้า ในช่วงเจ็บหนักที่ผ่านมา ...ชีวิตแห่งการปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เรา รู้เท่าทัน และอยู่เหนือโลกธรรมเหล่านี้ได้...

สมณะท่านหนึ่งกรุณากล่าวเตือนว่า

"ไม่น่าเชื่อว่าพยาบาลจะมาเจ็บหนักเกือบตายเพราะไข้เลือดออก ผ่านอะไรมาก็มาก แต่มาแพ้ยุงลาย !

จริงสิ...คนบางคนก็เป็นดุจนักรบที่ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมามากมายอย่างปลอดภัย แต่ต้องมาตายในลำธารเล็กๆ ตื้นๆ ดิฉันบอกกับตัวเองว่า เราเจ็บปางตายก็เพราะความประมาทแท้ๆ ชนะอะไรมาก็มาก แต่มาแพ้ยุงลายตัวเดียวที่ศรีราชา ปล่อยให้มันกัด...ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันมีเชื้อไข้เลือดออก!

ไม่มีอะไรจะทำความเสียหาย, เสื่อมต่ำให้กับเราได้เท่าความประมาท

พ่อท่านเทศน์ในงานอโศกรำลึก'๓๖ ว่า

"คนเราจะถึงที่สุดได้เพราะความไม่ประมาท แม้โทษภัยอันมีประมาณน้อย"

ทีหน้าทีหลัง เราจะระวังจะปรับสมดุลของชีวิตให้ดีขึ้น และจะไม่ใช้เวลาในชีวิตด้วยความประมาทอีกแล้ว

ดิฉันบอกกับตนเอง ก่อนที่จะหลับไปด้วยความอ่อนเพลียขณะนอนหลับนั้นดิฉันฝันเห็น คุณพรพิชัย เจียมกัลชาญมายืนยิ้มให้อยู่ข้างๆ ในฝันนั้นดิฉัน หวาดกลัวมาก ..ก็เขาตายไปแล้วนี่ งั้นนี่ก็เป็นผีนะซี!" ตื่นขึ้นมารำพึงกับตัวเอง อย่างขำๆ ว่า

"ถึงแม้ จะศรัทธาคุณพรพิชัยมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่อยากไปอยู่ด้วยหรอก ทีหลังอย่ามาหาอีกก็แล้วกัน !"

ลูกไกลพ่อ

๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ; ๒๒.๐๐ น.

 

(สารอโศก อันดับ ๑๖๔ สิงหาคม ๒๕๓๖ หน้า๗๘–๘๓)