ความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน

ธันวาคม ๒๕๕๐

รุ้ง..จรัสภัสสระฟ้า สดสี
เพชร..วิเศษล้ำมณี ท่วมหล้า
ยอด..คุณยิ่งอื่นมี ทั่วจักร วาลเลย
คุณ..พ่อไทเทอดท้า กว่าแท้เกินเสริญ


บทอาศิรพาทนี้ จากหน้าปก เราคิดอะไร ฉบับที่ ๒๐๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ พ่อท่านฯได้ประพันธ์ถวายพระพร พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๘๐ พรรษา

ธันวาคมถือเป็นเดือนมหาบุญของชาวอโศก โรงบุญมังสวิรัติ ๕ ธันวามหาราชฯ ปีนี้มีเป้า อยู่ที่ ๘๐๐ โรงบุญ เพื่อร่วม เฉลิมฉลอง ๘๐ ปี ที่ทรงครองราชย์ ได้ผลเกินคาด ญาติธรรมกลุ่มต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถลดความโลภ ของตน เปิดโรงบุญ แจกอาหารได้ถึง ๑,๓๐๐ โรงบุญ

งานใหญ่ๆอีกงานหนึ่งที่เป็นมหาบุญ คือ งานปีใหม่ตลาดอาริยะ'๕๑ ปีนี้คาดว่าเป้ากำไรอาริยะ หรือ ขาดทุน ในระบบ ทุนนิยม ประมาณว่า ๔ ล้านขึ้น เพื่อให้ประโยชน์ กับชาวบ้านได้ซื้อสินค้า ทั้งอุปโภค และบริโภค ต่ำกว่าทุน เป็นการพิสูจน์ ทฤษฎีบุญนิยม แม้จะจนแต่ก็สามารถทำงาน สร้างสรรเสียสละ ให้กับสังคมได้

อีกงานบุญหนึ่งที่เป็นส่วนย่อย คือ บุญลอมข้าว ทางหินผาฟ้าน้ำ จัดเป็นครั้งที่ ๑๑ แล้ว ระหว่างวันที่ ๗-๘ ธ.ค. มีทั้ง โรงบุญมังสวิรัติ และร้านขายสินค้าต่ำกว่าทุน เป็นตลาดอาริยะย่อยๆ มีชาวบ้าน และนักเรียนข้างเคียง มาร่วมงาน คึกคัก รองผู้ว่าราชการ จังหวัดชัยภูมิ ให้เกียรติ มาเป็นประธานเปิดงาน โดยมีข้าราชการ ที่ติดตามอีกหลายสิบท่าน

๑๒ ธ.ค. ศีรษะอโศก ก็จัดงานบุญลอมข้าว ครั้งที่ ๑๐ โดยเชิญข่ายแหของตนจากที่ต่างๆ มาร่วมงาน นิมนต์ พ่อท่านฯ แสดงธรรม เปิดงานเป็นสำคัญ ที่เหลือ เป็นกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ ที่ชาวชุมชนและนักเรียน จัดทำกันขึ้น มีนิทรรศการ เกี่ยวกับข้าว

แม้ชาวอโศกจะทำบุญกันมาก หลายคนทำอย่างหมดเนื้อหมดตัว แต่การเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ก็เป็นสัจธรรม ที่ไม่มีใคร หลีกพ้น เดือนธันวาคมนี้ มีญาติธรรมเก่าแก่ เสียชีวิตถึง ๒ ท่าน โยมสำอาง กิตติเวช พี่สาวสิกขมาตุ ผุสดี เป็นอุปัฏฐาก ยุคแรก ของชาวอโศก และเป็นกรรมการ มูลนิธิธรรมสันติ มานาน หลายปี เสียชีวิตเมื่อ ๗ ธ.ค. ๒๕๕๐ ด้วยอายุ ๙๓ ปี

อีกท่านหนึ่ง คือ ทพญ.ฟากฟ้าหนึ่ง อโศกตระกูล ประธานมูลนิธิฅนสร้างชาติ กรรมการชุมชนปฐมอโศก กรรมการ กองทัพธรรม มูลนิธิ คุรุโรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก แพทย์แผนไทยและ ผู้ผลิตยาสมุนไพร ของศูนย์เจาะวิจัยฯ ปฐมอโศก ทันตแพทย์หญิงประจำคลินิกทันตกรรม ปฐมอโศก และตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยความเสียสละ ทุ่มเทอย่างจริงจัง ให้กับงานต่างๆ จึงได้รับยกย่อง ว่าเป็นขุนพล ที่สำคัญยิ่งท่านหนึ่ง ของกองทัพธรรม หมอฟากฟ้าหนึ่ง เสียชีวิต จากอุบัติเหตุรถยนต์ วันที่ ๓๐ ธ.ค. ๒๕๕๐ ในช่วงงานปีใหม่ ด้วยวัย ๕๔ ปี

ก่อนงานปีใหม่หลายปีที่ผ่านมา พ่อท่านฯไปประจำที่บ้านราชฯ ตั้งแต่ต้นๆ เดือนธันวาคม เพื่อตรวจดูงาน และการเตรียมงาน ต่างๆ ส่วนรายการโทรทัศน์ เพื่อมนุษยชาติ ที่พ่อท่านฯรับทั้ง เจาะลึกฝึกธรรม และ วิถีอาริยธรรม สามารถถ่ายทอดสดได้จากบ้านราชฯ จึงไม่ต้องเดินทางไปๆมาๆ ระหว่างสันติอโศกและราชธานีอโศก เหมือนช่วง เข้าพรรษา ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่มีอุปกรณ์ส่ง-รับสัญญาณ

ระหว่างอยู่ประจำที่บ้านราชฯนั้น ก็เดินทางไปชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยอุบลฯ เป็นครั้งคราว เพื่อเทศน์ และประชุมกับชาวชุมชน ม.อุบล รวมถึงนักศึกษา ที่ได้มาเรียนปี ๑ ตามหลักสูตรของ คณะบริหารศาสตร์ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง

นอกจากนี้ พ่อท่านฯได้แสดงธรรมกับเด็กนักเรียนสัมมาสิกขา (๒๓ ธ.ค. ๒๕๕๐) ที่ได้มาเข้า ค่ายเยาวชน อโศกสัมพันธ์ (ยอส.) ก่อนการแจก ขวัญธรรมให้กับนิสิต ม.วช. นักเรียนสัมมาสิกขา หนูๆลูกๆหลานๆ ของชาวอโศก เป็นของขวัญ ก่อนปีใหม่ พ่อท่านฯ ได้ให้ข้อคิดกับเด็กๆ ที่น่าสนใจไว้ด้วย เช่นกัน (๒๘ ธ.ค. ๒๕๕๐)

ส่วนงาน คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา ของสมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา และงาน คืนสู่เหย้า ของศิษย์เก่า พุทธธรรม (๒๘-๒๙ ธ.ค.) ที่เลื่อนมาจัดก่อนงานปีใหม่ หวังจะให้บรรดาศิษย์เก่าฯ ได้มาช่วยเตรียม งานปีใหม่ด้วย ผลปรากฏว่า มากันประมาณ ๘๐ คน มีศิษย์เก่าฯ ที่อยู่ตามพุทธสถาน ต่างๆเป็นหลัก เมื่อเทียบกับ จำนวนศิษย์เก่าฯ ที่จบออกไป ทั้งหมด นับเป็นส่วนน้อยนิด แม้จะรวมศิษย์เก่า พุทธธรรมแล้วก็ตาม เป็นเพราะ ช่วงเวลาวันเวลา ไม่สะดวก สำหรับ ผู้ที่ทำงานแล้ว และผู้ที่กำลัง เรียนอยู่ก็ตาม หากจัดในช่วง วันเวลา อย่างนี้อีก ในปีต่อๆไป ผู้จะมาร่วมได้ ก็ประมาณนี้ บวกลบไม่มากไปกว่านี้ เท่าใดนัก ผลที่จะเกิด ตามมาก็คือ ศิษย์เก่าที่ไม่สามารถมาได้ ๒-๓-๔-๕...มากๆครั้งเข้า ก็จะรู้สึกว่า เคยชินกับการ ไม่ได้มาร่วมงาน เมื่อไม่ได้มีส่วนร่วม งาน คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ ก็จะกลายเป็นเพียงชื่อ ผู้มาร่วมงาน ก็จะเหลือแต่ศิษย์เก่า ที่อยู่ตามพุทธสถานต่างๆ


บุญในอีกบริบทหนึ่ง

ต้นเดือน ๑ ธ.ค.๒๕๕๐ นางสาววันรัก อุ่นจันทึก นักศึกษาปริญญาโท มหาจุฬาลงกรณ-ราชวิทยาลัย ได้มาขอ สนทนา สัมภาษณ์พ่อท่านฯ เพื่อประกอบการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง An analytical study of the concept of Pukka in Theravad BuddhismŽ

นิสิต มจร. : ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องบุญที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

พ่อท่านฯ : อาตมาก็เข้าใจคำว่า บุญ เป็นสองนัยหลักๆ นัยที่หนึ่งก็หมายถึงคุณงาม ความดี เป็นความดี ในระดับไหน ก็ตาม ถ้าจะว่าแล้ว ก็เป็นแบบโลกียะแหละ ส่วนมาก เพราะงั้น คุณงามความดีอะไรต่างๆ ถ้าผู้ใด ที่ได้กระทำกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ดี ก็คือบุญทั้งนั้น ถ้าทำตรงข้ามก็บาป คำว่าบุญกับบาปนี้ ในความเข้าใจ ของอาตมานั้น ไม่ได้แคบอยู่แค่ว่า ทำทาน เสียสละไม่ใช่แค่นั้น บาปก็คือ ไม่ได้ทำทาน บาปคือทำชั่ว ซึ่งไม่ได้ตรงกันข้ามกับบุญเลย มันคนละเรื่องเลย อะไรอย่างงี้ บาปคือทำชั่ว อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับทานอะไร อย่างงี้เป็นต้น ซึ่งมันไม่ใช่นั้นหนึ่ง

สอง แท้ๆ ชัดๆ ที่เป็นโลกุตระเลย บุญก็คือการชำระกิเลสจากจิตวิญญาณ นี่เป็น หลักแท้ เป็นตัวสำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าผู้ใดทำบุญ ถึงขั้นโลกุตระ ขั้นที่ได้ทำลายกิเลส ได้ ชำระกิเลส ของตนเองออก หรือว่ายิ่งไปทำให้คนอื่น ได้ชำระกิเลสด้วย ก็ยิ่งเป็นบุญชั้นสูง... ผู้ทำได้ ปฏิบัติเมื่อใดก็ตาม ที่ได้ชำระกิเลสตนเอง เมื่อนั้น จะเป็นบุญ ทั้งสองอย่างเลย ทั้งเป็นคุณงามความดี ที่แท้จริง และทั้งเป็นโลกุตรธรรม หรือเป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของการ ได้ลดกิเลส

นิสิต มจร. : ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอรรถกถา เรื่องวิมานวัตถุ เปรตวัตถุ และไตรภูมิพระร่วง

พ่อท่านฯ : ก็เข้าใจนะว่า วิมานวัตถุ ...เปรตวัตถุ อะไรพวกนี้ ได้ยินมาในพระไตรปิฎกนั่นน่ะ อาตมาเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่ผู้รู้ ท่านเจตนา ที่จะสื่อให้เป็น บุคคลาธิษฐาน สื่อให้เป็นรูปธรรม ตัวตนที่ เข้าใจได้ง่ายๆ เข้าใจได้ชัดๆ ถึงกรรมกิริยา ต่างๆ ของบุคคล สัตวโลกที่ทำดี ทำชั่วทั้งหลายแหล่ ทำดีก็ เป็นเทวดา เป็นเรื่องราว เหมือนกับเป็นตัวตน ทั้งๆที่ เรื่องจริงแล้ว จะเป็นเปรต หรือเป็นเทวดาก็ตาม มันเป็นเรื่องของ จิตวิญญาณ จิตวิญญาณตัวนั้น เป็นเปรต จิตวิญญาณ เท่านั้น เป็นเทวดา ร่างกายเป็นเทวดา เป็นเปรตไม่ได้ วิญญาณไม่ใช่รูปธรรม ไม่มีรูปร่าง อสรีระ... เพราะฉะนั้น เปรตก็เป็นอสรีระ เทวดาก็เป็นอสรีระ ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่มีโฉม ไม่มีกาย มองไม่เห็นได้ด้วยตา เป็นตัวตน เป็นรูปร่างก็ ไม่ได้ เพราะวิญญาณัง อนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง...พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ชัดว่า เห็นไม่ได้ อนิทัสสนัง วิญญาณเห็นไม่ได้...อนันตัง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด สัพพโต ปภัง มันกระจายอยู่ทั่วไป มันเหมือนแสง ที่สว่างกระจายไป สัพพโต ปภัง มันกระจายไป เหมือนแสงยังงี้ จะเห็นตัวตนยังไง มองเห็นแสง เป็นรูปร่าง... แต่คน มันไม่เข้าใจความจริง ไม่รู้ว่า จิตวิญญาณคืออะไร...จิตวิญญาณ พอออกจากร่างแล้ว มองเห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นอะไร ต่ออะไรนั้น มันเป็นเรื่องที่ ไม่เป็นความจริงเลย มันไม่มีรูปร่างให้เห็น เห็นไม่ได้ ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่มีโฉมกาย เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่า ผู้ที่ท่านอธิบาย หรือท่านกล่าว ท่านเขียน จะเป็นว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริง หรือว่า อาจารย์รุ่นหลั งมาเขียนเติมอะไร ก็ตามใจเถอะ อาตมาไม่มีปัญหาอะไร ในประเด็นนั้น ท่านจะมุ่งหมาย เพื่อที่จะสร้าง ความชัดเจน ในการสื่อ ในการอธิบาย สมมติ เป็นสมมติธรรมขึ้นมา ให้คนเข้าใจง่ายขึ้น ก็ว่าไป

นิสิต มจร. : มีพัฒนาการเกี่ยวกับเรื่องแนวคิดในเรื่องบุญรึเปล่าคะ แล้วก็อะไรเป็นปัจจัยของพัฒนาการ เรื่องบุญเนี่ยค่ะ

พ่อท่านฯ : อ๋อ เรื่องบุญมันพัฒนาการเสมอ เพราะว่าคนจะต้องทำบุญไม่ทำบาปให้ได้ เหมือนสุดยอด โอวาทปาติโมกข์ พระพุทธเจ้า ก็ตรัสแล้วว่า สัพพปาปัสสะ อกรณัง ไม่ทำบาป ทั้งปวงให้ได้ เพราะต้อง รู้บุญรู้บาป ที่ชัดเจน หรือแม้แต่ ในพระอภิธรรม ก็สอนไว้เลย กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา ต้องรู้กุศล และอกุศล ไอ้ที่เป็นบาป อกุศลก็บาป กุศลก็บุญ ให้ชัดเจนว่า มันเป็น กรรมกิริยาอย่างไร ทั้งหมด แล้วต้องให้คนรู้จักบาป รู้จักกระทำทางกาย วาจา ใจ หยุดตัวเหตุ ที่ต้องไปทำบาปอย่างนั้นอยู่ จนเป็น.... สัพพปาปัสสะ อกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง กุสลัสสูปสัมปทา ทำแต่สิ่งที่ดี ที่เป็นกุศล ที่เป็นบุญ ที่เป็นคุณค่าความดี ทีนี้คนเรา ผู้ที่จะทำแต่บุญ ไม่ทำบาปได้แน่นอน ก็ต้องเป็นคน หมดกิเลส ทำ สจิตตปริโยทปนัง ทำจิตใจให้ปราศจากกิเลส จิตใจผ่องใส หมดดับสิ้น ถ้าไม่หมด กิเลส มันยังไม่แน่นอน แม้ทำบุญ ก็ยังทำบาปได้อยู่ วนไปวนมา ไม่เที่ยง ผู้ที่แน่นอนเที่ยงแท้ ไม่ทำบาปอีกเลย ก็คือ พระอรหันต์ขึ้นไป จึงไม่ทำบาป ทั้งปวง ทำแต่ดี ทำแต่ดีเพราะจิตท่าน บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ที่จะเกิดทำร้าย ทำบาป ทำชั่ว ทำอะไรแล้ว

นิสิต มจร. : ท่านคิดว่า แนวคิดเรื่องบุญมันมีอิทธิพลต่อคัมภีร์พระเวท แล้วก็ความเชื่อดั้งเดิม เช่น ความเชื่อเรื่องผี หรืออะไรอย่างเงี้ย มีอิทธิพล ต่อเรื่องบุญ ในประเทศไทยมั้ยคะ?

พ่อท่านฯ : โอ้ย แรงมาก มีอิทธิพล ที่ว่าแรงมากก็หมายความว่า เป็นความเข้าใจในเรื่อง ผี อะไรเนี่ย มันเป็นความเชื่อ แต่ดึกดำบรรพ์ มาแต่นาน สืบทอดมา ตั้งแต่ศาสนา ยังไม่เป็นศาสนา เป็นเรื่องการนับถือศาสนาผี อะไรอย่างงี้ นับถือ วิญญาณผี เทวนิยม... มันฝังรากมาแต่เดิม เพราะฉะนั้น ก็สืบทอดมา อย่างหนา อย่างแน่น แม้ที่สุด ศาสนาพุทธ ที่เข้าใจ ชัดแล้วเรื่องผี เรื่องเทวดา อะไรต่ออะไร แท้จริงแล้วก็ตาม ศาสนาพุทธเข้ามา ในถิ่นในย่านนี้... ก่อนประเทศไทย จะเกิดด้วย ศาสนาพุทธ เข้ามาก่อน เข้ามาแล้ว ไอ้ความเชื่อถือเดิม มันก็ยังเป็นอยู่ ยังมีอยู่ มันฝังรากลึก ยังไม่สะอาด หมดจด จากเทวนิยม ได้ง่ายๆหรอก ยังไม่เข้าใจ อย่างสมบูรณ์แบบได้ เพราะงั้น มันก็ยังปนเป ยังผสมผสาน มันก็ยัง เหลือเชื้อติดอยู่ โดยเฉพาะคำว่าผี คำว่าวิญญาณ ชนิดที่เป็นผี เป็นตัวเป็นตน เป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ อะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา ที่ต้องคอยเชื่อผี เชื่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ เชื่อ....เรียกว่า จะต้องกลัวผี กลัวไปในทางที่มัน กลัวลนๆ ลานๆ กลัว...

ถ้ากลัวผี ผีนี่คือจิตวิญญาณชั้นต่ำ จิตวิญญาณที่ไม่ดี ถ้ากลัว ก็ต้องอย่าให้มัน อยู่ในตัวเรา ผีคือจิตวิญญาณ ที่อยู่ในตัวเรา พูดตรงๆ จิตวิญญาณที่.. เป็นกิเลสนั่นแหละ คือ ผีจริงๆ กิเลสนั่นแหละ มันพาเราต่ำ มันพาเราไม่ดี ผู้ที่มีสำนึก มีความรู้ ชัดเจนแล้ว ก็จะสำนึก แล้วก็จะต้องพยายาม เอาผี ออกจากตัวเอง หรือว่า ฆ่าผีออก เพราะผีพาตกต่ำ รู้จักผีว่ากิเลส คือผีอยู่ในตัวเรา ก็จะต้อง เอาผีนี้ออก หรือว่าฆ่าผีนี้ให้ตาย จับผีออกจากตัวเราให้ได้ ผู้ที่รู้ความจริงอันนี้ จึงเรียกว่า เป็นเทวดา มีหิริ มี โอตตัปปะ กลัวในบาป กลัวในบาปก็คือ กลัวเหตุปัจจัย ที่พาไปทำชั่ว เหตุปัจจัยที่พาไปทำ ในสิ่งที่มันไม่ดี หรือตัวกิเลสแท้ๆ นั้นแหละผีแท้ มันก็ต้องเกรงกลัว ถ้าเรามี เราจะรู้สึกหิริ โอตตัปปะ กลัว เกรง ผู้ที่เข้าใจจริงแล้ว จะสำนึกเลยว่า โอ้ เรามีสิ่งไม่ดี เหมือนกับสาวงาม ที่หน้าเปื้อน อะไรเปรอะหน้า โอ้โฮ กลัว อาย ต้องรีบเช็ด ต้องรีบปัดออก พระพุทธเจ้า ท่านสอน ให้รู้ว่า ไอ้ความชั่ว หรือเหตุแห่งชั่ว มันอยู่ในตัวเรา ต้องรีบรู้จัก แล้วก็รีบจัดการ ให้เอาออกให้เร็ว เหมือนกับผ้าชุบน้ำมันเผาไฟ ไหม้อยู่บนหัว ต้องรีบเอาออก มันเป็นภัย มันจะเอาเราตาย มันพาเราเลว ถ้าเหตุชั่ว หรือไอ้ผี หรือว่าไอ้สิ่งไม่ดี มันอยู่ในตัวเรา หนึ่งนาที มันก็พาเราชั่ว หนึ่งนาที มันอยู่หนึ่งชั่วโมง ก็พาเราชั่วหนึ่งชั่วโมง มันอยู่นานเท่าไหร่ ก็พาเราชั่วเท่านั้น ต้องรีบเอาออก มันเป็นความจำเป็น ต้องรีบจัดการ... แต่ถ้าเรามี สิ่งที่ดี พาเราทำบุญ ทำกุศลบ้าง ดีเป็นจิตวิญญาณเทวดา ไม่ต้องไป กังวลมาก ไม่ต้องเรียนรู้ก็ได้ ไม่ต้อง ไปกลัวก็ได้ว่า มันจะอยู่ กับเรา มันก็พาเราทำดี อยู่นั่นแหละ เพราะมันไม่เกิดโทษ เกิดภัย ทั้งตนทั้งผู้อื่น แต่ไอ้ผี ที่อยู่กับตัวเรา เนี่ย ไอ้เหตุที่ไม่ดี ที่อยู่กับตัวเราเนี่ย มันต้องรีบรู้ รีบจัดการ คนอื่นมีก็รีบๆ บอกกัน อย่าไปช้า ต้องรีบตำหนิ หรือรีบบอกเหตุปัจจัย นี่คือ กัลยาณมิตร ในศาสนาพุทธแท้ๆ หรือ ต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ ให้ได้ อันนี้คือ หัวใจศาสนาพุทธ

เพราะฉะนั้น เรื่องผีแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าคือ นัยะที่อาตมาอธิบายนี้ แต่คนยังไม่เข้าใจ ที่ถามว่า ในประเทศไทย เป็นยังไง ประเทศไทยเข้าใจผิด ผีที่มีตัว มีตน มีรูปร่าง หลอกกันมานานนั้น เป็นเรื่องเทวนิยม เป็นเรื่องของ ความดึกดำบรรพ์ ที่ยังไม่มีภูมิปัญญา ไม่มีพุทธปัญญา ไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น คนจึงกลัวผีหลอก ข้างนอกตัว แต่ไม่กลัว ผีข้างในตัว แต่ถ้าผู้ที่รู้ความจริง อย่างลึกซึ้ง... อย่างที่อาตมาพูดแล้ว เอ๊..มันเหตุไม่ดี ผีมันอยู่ในตัวเรา เรารีบต้องสำนึก ละอายต่อบาป ว่าเรามีผี ก็เป็น หิริแล้ว ตัวเรามีผี ก็ต้องรีบจัดการ พัฒนาปฏิบัติตามวิธีของพุทธ กำจัดผี ในตัวเราให้ได้ ผีในตัวเรา ตาย จิตวิญญาณเราก็เกิดเป็นเทวดา ที่แท้จริงของพุทธ แต่ทีนี้ ไม่เข้าใจสัจธรรมพวกนี้ จึงเลอะๆเทอะๆ ผีก็เลยเป็นเรื่องอะไร ก็ไม่รู้ ดีไม่ดี ก็ไปคบกับผี ไปเที่ยวอ้อนวอน บนบานผี อะไรต่ออะไร หลอกกัน เละเทะ เข้าทรงผี เลี้ยงผี... สารพัดจะทำ เป็นเรื่องนอกศาสนาพุทธทั้งนั้น ประเทศไทย เป็นเมืองพุทธแท้ๆ เพราะสอนศาสนา กันผิดๆเพี้ยนๆ จึงเสื่อม ในยุคที่ รุ่งเรือง เป็นสัจธรรม มีครูบาอาจารย์ดีๆ สอนดีๆ ศาสนาก็ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็พากันรู้จักผี ซึ่งเป็นเรื่องของ จิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องผีหลอกๆŽ แต่เดี๋ยวนี้ ครูบาอาจารย์ พากันเพี้ยน ไปหมดแล้ว ก็เลยสื่อสอน ไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้น ประชาชนคนไทย แม้จะเป็นพุทธ มันน่าจะสุขสบาย สันติ สงบ ไม่มีความเละเทะ เชื่อผีŽอย่างถูกต้อง ไม่มีการหลอกกัน การทุจริต ขี้โกง บ้านเมือง ก็จะไม่เป็นอย่างนี้ ผู้มีความรู้ในสัจธรรม เข้าไปบริหารประเทศ ก็จะไม่เป็น อย่างนี้ แต่เพราะไม่เชื่อกรรมŽ ไม่รู้จักผีจริงŽ จึงไม่กลัวผีจริง การโกงการทุจริต จึงมากมาย บ้านเมือง จึงเดือดร้อน อย่างที่เป็นๆกันอยู่...

