มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
อีกกี่ศพจึงจะพบสัจจะ

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 165 เดือนกันยายน 2536
หน้า 1/1


ฉันก้าวเข้าไปในห้อง ๑๐๔ เพื่อต่อน้ำเกลือขวดที่ ๔ ให้แก่ วนิดา (นามสมมุติ) เธอหันหน้าเข้าผนังตึก ไม่ยอมมองมาทางฉัน ร่างผอมบางราวกับจะปลิวลม นอนแบ็บ กองอยู่บนเตียง เธอไม่ยอมรับประทานอาหารมาหลายวันแล้ว ดวงตาทั้งสองช้ำบวม แดงก่ำ เพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

ประวัติการเจ็บป่วยของคนไข้รายนี้ ดังเกรียวกราวไปทั่วทั้งจังหวัด ขนาดน้องสาวของฉัน ซึ่งเป็นพยาบาลอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ยังรู้ข่าวนี้ก่อนฉันเลย

วนิดา กับ เกรียงศักดิ์ รักกันมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ต่อมาเธอและเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยกัน ทั้งสองต่างซื่อสัตย์ และมั่นคงต่อกันมาตลอด เมื่อจบออกมาทำงาน ก็แต่งงานกัน ชีวิตหลังแต่งงาน เขาไม่เคยทะเลาะหรือมีปากเสียงกันเลย ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทั้งสองยังคงรักและปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย วนิดา รับราชการ ส่วนสามี ตั้งฟาร์มเลี้ยงไก่ ตกเย็น เกรียงศักดิ์ก็จะมารับวนิดากลับบ้านอยู่เสมอๆ แต่...ใครจะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ถาวรจีรัง มันล้วนมีความผันแปรไปเป็นธรรมดาทั้งสิ้น!

เด็กสาวอายุ ๑๕ ปี เข้ามาเป็นคนงานในฟาร์มไก่ของเกรียงศักดิ์ เธอสวยมาก ขนาดมีหนุ่มหลายคนมาปองรักและคอยเอาใจ แต่เธอไม่สนใจใครเลย ด้วยคิดว่าตนเองยังเด็ก ยังไม่คิดจะมีความรัก ขอทำงานหาเงินเลี้ยงพ่อแม่ก่อน

จากความใกล้ชิด กับความสัมพันธ์ที่ไม่ระวัง ทำให้เกรียงศักดิ์และสาวลูกจ้าง รักใคร่ และได้เสียกัน เป็นเวลาสองปีกว่ามาแล้ว โดยที่วนิดาไม่ระแคะระคายเลย ต่อมาเด็กสาวเริ่มตั้งครรภ์ พ่อแม่ของเธอทราบข่าวร้ายนี้ ก็คาดคั้นเอาความจริงกับเธอ เกรียงศักดิ์จึงไปสารภาพกับพ่อแม่ของเธอว่า เขาเป็นสามีเธอ และรักเธอมาก จะรับผิดชอบและไม่ทิ้งขว้างเธออย่างเด็ดขาด

ทางญาติๆของเด็กสาว ต่างมาพูดด่าว่า ประณามเด็กสาวว่า เป็นคนชั่วแย่งสามีคนอื่น เด็กสาวได้รับแรงกดดันในหลายๆด้าน เธอเจ็บปวด เสียใจ และกลุ้มใจมาก ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจกินยาฆ่าหญ้า "กรัมม็อกโซน" เพื่อฆ่าตัวตาย หนีความเจ็บความอาย และความทุกข์แสนสาหัสที่เธอได้รับอยู่

ตั้งแต่วนิดาทราบว่า สามีมีภรรยาน้อย จนตั้งครรภ์ ทำให้ชีวิตคู่ที่มีความสุข ต้องพังครืนลง เธอรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เธอทำใจไม่ได้ ว่าสามีซึ่งรักกันมาหลายปี และดีกับเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย จะทรยศกับเธอได้ เธอจึงตัดสินใจแยกทางกับสามี เพื่อให้โอกาสเด็กสาวที่กำลังตั้งครรภ์อยู่

เกรียงศักดิ์ไม่ยอมตกลง เขาบอกว่า เขายังรักวนิดามากเหมือนเดิม ชีวิตของเขาขาดเธอไม่ได้ และเขาก็ทิ้งเด็กสาวนั่นไม่ได้อีกเช่นกัน

