มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม โดย "ลูกไกลพ่อ" ตอน...
วันนี้...ที่รอคอย

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 166 เดือนตุลาคม 2536
หน้า 1/1


ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ดิฉันมาพบธรรมะที่สันติอโศก นึกอนุโมทนา ชื่นชมคนที่ทำงานอยู่ในวัด พวกเขาได้ใช้แรงกายบริสุทธิ์ มาทำงานให้กับศาสนาโดยตรง บางคนก็มาทำงานให้วัดอย่างเต็มตัว เขาเหล่านั้นได้ฟังธรรมะทุกวัน หากทำผิดแม้เล็กน้อย ก็จะมี "ตำรวจ" มาคอยชี้แนะ คอยบอกให้เราเดินตรงทางอยู่เสมอ การได้ทำงานกับเพื่อนรักร่วมอุดมการณ์ การได้อยู่ใกล้สัตบุรุษ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะมาเสริมแรงเพียร ของเรา ให้ได้ลดละกิเลสได้เร็วได้มากยิ่งขึ้น และ พ้นทุกข์เร็วขึ้น

ปีต่อมา ดิฉัน จึงตัดสินใจจะเข้าวัด แต่ขณะนั้นน้องๆ ทั้ง ๕ คนยังเรียนอยู่ ดิฉัน จึงต้องอยู่ทำงานเพื่อหารายได้ไปส่งเสียน้องๆ และ เลี้ยงดูพ่อแม่ก่อน ดิฉันทำเรื่องย้ายเข้ากรุงเทพ หาที่ทำงานที่อยู่ใกล้สันติอโศกมากที่สุด (เพื่อที่จะได้มาฟังธรรมะ และ มาช่วยงานในวัดได้มากขึ้น)

ขณะทำเรื่องย้าย พ่อดิฉันก็ล้มป่วยด้วยโรคปวดหลัง ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ในปีต่อมาดิฉันก็ทำเรื่องย้ายไปอยู่ ร.พ.นครปฐม เพื่ออยู่ใกล้ปฐมอโศกมากยิ่งขึ้น แม่ดิฉันป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยอาการปวดท้องมาก ต่อมาแพทย์ได้พบว่าแม่เป็นโรคเบาหวาน ที่ต้องมารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลทุกเดือน ดิฉันคิดว่าหากเราจากท่านทั้งสองไปอยู่ไกลๆ ใครจะดูแลปรนนิบัติท่าน การทำบัตรการเบิกจ่ายยา การรับการตรวจรักษาจะสะดวกยิ่งขึ้น หากเรายังอยู่ใกล้พ่อแม่ ดิฉัน จึงหยุดเรื่องย้ายไว้ก่อน

อีก ๔ ปีต่อมา ดิฉันได้ส่งน้องสาวเข้าเรียนพยาบาล อีก ๒ ปีต่อมาก็ส่งน้องสาวอีกคนเรียนพยาบาลอีก เดิมที น้องๆ ไม่อยากเป็นพยาบาล เพราะเห็นชีวิตพยาบาล ของดิฉันต้องทำงานหนัก ไหนจะงานที่โรงพยาบาล งานที่คลินิกเอกชน งานเฝ้าไข้พิเศษ และ ยังต้องจัดสรรเวลา เพื่อมาช่วยงาน และ ฟังธรรมที่วัด งานอบรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของข้าราชการทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ต้องแบ่งเวลาไปดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ ไปดูแลน้องๆ ทั้งห้าคน ที่แยกย้ายกันไปเรียนในแต่ละจังหวัด

หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นเวลายาวนาน อดนอนบ่อยมาก ใบหน้าหมองคล้ำอยู่เป็นนิตย์ ดิฉันได้ชี้แจงให้น้องๆ ได้เห็นประโยชน์ ของการเป็นพยาบาล ซึ่งมีโอกาสช่วยเพื่อนมนุษย์ในยามป่วยไข้ การที่ได้อยู่ในอาชีพที่เป็นบุญ และ ยังมีความรู้ช่วยดูแลญาติพี่น้องดูแลตนเองได้ และ ยังหารายได้พิเศษหากเราต้องการ น้องๆ จึงจำนนในเหตุผล และ ไปเรียนพยาบาลด้วยประการฉะนี้