นิสิต มจร. : ท่านมีความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องการตีความเรื่องบุญของ....

พ่อท่านฯ : อาตมาเป็นคนอ่านหนังสือน้อย ไม่ใส่ใจในการศึกษาด้วย จึงเป็นคนไม่ค่อยจะรู้อะไรกับเขา ...จะเข้าใจ แต่เพียงรวมๆ จากที่มีการแสดงออก ของสังคม ที่อาตมาพอรู้ได้ เป็นเรื่องของประชาชน ที่เขาแสดงออก เขาเข้าใจ เขาก็พูดกันออกมา แสดงออกมา ส่วนรายละเอียด ของผู้รู้ ของ นักปราชญ์ ของอะไร ที่แสดงออก เรื่องของการตีความ เรื่องบุญนั่นหนะ อาตมาก็พอรู้เลาๆ เท่านั้นเอง... เท่าที่อาตมา ได้พบปะบ้าง ได้ศึกษาบ้าง ผู้รู้ที่เขานับถือกัน... อาตมา ก็พยายาม ติดตามฟัง...ก็ยังเห็นว่า ยัง ไม่ค่อยแม่น ก็ไม่ได้หมายความว่า ไปยกตนข่มท่านนะ ก็เห็นว่า ยังไม่แม่น ในเรื่องของบุญ ลักษณะบุญ ความหมายของบุญที่แท้ ก็อย่างที่ว่า บุญก็คือทาน ทานก็คือ เสียสละ แต่ก็เสียสละ แต่ภายนอก ภายในใจกลับสอนกัน ให้ยิ่งโลภกว่าเก่า อยากได้กลับคืนมา มากกว่าเก่า ซึ่งไม่เกิดผล ในการทานเลย ก็ยังดีว่า ที่มีผู้รู้ ที่บอกว่า บุญคือเครื่องชำระกิเลส... แต่ก็รู้สึกว่า ไม่เอาจริงเอาจัง ในเรื่องการสร้างบุญ ที่แท้จริง ก็มีแต่บุญคือทาน เพราะอะไร เพราะว่าผู้รู้ หรือผู้เป็น ครูบาอาจารย์ ผู้ที่บริหารงาน อะไรต่างๆนานานี่ ยังเป็นโลกีย์ ก็จะเน้นแต่ทาน ว่าเป็นบุญ ถ้าเราสอนเรื่องทาน คนก็จะมาทำทานกับเรา แล้วเราก็จะได้ ทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง ข้าวของ เพราะงั้น จึงสอนบุญกันแต่แค่ทาน เป็นส่วนใหญ่ จะเห็นได้แต่ละวัดๆ มีแต่เรื่องของทาน บุญก็คือทาน...ยิ่งทุกวันนี้ บางวัด บางสำนักนี่ โอ้โฮ มีแต่บุญใหญ่... มีแต่ทานๆๆ แล้ว ตัวเองก็ได้ ทรัพย์ศฤงคาร... ได้ทำอะไรสมใจตนเอง มาเสพสม... ใช้เงินเป็นหลัก... เพราะไม่เข้าใจบุญที่แท้ เพราะงั้น ในผู้รู้ทั้งหลาย ที่ท่านเข้าใจอย่างไร ก็สอนอย่างนั้น จะมีบ้าง ดังที่กล่าวแล้วว่า บางท่านหมายความว่า เป็นเครื่องชำระ ซึ่งเป็นความจริงสำคัญ ของความเป็นบุญ ที่อาตมาพูด ตั้งแต่ต้น...ก็มีอยู่บ้าง แต่น้อย และก็ต้อง ทำให้มันเป็นผล เพราะจริงๆแท้ๆ บุญก็คือ เครื่องชำระกิเลส

นิสิต มจร. : ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะเกี่ยวกับการทำบุญในสังคมไทย

พ่อท่านฯ : ก็เมื่อเข้าใจอย่างไรก็เห็นอยู่ในคนไทย เขาเข้าใจอย่างไรเขาก็ทำกันอยู่อย่างนั้นเต็มไปหมด ในประเทศไทย เห็นอย่างไร ก็เห็นอย่างที่เขาทำ มันไม่ค่อยตรง มันไม่ค่อยได้ประโยชน์ที่แท้ แม้ไปเป็นการสงเคราะห์กัน เป็นการ ช่วยเหลือกัน เป็นบุญ เป็นการสงเคราะห์กัน การทาน การเสียสละ ไปช่วยกัน ...มันก็เป็นความจำเป็น ของสังคม มันก็มีประโยชน์มีผล แต่มันไม่บริสุทธิ์ ตรงที่ว่า จริงๆแล้ว การทำทาน มันจะเกิดบุญจริงๆเนี่ย อันนี้ซ้อนนะ ฟังดีๆ การทำทานเนี่ย มันจะเกิดบุญจริงๆ ก็คือ คุณให้เขา แล้วก็มีค่าของทาน ให้เงินเป็นต้น ให้เงินทำบุญร้อยนึง เขาว่างั้นนะ ทำทานร้อยนึงเป็นบุญ แต่เปล่า ทำทานเขาตั้งจิตขอนะ ขอให้ได้ผลอานิสงส์ กลับคืนทดแทนมา ให้แก่เขา มากกว่า ที่เขาทาน ทานร้อย ขอคืนมาเป็นแสน เป็นล้าน การทานที่ตั้งใจอย่างนี้ ซึ่งเป็นมโนกรรมแท้ๆ ตั้งจิตอย่างนั้นจริงๆ เลยนะ ตั้งใจเลยว่า ทำอย่างนี้แล้ว จะได้อานิสงส์ เขาจะได้สิ่งที่ตอบแทน ขึ้นมาสูงกว่านั้น ตั้งใจอยากได้ด้วย ขอด้วย ทำทาน ครั้งนี้ ขอให้ร่ำรวย ขอให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้อะไร ก็แล้วแต่จะอธิษฐาน นั่นคือ ทำจิตที่เกิดกรรม เป็นมโนกรรม ตั้งจิตแล้ว เป็นกรรมจริงแล้ว การทำทานนั้น เป็นการล้างกิเลสโลภ แต่นี่ทำทานร้อยนึง พันนึง จะเอาสิบล้าน จะเอา ร้อยล้าน เป็นความโลภมั้ย ไม่ได้เป็นการทำทานเลย ไม่ได้เป็นการทำบุญเลย ไม่ได้ชำระกิเลสเลย เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น การทำทานอันนี้ ไม่มีคำว่าบุญ ไม่มีการทาน ที่ชำระกิเลส มันเสริมกิเลสเข้าไป หนักกว่าเก่า เป็นกรรมกิริยา ที่เกิด ในจิตแท้ๆ เป็นมโนกรรม ที่ตั้งจิตจริง ตั้งจิตขอกัน จริงๆ แล้วครูบาอาจารย์ ก็สอนให้ตั้งจิต อธิษฐาน ซึ่งก็คือ ขอŽอย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ได้เข้าใจประเด็น สัจธรรมอันนี้เลย แล้วมันจะได้ผลอะไร ในการปฏิบัติบุญ หรือแม้ปฏิบัติทาน ...มันมีผลบ้าง ทางสังคมศาสตร์ ทำทานเป็นพฤติกรรมที่ดี ผู้มีมาก ก็เฉลี่ยแก่ ผู้มีน้อย เป็นเศรษฐศาสตร์ ส่วนนั้นอย่างหนึ่ง มันก็ดี ดีในทางสังคมศาสตร์ ในทางเศรษฐศาสตร์ เท่านั้นเอง แต่ในสัจจศาสตร์ หรือ ญาณวิทยา มันไม่ได้มีผล ทางด้านศาสนาแนวลึก ไม่มีผลทางปรมัตถธรรม ของศาสนาอะไร

นิสิต มจร. : เพราะว่าจริงๆ ในพระไตรปิฎกที่หนูทำวิทยานิพนธ์มา เรื่องของบุญจะเป็น Section ที่ใหญ่มาก ใหญ่มากๆ ยิ่งกว่า section ของการรักษาศีล และ การเจริญสมาธิ....

พ่อท่านฯ : เรื่องสมาธินี่ต้องพูดกันอีกนาน เพราะสมาธิ อาตมาบอกได้เลยว่าทุกวันนี้ สมาธิที่เป็นกันอยู่ ศึกษากันอยู่ เข้าใจกันอยู่ อย่าว่าแต่ ในประเทศไทย อาตมาว่า ทั่วโลกมั้ง ไม่มีสมาธิ ของพระพุทธเจ้า เพราะสมาธิของพระพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติมรรค ๗ องค์ ปฏิบัติมรรคทั้ง ๗ องค์ซึ่ง เป็นองค์ประกอบ ในการปฏิบัติ แล้วจึงเกิด สัมมาสมาธิ อยู่ใน มหาจัตตารีสกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑ นั่นหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่อง ปฏิบัติสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิ ที่ไม่ได้เกิดจาก การนั่งหลับตา สมาธิที่นั่งหลับตา มันมีมาก่อนของพระพุทธเจ้าอุบัติ เกิดก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไปเรียนกับ อาฬารดาบส -อุทกดาบส ซึ่งเป็นฌาน เป็นสมาธิ เป็นอะไรไปถึง รูปฌาน อรูปฌานนั่นไง ท่านก็บอกว่า มันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง ท่านก็ไม่เอา...

จากพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของ พระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ ๒. สัมมาสังกัปปะ ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมา กัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ ๗. สัมมาสติ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ.... เห็นไหม เหตุหรือองค์ประกอบ มาจาก มรรค ๗ องค์ ไม่ได้หมายความว่า เหตุ หรือ องค์ประกอบ ในการได้มา ซึ่งสมาธิ คือ การไปนั่ง เพ่งกสิณ หรือ ไปนั่งหลับตาทำเอา เหตุหรือองค์ประกอบ ที่จะทำให้เกิด สัมมาสมาธิ นั่นคือ องค์ทั้ง ๗ ในมรรค ๘ พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจน แต่เขาไปแยกว่า ปฏิบัติ องค์ทั้ง ๗ นั้นก็ปฏิบัติไป ไม่เกี่ยวกับสมาธิ ส่วนสมาธิ ก็ไปนั่งหลับตาเอา เขาแยกองค์ที่ ๘ ไปต่างหาก เป็นสมาธิที่ไปนั่งเพ่งกสิณ หรือนั่งหลับตา ทำเอา เขาแยกอย่างนั้น กันจริงๆ ใช่ไหม

นี่คือความผิดพลาด ในศาสนาพุทธ อย่างไม่มีหวัง ไม่มีทางได้ สัมมาสมาธิ ไม่มีผลแบบพุทธ เพราะมันออกนอกทาง ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ แล้วน่ะ เพราะพระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกว่า มรรคองค์ ๘ สมาธิ หรือสัมมาสมาธินี่คือ ไปนั่งหลับตาเอา ก็ท่านบอก มันเกิดจากองค์ทั้ง ๗ นี่ที่เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบ เป็นเหตุให้เกิด สัมมาสมาธิ... แล้วสมาธิ อย่างที่ นั่งหลับตา มันก็มีสภาวะดีเหมือนกัน ถ้าเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็มีประโยชน์ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ตีทิ้ง ใช้ได้ ทำเจโตสมถะ ทำสมาธิ นั่งหลับตา สะกดจิตแบบนั้น ก็เป็นอุปการะหลายอย่าง แต่ต้องรู้ว่า มันไม่ใช่ทางเอก ที่จะพา ไปนิพพาน มันไม่ใช่มรรคองค์ ๘ นี่ มันเกิดจากการปฏิบัติ กันคนละแบบ ไม่ใช่ทางตรง ทางเดียว ที่พระพุทธเจ้า ทรงยืนยันไว้ มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าให้ใช้เป็นอุปการะ เอามาใช้ประกอบได้ ต้องเข้าใจว่า จะเอามาใช้ประกอบอย่างไร แล้วก็เข้าใจ สภาพของสมาธิ อย่างนั้น มันจะเกิดจิตแบบไหน สมาธิพระพุทธเจ้า จะเกิดจิตแบบไหน สัมมาสมาธิ ของพระพุทธเจ้า กับสมาธิที่เป็นผลของจิต ที่มันได้มันต่างกันอย่างไร มันต้องชัดเจน มันต้องละเอียด เพราะฉะนั้น จะทำให้ถูก มันต้องศึกษา เพราะเรื่องจิต ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

นิสิต มจร. : ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการอุทิศส่วนกุศล

พ่อท่านฯ : ไอ้เรื่องอุทิศส่วนกุศล ก็คืออุทิศบุญไปให้ผู้ตาย ผู้เป็นๆยังอุทิศให้กันไม่ได้ พิสูจน์กันเดี๋ยวนี้เลย อาตมา มีบุญเท่าไหร่ มีกุศลเท่าไหร่ เป็นของอาตมา อาตมาก็จะแบ่งให้คุณ ว่างั้นนะ คุณเอาไปได้มั้ย คุณจะเอาไปยังไง บุญของอาตมาที่เป็น กัมมัสสกะŽ เป็นบุญของอาตมา เป็นของ อาตมา อาตมาทำแล้ว พระพุทธเจ้า ตรัสแล้ว กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมใครทำชั่วทำดี ต้องเป็นของตน สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก ใครทำ สุกตทุกกฏาโน ใครทำดี ทำชั่ว เป็นผลวิบากเป็นของผู้นั้นๆ เราเป็นทายาท รับกรรมของเราเอง กรรมเป็นนามธรรม เหมือนความรู้สึก เป็นนามธรรม แบ่งกันไม่ได้ แบ่งไม่ได้ เหมือนเงิน เหมือนทอง เหมือนที่ดิน ที่นาที่ไร่... มันแบ่งไม่ได้ มันเป็นของเรา เป็นมรดกของเรา ไม่รับก็ไม่ได้อีก เราทำแล้วเรา บอกเราไม่เอา ทำชั่วไปร้อยนึง แล้วบอกไม่เอา หรือว่า ทำชั่วไป ๘๐ แบ่งให้คุณ ๒๐ มันก็ไม่ได้ ค้านแย้ง คำสอนของพระพุทธเจ้าหมด

เพราะงั้น ในการแบ่งกุศลหรือแบ่งบุญแบ่งบาป ที่ทำกันอยู่นี่ เป็นเรื่องนอกรีต อาตมาเชื่อมั่นในความจริงนี้ และเห็นสัจจะ เป็นอย่างนี้จริงๆ ตั้งแต่ต้น บวชทำงานศาสนา มาจนเดี๋ยวนี้ ยังพูดอยู่ เขาก็หาว่า ไปทำลายจารีต ประเพณี ไปทำลายธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้าให้วิปริต เขาก็พูดก็ว่า อาตมามั่นใจว่า พวกคุณต่างหาก ที่ทำลาย แต่อาตมา ไม่ได้ไปว่าเขาแรงๆ ขนาดนั้นหรอก แต่เขาเป็นคนที่ทำผิด ทำอย่างนั้นต่างหาก ที่นอกรีต นอกรอย กรรมไม่ว่ากุศล หรืออกุศล มันแบ่งได้ที่ไหน เพราะงั้น พิสูจน์เห็นๆ ตั้งแต่เรายัง ไม่ตายจากกันไปหรอก นี่อาตมาเต็มใจ แบ่งบุญให้คุณ คุณแบ่งเอาไปสิ แบ่งเอาไปได้ไหม พิสูจน์เห็นๆกันหลัดๆ อย่างนี้เลย ไม่ต้องไปเดากัน เมื่อตายแล้ว ไปอยู่บ้าน เลขที่เท่าไหร่ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ยังไม่รู้เลย จะแบ่ง แล้วส่งไปให้ด้วยนะ เอ้า ยถา วารีวหา... สวดส่งไปด้วย แล้วไปยังไง ไปให้ตรงไหน แล้วคุณรู้เหรอ คุณเป็น บุรุษไปรษณีย์เหรอ รู้ที่อยู่แล้วเหรอ จึงจะไปส่งได้ถูกตัว ผู้ที่เราจะให้

บุญบาปมันเป็นนามธรรม อาการนาม เช่น คุณตีหัวเขา เป็นกรรมที่คุณทำ เขาไม่ได้ตีด้วยกับคุณเลย คุณก็จะแบ่งกรรมตี ให้เขาส่วนหนึ่ง มันยังไง แบ่งยังไง ก็เขาไม่ได้ทำด้วยน่ะ มัน ไม่เป็นเรื่องของสัจจศาสตร์ มันเป็นเรื่องของธรรมะ ขั้นปรมัตถ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ละเอียดลออ ของ พระพุทธเจ้า เพราะงั้น กุศล อกุศล มันเป็นเรื่อง ที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่ คัมภีรา... มันเป็นเรื่องสัจจะ ที่ไม่ใช่ตรรกศาสตร์ หรือสมมุติสัจจะเท่านั้น บัณฑิต เวทนียา บัณฑิตที่บรรลุจริง จึงจะรู้ความจริง พวกนี้

นิสิต มจร. : แล้วทำไมแนวคิดเรื่องการอุทิศส่วนกุศลถึงเกิดขึ้นมาในพุทธศาสนา

พ่อท่านฯ : มันมีในศาสนาเก่าๆ ในศาสนาอื่นๆ เพราะเข้าใจเพียงเทวนิยมว่า จิตวิญญาณเนี่ย เป็นตัวตน จิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่คบหาได้ เป็นอำนาจ เป็นฤทธิ์จริง เกี่ยวเนื่องกัน แต่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า จิตวิญญาณ หรือ มโนเนี่ย มันไม่มีรูปร่าง อสรีรัง เอกจรัง มันไม่มีรูปร่าง มันก็อยู่ของมันคนเดียว ท่องเที่ยวไปเดียวๆเ ดี่ยวๆ มันไม่เกี่ยวกับใคร มันตายแล้ว มันก็ไม่เกี่ยวกับใคร แม้จิตวิญญาณที่ตายแล้ว ไม่อยู่ในร่างกาย มันยังเป็นอัตภาพอยู่ ยังไม่ปรินิพพาน มันก็ต้องอยู่กับ วิบากของมัน มันจะลงนรก มันจะทุกข์ มันจะสุข ขึ้นสวรรค์ ก็ของมันคนเดียว เอกจรัง มันไม่เกี่ยว กับใครหรอก มันไม่มีรูปร่างด้วย อาตมาเพิ่งจะได้ คำอธิบาย ที่เป็นตัวอย่าง ข้างเคียง ที่พอจะให้เห็นว่า จิตของคน หรือ วิญญาณของคนเนี่ย มันเป็นยังไง ในขณะคุณตกภวังค์เนี่ย คุณก็คิด คุณไม่อยู่กับกาย คุณไม่รู้สึกตัวแล้ว บางที ตกภวังค์แล้ว ภายนอก มันไม่รับรู้ อะไรเลย หูไม่ได้ยิน บางทีคนจับเขย่า ก็ยังไม่ค่อยรู้ตัว รู้ตน หรือ คนนอนหลับก็คือ ทิ้งร่างข้างนอกชั่วคราว ทิ้งทวารข้างนอก ไม่เกี่ยวข้อง หรือ คนสลบ ไม่รู้แล้วภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เกี่ยวข้องกันเลย คุณก็อยู่กับภพของคุณในภวังค์ นั่นคือภพ นั่นคือจิตวิญญาณ ที่คุณเป็น คุณอยู่ ฉันเดียวกัน คุณตาย จิตวิญญาณ ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนกัน แล้วขณะที่คุณสลบอยู่ จิตวิญญาณของคุณ คุณก็รู้สึกว่า คุณจริง จิตวิญญาณ ของคุณ คุณจะมีเรื่องฝัน เป็นเรื่องราวอะไร จะทุกข์จะสุขอะไร ก็ตามใจ ในขณะที่คุณสลบ หรือคุณนอนหลับ คุณฝัน คุณตกภวังค์ คุณก็เป็นอย่างงั้นๆ คุณตายไปแล้ว มันก็เป็นอย่างงั้น อยู่ที่คุณคนเดียว ท่องเที่ยวไปเดียว มาเดียว มันไม่ได้เกี่ยวกับใคร เอกจรัง อสรีรัง มันไม่มีตัวตน ไม่ได้เห็นใคร ใครไม่ได้เห็นเขา ไอ้ที่เอามาเล่า เป็นเรื่องนิทาน เอามาทำเป็นหนัง... สารพัดเรื่องวิญญาณ เป็นตัวตน วุ่นวายไปหมด ล้วนเป็นความเข้าใจ ที่ยังไม่ใช่ความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า ก็เอาไอ้เรื่องไม่จริงพวกนั้นนะ มาพูดกันต่อ ครอบงำทางความคิดกัน เพราะยังอวิชชา ยังไม่มีความรู้ ยังไม่มีความเข้าใจ ในสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้แล้วจริงๆ ก็เลยพูดผิดๆ เพี้ยนๆ ก็เลยเลอะๆ เทอะๆ อะไรต่างๆ นานาไป... กลัวกันไป ทั้งบ้าน ทั้งเมือง คนตายไปแล้ว ก็ตายไป ในร่างที่ตาย ก็ไม่ใช่ผี ตายแล้ววิญญาณก็ท่องเที่ยว ไปตามวิบาก