ต่อมาวนิดาก็กินยานอนหลับเข้าไปหนึ่งกำมือ ญาติไปพบเข้าจึงนำวนิดาส่ง ร.พ.โดยด่วน หลังจากได้รับการล้างท้องจากห้องฉุกเฉิน วนิดาก็ถูกนำไปรักษาตัวที่ตึกอายุรกรรมหญิง

ช่างบังเอิญแท้ๆ ที่เตียงนอนของภรรยาหลวง (กินยานอนหลับ) และเตียงของภรรยาน้อย (กินยาฆ่าหญ้า) อยู่ใกล้กัน ภาพของเกรียงศักดิ์ที่วิ่งดูอาการของภรรยาคนโน้นที คนนี้ที แล้วร้องไห้ เป็นภาพที่น่าสังเวชใจนัก ข่าวนี้ดังไปทั่วทั้งโรงพยาบาล

ขณะนั้น วนิดายังหลับไม่ตื่น เกรียงศักดิ์ เป็นห่วงและวิตกกังวลมาก แพทย์ที่รักษาภรรยาน้อยอยู่ ก็มาบอกเกรียงศักดิ์ว่า ภรรยาและลูกในท้องของเขา หมดหวังที่จะมีชีวิตรอดเสียแล้ว เกรียงศักดิ์ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดและสิ้นหวัง

วันรุ่งขึ้นภรรยาน้อยผู้อาภัพก็เสียชีวิตลงพร้อมด้วยลูกในท้อง ตอนบ่ายวันนั้น พวกเราก็ได้รับข่าวร้ายอีกระลอกคือ เกรียงศักดิ์ กลับไปที่บ้าน ใช้ปืนจ่อขมับยิงตัวเองตายตามภรรยาน้อยและลูกไปด้วย

เรื่องร้ายไม่จบเพียงนั้น ต่อมา วนิดา (ภรรยาหลวง) ฟื้นจากฤทธิ์ยานอนหลับ เธอเรียกหาแต่สามี ครั้นทราบจากญาติว่า เกรียงศักดิ์ยิงตัวตายแล้ว เธอจึงกลับไปบ้าน กินยาฆ่าแมลง เพื่อจะตายตามสามีสุดที่รักไป ญาติๆนำเธอส่งโรงพยาบาลทันที เมื่อล้างท้องที่ห้องฉุกเฉินแล้ว แพทย์ได้รับเธอเข้าไว้ในห้อง ไอ.ซี.ยู.

หลายวันต่อมา อาการทางร่างกายดีขึ้น แพทย์จึงย้ายวนิดามาอยู่ที่แผนกอายุรกรรมหญิง

ต่อมาเธอก็ย้ายมาเป็นคนไข้จิตเวช ณ ตึกที่ฉันประจำอยู่ และเป็นคนไข้ของฉัน หลายวันมาแล้วเธอไม่ยอมรับประทานอาหาร ร่างกายซูบผอม อ่อนเพลียมาก เธอนอนหันหน้าเข้าข้างฝา ใบหน้าหมองหม่นเป็นนิตย์ ดวงตาทั้งสองฉายแววปวดร้าวอยู่ท่วมท้น ฉันสงสารและเวทนาเธอมาก และได้ให้การดูแลเอาใจใส่คนไข้รายนี้อย่างดีที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้

ต่อมาเธอเริ่มให้ความไว้วางใจ เธอยอมตอบคำถาม เล่าเรื่องราว และยอมรับฟังข้อคิดและคติธรรมจากฉันเป็นอย่างดี และเธอให้สัญญาว่า จะไม่ขอฆ่าตัวตายอีกเลย ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์สักเพียงไหนก็ตาม ฉันได้นำเท็ปและหนังสือธรรมะให้เธอนำกลับไปฟังและอ่านที่บ้าน เมื่อแพทย์จำหน่ายเธอกลับบ้าน ฉันได้ขอร้องให้ญาติๆของวนิดา คอยช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด และเป็นกำลังใจให้เธอด้วย และปวารณาให้วนิดามาหาฉันได้เสมอ หากเธอต้องการเพื่อนและความช่วยเหลือ