ดิฉันได้เรียนให้พ่อกับแม่ทราบว่า เมื่อน้องๆ ทุกคนเรียนจบหมดแล้ว ดิฉันจะลาออกไปอยู่วัด ตอนนั้นพ่อกับแม่ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าระยะเวลาอันยาวนานนี้ ดิฉันอาจพบคนที่ถูกใจ แต่งงานแต่งการไป ชีวิตก็จะหักเหไปจนลืมเรื่องลาออกไปอยู่วัดก็ได้

"อีก ๕ ปี ฉันจะเข้าวัดละนะ"

ตอนนั้นอโศกกำลังมีข่าวออกที.วี.ทุกวัน เรื่องพ่อท่าน สมณะถูกจับไปคุมขัง ข่าวที่ออกมาทางที.วี.นั้น มันรุนแรงต่อความรู้สึก ของพ่อแม่มาก ท่านเดือดร้อนใจ และ ห้ามดิฉันไปวัดในระยะนั้น แต่ดิฉันกลับไปวัดบ่อยยิ่งขึ้น และ ได้ชี้แจงให้ท่านทราบว่า ข่าวที่ออกมานั้น อโศกไม่มีสิทธิออกมาแก้ตัวหรือชี้แจงข้อเท็จจริงได้เลย ฝ่ายโน้นออกข่าวฝ่ายเดียว

สองปีต่อมาดิฉันได้เลื่อนขั้นเป็น ซี.๖ ซึ่งนับเป็นคนที่มีอายุราชการน้อยที่สุดที่ได้ ซี.๖ ก่อนหน้านั้นดิฉันก็ได้รับรางวัลดีเด่นในการทำงานเป็นระยะๆ พ่อแม่ก็คิดว่า ความก้าวหน้าทางราชการแบบก้าวกระโดด ของดิฉัน การได้รับรางวัล คำชื่นชมต่างๆ คงจะทำให้ดิฉันเปลี่ยนใจได้ แต่ดิฉันก็ยังคงบอกท่านทุกปีว่า เหลืออีก ๓ ปีแล้วนะ เหลืออีก ๒ ปีแล้วนะ จนกระทั่ง เหลืออีก ๑ ปี น้องเรียนจบมีหน้าที่การงานมั่นคง น้องๆ เรียนเก่ง และ เป็นคนดีทุกคน น้องคนสุดท้องจะจบพยาบาลในปีหน้า ดิฉันเรียกพี่น้องมารวมกันหมด และ บอกว่าปีรุ่งขึ้นดิฉันจะลาออกแน่นอน ทั้งพี่ชาย ๒ คน และ น้องๆ ทั้ง ๕ คน ก็เต็มใจที่จะมาช่วยกันดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ ในด้านสุขภาพ ของท่าน ก็ยังมีลูกที่เป็นพยาบาลเหลืออีกตั้งสองคน

ดิฉัน จึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องห่วงกังวลอีก

เมื่อดิฉันยื่นใบลาออก เรื่องก็ถูกระงับไว้ พี่หัวหน้าพยาบาล คืนใบลาออกกลับมา ดิฉันถูกผู้ใหญ่หลายท่านเรียกขึ้นไปพบหลายครั้ง เพื่อให้ดิฉันรับงานราชการต่ออีก หลายท่านเสียดายอนาคตที่กำลังเจริญก้าวหน้า ของดิฉัน บางท่านก็ห่วงว่าจะไปอยู่ที่วัดได้อย่างไรโดยไม่มีรายได้ ข่าวนี้ดังไปทั้งใน และ นอกโรงพยาบาล ตั้งแต่ระดับคนงานจนถึงแพทย์ และ ผู้หลักผู้ใหญ่ หลายคนก็อนุโมทนาในความตั้งใจจริง ที่จะไปทางธรรม ของดิฉัน หลายคนก็เสียดายอนาคตหน้าที่การงาน ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ดิฉันยื่นใบลาออกขึ้นไปอีก