ถ้าผีหลอกได้ หรือผีมาหาคนได้ เกี่ยวข้องกันได้ คลื่นสึนามิ ที่ฆ่าคนตายเป็นแสน ที่ผ่านมา ตายโหงด้วยนะ วิญญาณ อย่างนี้ เดือดร้อนดิ้นรน วิ่งหากัน ให้พล่านเลย ศพพ่ออยู่ไหน ศพลูกอยู่ไหน คนที่ยังไม่ตาย ตามหาศพกันจะแย่ ถ้าวิญญาณ มาหากันได้ วิญญาณก็ต้องดิ้นรน จะหาญาติแน่ๆ หาคนที่รักแน่ๆ ใช่มั้ย ถ้ามาหากันได้ วิญญาณ ที่อยากพบกัน ออกปานนั้น ก็ต้องมาหาคนเป็นกัน ให้วุ่นไปหมดแล้ว ไม่ต้องมาพิสูจน์ ดีเอ็นเอ ว่าใครลูกใคร ใครพ่อใครคนไหน ผีมันก็มาบอกแล้ว วิญญาณก็มาบอกแล้ว ไม่ต้องตรวจศพ คนนั้นคนนี้ กันสาหัสหรอก นี่ตายเป็นแสนๆ วิญญาณที่ตายไปสดๆ ร้อนๆ ไม่เห็นวิ่งมาหาคนเป็น ที่ตามหาจะแย่เลย อาตมาว่า คนตายตั้งเป็นแสน ถ้าวิญญาณ มาหาคนเป็นได้ มันก็จะมาหา ทั้งแสนนั่นแหละ ใช่มั้ย นี่ไม่เห็นมี มีแต่อุปาทาน ไม่กี่รายว่า มาหา อย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่อง อุปาทาน หรือเรื่อง ผีหลอกŽแท้ๆ นี่เป็นของพิสูจน์ ที่ยืนยันชัดเจน ถ้าเผื่อว่า จิตวิญญาณมันไม่ เอกจรังŽ จริง คือ มันไม่ใช่ภาวะ ที่ท่องเที่ยว ไปแต่เดียว ไม่เกี่ยวกับใครŽ มันก็ต้องมาหาคนที่รัก ที่ต้องตายจากไป อย่างโหดร้าย นี่แน่ๆ ถ้ามันเป็นตัวตน ไปหากันได้จริง ก่อนจะตายจากกันนี่ ถ้าเป็นคู่อาฆาต ที่มันตามฆ่าตามล้างกันเนี่ยนะ พอมันตายแล้ว คนใดคนนึงตาย มันก็ตามมาฆ่าคนเป็น ที่มันเป็นคู่อาฆาต ที่มันยังไม่ตายซี เพราะว่ามันตายแล้ว มันไม่ติดคุกนี่ มันตายแล้ว มันนอกกฎหมายแล้ว มันตายแล้ว จะมาทำร้ายยังไงก็ได้ เพราะว่าคนเป็น ไม่เห็นมันนี่ มันจะมาบีบคอ มันจะมาฆ่ายังไงก็ได้

คนรักกันก็ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย คิดถึงกัน ก็ทำไมไม่มาหาล่ะ แต่ก็อาจจะมีบางคนบอกว่า มีนะ มีผีมาแสดงตัว เกิดเจอรูป เจอตัว เจอตน ขึ้นมา ได้เหมือนกัน นั่นมันคือ อุปาทาน มันเป็น มโนมยอัตตา... ซึ่งผู้ไม่มีภูมิรู้ ก็ไม่รู้ว่า มโนมยอัตตา คืออะไร รูปที่สำเร็จด้วยใจ อัตภาพ หรือ อาตมันที่ สำเร็จด้วยจิต เป็นรูปเป็นร่าง เป็นตัวเป็นตน เป็นเสียง เป็นอะไรก็ได้ คืออุปาทานของคน เกิดจริง เป็นจริง แต่มันไม่ใช่ของจริงเลย มันเป็นภาพหลอก ซึ่งภาพหลอกพวกนี้ ทางหมอ ทางแพทย์เขาก็บอกว่า เป็นโรค เห็นภาพหลอก ไอ้นี่มัน รูปหลอน ตาเห็นภาพหลอน นั่นแหละ แต่เขาก็ แหม.. เห็นจริงๆ เอ้า..คุณก็เห็นจริงๆหนะ ประสาทเราเอง หลอกเราเอง เห็นรูปที่ตนเอง ปั้นเอง แต่คนที่เห็นด้วย อุปาทานนี่ มันไม่ถึงขั้น ประสาทเสียทีเดียว จิตมันปั้นภาพ ขึ้นมาหลอกตัวเอง จิตมันมีอุปาทาน แล้วมันก็เกิดผล ที่เห็นได้ เห็นรูปร่าง เห็นเทวดา เห็นผี เห็นสวรรค์ นรก หรือ แม้ผู้ทำฌาน แล้วเห็นอะไรต่ออะไร ไปต่างๆ ก็ตาม ความจริง วิญญาณไม่มีรูปร่าง มัน อสรีรัง จิตวิญญาณ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน อนัตตา อสรีรัง ก็เรียนกันอยู่ แต่ไม่ค่อยเข้าใจกัน

นิสิต มจร. : ท่านอธิบายเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณอย่างงี้ แสดงว่าท่านไม่คิดว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริงสิคะ

พ่อท่านฯ : มีจริงซิ ทุกข์มีจริง สุขมีจริงมั้ยล่ะ ความเจ็บปวดทุกข์ร้อนมีมั้ย ความเลวร้าย มีจริงมั้ยล่ะ ความดีงาม มีจริงมั้ยล่ะ มันก็มีจริงซิ นรก สวรรค์ มีจริงซิ สัตว์นรก เทวดา อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ สมมติเทพ มันก็มีจริงซิ แล้วเข้าใจมั้ยล่ะ คุณลักษณะของ สมมติเทพเป็นอย่างไร ลักษณะ ของอุบัติเทพ เป็นอย่างไร ถ้าคุณมีญาณหยั่งรู้ ความเป็นวิญญาณ ลักษณะอย่างใด อย่างนั้นจริง คุณต้องมีวิชชาŽ มีดวงตาแห่งธรรม รู้จิตวิญญาณต่างๆ ที่ว่านี้เป็นยังไง คุณต้องมีญาณ รู้อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ พระพุทธเจ้า สอนไว้ รู้รูปนาม ของจิตวิญญาณ รู้ด้วย อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ คุณจะต้องมีญาณ มีวิปัสสนาญาณ รู้แล้วคุณก็จะเข้าใจว่า อ้อ....นี่ตอนนี้ เราเป็นสมมติเทพ ตอนนี้เราเป็น อุบัติเทพได้แล้ว ตอนนี้เป็น วิสุทธิเทพแล้ว วิสุทธิเทพคือ จิตสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเทวดาบริสุทธิ์ เป็นพระอรหันต์ หรือ เป็นเทวดา ผู้ถอนอาสวะ จะเป็นโสดาบัน ถอนอาสวะในอบาย ในโลกอบาย โลกนรก ไม่ต้องตกนรกอีกก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ต้อง รู้ความจริงนั้น ด้วยภูมิปัญญา ที่เห็นของจริง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เดา ไม่ใช่ได้แค่เหตุผล เป็นตรรกศาสตร์...

นิสิต มจร. : แล้วที่บรรยายในคัมภีร์ทั้งหลายว่า ตายแล้ว ลงนรก เจอคนทั้งหลาย ขึ้น หม้อลงหม้อ

พ่อท่านฯ : ไม่มี ไม่มี ในโลกวิญญาณไม่มีหม้อมีไหอะไร หลงกันว่ามี..นั่นแหละถึงได้ ปั้นภาพหลอก มาหลอกกันอยู่ จนเป็นตัวเป็นตน เห็นกัน จึงเละกันใหญ่ อยู่ทุกวันนี้

นิสิต มจร. : แล้วท่านคิดยังไงคะ เกี่ยวกับอาจารย์ทั้งหลาย ที่สอนคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้

พ่อท่านฯ : คิดยังไง ก็คิดว่าท่านสอนยังงี้แหละ มันถึงไม่มีอาริยบุคคล โลกถึงได้เดือดร้อน มันถึงได้ทำชั่ว มันถึงได้ มีกิเลส กันมากมาย ซับซ้อน กิเลสยิ่งหยาบ ยิ่งหนา อาตมาก็ถึงบอก ถึงว่าอยู่ ปรามกันอยู่นี่ไง แต่ท่านไม่เชื่อหรอก เพราะอาตมาเอง อาตมาเป็นคน เกิดมาปางนี้ มันอาภัพ

หนึ่ง....ไม่ได้เรียนธรรมะจากสำนักไหนเลย ไม่มีครูบาอาจารย์เลย สอง....นอกจากไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ ก็ยังมาอวดดี บอกว่า เป็นของตนเอง จากชาติเก่า ชาติก่อน หรือรู้เอง เป็นของตนเอง มีของเก่า เอามาสอน สาม.... สอนก็ดันผ่าไม่เหมือนเขาอีก ค้านแย้งเขาอีก สี่....อาตมา ไม่มีพวก ไม่มีลูกศิษย์ ร่วมสำนัก ไม่มีศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ในสำนักเลย เพราะไม่มีอาจารย์ ไม่ได้เรียนในสำนักไหน ในชาตินี้ แต่คนอื่นๆ เขามีคณะ สืบทอดกันมา มีกระแสหลัก แล้วคิดดูซิ มันจะเป็นยังไง เขาก็ไม่เชื่ออาตมา ผู้คนประชาชน เขาจะมาเชื่ออะไรอาตมา อาตมาไม่มีใครช่วยยืนยัน อ้างอิงได้เลย ไม่มีเพื่อนร่วมสำนัก ที่เรียนมาด้วยกัน หัวเดียว กระเทียมลีบแท้ๆ จึงได้แต่พิสูจน์ ความจริงออกมา ให้ได้ว่า ถ้าจริง.. อาตมาต้องนำธรรมะ ที่อาตมาว่า รู้เองนี้พิสูจน์

รู้เองŽอาตมาก็พอดีเห็นในพระไตรปิฎกว่า "ความรู้เอง" Žนั้น ก็คือ สยังอภิญญา นี่เอง เป็น ผู้ตรัสรู้เอง อาตมาว่า อาตมาเป็น สมณพราหมณ์ ผู้รู้เอง สยังอภิญญา เนี่ย ก็ใน มหาจัตตารีสกสูตร ใน มิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ ข้อที่สิบ สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา..... สยังอภิญญา เป็นผู้รู้เอง แล้วก็มาประกาศ โลกนี้ โลกหน้า มาอธิบาย สัจธรรม มาสาธยาย ปรมัตถ์ ให้คนได้รู้ตามได้ ... มาประกาศให้คนอื่น รู้แจ่มแจ้งตามได้

สมณพราหมณาอย่างนี้ อาตมาว่าอาตมาเป็นสมณพราหมณา มาอธิบาย เขาก็ยิ่งว่า อวดดี อวดตัว อวดตน ยกตน อะไร ต่างๆ นานา... ก็ไม่เป็นไร อาตมาว่า อาตมาจริงใจ บริสุทธิ์ใจ อาตมาไม่ได้อวด เพื่อต้องการอามิส ต้องการให้เขา มาชมเชย ต้องการให้เขา เอาลาภมาให้ หรือยศมาให้ สรรเสริญมาให้ อาตมาไม่ได้ไปแสดงโอ่อวด หรือว่าเปิดเผย สิ่งเหล่านี้ออกไป แม้มันจะ... ออกไปเองก็ตาม ไม่ได้ทำไป เพื่อต้องการ สิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ อาตมาบริสุทธิ์ใจ แต่อาตมาประกาศ เพื่อยืนยันสัจธรรมว่า อาตมา ไม่ใช่จะมาทำงานนี้ เพื่อมาหลอกลวง หาโลกธรรม มาหาบริวาร อาตมาก็ไม่มีอะไรจะอ้างอิง อาตมาก็เอาตัวเองอ้างอิง ได้แต่ยืนยัน อาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมา มาทำงานศาสนา นี่ดีนะ ว่าอาตมาทำงานมา สามสิบ สี่สิบปี พิสูจน์ยืนยันมาเรื่อย เขาก็เลย จำนนบ้างว่า อาตมาทำงานมา เอ้อ.. มันไม่ได้ เหลาะแหละ มันไม่ได้ออกนอกทาง อะไรนักหนา ผู้รู้เขาก็พอรู้ ส่วนผู้ที่ไม่เข้าใจ ปักใจซะแล้วว่า อาตมาคือ พวกนอกรีต เขาก็.. ยึดอย่างเดิม ก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็งานหนักไปบ้าง เท่านั้นเอง ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็สู้ เพราะว่า ผู้ที่เขา แสวงหา ผู้ที่มีความเป็นกลาง ไม่ยึดติดอะไร มากมายนัก ต้องการรู้ความจริง ก็พอมีอยู่ พอรับได้ ก็เปิดเผยกันไป...

นิสิต มจร. : ท่านคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องบุญกับกุศล มีความเหมือน ความต่างกันยังไงคะ

พ่อท่านฯ : มันมีความเหมือนความต่างอยู่ที่พยัญชนะ แต่ถึงแม้ว่าพยัญชนะนั้น จะกำหนดนิยาม ตามความหมาย ของคำว่า กุศล คำว่าบุญ ก็ตาม เป็นไวพจน์ เป็น synonym เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ ในบางส่วน แต่ในนัยะ ที่ละเอียด มันก็ต่างกัน เช่นเดียวกัน กับคำว่ากิเลส คำว่า ตัณหา คำว่า อุปาทาน อะไรพวกนี้ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ เป็นชื่อรวม ที่เรียกกลางๆ ว่ากิเลส ทั้งนั้นแหละ ใช้แทนกันได้ แต่นัยะละเอียดมันมี... เพราะฉะนั้น คำว่ากุศล ก็ตาม บุญก็ตาม มันก็มีนัยะ ที่ใช้แทนกันได้ แต่มันก็มีนัยะ ละเอียด เช่น กุศล แปลว่า ฉลาด บุญ แปลว่า ความชำระ เพราะฉะนั้น มันก็มีนิยาม ที่ต่างกัน ลักษณะมันก็ต้องต่างกัน

ทีนี้คำว่า กุศล นี่ฉลาดก็ต้องฉลาดในทางที่ดี เพราะฉะนั้น คนที่มีตัวกุศลเจตสิก มีอาการของจิตตัวกุศล คนนั้น ก็จะต้อง รู้ในจิตว่า มีตัวนี้จริง เขาก็ทำดี คนทำบุญ บุญก็คือ ความดี เขาก็ทำดี เพราะฉะนั้น มันจึงเหมือนกัน ใช้แทนกันได้ไง แต่นัยะของ ความหมายว่า กุศล มันคือ ความฉลาด

ฉลาดนี่มันไม่ได้หมายความว่า ฉลาดไปในทางโกง ไปในทางทำบาป คนฉลาดสามารถจะหาช่องทาง เอาเปรียบ... ขึ้นศาล ก็ฉลาดหาเหตุผล ล้มล้าง จนกระทั่งชนะ แม้ตนจะผิด ฉลาดอย่างนั้นฉลาดเลว ฉลาดบิดพลิ้ว มันไม่ใช่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่ไปหาความจริงอะไร ฉลาดไปในทางเสื่อม ทางเสีย ไอ้อย่างงั้น ไม่เรียกว่า กุศลโดยแท้จริง เพราะงั้น โดยแท้จริง กุศลคือความฉลาด ที่สอดคล้องกันกับบุญ คือความดี ...ทำดีชั้นลึก ฉลาดที่รู้จักกิเลส รู้จักวิธีละกิเลส ฉลาดที่รู้จัก การฆ่ากิเลส รู้จักความจริงว่า กิเลสดับแล้ว มีนิโรธแล้ว นี่คือความฉลาด เป็นความฉลาดที่ภาษาบาลีว่า ปัญญา ไม่ใช่ฉลาดที่ภาษาบาลีว่า เฉโก หรือ เฉกะ ปัญญาคือตัวความรู้ ที่รู้ความจริง ตามความเป็นจริง แล้วก็เป็นเชิง ที่เจริญ ส่วนอีกคำหนึ่ง ของภาษาบาลีที่ว่า ฉลาดนี่ก็คือ เฉกะ หรือเฉโก แต่คนไม่ยอมรับคำนี้ คนไม่ยอมใช้คำนี้กับใครๆ คุณเรียนบาลี มาบ้างรึเปล่า (ตอบ : เรียนค่ะแต่น้อย) เฉกะ หรือเฉโกนี่ คนไทยก็รู้ เพราะว่ามากับศาสนา เป็นคำบาลี แต่ถ้าไปบอกใครว่า เฉโก ใครจะยอมรับล่ะ แม้ในพจนานุกรมไทย ก็เอาไปใส่ไว้เหมือนกันว่า แปลว่าอะไร แปลว่า ฉลาดแกมโกง เพราะงั้น ถ้าฉลาดเลว หรือฉลาดที่ประกอบไปด้วยกิเลสนี่ ไม่ใช่ปัญญา เรียก เฉกะ หรือเฉกา หรือเฉโก แต่ฉลาดดี ฉลาดไม่มีโกง ฉลาดสุจริต ซื่อสัตย์ ฉลาดไปในทางดี ฉลาดที่ได้รู้การลดกิเลส เรียกว่าปัญญา... พวกนักการเมืองนี่ ฉลาดโกง ถ้าจะเรียกให้ถูก ก็ต้องเรียกว่า มีเฉกตา ไม่ใช่ฉลาดมีปัญญา ความหมายของปัญญา ใช้กันผิดมา จนกระทั่ง มันเละเทะไปหมดแล้ว

เพราะฉะนั้น กุศล ก็หมายความว่า ฉลาดไปในทางที่ดี บุญก็คือความดี มันจะต่างกันยังไง ก็ที่ว่านั่นแหละ นิยามต่างกัน แต่มันใช้แทนกันได้ เพราะที่สุดแล้ว ผลของมันเหมือนกัน ผลของมันคือ ไปสู่ความเจริญ

นิสิต มจร. : หนูเคยได้ยินนักวิชาการบางท่านพูดว่า การทำบุญ ไม่นำไปสู่การบรรลุนิพพาน

พ่อท่านฯ : ตัวบุญนั่นแหละ นำไปสู่นิพพาน

นิสิต มจร. : แต่ว่า กุศล ต่างหากเป็นตัวนำไปสู่นิพพาน แล้วเขาก็บอกว่า บุญคือการชำระกิเลส

พ่อท่านฯ : เอาเถอะ อย่าติดอยู่ที่พยัญชนะนักเลย บุญก็ดี กุศลก็ดี เอาที่สภาวะที่ปฏิบัติเกิดผล ก็แล้วกัน หากเป็น สัมมาทิฏฐิ มีผลเป็นกุศลก็ดี เป็นบุญก็ตาม หมายถึง ความเจริญของธรรม ทั้งคู่นั่นแหละ สำคัญอยู่ที่ สัมมาทิฏฐิŽ และการปฏิบัติ ที่พ้นสีลัพพตปรามาสให้จริง ขอให้มีการชำระกิเลสได้แท้ โดยกำจัดถูกตรง ตัวตนของกิเลส นั่นเถอะ ย่อมพาไปนิพพานแน่

นิสิต มจร. : คือเขาจะอธิบายว่า คือการทำบุญของเรา ที่เป็นปุถุชน ซึ่งแม้จะบอกว่า บุญ คือการชำระ แต่บุญก็ยังนำไปสู่ อย่างเช่น การเกิดที่ดีกว่า เช่น พอตายปั๊บ ก็ไปเกิดในสวรรค์.... เพราะฉะนั้น เขาจึงบอกว่า บุญไม่นำไปสู่นิพพาน

พ่อท่านฯ : อ้อ กุศลเท่านั้นเหรอ พาไปสู่นิพพาน...