คนไข้อีกรายหนึ่งเป็นผู้ป่วยห้อง ๒๐๗ รายนี้เป็นชายชราอายุ ๘๐ ย่าง ๘๑ ปี ผิวหน้าเหี่ยวย่น ศีรษะล้าน แบบที่โบราณเรียกว่า "ทุ่งหมาหลง" ฟันบนด้านหน้าหลุดเกือบหมด เหลือไว้ให้ปลงสังเวชเพียงซี่เดียว เวลาลุงยิ้มโชว์ฟันซี่นั้น ฉันไม่อยากหันไปมองเลย เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อนึกไปถึงตัวอะไรที่มันน่ากลัว และจะมาหลอกหลอนตอนกลางคืนน่ะ!

ญาติคนไข้เล่าให้ฟังว่า สมัยที่คนไข้รายนี้ยังเป็นหนุ่ม มีรูปร่างหล่อเหลามาก ลุงเป็นกำนันผู้ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากที่ตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดนี้ ลุงมีภรรยาที่เปิดเผยเป็นตัวเป็นตนถึง ๕ คน แต่ที่ไม่เปิดเผยน่ะไม่ได้นับ รวมลูกๆทั้งหมดจาก ๕ แม่ ก็เกือบ ๒๐ คน ลุงดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เลี้ยงนักเลง เจ้าชู้ สารพัด สิ่งเหล่านี้มันอยู่คู่กับชีวิตของลุง ตั้งแต่หนุ่มจนแก่

เมื่อลุงอายุได้ ๗๐ ปี ก็เริ่มเป็นอัมพฤกษ์ ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านของเมียใหญ่ หากมีสาวๆเดินผ่านหน้าบ้าน ลุงจะสดชื่นขึ้นเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ด้วยนิสัยเจ้าชู้ที่ฝังรากลงลึกในจิตวิญญาณของลุง

"ไปไหนมาจ๊ะ คนสวย แวะคุยกันก่อนซิจ๊ะ"

ลุงจะพูดยื่นไมตรีให้ ผู้หญิงบางคนก็โกรธ ด่าสวนมาว่าลุงเป็นตาแก่ตัณหากลับบ้างละ เป็นเฒ่าทารกบ้างละ หรือบางทีก็เปลี่ยนหัวลุงเป็นหัวงูซะเลย ลุงไม่ได้รับความเคารพรักจากลูกหลาน เพราะความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มของลุง ลูกหลานบางคนก็อายที่ตนมีญาติผู้ใหญ่ ที่ไม่ยอมเลิกนิสัยเจ้าชู้แบบนี้เสียที

ปีนี้ลุงมีความดันโลหิตสูง เป็นอัมพาต มีแผลกดทับที่สะโพกทั้งสองข้าง และบริเวณก้นกบด้วย และมีภาวะแทรกซ้อนอีกอย่างคือ ปอดอักเสบ (Hypostatic Pneumonia) มีเสมหะครืดคราดอยู่ในลำคอลึกๆ ลุงไม่มีแรงที่จะขากเสมหะออกมา ทุกครั้งที่ฉันใส่สายยาง (Suction) เพื่อจะดูดเสมหะให้ลุง ลุงก็จะเม้มปากแน่นด้วยความกลัวเจ็บ เราต้องให้ออกซิเจนลุงไว้ตลอดเวลา ให้น้ำเกลือและฉีดยาให้ตามเวลา มีสายใส่ทางจมูกต่อลงกระเพาะเพื่อให้อาหารเหลวด้วย และลุงมักจะใช้มือข้างที่ยังพอมีแรงดึงสายให้อาหารออกเกือบทุกเวร เวลาใส่สายลงไปใหม่แต่ละครั้ง ลุงก็จะทรมานมาก หลายครั้งที่จำต้องผูกมือลุงไว้กับที่กั้นเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้ลุงดึงสายให้อาหารออก มันทรมานหัวใจและความรู้สึกของฉันจริงๆ

๓ สัปดาห์ที่ลุงมาอยู่ในโรงพยาบาล แทบไม่มีลูกหลานคนไหนจะเอาภาระเลย คนที่เฝ้าอยู่ก็คือ ชาวบ้านที่รับจ้างเฝ้าไข้นั่นเอง วันก่อนพอแพทย์บอกว่าจะจำหน่ายคนไข้กลับบ้าน ญาติๆก็ร้องโวยวายว่าอาการอย่างนี้จะเอากลับได้อย่างไร กลับไปก็ไม่มีใครดูแลหรอก ลูกหลานทุกคนเขาก็มีภาระของเขากันทั้งนั้น (ใครนะพูดว่า ไม่แต่งงานระวังตอนแก่ไม่มีลูกหลานเลี้ยง...ลุงมีลูกหลานตั้งเกือบยี่สิบคน...ก็ยังไม่มีใครเลี้ยงเลย!)