๑๖ กันยายน ๒๕๓๖ เป็นวันประวัติศาสตร์ ดิฉันไปเซ็นรับทราบคำสั่งอนุมัติให้ลาออกได้ ต้นเดือนตุลาคมนี้

ดิฉันกลับไปบ้านเรียนให้พ่อกับแม่ทราบ แม่บอก แม่ใจหายวาบเลย แม่อุตส่าห์ไปบนไว้ว่า ถ้าลูกไม่ลาออก แม่จะบวชให้ ๑ พรรษา

ดิฉันหัวเราะขำแม่

"อ้าว...ทำไมแม่บนไว้น้อยนักล่ะ น่าจะบนบวชตลอดชีวิต สิ่งที่แม่ขออาจจะสำเร็จก็ได้"

แม่บอกว่า "แม่รู้ว่าลูกจะไปทำดี แต่ถ้าหากไม่ได้มาเจออโศก เราแม่ลูกก็คงไม่ต้องพรากจากกัน"

ดิฉันว่า "จากไปที่ไหน ก็อยู่ที่วัดนั่นแหละ แม่คิดถึงก็ไปเยี่ยมได้"

แม่ยังรู้สึกว่า ถูกแย่งลูกไป สำหรับพ่อไม่ได้พูดอะไรมากแต่ความรู้สึกก็คงไม่ได้ต่างจากแม่เท่าใดนัก

เราพ่อแม่ลูกมานั่งคุยกันที่ศาลา ริมสระน้ำหน้าบ้าน คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ตั้งแต่สมัยดิฉันยังเล็กๆ บ้านเราเคยถูกปล้น พ่อเคยถูกโกงเงิน ที่มีคนมายืมไปแล้วไม่ยอมคืนหลายๆ ครั้ง แต่บ้าน ของเราก็ไม่เคยไปโต้ตอบใครเลย เราอยู่กันสงบมาตลอด พ่อแม่จะสอนลูกแบบคนไทยสมัยก่อน อบรมลูกให้เป็นคนดี ทั้งสองท่านชอบทำบุญทำทานอยู่เสมอ

หลายปีมานี้ พ่อได้ไปมอบทุนการศึกษา ให้กับนักเรียนปีละหลายๆ คน ทั้งๆ ที่บ้าน ของเราไม่ร่ำรวยเลย ครอบครัว ของเราได้เป็นครอบครัวตัวอย่าง ของตำบลนั้น แม่ก็ได้รางวัลแม่ดีเด่นด้วย พี่น้องทั้ง ๘ คนก็ได้โล่ ได้รางวัลดีเด่น ในเรื่องความประพฤติ การเรียน และ การทำงานเกือบทุกคน ครอบครัว ของเราขาดอยู่สองอย่าง คือ "ความฉลาดทันคน" พวกเราซื่อเกินไป มักรู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยม ของคนอื่น

สำหรับ "เงินทอง" แม้จะไม่ถึงกับขาดแคลนแต่ก็ไม่ร่ำรวย พี่น้องทุกคนจะรักกันมาก หากมีใครคนหนึ่งเดือดร้อน พี่น้องที่เหลือก็จะเฮละโลมาช่วยทันที คนที่มาเป็นเขยสะใภ้ก็เป็นคนดีทุกคน สำหรับตัวดิฉันเองน้องทั้งห้าคนคือดวงใจ ขนาดดิฉันมาปฏิบัติธรรมแล้ว พอทราบว่าใครมาทำให้น้อง ของเราเดือดร้อน จิตดิฉันก็โลดแล่นไปทันที อยากจะไปจับคนที่ทำน้องเรา มาตีเข่าเสียให้เข็ด!