นิสิต มจร. : ที่อยากจะถามจริงๆนะคะว่า ท่านคิดยังไงเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่เป็นมังสวิรัติ และพุทธศาสนา ที่ไม่เป็น มังสวิรัติ

พ่อท่านฯ : อันนี้เป็นความจริงที่ผู้มีภูมิปัญญารู้ชัดรู้เจนแล้ว รู้ความจริงที่ลึกซึ้งจริงแล้ว พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเมตตา ที่ไม่ทำร้าย ทำลาย เพราะฉะนั้น การฆ่าการแกง เป็นศีล ข้อที่หนึ่งนี่ ไม่ฆ่าสัตว์ เมื่อไม่ฆ่าสัตว์แล้ว จะไปกินเนื้อสัตว์ เพราะกินเนื้อสัตว์ก็คือ ทำให้สัตว์ตาย แน่ๆอยู่แล้ว สัตว์ตายเอง ก็ไม่ค่อยกินด้วยซ้ำไป ต้องไปฆ่ามากิน ฆ่าสดๆ มันผิดหลัก ตรรกะของพุทธ ยิ่งหลักความจริง ยิ่งผิดใหญ่ สรุปง่ายๆก็ ศาสนาพุทธกับเรื่องมังสวิรัตินั้น ผู้ที่มีภูมิจริงแล้ว เขาจะไม่มีความสงสัย ไม่มีความแปลก ประหลาดอะไร เพราะทั้งตรรกศาสตร์ และทั้งญาณวิทยา ล้วนชัดเจน ไม่ว่าจะด้วยศีล ด้วยธรรม ของพุทธแล้ว ชาวพุทธจะไม่กิน เนื้อสัตว์หรอก ผู้ศึกษา อย่างละเอียด รอบถ้วนดีๆ จะแจ่มแจ้ง ชัดเจน ทั่วโลกทั่วไป ในความเป็นศาสนาพุทธ ต่างล้วนเข้าใจดีทั้งนั้น ว่าภิกษุของพุทธ ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาไม่สงสัย ไม่มีใครเขางง ในความจริงนี้ จะมีก็เมืองไทย นี่แหละ บ้าๆบอๆ พอไม่กินเนื้อสัตว์ ก็บอกไม่ใช่ศาสนาพุทธ มันคนละเรื่อง กันเลย กับที่อาตมาเข้าใจ หรืออาตมามั่นใจว่า คนที่มีภูมิธรรม ถึงขนาดหนึ่ง แล้วเนี่ย หรือสูงถึงขีดถึงขั้น ที่เป็น อาริยภูมิจริงๆแล้ว เขาไม่กินเนื้อสัตว์กันหรอก เขารู้ว่า ถ้ากินเนื้อสัตว์อยู่ มันก็เป็นทางมาแห่งธุลี เป็นทางมาแห่ง การไปฆ่าสัตว์ ตั้งแต่ศีลพื้นฐาน ข้อที่หนึ่งเลย มันก็ไม่ไปไหนแล้ว ปฏิบัติไม่ได้แล้ว แล้วมันจะไปรอดที่ไหน จะไปทำ อะไรได้ หรือแม้แต่ การเบียดเบียนสัตว์ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ ไม่เบียดเบียนอะไรใคร ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนท่าน สมบูรณ์ เป็นศาสนาที่ อวิหิงสา แท้ๆ แล้วจะไปเบียดเบียน ถึงขั้นฆ่ามาทำไม แม้ข้อยกเว้นว่า ถ้าฆ่าเพื่อเอามากิน เป็นอาหารเลี้ยงชีวิต ถือว่า ไม่ผิดศีล ไม่บาป ก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างว่านี้เลย

ก็ในเมื่อตามสัจธรรม คนกินมังสวิรัติ คนไม่กินเนื้อสัตว์นั้น ก็ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เจริญงอกงาม ทำดีได้ ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ทำดีได้ ดีกว่าคนกินเนื้อสัตว์ด้วย เพราะไม่ได้ไป เบียดเบียนใคร ยังแข็งแรง สุขภาพดีทุกอย่าง นี่อาตมา ทำงาน แค่สามสิบสี่สิบปี พากันมากินมังสวิรัติกันแค่นี้ มันก็ไม่เห็น มีปัญหาอะไร กินกันเป็นขบวนการ ขนาดนี้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเผื่อว่าไม่เชื่อ พวกอาตมาจะพากันอยู่ ให้ถึงร้อยๆปี จะได้รู้ว่า ไม่กินเนื้อสัตว์ มันพาให้ศาสนาเสื่อมเสีย เป็นเหตุปัจจัย ให้ชีวิตมันเสื่อมทราม จริงหรือ กินเนื้อสัตว์ต่างหาก ที่ทำให้ทั้งชีวิตร่างกาย และจิตวิญญาณ มันเสื่อม มันเสีย อย่างซับซ้อน ชีวิตก็อายุสั้น สุขภาพมันไม่ดี ไม่แข็งแรง ไอ้กินเนื้อสัตว์ทุกวันนี้ มันยิ่งชัด สุขภาพเสียหมด วิญญาณ ก็ประสบบาป เป็นอันมาก สั่งสมความอำมหิต รุนแรง ก่อวิบากบาป เวรานุเวร ในวัฏสงสาร

นิสิต มจร. : แล้วเพราะอะไรคะ พระพุทธเจ้าถึงไม่บัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา ที่เป็นมังสวิรัติไปเลยล่ะคะ

พ่อท่านฯ : เหตุที่ท่านไม่บัญญัตินี่ ก็เพราะว่าท่านเป็นสากล ท่านมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่างลึกซึ้ง คนมันกิน เนื้อสัตว์ กันทั่วโลก ก็ต้องบัญญัติ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นลำดับๆ ไว้ ซึ่งบัญญัติที่เป็นขั้นเป็นตอน เช่น พระพุทธเจ้า ทรงสอนฆราวาส อันนี้เป็นเรื่อง ฆราวาสประพฤตินะ ไม่ใช่เรื่องพระ ท่านสอนว่า หนึ่ง..ให้เว้นขาด การฆ่าสัตว์ เมื่อศีล ข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์กันแล้ว พระพุทธเจ้าก็สอนฆราวาสอีกว่า ไม่ให้ซื้อขายเนื้อสัตว์ การซื้อขายนี้ เป็นก็เรื่องของ ฆราวาส เท่านั้น ใช่ไหม ไม่ใช่เรื่องของภิกษุ เป็นความผิด เฉพาะฆราวาส เป็นการประพฤติของฆราวาส เท่านั้น เพราะภิกษุนั้น มีวินัยห้ามอยู่แท้ๆ ซื้อขายอะไร ไม่ได้เลย

ที่ถือว่าผิดก็เพราะ การซื้อขายเนื้อสัตว์ เป็นมิจฉาวณิชชา นับเป็นมิจฉาอาชีพ ของชาวพุทธแท้ๆ มิจฉาวณิชชา ๕ ข้อ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ว่าเป็นมิจฉาชีพ ๕ ประเภทนี้คือ ๑.ซื้อขายอาวุธ..สัตถวณิชชา ๒.ซื้อขายสัตว์เป็นๆ.. สัตตวณิชชา ๓.ซื้อขายเนื้อสัตว์..มังสวณิชชา สังเกตดีๆนะ ท่านระบุชัดว่า มังสะŽ ที่แปลว่า เนื้อสัตว์Ž โดยตรง ๔.ขายสิ่งที่เป็นพิษ.. วีสวณิชชา ๕.ขายสิ่งที่มอมเมา

ซึ่งการค้าขายไม่ใช่เรื่องของพระอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องของนักบวชเลย เป็นเรื่องของฆราวาส เท่านั้น เมื่อคำสอนชัดๆ อยู่อย่างนี้ ๑.เว้นขาดการฆ่าสัตว์ ๒.ซื้อขายเนื้อสัตว์ก็ผิด ค้าขายเนื้อสัตว์ ก็ไม่ได้ แล้วคุณจะกินเนื้อสัตว์ ได้ตรงไหน แค่ ๒ คำตรัส ๒ หลักนี้เท่านั้นเอง ก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ไม่มีเนื้อสัตว์มากินกัน จบแล้ว คุณก็ไม่ได้กิน เนื้อสัตว์แล้ว ก็ไม่จำเป็น ต้องไปบังคับกันตรงๆ ไม่ต้องบัญญัติห้ามตรงๆ ทันที เพราะศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาที่จัดอยู่ในประเภท ลัทธิใช้อาณา ไม่ใช่ศาสนา ที่ใช้การบังคับ เหมือนสายที่ใช้ ศรัทธานำ แต่เป็นประเภทลัทธิใช้อนุสาสนี เป็นศาสนา ใช้ปัญญานำ พระพุทธเจ้าประกาศ อิสรเสรีภาพสัมบูรณ์ มาตั้งแต่ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่ยุคทาส ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อนลัทธิประชาธิปไตย จะเกิดในโลก เป็นศาสนาแห่งภูมิปัญญา ที่เคารพสิทธิมนุษยชน เต็มที่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่นิยม ที่จะบัญญัติอะไรขึ้นมา บังคับคนง่ายๆ จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยจำเป็น และถึงเวลา ที่ต้องบัญญัติ ข้อบังคับ หรือวินัย

ดังนั้น ที่พระเทวทัตไปทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติบังคับภิกษุ ให้ฉันมังสวิรัติทั้งหมด พระพุทธเจ้า จึงไม่บัญญัติ ตามที่พระเทวทัต ทูลเสนอ และที่พระเทวทัต ทูลเสนอนั้น มันเหมือนมี นัยแฝงไปด้วยเล่ห์ เหมือนกับการเมือง อีกด้วย ถ้าเพลี่ยงพล้ำท่านี้ พระพุทธเจ้า ก็เสียท่าใหญ่เลยซิ เสียท่ากับเทวทัต ท่านจะไปยอมได้ยังไง ท่านมีพระปัญญาพอ ที่จะรู้ดีว่า ท่านไม่ควรทำหรอก ยังงี้มันทำให้คนที่ไม่รู้รอบ ไม่รู้ครบ ในเล่ห์ของพระเทวทัต แล้วหยิบเอาประเด็น ที่พระเทวทัตทูลขอ ให้ภิกษุ ทั้งหมด ฉันมังสวิรัติ แล้วพระพุทธเจ้า ไม่ทรงบัญญัติ ตามที่ทูลเสนอนี้มาอ้าง ว่านี่คือ ภิกษุในศาสนาพุทธ ไม่ได้ฉันมังสวิรัติ ทั้งๆที่ในพุทธกาลนั้น ภิกษุของพุทธทั้งหลาย ส่วนใหญ่ในยุคนั้น ฉันมังสวิรัติ เป็นที่รู้กันเห็นกันอยู่แล้ว เล่ห์ของพระเทวทัตแท้ๆ ที่ตั้งบัญญัติ ๕ ข้อขึ้นมาใช้ เพื่อจะได้นำมาอ้างกับ ประชาชนว่า ข่มพระพุทธเจ้าได้แล้ว ว่าศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่เคร่งครัด พระพุทธเจ้าไม่สูงส่ง เหมือนตน เพราะตนฉันมังสวิรัติ ก็คิดเอาแล้วกัน ก็ขนาดพระเทวทัตแท้ๆ ยังฉันมังสวิรัติ เห็นไหม ภิกษุส่วนใหญ่ในยุคนั้น ฉันมังสวิรัติกัน เป็นพื้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้อง บัญญัติบังคับเลย

เพราะงั้นเรื่องมังสวิรัติเนี่ย อาตมาบอกได้เพียงว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ชัดเจนขึ้นมาแล้ว มีญาณปัญญาขึ้นมา ระดับหนึ่ง พอสมควรจริงๆ อย่างถูกทาง สัมมาทิฏฐิแล้ว จะไม่กินเนื้อสัตว์ เอางี้ก็ได้ ผู้ที่มีปัญญา ในระดับธรรมดานี่ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเนี่ย ไปถามจริงๆ เถอะว่า ไม่กินเนื้อสัตว์นี่ ดีกว่ามั้ย ? มันไม่ต้องเป็นภัย แก่สัตว์ใดๆใช่มั้ย ? ไม่เบียดเบียนสัตว์ใด จริงมั้ย ? สร้างความเมตตาธรรมขึ้นแก่จิต ตามที่ระบุชัดๆว่า ปฏิบัติศีลข้อ ๑ นี้ จะก่อเกิด เมตตาธรรม ก็เรียนก็สอนกัน อยู่โต้งๆ นี่คือ ผู้ที่ศึกษา จะต้องรู้คำว่า เบียดเบียน คำว่าเมตตา..จริง เอ้า..เมื่อจริงแล้ว ทำไมภิกษุ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จะไม่ประพฤติล่ะ เป็นครูบาอาจารย์ ควรจะเป็นตัวอย่าง นำพาประพฤติจริง ใช่มั้ย ถ้าจริง ผู้รู้นี่แหละ..จริง แล้วทำไมไม่ประพฤติ จะอ้างว่าไงล่ะ เขาจะบอกว่า มันเลี้ยงยาก เพราะว่าคนทั่วไปเนี่ย เขากินเนื้อสัตว์กัน เราไม่กินเนื้อสัตว์ เราจะเป็นคนเลี้ยงยาก ประเด็นกินเนื้อสัตว์นี้ คนเลี้ยงยาก คือคนกินเนื้อสัตว์ ต่างหาก คนกินผักพืช ผลไม้ ได้ข้าวเปล่า ก็มังสวิรัติแล้ว ข้าวสุกขนมสดเนี่ย ก็มังสวิรัติ ไปบิณฑบาต ก็ได้ข้าว ทุกทีแหละ แล้วมันเลี้ยงยาก ตรงไหนล่ะ คุณกินข้าวไม่ได้ คุณกินข้าวเปล่าไม่ได้ คุณกินข้าวกับผักพืชไม่ได้ กินข้าวสุกกับขนมสดไม่ได้ คุณกินข้าว คุณจะต้อง กินแกงสัตว์ คุณจะต้อง กินยำสัตว์ คุณจะต้อง กินเนื้อสัตว์ ต่างหากเล่า คนเลี้ยงยาก เพราะตนยังเป็นคนติดยึด -เลี้ยงยากŽ นั่นคือเนื้อแท้ และจริงๆนั้น คนที่จะเอาสัตว์ มาทำอาหาร กับคนที่เอาผักพืช มาทำอาหาร จะได้พืช กับได้สัตว์ มาทำอาหาร กว่าจะได้อะไร มันยากกว่ากันแท้ จะปรุงเป็น อาหารกิน ก็ยากกว่ากัน ต้องล้างคาว แก้คาว สารพัด เก็บรักษาก็ยากกว่า เน่าเหม็นก็ร้ายแรงกว่ากัน ราคาก็แพงกว่า ลิบลิ่ว กินเนื้อสัตว์ กับกินมังสวิรัติ อะไรมันจะยากกว่ากันแน่

นิสิต มจร. : แล้วเขาก็จะบอกว่า ต้องกินเนื้อสัตว์ซิ เดี๋ยวจะขาดอาหาร

พ่อท่านฯ : เอ้า อันนี้ก็ความรู้ยังไม่ครบ ความรู้ที่ไม่ลึกซึ้ง ขาดอาหาร มันก็ใช่น่ะซิ ขาดอาหารของคุณ คุณไม่มีความรู้พอ คุณกินเลือก โดยเลือกกิน แต่สิ่งที่คุณชอบ แต่สิ่งที่จะได้ สารอาหาร ที่ครบครัน คุณไม่กิน และคุณไม่มีความรู้ ในโภชนาการเลย ถ้าเรียนรู้เล็กน้อย ก็จะเสริมธาตุอาหาร ได้ครบหมู่ แน่นอน อินเดียเขากินมังสวิรัติ มาเป็นพันๆปี เขาขาดอาหารที่ไหน ทั้งๆที่คนยาก คนจน มากมาย อาตมาเห็นแต่พุงยังงี้ กันทั้งนั้นเลย มันพูดกันไป ยังงั้นเอง เขากิน เขารู้จักวิธีกิน แล้วมีวัฒนธรรม ทางอาหาร การกินมังสวิรัติ ก็เป็นเรื่องไม่ยาก และไม่ขาดธาตุอาหารแน่ มีสารธาตุ ตระกูลถั่วต่างๆ ที่มันมี ถั่วงาอะไร ศึกษาได้ โภชนาการเดี๋ยวนี้ ยิ่งรุ่งเรือง ยิ่งเจริญ มันไม่มีปัญหาหรอก นอกจาก คนที่ตามใจปาก ติดกิเลสมาก แล้วกินสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ควรจะกิน ให้มันได้สารอาหารครบ กินไม่ครบ มันก็ขาด อาหาร กินเนื้อสัตว์ก็ขาดอาหาร ถ้าไปกิน แต่สิ่งที่ตัวเองชอบ ไปกินจั๊งค์ฟู้ด อย่างงี้เป็นต้น เห็นมั้ย ก็ขาดธาตุอาหาร กันเท่าไหร่เล่า จะพูดไปทำไมมี กินเนื้อสัตว์ก็เถอะ.


บุญลอมข้าว... วัฒนธรรมดีๆ ที่กำลังจะเลือนหาย

๗-๘ ธ.ค. ๒๕๕๐ ที่หินผาฟ้าน้ำ ได้จัดงานบุญลอมข้าว ครั้งที่ ๑๑ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ได้มาเป็นประธานเปิดงานบุญลอมข้าว

คุณแผนผา...ในฐานะตัวแทนชุมชนหินผาฟ้าน้ำได้กล่าวรายงานความเป็นมาของชุมชน และความสำคัญของการจัด งานบุญลอมข้าว จากบางส่วนดังนี้...

ชุมชนหินผาฟ้าน้ำ ตระหนักถึงความสำคัญของข้าว และบุญคุญของชาวนา จึงกำหนดให้มีงานบุญลอมข้าวขึ้น เป็นกิจกรรมหนึ่ง ของชุมชน จัดติดต่อกันมา ทุกปี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๑ โดยมีวัตถุประสงค์ ของการจัดงาน ดังนี้
๑. เพื่อจัดงานบุญลอมข้าวและตลาดนัดบุญนิยม
๒. เพื่อแสดงให้เห็นถึง ความสำคัญของข้าว และคุณค่า ของชาวนา
๓. เพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และนำเสนอองค์ความรู้ การวิจัยข้าว
๔. เพื่อแสดงนิทรรศการ เกี่ยวกับข้าว ทั้งการแปรรูปข้าว เป็นอาหาร ประเภทต่างๆ
๕. เพื่อสาธิต การทำน้ำมัน ไบโอดีเซล

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจได้แก่
๑. ได้รับฟังธรรมจากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
๒. ได้พบกับท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
๓. มีกิจกรรมโรงบุญ ปิตุบูชา เพื่อถวายเป็น พระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว โดยรับประทานอาหารได้ฟรีทุกร้าน
๔. มีตลาดนัดบุญนิยม ที่ขายสินค้า ในราคาเท่าทุน -ต่ำกว่าทุน
๕. มีนิทรรศการ เกี่ยวกับข้าว การคัดพันธุ์ข้าวพื้นเมือง
๖. มีการประกวดอาหาร ที่ทำจากข้าว
๗. ได้ชิมข้าวจากหลายสายพันธุ์
๘. มีการลงแขก โฮมแฮงŽ นวดข้าว
๙. สาธิตการทำ น้ำมันไบโอดีเซล

งบประมาณที่ใช้ ชาวชุมชนและผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันบริจาค ไม่มีงบประมาณจาก หน่วยงานอื่นใด...

ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ได้กล่าวเปิดงานโดยสรุปคือ การจัดงานบุญลอมข้าวเป็น ครั้งที่ ๑๑ แล้ว ถือได้ว่า ชุมชน ได้จัดอย่างต่อเนื่อง ในสิ่งที่เป็น ประโยชน์นี้ จากที่ผู้จัด ได้กล่าวถึง วัตถุประสงค์ต่างๆ ที่ได้รายงานมานั้น เป็นสิ่งที่ เป็นประโยชน์ กับชาวบ้านอย่างมาก โดยเฉพาะ พืชพันธุ์ต่างๆ ก็ไม่ใช้ สารเคมี เป็นสิ่งที่อยู่ในสาขาหนึ่ง ของปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว

ปัจจุบันทางราชการก็พยายามให้ความรู้ ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ถึงการนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพีย งมาใช้ในชีวิต ประจำวัน เริ่มต้นจาก การดูแล สถาบันครอบครัว ของเรา การใช้จ่าย และ การอดออม ในครอบครัว ของเรา เมื่อมีการออม ก็ต้องมีการแบ่งปัน ในครอบครัวของท่าน การลดรายจ่าย ในหมู่บ้าน ในตำบลของท่าน เป็นการลดรายจ่าย อย่างมีวิธีการ เป็นของชาวบ้าน ที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าราชการ ต้องให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ บางที ทำแบบอย่างราชการ ก็เจ๊งทุกที ไม่ได้เป็นไป ตามตัวหนังสือเลย มีหลายหมู่บ้าน ที่ได้นำปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ไปปฏิบัติ เป็นวิถีชีวิตของหมู่บ้าน และของชุมชน มี ตัวอย่างทุกภาค

แต่การจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องเกิดจากความร่วมมือกันชาวบ้านที่แท้จริง ในนามของจังหวัดก็ ขอขอบคุณ มายังผู้จัด ที่ได้จัดกิจกรรม เช่นนี้ขึ้น ในชุมชนของท่าน และ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การมาร่วมกันเช่นนี้ จะเป็นที่รวมของ การมีศรัทธา เพื่อให้เกิดบุญกุศล ของเราร่วมกัน ขอให้การจัดงานครั้งนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ข องคณะผู้จัด...