จากที่ฉันสังเกตดู ลูกๆหลานๆก็ไม่ค่อยเคารพลุงนักหรอก เพราะกรรมแห่งการมักมากในกามคุณของลุงนั่นเอง บางทีหลานสาวคนสวยมาเยี่ยม ลุงจำไม่ได้ว่าเป็นหลาน ก็ทำท่ากรุ้มกริ่มกับหลานอีก แม้จะอยู่ในสภาพเจ็บป่วยอย่างนี้ก็เถอะ กิเลสกามมันเคยปรานีใครที่ไหน ฉันเห็นแล้วสลดสังเวชใจจริงๆ จนอยากจะร้องไห้ เพื่อนพยาบาลอีกคนก็เล่าให้ฉันฟังว่า เธอเคยเจอคนไข้แบบเดียวกันนี้ คนไข้รายนั้นพอพยาบาลเข้าไปช่วยเหลือ เข้าไปเช็ดตัวให้ก็หลง หาว่าพยาบาลมารักมาชอบตน หนักกว่าลุงที่เป็นคนไข้ของฉันรายนี้เข้าไปอีก เพราะตั้งแต่ฉันดูแลลุงมาตลอด ลุงไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย อาจเป็นเพราะ "รูปแร้งดูร่างร้ายรุงรัง ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า" ของฉันนั่นเอง!

ป่านนี้วิถีชีวิตคนไข้ห้อง ๑๐๔ และ ๒๐๗ ซึ่งออกจาก ร.พ.ไปแล้วทั้งคู่ จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ฉันเสียดายวันเวลาในชีวิตที่เสียไปกับความรักและกามของคนไข้ทั้งสองคนนี่จริงๆ จะต้องให้พบเห็นชีวิตที่ถูกทำร้าย ถูกฆ่าด้วยกิเลสกามอีกกี่ศพ ชีวิตจึงจะกลัว และเข็ดหลาบต่อกาม

เราเองก็เถอะหากไม่รีบ "กัดใจ" ฝึกฝืนเอาชนะกิเลสตัวนี้ให้ได้ อาจมีสักชาติหนึ่งข้างหน้า ที่จะต้องทนทุกข์เพราะกามและความรัก เช่นเดียวกับสองชีวิตที่ได้เล่ามานี้ อย่างแน่นอน

"หากเราปล่อยใจให้กำหนัดยินดีเพลิดเพลินไปกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชื่อว่า เติมทุกข์ ให้กับตัวเอง ติดข้องอยู่ในบ่วงแห่งมาร ชื่อว่าไกลนิพพาน หากสำรวมสังวร ตาหูจมูก ลิ้น กาย ใจ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท จักพ้นบ่วงแห่งมารได้"

"ทุกสิ่งจะต้องตาย ย่อมแปรเปลี่ยนไป ชีวิตมนุษย์นั้น...หาความสงบได้ยาก มีความพลัดพรากอยู่ตลอดเวลา แต่ละครั้ง ก็คือ การข้ามสายน้ำนั่นเอง สูผู้ยืนอยู่อย่างเจ็บปวด ควรพิจารณาดูว่า ไม่มีอะไร...สูญเสียไปเลย"

ลูกไกลพ่อ
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ๒๑:๐๐ น
.

หมายเหตุ ฉบับหน้าพบกับ "ลูกไกลพ่อ" เป็นเรื่องสุดท้าย ด้วยเหตุปัจจัยบางประการ หากมีโอกาส "ลูกไกลพ่อ" จะกลับมารับใช้ท่านผู้อ่านอีกครั้ง

 

(สารอโศก อันดับ ๑๖๕ กันยายน ๒๕๓๖ หน้า๓๑–๓๕)