เมื่อข่าวดิฉันลาออกดังออกไป เพื่อนร่วมรุ่นพยาบาล ก็มารวมกันเกือบหมดจากต่างจังหวัดก็มา (ตั้งแต่เรียนจบพยาบาลมาก็เพิ่งมารวมสังสรรค์กันครั้งนี้เป็นครั้งแรก) ดิฉัน จึงได้ข่าวไม่สู้ดีนัก เพื่อนๆ บอกว่า

"ไอ้อ้อ แกไปห้ามทัพเร็วๆเข้า ไอ้สองคนนั่นมันแย่ง ซี.๗ กันใหญ่เลยมันจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว"

ชีวิต ของฉันที่ผ่านมา อยู่กับการได้ช่วยเหลือแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ

หันกลับมาดูตัวเอง จิตใจยังพัฒนาไปไม่ได้ถึงไหนเลย (มัวแต่ช่วยคนอื่น) จิตวิญญาณยังหนาไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง มากมาย พ่อท่านเคยเทศน์สอนเมื่อปีก่อนว่า คนบางคนมีชีวิตเหมือน "จับกัง" รับจ้างแบกหีบทองคำไปให้คนอื่น ได้ค่าจ้าง ๕ บาท ๑๐ บาท ก็เอาไปซื้อฝิ่นมาถุนอยู่นั่นเอง ชาติแล้วชาติเล่า คนที่รับเอาทองคำไปก็ร่ำรวยกันไปหมดแล้ว ตนเองยังมาหลงเสพฝิ่นอยู่นั่นเอง เปรียบได้กับคนบางคน ช่วยคนได้เก่งสอนคนได้เก่ง จนคนเหล่านั้นเป็นอรหันต์ไปหมดแล้ว ตนเองยังไปไม่ถึงไหน สอนเก่งๆ เทศน์เก่งๆ คนก็มาศรัทธายกย่อมมาก พอได้สรรเสริญมาก ก็พอใจเสพอยู่แค่นั้นเอง ไม่ดูตัวเองว่า ชาตินี้จะมาเอาอะไรแค่ไหน และ ไม่ได้พัฒนาตนขึ้นเลย

ดิฉันคิดว่า เทศน์กัณฑ์นี้ เตือนดิฉันโดยตรงเลยแหละ เมื่อเพื่อนๆ มาบอกให้ไปห้ามทัพเพื่อนที่แย่ง ซี.๗ กัน

ดิฉันดีใจว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป จะพยายามอบรมฝึกตนขัดเกลาตน จะพยายามเลื่อนฐานจากการเป็น "จับกัง" ขึ้นมาเป็น "เจ้า ของทอง" ให้จงได้

๒๙ กันยายน วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด ตื่นขึ้นมาตอนเช้าสิ่งแรกที่คิดคือ วันนี้เราจะทำประโยชน์อะไรให้กับตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญขึ้นบ้าง ดิฉันนึกถึง พ่อ แม่ และ หมอตำแย วันที่ดิฉันเกิด สามท่านนี้คงยุ่งน่าดู หมอตำแยคงตายไปแล้ว ดิฉันคิดพลางทำอาหาร ๑ อย่าง เพื่อนำไปให้พ่อกับแม่ที่บ้าน แต่ปรากฏว่า แม่มาหาที่แฟลตพยาบาล ทำกับข้าวมาให้ ๔ อย่าง และ มาอวยพรวันเกิดด้วย

ท้องฟ้ายามเช้าตรู่วันนี้สวยงามอย่างประหลาด แสงเงินแสงทองที่ฉายมากระทบหอดูเมือง ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างแบบโบราณ สูงถึง ๘๗ เมตรตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่ม ทำให้ดิฉันนึกไปถึงอาณาจักร ของบาบิโลน ในเทพนิยาย

พอค่ำลงดวงจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ ก็ลอยเด่นขึ้นบนท้องฟ้างามกระจ่าง วันนี้เป็นวันโกน ดิฉันนึกขึ้นมาได้ว่า แม่เล่าว่าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนวันนี้เป็น "วันพระ" และ ดิฉันเกิดตอนพระกำลังออกบิณฑบาตพอดี