หลังจากท่านรองผู้ว่าฯกล่าวเปิดงาน พ่อท่านฯได้แสดงธรรมต่อ หลังจากนั้น เป็นกิจกรรมต่างๆ ตามที่คุณแผนผา ได้กล่าวรายงานไป และในภาคค่ำ มีรายการ เอื้อไออุ่น เช้าของวันรุ่งขึ้น ๘ ธ.ค. พ่อท่านฯ และหมู่สมณะบิณฑบาต ให้ญาติธรรม ที่มาร่วมงาน ได้ทำบุญใส่บาตร ก่อนออกเดินทางกลับ พ่อท่านฯ ได้แสดงธรรม อีกหนี่งกัณฑ์ ในที่นี้ขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด ผู้ที่สนใจ ติดตามได้จากฝ่ายเผยแพร่


 

การเมืองสามานย์ - เศรษฐกิจชนิดใหม่ ในอุ้งมือทุนนิยม

ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง เป็นสิ่งที่พูดกันมาก ตั้งแต่ผู้ไม่ประสีประส าไปจนถึงผู้รู้มากรู้ล้น สื่อมวลชน นำมาเสนอ เป็นข่าว ได้ทุกวัน และเป็นประเด็นสำคัญ ในการวิพากษ์วิจารณ์ ผู้บริหาร บ้านเมือง ทุกยุคสมัย การแสดงธรรม รายการเจาะลึกฝึกธรรมŽ เดือนธันวาคมนี้ พ่อท่านฯเริ่มนำเอาหนังสือ สาธารณโภคี เศรษฐกิจชนิดใหม่ มาอ่าน อธิบายเป็นหลัก

ระหว่างการเดินทาง พบเจอท่านเจ้าคุณพระ พิพิธธรรมสุนทร พบพระนักเทศน์ชื่อดัง ที่เรียกขานกันว่า หลวงปู่ พุทธอิสระ พ่อท่านฯก็ให้ถวายหนังสือ สาธารณโภคี เศรษฐกิจชนิดใหม่ นี้เช่นกัน แม้แต่พนักงาน เจ้าหน้าที่บนเครื่องบิน ทั้งกัปตันและลูกเรือ พ่อท่านฯก็แจกให้

ดูพ่อท่านฯพยายามนำเสนอให้สังคมได้รับรู้ถึงระบบ สาธารณโภคี เศรษฐกิจชนิดใหมนี้ อะไรที่เป็นเรื่องใหม่ๆ คงต้อง ให้เวลา กว่าจะเปิดใจศึกษา ...ศึกษาแล้ว กว่าจะเข้าใจ...เข้าใจแล้วกว่าจะปฏิบัติตนให้ได้ตามนั้น เป็นเรื่องที่ต้อง ใช้เวลามากๆ ยิ่งเป็นนักการศาสนา แต่มาพูดเรื่องเศรษฐกิจ ความน่าเชื่อถือ ความยอมรับ ย่อมน้อยกว่า นักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ นักการธนาคารพูดเป็นแน่ บวกกับเป็นนักการศาสนา ที่ศาสนากระแสหลักปฏิเสธ กล่าวโทษให้ร้ายว่า เป็นผู้ทำลายศาสนา จึงเป็นเรื่องยากยิ่ง ที่สังคมจะเปิดใจศึกษา

ขณะที่ความสนใจของสังคมส่วนใหญ่อยู่กับการเลือกตั้ง ๒๓ ธ.ค. หลายพรรคเอาเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นตัวชู ในการหาเสียง หลายพรรค เอานโยบาย ประชานิยม มาเป็นตัวล่อ... ประกันราคาพืชผล... พักหนี้... เพิ่มเงินเดือน... เรียนฟรี ฯลฯ แต่ผู้รู้ทางการเมืองหลายท่าน เห็นตรงกันว่า หลังการเลือกตั้งแล้ว จะเกิดความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายที่ส่งเสริม อำนาจเก่า หรือฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจเก่า ขึ้นมาเป็น รัฐบาล ก็จะเกิดความวุ่นวายตามมา หลายท่านตำหนิ คมช. ตำหนิรัฐบาล รักษาการณ์ ปัจจุบัน ที่ไม่ทำหน้าที่ อย่างที่ควรจะทำ ปล่อยให้ปัญหา คาราคาซัง จนยากจะแก้ ยิ่งมีเค้าว่า อำนาจเก่า จะได้รับเลือก กลับเข้ามามีอำนาจอีก สังคมยิ่ง น่าเป็นห่วง

อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง กับ เลือกตั้งน้ำเน่า เราจะพากันไปตาย

ผมเป็นห่วงว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นการทำลาย มิใช่การสร้างประชาธิปไตย จะทำให้มีผลกระทบอย่างรุนแรง ถึงความสงบ เรียบร้อย ของบ้านเมือง และสถาบันกษัตริย์Ž (หน้า๕)

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นแต่เพียงพิธีกรรมหรือฉากหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างระบอบทักษิณ กับฝ่าย ตรงกันข้าม ฝ่ายทักษิณ เป็นฝ่ายที่ มีเอกภาพ และกำลัง วังชามหาศาล ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้น แยกกันเป็นฝัก เป็นฝ่าย มีทั้งยักษ์ ทั้งคนแคระ ช่วยกันเข็นท่อนซุง คนละด้าน การ ต่อสู้หลังฉาก เต็มไปด้วยเงิน และอำนาจ กับวิธีการ นอกแบบ นอกกฎหมาย สารพัดวิชามาร ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฝ่ายใด จะใช้เก่งกว่ากันŽ (หน้า ๖)

ผมขอพูดสั้นๆว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองเดิม ที่เพิ่งรวมตัวกันขึ้นใหม่ ๓-๔ พรรคใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคพลังประชาชน มีองค์ประกอบ และพฤติกรรม ที่ไม่มีทางที่จะไม่ขัดเจตนารมณ์ คำวินิจฉัยของศาล ขัดเจตนารมณ์ของ คณะปฏิรูปการปกครอง ซึ่งต้องปกป้องประชาธิปไตย และสถาบันกษัตริย์ ขัดรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายเลือกตั้ง นับไม่ถ้วนมาตรา ตามที่ผมเขียนไว้ ในบทความ ในหนังสือนี้ ครั้นจะปล่อย ให้เลยตามเลยก็ดี หรือตีความ ให้เคร่งครัด กำจัดพรรคออกไป จากการเลือกตั้งก็ดี ผลพลอยเสีย และการต่อสู้ทางการเมือง อย่างดุเดือด เลือดพล่าน ก็จะเกิดขึ้น อย่างแน่นอนŽ (หน้า ๗)

ผมจะเป็นเสียงข้างน้อยแต่เพียงหนึ่งหรือไม่หนอ ที่ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขัน ระหว่าง พรรคการเมือง แต่หากเป็น การวัดดวงกัน ระหว่างระบอบทักษิณ กับระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข

ถ้าผมมีอำนาจ ผมจะไม่ยอมให้เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ อย่างเด็ดขาด

แต่นี่ผมมีเพียงปากกา จึงทำได้แต่เพียงเขียน และกราบไหว้อ้อนวอนพระสยามเทวาธิราชว่า
ขอปากกา ข้านี้ มีอำนาจ
ด้วยรักชาติ สัตย์จริง มินิ่งได้
สุดนั่งดู หมู่อมิตร คิดผลาญไทย
อยากล้างมัน ให้บรรลัย ไปกับมือŽ
(หน้า๑๘)

ผมอดนึกถึงคำพูดของอดีตประธานสภานิติบัญญัติรุ่นพี่ของมีชัย ฤชุพันธุ์ คือ ดร.อุกฤษณ์ มงคลนาวิน มิได้ ท่านกล่าวว่า ถ้าประชาชน เลือกโจรเข้าสภา สภาก็กลายเป็น สภาโจร ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าสภาเลือกทาสเข้าไป สภาก็กลายเป็น สภาทาส

ทาสของทักษิณ ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่ง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และข้อหาอุกฉกรรจ์ ๔ ข้อ ที่ยังไม่ถึงจุดจบบริบูรณ์

ผมเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มิใช่เป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง ก็เพราะว่ามันไม่มีพรรคการเมือง ที่แท้จริง มีแต่แก๊งเลือกตั้ง ที่รวมตัวกันขึ้น อย่างอลหม่าน กะทันหัน มีการเช่า เหมา ซื้อ และเซ้ง ทั้งคนทั้งพรรค สนนราคากัน เหมือนตลาดนัด ขายวัวควาย ใครมีเงินมาก ก็หวังมาก ขนาดที่จะผูกขาดพรรค เพื่อผูกขาด อำนาจปกครอง และพรรค ที่พร้อมที่สุด ก็คือพรรคที่ประกาศเป้าหมาย นำทักษิณกลับ และรื้อฟื้นทุกอย่าง ตั้งแต่การยึดอำนาจเป็นต้นมา กลับไปสู่ ความถูกต้อง ก่อน ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ (หน้า๒๑)

น่าสงสารประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่รู้สึกไม่รู้สาอะไรกับสถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ หนุ่มสาวส่วนมาก ยังคงสำเริงสำราญ กับการกิน สูบ ดื่ม เสพ ความห่วงใย ในปัญหาบ้านเมือง ของผู้รู้หลายๆท่าน ไม่ได้ระแคะระคา ยไปถึงชนเหล่านั้นเลย

คราครั้งนี้ พ่อท่านฯจำต้องออกแรงเปลืองตัวอีกแล้ว โดยการแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง ในรายการธรรมะ ที่มีผ่านสื่อโทรทัศน์ พร้อมกับ เสนอทางแก้ ตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้อำนาจเก่า กลับมาใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบธรรมได้อีก ด้วยการเลือกพรรค ที่ปฏิเสธอำนาจเก่า อย่างชัดเจน แม้หลายท่าน จะไม่ชอบพรรคนั้นเลย แต่ต้องเอาบ้านเมือง เป็นตัวตั้ง ละวางความไม่ชอบเป็นส่วนตัว ออกไปก่อน

มีการรวมตัวของคนหนุ่มสาวชาวอโศก ตั้งแต่อดีตพุทธธรรม ศิษย์เก่า สัมมาสิกขา อดีตนักศึกษ าผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อแจ้ง ให้ทราบ ถึงสถานการณ์ ที่น่าเป็นห่วง ของบ้านเมือง ก่อนหน้านี้ มีการนัดหมาย แกนนำ ของข่ายแหต่างๆ มาร่วมรับทราบ ถึงปัญหาบ้านเมือง และสิ่งที่ควรจะช่วยกัน ได้อย่างไร

นอกจากนี้พ่อท่านฯยังเปรยถึงวันเลือกตั้ง อาจจะมีสมณะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เข้าใจว่าไม่ได้หวังผล เรื่องคะแนน เพราะสมณะ สิกขมาตุ ทั้งหมด มีไม่ถึง ๑๓๐ และที่สะดวก จะไปใช้สิทธิได้จริงๆ คงไม่เกิน ๘๐-๙๐ คะแนน แค่นี้ หวังผลไม่ได้เลย จึงเป็นไปได้ว่า ดำริที่พ่อท่านฯ จุดประเด็นขึ้นมานี้ คงจะเป็นการรุกคืบ ในความพยายาม ให้ความรู้ กับสังคม ศาสนากับการเมือง แยกกันไม่ได้ ศาสนาควร มีส่วนร่วม ทางการเมืองด้วย ศาสนาแท้ๆ ไม่ใช่สิ่งบูชาบนหิ้ง เท่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องประเมิน ประมาณกัน ให้ดีๆ ใช้สัปปุริสธรรม อย่างสำคัญ เพราะถ้าเกินขีด ที่สังคมส่วนใหญ่จะเข้าใจ และยอมรับได้ ไม่มีใคร บอกได้ว่า ผลจะเป็นอย่างไร

พ่อท่านฯทราบดีว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ จึงย่อมได้รับคำตำหนิ คำด่า มากกว่าคำ สรรเสริญแน่ แต่พ่อท่านฯ ก็ยืนยันว่า การทำอะไร ก็ด้วยดุลพินิจ เห็นว่า ควรทำก็ทำ ไม่ได้ทำเพื่อ ต้องการให้ใครมายกย่อง นับถือ หรือทำเพื่อ ประสงค์ จะได้ใครมาเป็นบริวาร

คุณสุรเธียร จักรธรานนท์ ที่เคยให้คำแนะนำว่า สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ดุจดั่ง มหากาพย์ม้วนยาว ซึ่งจะต้อง ทำสงคราม ต่อสู้กันไปอีกนาน มหากาพย์ม้วนนี้ ยังไม่จบง่ายๆ จะมีการเปลี่ยนผ่าน อำนาจกันอีก หลายครั้ง ถ้าจะให้ดี อโศก ควรถนอมเนื้อ ถนอมตัว เรื่องที่ไม่สำคัญ ไม่จำเป็น ก็อย่าไป เปลืองตัวเลย จะได้ออมกำลังไว้ใช้ ในสถานการณ์ ที่จำเป็นŽ

การณ์ครั้งนี้ก็เช่นกัน คุณสุรเธียรเห็นว่า เสียแรงเปล่า เพราะที่สุดแล้ว กลุ่มอำนาจต่างๆ เขาจะเชื่อมประสาน ประโยชน์กัน เหมือนกับ จะบอกว่า อำนาจเก่า เขากลับมาอีกแน่ พร้อมกับพูดเป็น นัยๆว่า ตัวละครจริงๆนั้น มีมากกว่า ที่เห็น และเป็นข่าว กลุ่มทุนก็ไม่ใช่มีเพียง ทุนในประเทศเท่านั้น ยังมีกลุ่มทุนใหญ่ จากต่างประเทศ และ ทุนเหล่านี้ เขาเชื่อมผลประโยชน์ ถึงกันหมด

ฟังแล้วอดคิดไปถึงมหาอำนาจใหญ่ ที่มีข่าวอยู่เสมอๆ ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การปฏิวัติรัฐประหาร โค่นอำนาจ ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ในหลายๆ ประเทศ ภาพด้านหน้า เป็นดั่ง มหามิตรผู้อารีย์ ปกป้องประชาธิปไตย โค่นทำลาย เผด็จการ ให้ทุนสนับสนุน ประเทศที่เชื่อฟัง ภาพด้านหลัง เป็นดั่งซาตาน ที่สูบเลือดสูบเนื้อ เอารัดเอาเปรียบ ประเทศ ที่อ่อนด้อยกว่า ทั้งทรัพยากร เศรษฐกิจ สังคม ใช้ความเป็น มหาอำนาจใหญ่ แทรกแซงการเมือง ในหลายๆ ประเทศ จนทำให้เกิดการทำลายล้าง ระหว่างกลุ่ม อำนาจ ต่างๆ เกิดความแตกแยก ของชนในชาติ ห้ำหั่น ฆ่าฟัน กันเอง แม้ในศาสนิก ศาสนาเดียวกัน...

เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากกลุ่มอำนาจเก่า คนไทยทั้งประเทศ ทราบกันดีว่า คือตัวแทนของท่าน อดีตนายกฯ ซึ่งมีชนัก ติดหลังว่า ประพฤติทุจริต มีคดีความ อยู่ในศาล มากมาย หลายคดี ประสาอะไรกับ มหาอำนาจจะไม่รู้ ท่านผู้นำ มหาอำนาจ โทรศัพท์มาแสดงความยินดี กับท่านนายกฯ คนใหม่ อย่างเร็วรีบ ก่อนประเทศใดๆ ขณะที่ประเทศ ข้างบ้านไทย ยังนิ่งๆ

มองในมุมของหลักการ เป็นเรื่องปกติที่มหาอำนาจทำเช่นนี้กับหลายๆประเทศ ที่ก่อรัฐประหาร แต่ที่ลึกลงไป ภายใต้ หลักการนั้น มีอะไรแฝงอยู่ หรือไม่

ยังไม่มีหลักฐานบ่งชัดว่ามหาอำนาจกำลังทำเช่นนั้นกับไทย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าท่านอดีตนายกฯเคยอวดว่า เป็นเพื่อนสนิทกันกับ ท่านผู้นำประเทศ มหาอำนาจ มองอย่างผ่านๆ เห็นเป็นเรื่อง ธรรมดา ใครๆก็ย่อมจะเป็นเพื่อนกันได้ เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ที่ผู้นำเป็นเพื่อนกัน แทนที่จะเป็นศัตรูกัน แต่ถ้ามองอย่าง เฝ้าระวัง รักษาผลประโยชน์ ของชาติ เป็นสำคัญ เพื่อป้องกัน และรู้เท่าทัน ถึงการเชื่อมโยงกัน ของทุน-อำนาจ-ผลประโยชน์ เป็นเรื่องน่าคิด แต่จะเป็น การเชื่อมโยงกัน ของทุน -อำนาจ -ผลประโยชน์ ระหว่าง อดีตผู้นำไทย และผู้นำมหาอำนาจ จริงหรือไม่ ประชาชน เดินดิน ตาดำๆ อย่างเราๆท่านๆ ไม่อาจรู้ได้

การทุจริตระดับหยาบๆตื้นๆรู้เห็นได้ง่าย ไม่ว่าจะฉกชิงวิ่งราว จี้ ปล้น มีเจ้าทุกข์ที่ชัดเจน แต่การทุจริตที่แยบยล แนบเนียนขึ้น ตั้งแต่ระดับ องค์กรเล็กๆ -หมู่บ้าน -อบต. -อำเภอ -จังหวัด -ชาติ - ข้ามชาติ ย่อมเต็มไปด้วยแผนการ ที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ยากที่จะตรวจสอบติดตาม แยบยลมากขึ้น ตามอำนาจที่มากขึ้น

ยิ่งเป็นผู้นำที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมลดละกิเลส ย่อมผ่านพบกับผลประโยชน์-อำนาจ-ทุน ทั้งตามน้ำ และทวนน้ำ อย่างช่ำชอง เชี่ยวชาญ ตามประสบการณ์ ที่มากขึ้น หลักฐาน ใบเสร็จ ไม่เหลือให้เห็นกันได้ง่ายๆ แก้กฎเพื่อซดคำโตŽ ทุจริตเชิง นโยบายŽ ฯลฯ

การทุจริตที่แนบเนียนเช่นนี้ ประชาชนชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเองไม่รู้ตัวเลย ซ้ำมิหนำ กลับชื่นชมยินดี สนับสนุน ผู้นำเหล่านั้นกันด้วย เพราะเห็นประโยชน์ ที่ตนเองได้ จากนโยบาย ประชานิยม รูปแบบต่างๆ

จากประวัติศาสตร์ อดีตผู้นำในหลายๆประเทศถูกเปิดโปงการทุจริตประพฤติมิชอบ ในหลายๆลักษณะ กว่าประชาชน จะรู้กัน โดยทั่วประเทศ ต้องสูญเสีย ผลประโยชน์ ไปอย่าง มากมาย มหาศาลก่อน กรณีอดีตผู้นำไทย และมหาอำนาจนี้ ความจริง เป็นเช่นใด เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์


สร้างสำนึกางสังคม ก่อร่างกการเมืองบุญนิยม

๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๐ ที่ศีรษะอโศก ได้จัดงานบุญลอมข้าว ครั้งที่ ๑๐ พ่อท่านฯ ได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม จากบางส่วน ที่ได้กล่าวถึง สถานการณ์บ้านเมือง และบทบาท ที่ควรมีส่วนร่วม กับสังคม ที่กำลังเผชิญกับ วิกฤติทางการเมือง อย่างร้ายแรง

พวกเรามีบทบาทลีลา ได้รวมตัวเป็นชุมชน เป็นสังคมเป็นกลุ่มหมู่มีบทบาทที่จะสัมพันธ์ต่อมนุษยชาติ สัตวโลก และทุกอย่าง ในจักรวาล ดินน้ำ ลมไฟ อากาศ พลังงาน ทางฟิสิกส์ ความร้อน แสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้าใดๆ ก็ตาม ทุกวันนี้ ก้าวหน้ามาก เรากำลังจะพัฒนาตัวเราเอง โดยจะต้องรู้จัก ฐานของความจริง ที่ลึกซึ้ง เราย้อนลงมา เป็นคนติดดิน เรารู้ว่า จุดสำคัญของชีวิต ยังอยู่กับดินน้ำลมไฟ อยู่กับอากาศ อยู่กับสมบัติวัตถุ สิ่งแวดล้อมเดิม ส่วนสิ่งที่สร้างใหม่นั้น เป็นพลังใหม่ พลังที่มันกอปรก่อ สังขารขึ้นมา เป็นรูปลักษณ์ จนเกิดหุ่นยนต์ เกิดอะไรขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ ปรุงแต่งขึ้นมา เป็น สังขารที่คนคิด ซึ่งห่างจากชีวิต แล้วก็มีบทบาท ทั้งคุณและโทษ ๒ ด้าน เท่าเทียมกัน ดินน้ำ ลมไฟ อากาศ ที่เป็นธรรมชาติ นั้นโทษไม่มากเท่าสังขาร ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วเอาพลังงาน มาประกอบ ทุกวันนี้นี่ มีทั้งอาวุธ ทั้งเครื่องใช้ เช่น รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เครื่องมือ นานาชนิด จนกระทั่งถึง คอมพิวเตอร์ ก็มีทั้งโทษ ทั้งคุณ ๒ ด้าน ซับซ้อน เราต้องรู้ให้ชัด ใช้เป็นประโยชน์ได้ก็ใช้

จิตคนที่ไม่ได้คิดไปในทางปรานี ทางที่จะประสานจะทำให้เกิดเกื้อกูล ให้เป็นสังคมที่มีสุขสงบ อย่างที่พวกเราทำนี่ มันไม่คิด มันคิดไม่ได้ เพราะความเห็นแก่ตัว ยังไม่ถูกล้าง หรือถ้าคิด มันก็คิดน้อย เพราะมันมีเชื้อ อนุสัยอาสวะ หรือ มีต้นทุนของเชื้อ อยู่ในจิต มันไม่ได้ล้าง และไม่ได้เรียนรู้อย่าง จริงจัง อย่างที่พวกเราทำ โลกใกล้กลียุคแล้ว จึงมีคน เหล่านี้เยอะ เป็นคนที่สอนไม่ได้ เป็นอเวไนยสัตว์ ก็ต้องทำอย่าง อเวไนยสัตว์ ส่วนเรากำลังหามวล หาหมู่เวไนยสัตว์ ที่จะเข้าใจทิศทางนี้ ที่เป็นคนบุญ ให้พยายาม มาพัฒนาด้านนี้ ที่สุดแล้ว คนบุญกับคนบาป ก็จะแยกกันอย่างชัดเจน สุดท้าย คนบาปต่อคนบาป มันก็จะฆ่ากันจนหมด คนบุญที่มีบารมีเพียงพอ ก็จะหลุดรอดได้ ด้วยพลังของบุญ เป็นธรรมะจัดสรร เป็นธัมโม หเว รักขติ ธัมมะจาริง ธรรมจะรักษาผู้ประพฤติธรรม ตามพลังอภินิหารของธรรม อาตมาว่า ทุกวันนี้ กลุ่มของชาวอโศก เป็นกลุ่มอาริยชน เป็นกลุ่มโลกุตรบุคคลแล้ว ยังมีคนที่ไม่เข้าเป็น โลกุตรบุคคลอยู่บ้าง ที่ยังต้องพากเพียร ฝึกปรือ ก็ต้องช่วยกันให้เป็น แล้วสร้างต่อ

เมื่อมั่นใจทิศทางนี้ เป็นมนุษย์ชนิดนี้แล้ว จงพากเพียรอุตสาหะ มันจะต้องทำอย่างเอาจริงเอาจัง เหยาะๆแหยะๆ ไม่ได้ เพราะว่า โลกมันร้อน แล้วก็ประชากร ชาวผี ชาวมาร ชาวซาตานเยอะ สุดท้าย ชาวซาตาน ก็จะมี ๒ พวก เขาจะล้าง จะฆ่ากันเอง แล้วพวกบุญก็จะรอด พวกหนึ่งฝ่ายแดง พวกหนึ่งฝ่ายน้ำเงิน เป็น ๒ ฝ่าย ก็จะฆ่ากันเลย ส่วนเรานั้น เป็นพวกกาชาด เป็นพวกหาอาหารเลี้ยงเขาทั้ง ๒ ฝ่าย ช่วยคนเขาทั้ง ๒ ฝ่าย เขาเจ็บเขาป่วยมา เรารักษา เขาไม่มี อาหารกิน เราทำให้กินทั้ง ๒ พวก เพราะฉะนั้น ๒ พวกนี่ พวกแดงพวกน้ำเงินนี่ เขาไม่ทำร้ายเรา จึงรอด ส่วนเขา จะฆ่ากันเอง ตายพร้อมกัน ตายเกลี้ยง เพราะเขาเก่งยอดกันทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งเร็ว ทั้งแรงพอกัน ไม่มีใครชนะกัน จึงฆ่ากันเกลี้ยง เปรี้ยงเดียว วินาทีเดียว เขาตายพร้อมกันเลย สุดท้ายหมด เรารอด เพราะอย่างนี้ไง นี่คือ ผู้มีบุญเท่านั้น ที่จะรอดได้

ความดี คือ สิ่งที่มันเป็นสัจจะที่ดี เป็นตัวที่เมตตาช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวเลย นั่นคือความดีที่จริงที่เยี่ยม ถ้ายังไม่มาก ก็ต้องฝึกฝนให้ได้มากๆ ส่วนความร้าย นั่นคือ เห็นแก่ตัว มีแต่จะ รุนแรงห้ำหั่นกัน เราไม่ได้เอา เรามีแต่ให้ เราไม่ได้เข้า ไปอยู่ในข่ายคู่แข่ง คู่แย่งกับเขา แถมเราเป็น ผู้เกื้อกูลเขาทั้ง ๒ ฝ่าย โดยสัจจะ ของความเป็นบุญ ผู้มีบุญจริง จึงรอดพ้น ไฟประลัยกัลป์ ที่จะเกิด ได้จริงด้วยความเป็นบุญแท้ๆ

เหตุการณ์บ้านเมือง สังคมทั้งประเทศตอนนี้กำลังเข้าสู่จุดที่เราจะต้องออกไปทำงานแล้วล่ะ แล้วอาตมาก็พยายาม ประสาน ค่อยๆออกมา ทำไมอโศก จะต้องออกไป สู่สังคม และทำไม จะต้องออกไป ต่อสายทางการเมือง เราก็ทำการ สัมพันธ์กับสังคมอยู่ ทางด้านพาณิชย์ ทางด้านสื่อสาร ทางด้านสุขภาพ ทางด้านธุรกิจ เขาก็ยังไม่สงสัยเท่าไหร่ ส่วนการศึกษา ก็งงๆ กันพอสมควร ว่าทำไมจะต้องไปเอื้อม เรื่องการศึกษา ทำไมจะต้องไปต่อ ปริญญาโท ปริญญาเอก ทำไมจะต้องเปิดกว้าง ถึงขนาดนั้น เดิมเราไม่ ส่งเสริม นี่นา เรียนจบ ม.๖ ก็พอแล้ว ไม่ต้องปริญญาตรีก็ได้ หรือใคร จะไปจบปริญญาตรี ก็เข้าใจกัน แล้วก็ไปจบกันมาบ้าง ต่อปริญญาโทบ้าง นิดๆ หน่อยๆ ตอนนี้ส่งเสริม ให้ทุนเลย ไปเรียนปริญญาโท ปริญญาเอกไปเลย ทำไมเอาถึงขนาดนั้น ก็งงๆ อยู่หน่อยหนึ่ง ยังไม่ทันไรเลย เรื่องการเมืองมาอีก ทำไมจะต้อง มีพรรค เพื่อฟ้าดิน จะไปยุ่งอะไร เกี่ยวกับการเมือง ดีไม่ดี จะต้องไปเดินชุมนุมกับเขา ไปร่วม ประท้วงกับเขา

อาตมาดูตามภูมิอาตมานะว่า เราเดินหน้ามาเรื่อยๆใช่ไหม ไม่ใช่เราถอยหลัง เรา ก้าวขึ้นมาๆๆ มาถึงจุดนี้ มันถึงเขตถึงขีด ของมัน ที่เป็นอัตราปฏิภาคทวี จุดหนึ่ง เราก็ต้องพบกับ สิ่งที่ต้องกว้างขึ้น มากขึ้น ขณะนี้ไฟกำลังจะไหม้ประเทศ พลังงานของพรรคการเมือง ที่ชื่อพลังประชาชน กำลังจะเผาผลาญเมืองไทย คือ พลังเผา กำลังเริ่มขึ้นแล้ว สิ่งที่มันเกิด มันเป็นอยู่นี่ ฟังดีๆ เราไม่ได้เป็นตัวจุดชนวนหรอก เราไม่ได้เป็นตัวก่อ หรือตัวผลักดัน อาตมาไม่ได้เป็นคน ผลักดัน การเมือง หรืออะไรทั้งนั้น แม้เรื่องการเกษตร ก็ไม่ได้ผลักดัน แต่อาตมาพยายาม ที่จะให้พวกเราเข้าใจ เกิดภูมิปัญญา แล้วก็ช่วยกันทำ ด้วยความเข้าใจของตนเอง สมัครใจเอง อย่างพอใจ ยินดีเอง

แม้แต่เรื่องทำขยะ ซึ่งไม่อยากทำกันหรอก เชื่อเลย ไม่มีใครอยากทำ แต่เมื่อเราค่อยๆให้ความรู้ ค่อยๆบอกความจริง มาตามลำดับ ค่อยๆ พยายามกระจาย ความเข้าใจ จนกระทั่ง เข้าใจแล้ว แม้จะมีกิเลสความรังเกียจ อย่างทำขยะนี่ เมื่อยังไม่มีเหตุปัจจัยพร้อม มันก็ไม่เกิด แต่พอมาถึงวันนี้ มันถึงทั้งเวลา และพร้อมทั้งเหตุปัจจัย องค์ประกอบ มันก็เห็นว่า ต้องทำ จึงเกิด จึงทำกันอย่างที่เห็น ที่เป็นกันอยู่ เราทำขยะนี่ มันเป็นกรรม ๓Ž หรือเป็นองค์ ๔ ของมรรค Ž(สังกัปปะ -วาจา -กัมมันตะ -อาชีวะ) ที่จะพัฒนา สร้างสัมมาสมาธิ -สัมมาญาณ -สัมมาวิมุติ จะทำให้เราขัดเกลา กายวาจาใจ จนกระทั่ง ไม่มีอัตตา ๓ ไม่มีมานะ ไม่มีกิเลสตัวต้านในจิต แล้วเราก็ทำ อย่างสบายใจ ทำแล้ว ก็ไม่เกิด เชื้อโรค และเราก็มีความรู้ พอที่จะไม่ให้เกิดภัย เหมือนเรามีความรู้ เรื่องไฟฟ้า ถ้าไม่มีความรู้แล้ว ไปยุ่งกับไฟฟ้า ก็มีแต่ตายลูกเดียว นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เป็นรูปธรรม เมื่อเราเริ่ม เราก็จะมีความรู้ไฟฟ้า มีความเข้าใจ ในความเป็นไฟฟ้า แล้ว เราก็เลยอยู่กับไฟฟ้า สามารถเอาไฟฟ้ามาใช้พลังงาน ได้มหาศาลเลย ขยะก็เช่นเดียวกัน มันมีเชื้อโรค มันมีภัย แต่เรามีความรู้ เราเข้าใจ เราก็จัดการกับขยะนั้น ให้มันเป็นประโยชน์ โดยรู้วิธีป้องกัน วิธีรักษาตัว ไม่ให้ขยะ มันมาเป็นโทษ เป็นภัย อะไรกับเราได้ แถมเราได้ละล้าง กิเลสของเรา ด้วยกรรม ๓Ž หรือด้วย องค์ทั้ง ๔ ของมรรคŽ ผัสสะเป็นปัจจัย จะช่วยเราเจริญทั้งกุศลโลกียะ และกุศลโลกุตระ เช่น คอมพิวเตอร์ มันมีโทษมีภัย แต่ก็มีประโยชน์ เรารู้โทษภัย ของคอมพิวเตอร์ เราละกิเลสของเรา จนกิเลสเราหมด แม้มันจะมีภัย อยู่ในคอมพิวเตอร์ แต่ใจเราไม่เอาแล้ว คอมพิวเตอร์ ก็ไม่เป็นภัยกับเรา โทรทัศน์มันก็เป็นภัย แต่ใช้ให้ดี ก็เป็นบุญ เป็นผลประโยชน์ คนที่ไม่รู้โทษของโทรทัศน์ ก็โดนมันมอมเมา มันครอบงำ แต่ถ้าเรารู้ทัน สิ่งเหล่านี้ เรามีภูมิคุ้มกัน โทรทัศน์ก็ทำภัยอะไร แก่เราไม่ได้ เราก็ใช้โทรทัศน์ เป็นประโยชน์คุณค่า ให้แก่ตัวเอง ฉันเดียวกัน การเมืองก็ดี การศึกษาก็ดี การเมือง ก็เหมือนกัน การเมืองที่เลวร้าย การเมืองที่เป็นการเมืองผี ขณะนี้ เราจะทำ ให้เป็นการเมืองพระ เราเข้าใจ เรารู้แล้วว่า การเมืองพระ คืออะไร เราก็จะต้องทำงานรับผิดชอบ (เราก็จะทำให้เป็นเช่นนั้น) ตอนนี้เราก่อหวอดมา แต่ยังไม่ได้ ไปประสาน กับสังคม มีการถามกันถึงขั้นว่า วาระนี้ ขณะนี้คืออะไร ขอบอก....วาระนี้คือ ตัวอโศกจะต้อง ออกไป อาตมาออกไป เต็มตัวแล้วนะ ออกโทรทัศน์บ่อยๆ พูดถึงเรื่อง การเมืองแล้ว

เลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวาคมนี้พวกเราก็ต้องไปออกเสียงไปลงคะแนนเสียง ให้เป็นมวล มันมีภาวะซับซ้อนอยู่คือถ้า No vote นี่เลิกเลยนะ ไม่เอานะ นอกจาก ห้ามนอนหลับทับสิทธิ์แล้ว อย่าโนโหวตด้วย คนที่มีสิทธิ์ ต้องไปออกเสียง

ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ไปพบอาตมาที่สันติอโศก ไม่ได้คุยกันมาก แนวคิดของท่านคือ น่าจะเลื่อนเวลาเลือกตั้ง ออกไป ตอนแรก อาตมาก็คิดว่า ไม่น่าจะเลื่อน แต่ตอนนี้ ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ให้ท่านทำ เพราะว่าในแนวลึก ในรายละเอียด ต่างๆ เห็นตรงกันหมด ที่จริงแนวคิดของ ดอกเตอร์ปราโมทย์นี่ดี ตรงที่ว่า จะได้มาปรับรัฐธรรมนูญ มาตรา ที่ไม่ดี ให้ดีๆก่อน แล้วค่อยเลือกตั้งกันจริงๆ ถ้าตั้งใจทำ อย่างงั้นจริงๆ มันก็มีความเรียบร้อย ถูกต้อง ดีที่สุด แต่มันคงไม่ได้

ดอกเตอร์ปราโมทย์ท่านบอกว่าจะพยายามเลื่อนเลือกตั้ง ด้วยวิธียับยั้งให้เป็นปฏิกิริยา เราจึงต้องทำด้วย เพราะว่าทำอย่าง เชิงของท่าน เราก็ทำได้โดย เขียนความเห็นของเรา ส่งไปที่ตู้ปณ.๑๙ และมีสำเนา บัตรประชาชนไปด้วยนะ บอกเรา ไม่เห็นด้วย ที่จะต้องให้เลือกตั้ง วันที่ ๒๓ นี้ ถ้าจะเขียนเหตุผล ท่านก็มี ๘ ข้อว่า ทำไมถึงควรเลื่อนเลือกตั้ง แต่มันยาวนะ แล้วเซ็นชื่อ สำเนาบัตรประชาชน ก็เซ็นชื่อของเราด้วย แล้วก็ส่งไป ตู้ปณ.๑๙ ให้ได้ ๕ หมื่นชื่อ แล้วจะสามารถเสนอ ขอยับยั้ง ไม่ให้เลือกตั้ง แล้วขอแก้ รัฐธรรมนูญ นี้คือประเด็นของ ดอกเตอร์ปราโมทย์ ถ้าเผื่อว่า ยับยั้งเป็นปฏิกิริยาสังคม ชนิดหนึ่ง เราก็มีวิธีของเรา อย่าง วีระ สมความคิด ไปยื่น ไปยื่นเรื่องให้แก่ กกต. เพื่อให้ยุบพรรค พปช. ที่ทำผิด เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า กกต. มีเหตุปัจจัยไม่พอ กกต.ตอนนี้มีหลักฐานพอ ที่จะฟ้องยุบพรรค พปช.ได้ นี่คือ กติกาของ นิติศาสตร์ ทำได้ทันที แต่ กกต. จะต้องเอาเรื่องว่า เขามีสิทธิ์ นี่เป็นหน้าที่ ของเขา ตกลงขอฟ้องศาล ปปช.ฟ้องยุบพรรค เท่านั้น มันก็ไม่ได้เลือกตั้งแล้ว วันที่ ๒๓ นี้ไม่เกิดแล้ว กกต.ทำได้ แต่ทำไม กกต.ยังไม่ทำ

ถ้า กกต.นี่ จะทำแบบที่เรียกว่าบ้าจี้ เขาจี้ให้ฟ้อง ก็ทำเลยนี่ พวกนั้นร้องเลย กกต.รังแก ใช่ไหม เหตุปัจจัยยังไม่พอ เรื่องยังไม่เข้าไคลที่ว่า จะต้องไปฟ้องเขาทำไม ถ้า กกต.ทำเรื่องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ กระแสทางนั้น จะร้องเลยว่า เขาถูกแกล้ง ประชาชนก็สงสาร กกต.ถึงต้องระมัดระวัง แต่ขณะนี้ ด้วยเหตุปัจจัยของ นิตินัยแล้วนี่ ทำได้ทันที กกต. มีสิทธิ์ที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ได้ทันทีเลย มันมีข้อมูล มีหลักฐาน มีเรื่องราว ตั้งไม่รู้กี่เรื่อง ที่จะฟ้อง ให้ยุบพรรค พปช. ได้ โดยหลักฐานของ นิติศาสตร์ แต่ทำไม่ได้เพราะ นี่คือเรื่องของรัฐศาสตร์ เรื่องของสังคม เพราะฉะนั้น เราจึงต้องอาศัย เหตุปัจจัย

ต้องมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำ เพราะฉะนั้น กกต.นี่จะทำงานนี้ได้ ก็ต้องมีเหตุปัจจัย มี ปฏิกิริยาสังคมที่เพียงพอ เราจึงต้อง เป็นตัวที่ ทำให้เกิด ปฏิกิริยาสังคมนี้ เข้าใจไหม ตอนนี้ หนุ่มสาวของพวกเรา เข้าใจแล้ว ตื่นตัวขึ้นมาแล้วนี่ ก็ตัวคีย์แมน คนหนึ่งนะนี่ ประธานสมาคม นายกสมาคมศิษย์เก่า รุ่นหนุ่มรุ่นสาวนี่ ให้ออกมาเป็นมวล อาตมาว่า อย่างน้อย ก็ติดเชื้อ นิดหน่อยแล้ว จุดไฟติดแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้อย่ามาทำเป็น หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็น ทำเป็นหลับสัปหงก ไฟจะไหม้หัว ตายอยู่แล้ว ต้องรีบเอาไฟ ออกจากหัว เพราะว่า ตอนนี้มันเร็ว ระยะสั้นมากเลย จะต้องสดับตรับข่าว แล้วติดตามเรื่อง และ จัดการให้ดี จึงต้องสำเหนียก ให้ดีเลยว่า อะไรจะเกิดขึ้น อาตมาถึงบอกว่า ของดอกเตอร์ ปราโมทย์นี่เอาด้วย มอบหมายแล้วนะ พยายามติดต่อว่า จะให้ทำอย่างไร เราจะทำทุกจุด ที่จะเป็นจุดเคลื่อนไหว เรื่องคุณวีระ ก็ต้องทำ

พูดให้เข้าใจ ให้รู้ตัว ให้สัญญาณแก่พวกเราให้รู้ว่า เราอยู่ในสังคมนี่ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่อยู่ในป่า ในรู อยู่หลังเขา พุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนา ทันสมัย และนำสมัย อาตมากำลังพา พวกเราให้เป็นพุทธที่แท้ เป็นพุทธ ที่จะต้อง ปฏิบัติตน ให้เป็นไปอย่างนี้ แล้วมันจะเจริญ ในแบบบุญนิยม เจริญในแบบ บุญญาธิการ ไม่ใช่เป็น เดชาธิการ ไม่ใช่เป็นพวกที่ใช้ อำนาจของพระเดช แต่เอาพระคุณ เอาบุญไปสร้างมนุษยชาติ สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของ กรรม ของการกระทำ เป็นเรื่องของ กิริยาอาการ ของคน เกิดบาป เกิดบุญ อยู่ในตัวผู้ทำจริง เราทำสิ่งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เราทำเพื่อ มวลมนุษยชาติ เป็น พหุชนหิตายะ เป็น โลกานุกัมปายะ สร้างความสุข ที่เป็นสุข อันวิเศษ เป็น พหุชนสุขายะของมนุษยชาติ อย่างแท้จริง แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่อง ทุกข์ของประเทศไทย เราเป็นคนไทย เราทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ของประเทศไทย เราไม่ได้ทำเพื่อ ประโยชน์ของอโศก แคบๆ จริงๆเราเสีย ด้วยนะ อโศกต้องเสีย ทั้งแรงงาน เงินทอง และเวลา ถ้าเราไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ เราก็ทำมาหากินไป เอาแต่เรื่องของอโศก เราก็ไม่เหนื่อยเพิ่ม เราก็ไม่เสียอะไรเลย แต่เราทำไม่ได้ ถ้าเอาแต่หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็นนี่ ไฟมันกำลังไหม้บ้าน ไหม้เมือง มันไหม้เราด้วย เราจึงต้องไปช่วย ดับไฟก่อน แล้วค่อยมา ปลูกผัก ถ้าไฟไหม้เราตายแล้ว จะเอาร่างกายที่ไหน มาปลูกผัก ส่วนพวกที่ดึงไม่ขึ้น มันอยากเอาแต่ปลูกผัก หรือ ว่ามันไปก็ไม่ได้หรอก มันแก่ หรือว่ามันจำเป็น จะต้องอยู่ ก็เอาเถอะ อยู่ปลูกผักไป หรือพวกที่ ถ้าไปรบกับเขาแล้ว จะไปรวนด้วย เดี๋ยวต้องเป็นภัย ภายใน แทรกซ้อนยังงี้ ก็อย่าไป ให้เราต้องยุ่งยาก ซ้ำซ้อนเลย ทิ้งให้เขาปลูกผัก อยู่ทางนี้ อย่างน้อยแกะกระเทียม หอมข่า อยู่ตรงนี้ดีกว่า ไม่ต้องเสียแรง เพิ่มอีก ให้เขาทำตรงนี้ มันถูกสัดส่วนของมัน แต่พวกที่มีเรี่ยวมีแรง มีกำลัง ต้องออกไป สู่ระดับนี้ ต้องไปทำ เราต้องการ แรงงาน ที่จะต้องสมเหมาะ กับสังคมในขณะนี้ จังหวะนี้ โอกาสนี้ ต้องทำ เรื่องนี้เป็นสำคัญ

ครั้งนี้ อาตมาไม่ได้เป็นคนก่อหวอดนะ พวกหนุ่มสาวเขาดำริกันเอง แล้วเขาก็จุดไฟกัน รวมตัวกันได้ ก็มาบอก อันนี้อาตมาถือเป็น เครื่องเช็คบารมี พวกเราว่า พอมันถึงคราว ของมัน มันก็มีเหตุปัจจัย ให้หนุ่มสาว ได้สำเหนียก ถึงหน้าที่ต่อประเทศชาติ เป็นเรื่องของสัจจะ ที่จะต้องเป็น เมื่อมีบุญบารมี ถึงคราว ก็ต้องเกิด เป็นเรื่องของ เหตุการณ์ ที่มันต้องเกิด นี่คือ บอร์นทูบี (born to be) สิ่งที่จะต้องเป็น หรือเรื่องนี้อาจเป็น whatever will be will be อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เราไม่ได้เป็นผู้ ไปก่อเหตุนะ เราไม่ได้เป็น ผู้สร้าง เพราะฉะนั้น born to be มันจะเกิด มันก็ต้องเกิด เมื่อมันเกิดแล้ว เราต้องเป็นต้องมี อันนี้ถามว่า เหตุการณ์นี้ มันเกิดแน่ใช่ไหม แล้วเราจะถอย หรือเราจะรับ อย่างไร เหตุเกิดแน่ แม้เราถอย มันก็ถึงเรา เพราะเราก็มีส่วนมาแล้ว ในสังคม เขารู้จักเราดี เขาไม่รู้หรอกว่า เราไม่ได้เป็น ศัตรูของเขา เราทำหน้าที่คนดี เขาไม่รู้

ฉะนั้น ยังไงพลังส่วนใหญ่นี่ต้องตั้งหลักรับ ตั้งอยู่กับที่ ไม่มีถอย ผู้อยู่กับที่อยู่ไป ไม่ได้เสียพลัง ก็ทำในสิ่งที่ทำได้ ส่วนผู้รับ ก็รับในระดับ ผู้ที่ได้ฐานะแค่รับ ใครอยู่ในฐานะรุก จงรุก มันช้าไม่ได้แล้ว เราต้องเร็วด้วย เพราะสถานการณ์ มันเร็ว แถมมาแรง แซงมาอีกด้วย เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้สถานะ รู้เหตุการณ์ที่มันเกิดอยู่ ขณะนี้ เราต้องทำ อย่างที่ควรทำ ไม่ใช่เราไปทำ อย่างรุนแรง น่าเกลียด หรือหยาบคาย ไม่ใช่ เราเป็นผู้ที่มีปัญญา เราจะทำอย่างสุภาพ นิ่มนวล เราจะทำอย่างผู้ดี ทำตามความเป็นคนดี คนมีธรรมะของเรา อย่างแท้จริง ได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น