๓๐ กันยายน ดิฉันยืนดูตนเองในเครื่องแบบสีขาวในกระจกเงา อาจารย์เคยสอนไว้ว่า เวลาติดกระดุม และ เข็มเครื่องหมายให้เอา "งูพันคบเพลิง" ชี้ขึ้นให้เป็นระเบียบ ชุดขาวต้องเรียบ ขาวสะอาดอยู่เสมอ ดิฉันก็ได้ปฏิบัติตามมาโดยตลอด วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้สวมเครื่องแบบสีขาว

เราสวมเครื่องแบบมาสิบปีกว่า ดิฉันไม่เคยมองตัวเองว่าสวยงามเลยจริงๆ แต่วันนี้ทำไมผู้หญิงในกระจกเงาตรงหน้า จึงสวมชุดขาวได้พอเหมาะพอดี และ งามสะอาดตาเหลือเกิน หรือว่าวันนี้กระจกมันหลอกเรา! (สงสัยจะหลอกจริงๆ!)

ที่โรงพยาบาลตึกผู้ป่วยนอก ๗ ชั้น กำลังจะสร้างเสร็จ รอรับตำแหน่งใหม่

แฟลตพยาบาลสีเขียวมรกต ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ส่งกลิ่นหอมโดยเฉพาะซุ้มดอกราตรีที่อยู่หน้าแฟลต มันจะส่งกลิ่นหอมอบอวลขึ้นมาจนถึงชั้นสาม เวลาดิฉันลงเวรมาตอนเที่ยงคืน อาบน้ำเสร็จก็นอนได้กลิ่นดอกราตรีจนหลับไปทุกคืน บอกกับตัวเองว่า "ยังกะอยู่บนวิมานเลยเรา"

คนงานที่ทำความสะอาดแฟลต ก็ชอบเอาดอกจำปีมาให้เสมอ บางวันดิฉันนอนหลับอยู่ในห้อง เขาก็จะวางดอกจำปีไว้ให้ที่หน้าห้องเป็นประจำ

เจ้า "สะเก็ดศักดิ์" (ดิฉันตั้งชื่อให้มันเอง) สุนัขแสนรู้ที่จงรักภักดี มันจะวิ่งรับวิ่งส่งดิฉัน เวลาขึ้นเวรลงเวร ตอนเช้าวันไหนดิฉันไปออกกำลังกาย มันก็จะวิ่งตามไม่ห่าง แต่ก่อนมันเป็นขี้เรื้อนทั้งตัว ไม่รู้ใครเอายาทาให้มัน เดี๋ยวนี้ขี้เรื้อนหายไปหมดแล้ว ขนขึ้นเต็มตัวเรียงเป็นระเบียบ หนานุ่มสีขาวสวยงามมาก แต่ดิฉันก็ยังเรียกมันว่า "สะเก็ดศักดิ์" อยู่ดี ดูมันจะพอใจกับชื่อนี้ด้วย เพราะเรียกชื่อมันทีไร เหมือนมันจะยิ้มๆ อย่างพอใจทุกครั้ง

บ้าน ของดิฉันก็ร่มรื่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ สระใหญ่หน้าบ้านมีดอกบัวบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ ส่งกลิ่นหอมไปทั้งสระ และ ยังมีน้องๆ ทั้งห้าคนที่ดิฉันรักมากกว่าสิ่งใดๆ

บัดนี้ดิฉันได้ตระหนักแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่ง ของ บุคคล ที่เรารัก เราคิดว่าเป็น ของเรานั้นแท้จริง ไม่มีอะไรเป็น ของเราเลย เราเป็นเพียง "ผู้ดูแลชั่วคราว" เท่านั้น อีกไม่ช้าเราก็ต้องจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไป เพียงแต่ช่วงที่สิ่งเหล่านี้อยู่กับเรา เราควรทำหน้าที่ ของ "ผู้ดูแล" ให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

คิดถึงพ่อแม่ แม้ท่านจะไม่เต็มใจนัก ท่านต่อต้านตั้งแต่สมัยดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ผลจากการปฏิบัติธรรม ได้ขัดเกลาดิฉันเรื่อยๆ ทำให้นิสัยดีขึ้น จนพ่อแม่ไม่ต่อต้าน แต่ก็ต้องใช้เวลายาวนานพอสมควร ท่าน จึงจะเข้าใจ