มีคนท้วงมาที่อาตมาออกโทรทัศน์เมื่อวันพุธที่แล้วที่สันติอโศก ส่งมารายการสด บอกว่า พ่อท่านไม่ควรจะเอาอโศก ไปเปิดตัว ปล่อยเขาทำกัน ไปเองเถิด มันแรง เขารู้แล้ว แต่มันแรง ถึงขั้นที่เราจะต้อง ไปร่วมไหม เราไม่ใช่เห็นแก่ตัว ปล่อยให้คนอื่นทำ มันแรงมา คุณทำไปเถอะ คุณตายแล้วฉันก็หนี ขุดรูหนี อาตมาว่า มันไม่ควรทำนะ ถ้าเราพอมีเรี่ยว มีแรง พอทำได้ก็ทำ ถ้าเรามั่นใจ ในธัมโม หเว รักขติ ธัมมะ จาริง ธรรมจะรักษาผู้ประพฤติธรรม ส่วนผู้ที่มีบาปมีเวร เขาจะปะทะกันตาย เราจะรอดมา โดยที่ เราไม่รู้หรอก มันเป็นเรื่องที่เป็น อจินไตยนะ แต่ขอให้เราทำ อย่างในลักษณะ ที่อาตมาว่า เราเป็นกาชาด เราเป็นกองพลาธิการ ที่ให้กำลังชีวิต ให้อาหาร ให้สิ่งที่บรรเทา ความลำบาก แก่ทั้ง ๒ ฝ่าย ปัจจัยต่างๆ ที่คุณขาดแคลน ไม่มีอาหาร เราจะทำอาหารไปส่ง คุณไม่มีที่พัก ไม่มีที่หลบแดดหลบฝน คุณก็มาพักกับเรา คุณเจ็บป่วยมา เรารักษา หาหยูกหายา รักษาให้คุณ ปัจจัยสี่ เราช่วยหมดเลย แต่เราไม่หาปืนให้คุณนะ เราจะช่วย ในเรื่องที่สำคัญ ของมนุษยชาติ เท่านั้น เราจะเป็นกาชาด เราจะเป็น กองพลาธิการ ที่จะช่วยคน ทั้งสองฝ่าย ไม่เลือกหน้า มีความเป็นกลาง ไม่อคติ ช่วยทั้ง ๒ ฝ่าย ขอให้มาอยู่ในฐานะนี้ แต่จะให้พวกเราเป็น นางโมรา จะยื่นมีด ให้ใครดีหว่า จะให้สามี หรือว่าจะให้โจร ไม่เอา เราไม่เห็นว่าเป็นโจร เราไม่เห็นว่าเป็นสามี เราเห็นเป็นคุณเอง คุณทำของคุณ คุณจะฆ่าแกงกัน เราไม่นิยมยินดี แต่ห้ามคุณไม่ได้ คุณไม่ฟัง คุณรบกัน ฆ่ากัน เจ็บมา เรารักษาให้ ไม่มีเวลาทำอาหาร เราจะทำอาหารให้กิน แต่เราไม่เอาคอนเสิร์ต ไปบรรเลงให้ตีกัน หรือเป่าปี่เป่าแตร เชิดให้ตีกันใหญ่หรอกนะ แค่ต้อง ปล่อยคุณตีกัน เพราะเราห้ามแล้วไม่ฟัง คุณก็ตีกันไป เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ อาตมาอธิบาย เป็นรูปธรรมพวกนี้ให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็ขอเตือนเด็กๆ หนุ่มสาว ตอนนี้ให้สัญญาณแล้ว หนุ่มสาวจะมาบอกว่า ไม่เอาหรอก เรื่องของโลก เรื่องของสังคม เรื่องของการเมือง อย่าไปยุ่งไปเกี่ยว กับมันเลย มันบ้าๆ บอๆ ก็เราจะไปบ้า กับมันทำไมล่ะ ก็มันบ้า ก็บ้าไปสิ การเมืองบ้า เพราะมันก็ทำอย่างบ้าๆ แต่เราจะทำการเมือง ดีๆ เรามีมวลที่จะทำ มีผู้นำ มีผู้ที่จะปรึกษา หารือ ถ้าไม่มีใคร อาตมาก็ยังไม่ตาย เชื่อไหมล่ะว่า อาตมาพอมีความรู้ เรื่องการเมือง ก็มาปรึกษา หารืออาตมาได้ อาตมาว่า อาตมานี่แหละ เป็นต้นขั้วของการเมือง แบบบุญนิยม เป็นการเมืองบุญ ไม่ใช่เป็นการเมืองบาป เป็นการเมือง ที่จะทำงาน กับสังคม ประชาชน ประชาชาติ อย่างมีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ เพราะว่าการเมือง คือการไปช่วย ประชาชน ไม่ใช่เรื่องการบ้าน ไม่ใช่เรื่อง เฉพาะครอบครัว เรื่องของสังคมประเทศ คนสมัครเข้าไปทำการเมือง คือการอาสา ไปช่วยสังคม คนอาสา คือคนทำงานฟรี คนที่สมัครใจ เสียสละตัวเอง เหน็ดเหนื่อย หนักหนา ก็ตามใจสมัคร คนเสียสละ คือคนไม่เอาลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข นั่นคือ อาสาสมัคร (Volunteer) คนตั้งใจ เข้าไปทำงาน เพื่อสร้างประโยชน์ ให้แก่ส่วนรวม โดยตนไม่เอาเปรียบ เสียสละนี่คือ ไม่เอาเปรียบโดยตนสละให้ ทั้งแรงงาน และความรู้ โดยไม่เอาอะไร มาแลกเปลี่ยน เพียงมีปัจจัย พออาศัยยังชีพบ้าง ก็พอแล้ว ยิ่งพวกเรานี่ ทำถึงขั้นสาธารณโภคี ไม่เอาลาภแลกลาภ ไม่แลกยศ ไม่แลกสรรเสริญสุข เป็นลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา ด้วยซ้ำ ใช่ไหม เราเป็นคนจริง เช่นนั้นหรือเปล่า

ขณะนี้ประเทศต้องการเรา ตอบไปแล้วว่า ทำไมต้องเป็นเรา เราต้องกอบกู้และช่วยเหลือไทย เพราะไทยเป็นถิ่นอาศัย อาตมาบอก อจินไตยได้ว่า พวกเราจะเกิด เป็นคนไทย อยู่อีก หลายร้อยชาติ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้หลงตัว หลงตนนะ อาตมาว่า อโศกจะมาทำงาน เพื่อมวลมนุษยชาติ ก็ต้องกอบกู้ ประเทศไทยก่อน กอบกู้ความเป็นไทยก่อน ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจทางบุญ ไม่ใช่ทางเดช ไม่ใช่ทางอาวุธ ฟังไว้ให้ดี แล้วอาตมาจะขยายความ ในอนาคตว่า จอมจักรพรรดิ ที่แท้จริง ต้องเป็น จอมจักรพรรดิ ทางบุญนิยม ทางบุ๋น ไม่ใช่ทางบู๊อย่างเจงกิสข่าน หรือ อเล็กซานเดอร์ แต่เป็นจอมจักรพรรดิ ทางบุ๋น ที่มีเมตตา เกื้อกูล มีสาราณียะ มีการช่วยโลก ด้วยน้ำใจ ด้วยความสุภาพ เรียบร้อย ด้วยสันติวิธี ด้วยคุณค่า เนื้อแท้ของความเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสังคมชาติ สังคมโลก เป็นการช่วย ในส่วนสัด ที่ดีงาม

ต่อไปเราจะปลูกข้าวเลี้ยงโลก เราจะเก็บขยะให้โลก เราจะพยายามช่วยเหลือ แม้คุณตีกัน เราก็ช่วยเหลือ รักษาดูแล บาดแผล ถ้าตาย ก็ช่วยเผา ช่วยเก็บศพให้ อาหารการกินไม่มี เราจะสร้างให้ จะเป็นคนชนิดนี้ อย่างแท้จริง มีใจจริง ลึกๆเลย ไม่ไปเอาเปรียบใคร หนึ่งเราพึ่งตนรอด แต่ละคนๆ ช่วยตนให้รอดได้ เมื่อเหลือแล้ว ก็เกื้อกูลคนอื่น ในส่วนที่เหลือ ไม่กัก ไม่เก็บ ไม่ตุน เพราะเรามีระบบ ช่วยเหลือเผื่อกัน พวกเราจะทำเกินตัวกิน ทำเกินตัวใช้ เกินกินของตนเอง เพราะเรา พึ่งตนรอด และมีส่วนเกิน แล้วแบ่งแจก ผู้อื่นต่อๆไป ไม่นิยมเอาเปรียบ ไม่นิยมสะสม นิยมแจกออก เผื่อแผ่กัน เสียสละออก เลี้ยงดูกัน รักกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตาย กันจริงๆ เคารพคุณธรรมกัน อบอุ่น เป็นสุข อันนี้เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ ที่สมบูรณ์แบบ

ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาที่หลายประเทศจะไปเอาอย่าง อาตมาบอกให้เลย ว่าอเมริกา เป็นประเทศที่ไม่มีต้นราก เป็นประเทศเอาคนชาติไหน ต่อชาติไหนไม่รู้ มารวมกัน แล้วก็ไปปล้น ประเทศอื่น อาตมาไม่ใช่ นอสตราดามุส แต่อาตมา พยากรณ์ให้เลย อเมริกานึกว่าตนเยี่ยม ไปไม่นานกี่ร้อยปีหรอก เพราะประเทศไร้ราก มีแต่ต้นแต่ตอ ตัวตนของตน เขาต่างหลงสุข ติดสุขที่ปรุงแต่ง หน้าใหญ่ใจโต วิญญาณลึกๆที่รักคนในชาติเดียวกัน ไม่เหมือนประเทศ ที่มีราก


 

ประชาธิปตยร่างทรงอุดมเล่ห์ ประชาธิปไตยอุดมคติที่ใฝ่ฝัน

๒๕ ธ.ค. ๒๕๕๐ ในรายการประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาว ได้นิมนต์พ่อท่านฯไปแสดง ความเห็นเกี่ยวกับ ผลการเลือกตั้ง และประชาธิปไตย ในทรรศนะของ พ่อท่านฯ จากบางส่วน ของรายการดังนี้

พิธีกร : ผลการเลือกตั้งวันที่ ๒๓ ธันวา ประชาชนผู้ชมทางบ้าน ก็คงจะรู้แล้วนะฮะว่า พรรคไหนได้รับ คะแนนเสียง มากที่สุด จากผลการเลือกตั้ง ครั้งนี้ พ่อท่านฯ มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ

พ่อท่านฯ : (หัวเราะ) อ้าว ก็เห็นอย่างที่ทุกคนเห็นล่ะ ผลมันเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่ามัน ไม่ใช่ประชาธิปไตย อาตมายิ่งเห็น ความเลอะเทอะ ของการเมืองไทย ที่ว่า มันไม่เป็นประชาธิปไตย ก็ตรงที่ว่า ผู้ไปอาสาลงสมัคร เป็นผู้แทน เป็นตัวแทน ของประชาชน ที่จะเข้าไปเป็น ส.ส. เนี่ยนะ ต้องมีการหาเสียงเนี่ย มันก็ยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย การบอก ขอให้มาเลือกฉัน มาเลือกฉันŽ แค่นี้ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้ว นี่ความเข้าใจด้านรัฐศาสตร์ ของอาตมา ของคนอื่นอย่างไร อาตมาไม่รู้ แต่เขาจะมีเหตุผล อะไรต่อ อะไร หรือ ความอนุโลมว่า ต้องจำเป็นให้หาเสียงก่อน อะไรก็ตามใจเขาเถอะ แต่อาตมาว่า มันยังไม่ใช่ ประชาธิปไตย มันยังไม่ใช่ เสียงของประชาชนŽแท้จริง เป็นแค่เสียง ที่คุณไปขอŽจากเขา ไปคุยโม้โอ่อวด ดีไม่ดีหลอกเขา เขาไม่ได้รู้จักคุณจริง ยังไม่ได้เลือกคุณจริง ยังไม่ใช่เสียงแท้Ž

นอกจากหาเสียงแล้ว ยังใช้เล่ห์กล ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้เงินใช้ทองซื้อ แล้วไปอวดตัวอวดตนว่า ฉันจะต้องไปเอา นโยบายอะไร ไปอวดอ้าง แล้วนโยบายนี่ ขอพูดตรงๆเถอะ อาตมาตั้งแต่ เห็นการเมืองมา จนถึงวันนี้เนี่ย ยังไม่เห็น มีนโยบาย ของเจ้าไหนเลย ที่จะบอกประชาชนว่า ถ้าเราได้ไปเป็น ผู้บริหารแล้ว เราจะดำเนินการ สร้างคนŽ จะช่วย ทำให้คนดี มีคุณธรรม เป็นพลเมืองดี ของประเทศ แล้วจะได้อยู่กัน อย่างเป็นสุขสงบ จะให้ความรู้ความสามารถ แก่คน อย่างน้อยที่สุด ก็ให้ความรู้ ความเข้าใจ หรือ ให้เข้าใจว่า ประชาธิปไตย คืออย่างไร ประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ไปเลือกตั้ง แล้วก็จบ มัน ไม่ใช่ ประชาธิปไตยหมายถึงอิสระ เสรีภาพ ทุกคนมีอิสระ เสรีภาพ ยิ่งในระบบ ประชาธิปไตย ทุกคน จะต้องมีสิทธิเสรี มีสิทธิที่จะต้อง มีสัดมีส่วน ในการที่จะรับรู้ ปัญหาบ้านเมือง รับรู้ในผู้ที่เราให้เป็น ตัวแทน หรือ ให้เป็นผู้ไปบริหาร แม้แต่ข้าราชการจริงๆ ก็ตาม ไปทำงานให้แก่สังคมนี่ เขาไม่ใช่เป็นเจ้า เป็นนายของประชาชน แต่ประชาชน เป็นนายของข้าราชการ เพราะรับภาษี กินภาษี แล้วมารับใช้ประชาชน ข้าราชการเนี่ย จะต้องรับใช้ ประชาชน ไม่ใช่นายของประชาชน ไม่ใช่ผู้อยู่เหนือ ประชาชน ไม่ใช่เจ้าคน นายคนจริงๆ แต่ประชาชน ไม่รู้อันนี้เลย และนักการเมืองเอง ก็ไม่ทำตน เป็นคนรับใช้ ประชาชนจริงเลย ทำตนเป็นเจ้าคนนายคน มาตลอด ทุกวันนี้ข้าราชการ ก็เป็นนายประชาชน ยิ่งเป็นข้าราชการการเมือง เข้าไปอีก ก็ยิ่งไปเบ่งอำนาจ ใหญ่เลย ยิ่งไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างมหาศาล ยิ่งผู้ที่อาสานี่ รับอาสาจะไป เป็นผู้รับใช้ประชาชน จะไปทำงาน ให้แก่ประชาชนเนี่ย มันยิ่งจะต้อง เป็นผู้ที่จะต้อง รับใช้จริงๆ ไม่เห็นแก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาไม่สอนประชาชนจริง ไม่ให้ความรู้เรื่องนี้จริง เขาไม่รู้จักประชาธิปไตยจริง

ในอุดมคติของอาตมานี่ ผู้ที่จะอาสาไปรับใช้ประชาชนเนี่ย จะต้องรับใช้จริงๆ ไม่รับรายได้ เลย ผู้อาสาเข้าไปทำการเมือง ต้องไม่เป็นอาชีพเลย ต้องให้ประชาชน เลี้ยงไว้ หรือ รัฐมีสวัสดิการเลี้ยงไว้ ไม่ใช่ตั้งรายได้ให้ยิ่งสูงไว้ จะได้ไม่โกง นักการเมือง ต้องซื่อสัตย์ ถ้าประเทศที่ยังหาวิธีแก้การโกงอยู่ ยังไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยหรอก ถ้าผู้รับใช้ประเทศ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ เป็นคนจน เป็นคนทำงาน รับใช้จริงๆ รับรอง คนจะเลี้ยงดู อุ้มชูไว้

คนที่ไม่รับเงินเดือนเลย ให้ประชาชนเลี้ยงไว้ หรือว่ารัฐก็มีสวัสดิการ สำหรับที่จะให้แก่ผู้ที่ไปอาสา เป็นผู้แทน ของประชาชนนี่ จะเป็นประชาธิปไตย ที่ชัดเจนที่สุด เพราะงั้น รัฐต้องเลี้ยง ผู้อาสาเหล่านี้ ไว้ โดยไม่ต้องเอาเงิน ไปใส่มือเขา แล้วผู้อาสา ก็ต้องเสียสละจริงๆ ข้อสำคัญ ผู้ที่จะไปเป็นผู้แทนจริงๆ นี่จะต้องไปเป็นผู้ที่ เสียสละ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีกิเลสน้อย หรือ ไม่มีกิเลสเลย

ระบอบประชาธิปไตยแบบนี้นี่ เป็นระบอบที่เยี่ยม ผู้ที่จะไปทำงานให้แก่ประชาชน จะต้องไม่มีตัวตน จะต้องไม่มี ตัวกูของกู จะต้องไปช่วย ประชาชน จริงๆ นี่เป็นสุดยอด แต่เมื่อ ไม่ถึงขนาดนั้น อย่างน้อยก็จะต้อ งเป็นระดับ อาริยบุคคล คือเป็นคนที่ กิเลสน้อย ระดับตั้งแต่ โสดาบันขึ้นไป จึงจะคู่ควร ที่จะทำงานนี้ ให้สังคมที่แท้จริง การไปอาสา หรือว่า ไปช่วย ผู้จะไปบริหารก็คือ ไปทำงานรับใช้ ไป ปกครองก็คือไปทำงานให้ประชาชน ต้องไม่ทำงาน อย่างเห็นแก่ตัว หรืออย่างเห็นแก่พรรคพวก จึงจะเรียกว่า เป็นประชาธิปไตย ที่แท้จริง แต่ในโลกขณะนี้ ประชาธิปไตยที่แท้ ยังไม่เกิด

พิธีกร : แต่ ณ เวลานี้ ความเข้าใจของประชาชนคนไทยเอง ก็เข้าใจว่าการเลือกตั้งนี่คือ สุดยอดของ ประชาธิปไตย

พ่อท่านฯ : นี่เข้าเป้าเลย นักการเมืองที่เข้ามาบริหารไม่เคยมีนโยบายสร้างคนให้รู้จัก ประชาธิปไตย ไม่มีใคร ตั้งนโยบายว่า ต้องให้การศึกษาคน สร้างที่คน ไม่ใช่ไปสร้างที่ เศรษฐกิจ ไม่ใช่ ไปสร้างแต่เงิน แต่ทอง ที่ผ่านมา เรามีแต่นักสร้างประชานิยม ทำทุกอย่างเพื่อเอาใจคน ให้มาชอบฉัน อันนี้มันวิธีการเล่ห์กล ที่จะให้มาชอบฉัน เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ การไปบริหาร มันเป็นการสร้างลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันแค่งานอาชีพ เลี้ยงชีวิต ตัวเองต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โดยตรง แล้วก็ทำให้คน ชื่นชม ชื่นชอบ เพื่อหาประโยชน์ ให้แก่ตน มันไม่ได้เสียสละ มันไม่ได้ ให้ความรู้ ประชาธิปไตย มันไม่ได้มากระทำงานประชาธิปไตย ไม่ได้มาช่วยประชาชน แต่มาอาศัย ประชาชนหากิน

การจะช่วยประชาชนนี่ หนึ่งต้องให้ประชาชนนั้น รู้จักประชาธิปไตย ให้การศึกษาจนรู้ว่า ประชาธิปไตยนั้น ไม่ใช่มีแค่ เลือกตั้ง มันจะต้องสอน ให้เขารู้จัก สิทธิต่างๆ เพราะประชาธิปไตย จะต้อง รู้จักสิทธิของมนุษยชน จะต้องมีสิทธิอะไร ต่ออะไร แค่ไหน จะต้องรู้จักอิสระ เสรีภาพ จะต้องมีอิสระเสรีภาพ เต็มที่ ไม่ใช่ถูกเขา ครอบงำ ไม่ใช่ถูกเขา กำหนดอะไร ต่างๆนานา

การที่จะบริหารประเทศ นักปกครองบริหารเนี่ย จะต้องเข้ามามีนโยบายสร้างคน ให้การศึกษา เป็นเอกเลย กระทรวงศึกษา ต้องยิ่งใหญ่ ให้การศึกษาแก่คน ตั้งแต่ให้การศึกษา ที่ให้คน มีศีลธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต ให้คนรู้เรื่อง ประชาธิปไตย แล้วก็การศึกษา ที่จะพึ่งตนเองรอด นี่ก็เรื่องเข้าหาเศรษฐกิจ ที่ต้องทำงาน ทำการเป็น รู้จักสัมมาอาชีพ แต่จะต้อง มีคุณธรรมเป็นหลัก รู้ว่าอะไรเป็นอบายมุข อะไรเป็นเรื่องเหลวไหลในสังคม อะไรที่มนุษย์ ไม่ควรแตะต้อง อย่างงี้เป็นต้น แต่นโยบายหลัก ต้องสร้างคนŽ จึงจะเป็น ประชาธิปไตย ที่ยั่งยืน ถ้าไม่สร้างคน ได้แต่ครอบงำ ทางความคิด แล้วก็ได้แต่บริหาร ให้คนโง่ ลง ก็อย่างที่เคยพูดกันน่ะว่า นักบริหารปกครอง เขาไม่อยากให้คนฉลาดหรอก เขาให้คนโง่ เขาจะได้ครอบงำง่ายๆ ทำมาหากินได้ สร้างอำนาจอยู่รักษาอำนาจ ไปอีกนานๆ นี่ก็รู้กันดีอยู่ เพราะฉะนั้น นี่คือความไม่จริงใจ ของนักการเมือง นอกจากไม่จริงใจ ก็อาจจะเป็นว่า ไม่มีความรู้ ไม่เป็นนักรัฐศาสตร์ ที่แท้จริง เพราะงั้น จึงไปบริหารบ้านเมือง ไม่อยู่ในระบบ ที่จะต้องสร้างคน คำตอบมันไม่ได้อยู่ที่เงิน คำตอบ มันไม่ได้อยู่ที่วัตถุ คำตอบมันอยู่ที่คน ถ้าสร้างคนสำเร็จแล้ว ทุกอย่างเจริญตามหมดแหละ

พิธีกร : มีปรากฏการณ์ทางสังคม ตั้งแต่ไปขับไล่ระบอบทักษิณ แต่ในฝ่ายของระบอบ ทักษิณก็พยายามจะยื้อยุด กลับมาสู่สังคมไทย เหมือนเดิม โดยใช้กลวิธีต่างๆ ล่าสุด นี่ก่อนการเลือกตั้ง พ่อท่านฯ ได้มีการแนะนำ แล้วก็เลือกฝ่าย ที่น่าจะถ่วงดุล กับอำนาจของ ระบอบทักษิณ หรือพรรคที่ประกาศตัว เป็นตัวแทนของ ระบอบทักษิณ ใช่ไหมฮะ ในขณะที่สังคม กำลังเรียกร้อง ความสมัครสมาน สามัคคี ความปรองดองกัน พ่อท่านฯ เลือกข้าง มันเหมือน ทำให้สังคมแตก เป็นสองฝ่าย พ่อท่าน จะอธิบายตรงนี้ ยังไงครับ