วันที่ดิฉันจะมาอยู่วัด ทั้งครอบครัวจะยกขบวนมาส่ง คนที่ไม่เคยมาวัดเลยก็จะมาดูว่า ดิฉันจะมาอยู่อย่างไร จะลำบากหรือไม่ เตรียม ของยังกับว่าดิฉันจะออกไปรบอย่างนั้นแหละ ดิฉันหัวเราะขำพ่อแม่กับพวกพี่น้อง "ไม่ต้องไปส่งหรอก ฉันจะไปเอง เอากระเป๋าใบเดี๋ยวแหละ"

ดิฉันนั่งทบทวนชีวิต ๓๓ ปีที่ผ่านมา ชีวิตเราก็เหมือนละคนบนเวที บางครั้งก็ได้เล่นบท"นางเอก" (รูปร่างดำๆ น่าเกลียดอย่างดิฉันอาจเป็นนางเอกได้ในเรื่อง "นี่หรือคน!" หรือ "

เงาะป่าภาคพิสดาร!") บางครั้งดิฉันก็เล่นบท "นางร้าย" (บทนี้ถนัดมาตั้งแต่เกิด) ชีวิตขึ้นลง โลดโผน มีครบทุกรสชาติ ดีใจ เสียใจ เมตตา โกรธแค้น ขมขื่น ชื่นใจ...นับแต่บัดนี้ไป ดิฉันพอใจที่จะเล่นบท "ตัวประกอบ"ที่เล็กๆ เงียบๆ มีชีวิตผ่านไปวันต่อวัน อยู่กับการมองตน ขัดเกลากิเลสออกไปเรื่อยๆ และ พอใจที่จะเล่นบทนี้ ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิต

มนุษย์ทุกคนต่างก็มีเป้าหมายชีวิต ของแต่ละคน แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ก้าวเดินบนเส้นทางอุดมการณ์ ที่ตนใฝ่ฝันรอคอย ดิฉันนึกถึงบทกวีที่มีผู้แต่งไว้อย่างกินใจว่า

"มีเส้นทาง มากสาย รอให้ก้าว ทั้งเพริศพราว พร้อมสุข สนุกสนาน ต่อเติม เสริมสร้าง อลังการ ทะเยอทะยาน ให้ถึง ซึ่งหลักชัย เหน็ดเหนื่อย หนักหนา มานานนับ กี่กัลป์ กี่กัปป์ ก็ทนไหว วนแล้ว เวียนเล่า เกินเข้าใจ ที่สุดเหลือ สิ่งใด ให้ชีวี แม้มีทาง มากสาย ให้เลือกมาก ก็จะทน ลำบาก อยู่ที่นี่ ด้วยซาบซึ้ง คุณงาม และ ความดี ขอพลี ใจกาย ถวายธรรม"

เมื่อ "วันนี้ที่รอคอย" ในชีวิต ของดิฉันมาถึง "วันนี้...ที่รอคอย" จึงเป็นบันทึกเรื่องราวเรื่องสุดท้ายในชีวิต ของลูกไกลพ่อ ขอปิดฉากชีวิต ของลูกไกลพ่อ "ภาคบนดิน" ลงแต่เพียงเท่านี้

Happy Ending

ลูกไกลพ่อ (ฉบับสุดท้าย)
๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ : ๒๓.๔๐ น.

หมายเหตุ อาจมี "ภาคสวรรค์" อีกก็ได้ หากไม่ตกสวรรค์เสียก่อน หรือต่อไป อาจมีภาค "พระมาลัย...ท่องนรก" แต่งานนี้ไม่ได้ไปโปรดสัตว์ แต่อาจไปตกนรกเสียเอง! อย่างไรก็ตามต้องขอกราบขอบพระคุณ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ท่านที่คอยชี้แนะ และ ท่านผู้มีอุปการคุณต่อผู้เขียนมาโดยตลอด.

 

(สารอโศก อันดับ ๑๖๖ ตุลาคม ๒๕๓๖ หน้า ๒๐ - ๒๕)