พ่อท่านฯ : ความแตกเป็น ๒ ฝ่ายนี้เป็นสัจธรรม ถูกกับผิด ดีกับชั่ว เป็นสองฝ่ายแน่นอน ควรกับไม่ควร เป็น ๒ ฝ่ายแน่นอน ที่ร่ำร้องกันว่า สมานฉันท์ๆ กันอยู่นี่ อาตมาเข้าใจ คนที่เขา เข้าใจผิด เข้าใจอยู่ว่า สังคมเข้าใจผิด แม้แต่คำว่า ความเป็นกลางก็ดี สมานฉันท์ก็ดี เขาก็ยังเข้าใจหลวมๆ ผิดๆ อยู่เยอะ เพราะฉะนั้น ถ้ายังจำได้ ตอนออกไปสู่ การชุมนุมนั้น หนังสือที่เราพิมพ์ไปแจก หลายหมื่นเล่ม เล่มสีเขียวๆ บางๆ ว่าด้วยความเป็นกลาง ต้องเข้าข้างคนดี อาตมาออกไปชุมนุม แล้วก็ระดม ให้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ออกมา หลายหมื่นเล่ม ออกไปแจกจ่าย ตอนนั้นเลย ในการชุมนุม คราวนั้น เพื่อที่จะแก้ความเข้าใจผิด ของคนว่า ความเป็นกลาง ไม่ใช่การ อยู่ตรงกลาง ระหว่าง คนถูก กับคนผิด หรือ เอาความถูก -ความผิด มารวมกัน แล้วแบ่งครึ่ง ไม่รู้เรื่องใครถูกใครผิด แล้วก็จะรวมๆกันกลางๆ ถูกผิดมารวมๆกัน ยังไงถูกๆผิดๆ ก็อยู่ด้วยกันเถอะ ทำไปด้วยกันเถอะ ผิดๆถูกๆ ทำครึ่งๆกลางๆ คนผิดก็ทำผิดไป คนถูกก็ทำถูกไปเถอะ..อย่าไปว่าอะไรกัน อย่าไปทำอะไร เป็นกลาง ต้องอยู่เฉยๆ อยู่กลางๆ ไม่ไปว่าข้างไหน ไม่ต้อง เข้าข้างไหน อย่างนั้นมันไม่ได้ มันจะต้องพยายามให้ชัดว่า อันไหนชั่ว -อันไหนดี อันไหนผิด -อันไหนถูก ไม่ใช่ผิด เอาถูกมารวมกัน แล้วแบ่งครึ่ง คือความเป็นกลาง หรือ แบ่งผิดแบ่งถูก กันคนละครึ่ง เราจะต้องช่วยกันห้ามสิ่งผิด หรือสิ่งชั่วนั้น ให้งดซะก่อน หยุดซะก่อน อย่าทำชั่วต่อไป มันเป็นภัย แก่มวลหมู่สังคม เราก็ทำอย่างงั้น เราใช้ปัญญา อย่าลำเอียง ตรวจสอบให้ดี เราจะมีภูมิธรรมสูงส่ง ถูกต้องอย่างจริงแท้ แค่ไหนก็ตาม เราก็มีความจริงใจว่า เราเห็นว่า อันนี้ควรกว่า อันนี้ถูกกว่า อันนี้ดีกว่า เราก็มาบอก ให้ประชาชนรู้ว่า เราเลือกข้าง เราบอกอันนี้ควรทำอย่างนี้ อันนี้ควรกว่า ต้องทำอย่างนี้

คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาบอกว่า ควรจะทำอะไรก่อน อาตมาว่าตัดสินยังไม่ได้เหมือนกัน มีคนบอกมาว่า เอ‚ มันยังไม่ถูก ทีเดียวนะ อาตมาว่า ประมวลแล้วนี่ เราเห็นแล้วว่า พรรคพลังประชาชน กับพรรคประชาธิปัตย์นี่ มันเป็นแคนดิเดต กันอยู่ ๒ พรรคจริงๆ ซึ่งผลออกมาแล้ว เลือกตั้ง ออกมาแล้ว มันก็ใช่ เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไร ให้อำนาจเก่า หรือพรรคพลังประชาชนนี่ ระงับไปก่อน พักยกไปก่อน เพราะอาตมาเทศน์ก่อนแล้วว่า อาตมารู้จัก จิตวิญญาณ รู้จักกิเลส ถึงได้เทศน์ว่า นี่มันลักษณะของ อุปกิเลส ๑๖ ออกมาเต็มที่เลย เขาควรจะเป็นนักกีฬา เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่ต้องรู้จักพัก รู้จักควร รู้จักแพ้ รู้จักชนะ หรือว่า รู้จักระงับ รู้จักให้โอกาสผู้อื่น ถ้าผู้ใหญ่ ไม่รู้จักให้โอกาส ผู้อื่นเลย เอาแต่ อัตตาตัวตน ว่ากูเท่านั้นเก่ง กูเท่านั้นดี กูเท่านั้น ที่จะช่วยได้ในโลกนี้ทั้งโลก มันก็ใหญ่เกินไป มันเป็นพระเจ้า เกินไป มันไม่ไหวหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าทำเป็นอัตตาใหญ่ ตัวตน มีอีโก้ ขนาดนี้แล้ว มันไปไม่รอด

อาตมาขยายความอุปกิเลส ๑๖ ของพระพุทธเจ้า ได้เทศน์ไปตั้งหลายครั้งหลายคราว จนสุดท้าย มันก็ใกล้เวลา เข้ามาแล้ว คนก็เอ‚ แบบนี้ไม่ไหวหรอก ถ้าเผื่อเหตุการณ์ ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่เข้าใจกันว่า ควรจะต้องให้การบริหารนี่ เปลี่ยนแปลง ไปซะก่อน อันโน้น ก็รู้อยู่แล้ว แม้แต่การปฏิวัติคราวนี้ ก็เป็นอำนาจของ ประชาธิปไตยแท้ๆ เพราะประชาชน เห็นด้วย ให้ดอกไม้กันใหญ่ เป็นอำนาจของประชาชน อย่างที่พูดไปแล้วว่า อันนี้มันก็ถูกต้องแล้วนะ เพราะงั้น คุณวรรคซะก่อนสิ คุณก็รู้ แต่คุณก็ดันทุรัง เขาก็ยึดแต่ว่า ต้องเขาๆ เท่านั้น แล้วคุณก็ครอบงำ ด้วยการใช้ความฉลาด ต่างๆนานา อาตมาก็เห็น ถึงบอกว่า ความฉลาดเฉโก พวกนี้นี่ อาตมาเข้าใจ เพราะในโลกีย์นี่ ความฉลาด กับอวิชชานี่ มันไม่เหมือนกัน เขามีความฉลาด แต่เขาอวิชชา เพราะฉะนั้น เขาจึงใช้ความฉลาดของเขาด้วยอวิชชา โลกถึงบรรลัย สังคมถึงบรรลัย อาตมาก็พยายามพูดอันนี้ ตามภูมิของอาตมาว่า อาตมาเห็นจริงอย่างนี้ และอาตมาก็ไปทำความจริงใจ อันนี้

แม้แต่ไปชี้ระบุว่าต้องเลือกประชาธิปัตย์ ก็ไม่ได้หมายความว่า อาตมายกให้ประชาธิปัตย์ ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด ไม่ใช่ แต่องค์ประกอบของเหตุการณ์นี้ มันควรจะทำ อย่างนี้ก่อน สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นอย่างนี้ ปัจจุบัน ตัดสินได้อย่างนี้ ควรจะทำอะไรก่อน เป็นประเด็นแรก เพราะอาตมาก็ดูแล้วว่า ฝีมือประชาธิปัตย์ ขนาดไหน ฝีมือของไทยรักไทย ขนาดไหน ใครป่วนเมือง มากกว่ากัน อาตมาใช้วิจารณญาณ ของอาตมา ตัดสินแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าอาตมา จะเปิดโอกาส ให้ประชาธิปัตย์ บริหารปกครองสังคม ตอนนี้ อาตมาว่า ป่วนเมืองน้อยกว่า หรือว่าทำความเสียหาย ให้แก่สังคม ประเทศชาติน้อยกว่า ตามภูมิของอาตมานะว่า พลังประชาชน เขาก็ประกาศอยู่แล้วว่า เขาเป็น นอมินี ของไทยรักไทย ถึงจะ หลบเลี่ยง ตลบตะแลง กลับไปกลับมา พูดว่าใช่ -ไม่ใช่ ไม่มีท่อน้ำเลี้ยง ไม่ใช่มาบริหารสั่งการ ไม่ได้ ส่งซิกส์ว่าจะใช้อำนาจอะไร อาตมาว่า เป็นการพูดสับปลับ อยู่ทั้งนั้นแหละ อาตมาจึงเห็นว่า อันนี้ไม่ต้อง พิจารณากันเลย เพราะเป็นตัวแทน ของอำนาจเก่า โต้งๆอยู่แล้ว ทั้งโดยพฤตินัย และโดยความจริง ทุกอย่าง ไม่ต้องรอ ให้คนฉลาด มาตัดสินก็ได้ เพราะฉะนั้น คุณก็หยุดซะก่อนซี มันทำความเสียหายมา ตั้งเยอะ ตั้งแยะ ก็พักก่อน คนอื่นๆ เขาประเทศอื่นๆเขา นักบริหาร เขามีมารยาท ทางการเมือง มีอะไรผิดหน่อย ก็ลาออกแล้ว แต่ของเรานี่ มีคดีมากมาย ฟ้องร้องกัน ไม่รู้เท่าไหร่ หมายจับ ก็ออกแล้ว ยังไม่หยุดเลย ไม่เคยพักเลย แล้วจะไปดันทุรัง ยังงั้นได้ยังไง

พิธีกร : ตรงนี้แหละครับ ที่ผลการเลือกตั้งก็ออกมาแล้วว่า ประชาชนตัดสินแล้วว่าเลือก พรรคพลังประชาชน

พ่อท่านฯ : มันซับซ้อน เอ้า..ตกลงมาพูดถึงประเด็นนี้ เอานะจับประเด็นว่าผลของ การเลือกตั้งครั้งนี้ บอกว่านี่คือ ความถูกต้อง ของอำนาจประชาธิปไตย สรุปยังงี้นะ

พิธีกร : แล้วให้ยอมรับผลการเลือกตั้งด้วย ทุกฝ่ายเรียกร้องกันมากเลย

พ่อท่านฯ : อาตมาขอพูดไปตามความรู้ของอาตมาเลยว่า การเลือกตั้งคราวนี้ไม่ใช่ ประชาธิปไตย ไม่ใช่อำนาจประชาชน ที่สุจริต ถูกต้อง ขอยืนยันเลย แม้อาตมา มีภูมิรัฐศาสตร์ แค่ไส้เดือน กิ้งกือ แค่งูๆ ปลาๆ ก็ไม่ถึงนี่นะ อาตมาขอ ยืนยันเลยว่า มันไม่ใช่อำนาจของประชาชน ที่เป็นประชาธิปไตย ที่ถูกต้อง มันเป็นอำนาจของ ประชาชน ที่ถูกครอบงำ ทางความคิด เป็นอำนาจของประชาชน ที่ถูกซื้อ ถูกหลอก อำนาจของประชาชน ที่มันเกิดจาก การที่คุณจัดตั้ง คุณใช้อำนาจ หลอกลวง ซึ่งอาตมา บอกแล้วว่า แค่คุณไปบอก ไปหาเสียงนี่ มันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว ถ้าเข้าใจ แนวลึกอันนี้ ก็จะรู้เลยว่า นี่มันไม่ใช่อำนาจ ประชาธิปไตย ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จะมาคุยโม้ โอ่อวดว่า นี่คือ อำนาจประชาธิปไตย เหม็นขี้ฟัน มันไม่ใช่หรอก แล้วเล่ห์เหลี่ยม อันนั้นน่ะ ร้ายกาจ ขนาดหนักด้วย

พิธีกร : หลายฝ่ายก็กำลังเป็นห่วงอยู่ว่าพรรคพลังประชาชนนี่ได้รับเสียงข้างมาก แล้ว จัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นห่วงกันอยู่ว่า สถานการณ์การเมือง จะเกิดความวุ่นวาย พ่อท่านฯ เป็นห่วงไหมครับ

พ่อท่านฯ : ถ้าจะพูดถึงว่าความเป็นห่วงก็เป็นห่วง เพราะรู้อยู่เห็นอยู่ว่า มันจะเป็นอะไรต่อ อะไรจะเกิด โดยการคาดคะเน โดยการใช้ สามัญสำนึก ใช้วิจารณญาณ หรือ ภูมิปัญญา ก็จะพอเดาได้ เพราะคนมันมีกิเลส เรื่องกิเลสนี่แหละ มันจะไม่ยอมกัน เมื่อไม่ยอมกัน มันก็จะต้องเกิดปะทะกัน ต่อสู้กัน เกิดการแย่งชิง หรือถึงขั้นรบรา ฆ่าฟันกัน

พิธีกร : ซึ่งอาจจะมีการเผชิญหน้ากันอีกใช่ไหมครับ

พ่อท่านฯ : มันเผชิญแน่ ขณะนี้มันก็เห็นการต่อสู้กันอย่างบ้าระห่ำอยู่นี่ ใช้เล่ห์กล ใช้ แทคติก ใช้ทุกวิถีทาง ก็เห็นอยู่แล้ว

พิธีกร : และ ณ สถานการณ์เวลานี้ พ่อท่านฯประเมินว่าองค์กรศาสนาพุทธอย่าง สันติอโศกนี่ จะเข้าไปมีบทบาท หรือว่ามีแนวทางยังไงไหมฮะ ที่จะช่วยบรรเทา ความเดือดร้อนตรงนี้

พ่อท่านฯ : อาตมาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามาแล้ว ก็มี ความเข้าใจในความเป็นมนุษยชาติ เข้าใจความเป็น สังคมแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ ติดยึด ในความเป็น ตัวตนอะไร แม้แต่ในหลักเกณฑ์ ในกฎหมายก็ดี อาตมา ก็เข้าใจว่า เขามีหลักเกณฑ์ มีกฎของสังคม หลายๆอย่าง เช่น กฎหมาย หรือ กฎของสังคม ประเทศไทย ขจัดศาสนา ออกไปจากการเมือง ไม่ให้ไปยุ่งกับการเมือง อันนี้อาตมาก็ยืนยันว่า เป็นการบัญญัติกฎที่ผิด เพราะฉะนั้น อาตมา จะไม่ทำตาม ผู้ที่เขาไม่ยอม เขาก็ไม่ยอมรับว่า อาตมาเป็น นักบวช หรือ เป็นชาวพุทธ ซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะอาตมา ไม่ได้ไปติดยึด ในบัญญัติ พวกนั้นหรอก เขาจะเข้าใจว่า อาตมาไม่ใช่พระ ไม่ใช่ชาวพุทธ เป็นพวกที่ทำ ธรรมวินัยวิปริต หรือ วิปริตออกไปจากธรรมวินัย แล้วก็ตาม อาตมาไม่ได้ติดใจ ไม่ได้เสียดาย ไม่ได้เสียใจอะไร ทั้งนั้นแหละ เพียงสงสาร ผู้ที่เข้าใจผิด อย่างนั้น เท่านั้นเอง แต่อาตมา ก็ขอยืนยันว่า อาตมาอยู่กับศาสนาพุทธนี่แหละ ตราบที่อาตมายังมีชีวิต อยู่กับสังคม อาตมาก็จะขอทำงาน ตามหน้าที่พลเมืองดี แม้แต่ด้านการเมือง

อาตมายืนยันแล้ว พระพุทธเจ้านี่เป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่ทำงานการเมืองสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในชีวิต ของพระองค์ แม้ยุคแม้สมัยนี้ การเมืองเป็นประชาธิปไตย กันเกือบทั้งโลก ก็ยังทำประชาธิปไตย ได้ไม่เลิศวิเศษ เท่าที่พระพุทธเจ้า ทรงทำสำเร็จ ในยุคของพระองค์ ที่เป็นยุคทาส ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แท้ๆเลย ยังไม่มีใคร เท่าเทียม เท่าที่มีนักการเมือง ยังไม่มีผู้ใด ยิ่งใหญ่เท่า อย่างที่พูดคร่าวๆ ไปแล้วว่า ท่านเป็นนักการเมือง ในยุคทาส ในยุคโน้น ท่านสามารถตั้งรัฐอิสระ ที่เป็นประชาธิปไตย ได้สำเร็จ ท่ามกลาง สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่ามกลางยุคทาส ได้ถึงขนาดนั้น เป็นต้น เพราะฉะนั้น การเมืองของพุทธนี่ ขอยืนยันว่า พระพุทธเจ้านี่ เป็นนักการเมือง หรือ ศาสนาพุทธนี่ เป็นศาสนาของ ผู้ที่จะทำงานการเมือง บริสุทธิ์ใจ การเมืองอย่างสุดยอด แห่งประชาธิปไตยได้ เพราะเอาธรรมะ เป็นแกนของ ประชาธิปไตย และ คนที่ไปทำงานการเมือง ต้องมีธรรมะขั้น อาริยะเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ จึงจะทำให้ประเทศชาติ บ้านเมืองสังคมนั้น เจริญงอกงามจริง และยืนนานได้ อาตมา มั่นใจว่า เป็นเช่นนั้น แม้ที่สุด ขณะนี้ ถึงชาวอโศก จะต้องตั้งพรรคการเมือง ทั้งๆที่ไม่ได้คิดจะตั้งเลย เราไม่ได้อยากตั้ง แต่เมื่อเหตุปัจจัย มันบีบเข้ามา ให้ต้องตั้ง เราก็ต้องตั้ง เราต้องตั้งพรรค เพื่อฟ้าดิน ขึ้นมา ซึ่งตั้งมาแล้ว เราก็ไม่ดำเนินการเมือง อย่างที่เขาเป็น เพราะเราถือว่า อันนั้นมันยังไม่เป็น ประชาธิปไตย เราก็จะดำเนิน พรรคการเมืองนี้ ให้เป็น ประชาธิปไตย ตามความคิด ความเชื่อของเรา แต่ไม่ผิดกฎหมายนะ โดยจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ก็พยายามไป อาตมายังพูดกับพวกเรา และเคยคุยกับ พลเอกชวลิต ว่าเรื่องนี้ จะต้องมาทำอย่างนี้ๆ ท่านถามว่า จะใช้เวลาเท่าไหร่ อาตมาบอกว่า ๕๐๐ ปี ท่านบอก โอ้โฮ.... ท่าน มันนานไป ซัก ๓๐ ปีไม่ได้เหรอ ท่านชวลิต เคยมาที่บ้านราชฯ นี่ทีหนึ่ง ก็นั่งคุยกัน

พิธีกร : ผมเชื่อว่าตอนนี้ประชาชนคงเยอะพอสมควรที่รู้สึกว่าเครียดกับสถานการณ์ การเมือง ณ เวลาปัจจุบัน เขาควรทำ จิตใจอย่างไรฮะ ให้รับกับ เหตุการณ์บ้านเมือง ที่มันสับสน วุ่นวาย ตรงนี้

พ่อท่านฯ : ประเด็นแรก ก่อนอื่นเลยนี่ เราต้องหัดวางใจ คืออย่าไปยึดติด อย่าเข้าใจว่า บ้านเมืองนี้เป็นของเราคนเดียว มันเป็นของทุกๆคน ที่ต้องช่วยกัน เราจะคลายใจ นิดหนึ่ง อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น ว่าแหม‚บ้านเมือง เป็นของเรา เราก็เลย เครียด เราก็เลยอะไรเกินไปนั่นหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ไม่เอาตาดู หูแลเลยนะ เราต้องทำภาระ หน้าที่พลเมืองดี ที่พึงปฏิบัติ กับบ้านเมืองแน่ สอง ต้องพยายามตั้งสติ แล้วก็ใช้ปัญญาคิดให้ดีๆ ว่าเราก็ต้องรับรู้สังคม มันมีเหตุปัจจัย มาอย่างนี้ มันมาฉลาดหรือโง่ มันก็เท่าที่ ประเทศเรามี เรามีประชากร ที่ฉลาดเท่าที่เขาโง่ หรือมีประชากร ที่เขาโง่ เท่าที่เขาฉลาด แล้วก็เห็นให้ชัดว่า ประชากรของไทย เป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ผู้บริหาร ลงมา ก็มีความโง่ และความฉลาด เท่าที่มันมีจริงเท่านี้ มันจึงต้องเกิดเหตุการณ์ เกิดปรากฏการณ์ อย่างที่มันเป็น นี่แหละ เราก็ต้องยอมรับว่า มันเกิดอย่างนี้ ก็ตั้งสติ ตั้งปัญญาว่า เราจะช่วยกัน อย่างไรดี แล้วตั้งใจช่วย โดยอย่าใจเสีย โดยให้วางใจ อย่างที่กล่าวตอนต้น พยายามกระทำไป อย่าท้อแท้ เพราะทุกอย่าง มันจะต้องต่อสู้ ยิ่งยุคนี้ มันจะถึงกลียุคอยู่แล้ว มันจะต้องอดทน และต่อสู้ และต้องใช้สติ สัมปชัญญะ ปัญญาอย่างดี ข้อสำคัญ ปฏิบัติตาม ให้จิตใจของเรานี่ ลดละกิเลส ให้ได้มากๆ นี่จะเป็นการช่วยประเทศชาติ ได้ดีที่สุด

ในวาระสิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่นี้ พ่อท่านฯ ได้ประพันธ์บทกวี ที่มีเนื้อหาเหมือนกับ ขอŽ อย่างเทวนิยมเหมือนกับจะ หวังŽ ให้ความรู้กับสังคม ถึงความสุข ที่มนุษย์ควรใฝ่ฝัน แรกๆ ข้าพเจ้าคิดว่า อาจจะเป็นเพราะ บรรยากาศการเมือง ดูร้อนแรงกระมัง จึงได้ประพันธ์บทกวีนี้ขึ้นมา ต่อมาจึงทราบว่า คำว่า ขอŽ ที่พ่อท่านฯใช้นั้น เป็นการใช้อย่าง คนสุภาพๆ มีมารยาทดี เป็นการขอโอกาส นำเสนอ ความสุขอีกแบบหนึ่ง ให้กับมนุษยชาติได้พิจารณา ไม่ใช่ขออย่าง อ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นเทวนิยม...


ขอ "ความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน"Ž จงมีแด่มวลมนุษยชาติ
ขอ..ให้พิศพินาศหล้า โลมสมัย
ความสุข..โลกีย์ไฟ ยุคนี้
ที่ยิ่งใหญ่..คือ ภัย โลกียสุข
และยั่งยืน..อยู่ชี้ ทุกข์ให้ทนเห็น
จง..เป็นคนอย่าไร้ บุญใจ
มี..แต่ชีวิตไป ไป่รู้
แด่..ชาติกษัตริย์ไย บ่ตระหนัก ใดฤๅ
มวลมนุษย์ชาติ..ทู้ ทู่ซี้สุขหลง

ความสุข..พงศ์หนึ่งนั้น โลกียรส
ที่..ปุถุชนติดหมด ทั่วถ้วน
ยิ่งใหญ่..จะละลด ยากสุด สุดเฮย
และยั่งยืน..หลอกล้วน จึ่งต้องศึกษา
คือ..หาทางจรณะสร้าง ภูมิธรรม
โลกุตรสุข..สำ เร็จรู้
ปรมังสุขัง..นำ มนุษย์สู่ สันติแล
ยิ่งใหญ่ยั่งยืน..ผู้ สุขได้ยืนยัน.

รักข์ราม.
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

(บันทึกจากปัจฉาสมณะ สารอโศก อันดับที่ ๓๐๗ ก.พ. - มี.ค. ๒๕๕๑)