หน้าแรก >สารอโศก

โดย... ฟากฝั่งฝัน นาวาอโศกตระกูล

ชีวิต คือ... มายา


คนเปลี่ยนแปลงสังคม
สังคมเปลี่ยนแปลงคน
สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้
สังคมแย่ เพราะคนดี ไม่เอาจริง
การเป็นคนดี ต้องดีถึง จิตวิญญาณ
กล้าอุทิศตนเอง เพื่อคนอื่น
ตามหลักธรรม ของพุทธศาสนา

ดิฉันไม่ใช่ผู้แสวงหา แต่เป็นผู้เสาะหา หาความสงบสุขให้กับชีวิต ด้วยความสนใจในศาสนา จึงทำให้ ชอบอ่าน หนังสือธรรมะ และได้อ่านคนคืออะไร? ในหนังสือสตรีสาร อ่านแล้ว ก็รำพึงกับตัวเองว่า คนที่เขียน หนังสือ คนคืออะไร ? ถ้าปฏิบัติได้ตามที่เขียน คงไม่ใช่ คนธรรมดา ต้องเป็นพระ-อรหันต์แน่ๆ แต่ดิฉัน ก็ไม่ทราบหรอกว่า พระอรหันต์นั้น เป็นอย่างไร?

สมัยก่อนนั้น ดิฉันรู้จักคุณรัก รักพงษ์ เพราะติดตามดูโทรทัศน์ ก็เห็นทางโทรทัศน์ นั่นแหละ แต่ไม่ให้ค่า กับดารา เพราะไม่เชื่อว่าดาราโทรทัศน์ จะกล้าทิ้งวงการมายา ที่มีทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ออกมาบวชได้

ด้วยความสนใจในธรรมะ ดิฉันไปวัดเป็นประจำ ไปวัดมหาธาตุฯ วัดพระแก้ว วัดบวรฯ เพื่อไปฟังธรรม วันนั้นดิฉันได้ไปฟังธรรมของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ที่ใต้ร่ม ลานอโศก วัดมหาธาตุฯ พ่อท่านเทศน์ ไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่ ที่มาแสดงธรรม ดิฉันลงไปฟังบ้าง ก็เทศน์แต่ธรรมะสูงๆ เรื่องรูปฌานอรูปฌาน แต่สมณะโพธิรักษ์ ซึ่งวันนั้น มีคุณไสว แก้วสมด้วย จำได้ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๓ ดิฉันก็ไปฟัง ปรากฏว่า คนเยอะมาก ไม่มีที่จะนั่ง ดิฉันก็ยืนฟัง

พอได้ยินเสียง เอ๊! เสียงนี้คุ้นหู แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร? พ่อท่านแสดงธรรมเรื่องศีล ๕ เทศน์ไป ก็ตอบข้อสงสัยคุณไสวไป คนที่มาฟัง ไม่มีที่นั่ง ก็ปีนต้นอโศกเพื่อดูเพื่อฟังกัน ดิฉันได้ฟัง เรื่องของศีล ๕ แล้วทำให้ ชัดแจ้งขึ้นมาทันที เพียงแค่ศีล ๕ ทำได้ครบถ้วน บริบูรณ์หรือไม่? เมื่อแสดงธรรมเสร็จ พ่อท่าน ก็แจกหนังสือ คนก็ไปแย่งกัน ดิฉันก็ได้แต่ยืนดู แม้อยากได้ก็ตาม

ปกติดิฉันเป็นคนปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังเทศน์พ่อท่าน จึงทำให้การลดละเลิก ไม่ยาก ไม่ลำบาก ก็ติดตามฟังเทศน์ฟังธรรมของพ่อท่านตลอด และคุณวิชชา (คุณฉ่ำ) มาชวนดิฉัน ไปวัดอโศการาม เพราะพ่อท่านบวชแล้วอยู่ที่นั่น ดิฉันก็ไป และไปฟังเรื่อยๆ จนได้รู้จักกับ สม.มาบรรจบ (นัยนา) (สมัยนั้น ยังไม่ได้บวช) ได้ไปปลูกกระต๊อบไว้ ได้รู้จักกับ สม.ผุสดี (สมัยนั้น บวชเป็นชีพราหมณ์) อยู่ที่วัดอโศการาม

พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พ่อท่านก็แสดงธรรม ที่วัดอโศการาม ดิฉันจึงได้มีโอกาส ไปพักค้าง พอได้พักค้าง ดิฉันก็ตัดสินใจ ออกจากบ้าน มาอยู่ที่วัดอโศการามเลย เพื่อปฏิบัติตนเอง ให้พ้นทุกข์ยิ่งขึ้น ลาออกจากงาน ซึ่งสมัยนั้น ดิฉันเป็นช่างตัดเสื้อ และบอกคน ในบ้านว่า "ถ้าฉันหายไปไหน ไม่ต้องไปตามหา ไม่ไปในสิ่งที่ เลวร้ายหรอก แล้วจะกลับมาบอก ว่าไปไหน" ดิฉันเป็นคนพูดน้อย พูดตรง พูดจริง และได้บอกเพื่อน ที่ทำงานไม่กี่คน ว่าจะไป แต่ไม่บอกว่า ไปไหน?

ดิฉันไปพักค้างปฏิบัติอยู่กับสิกขมาตุผุสดี สิกขมาตุมาบรรจบ นานหลายเดือน ปฏิบัติ จนเห็นว่า ผมนี่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย สำหรับชีวิต จึงโกนผม แต่ยังไม่ได้บวชนะ ดิฉันเป็นคนแต่งตัว เรียบง่ายอยู่แล้ว ได้ไปปรึกษาแม่ชี ที่วัดอโศการามว่า ถ้าไม่บวชชี โกนผมได้ไหม? เขาบอกว่าได้ ถือศีล ๕ ไง ดิฉันและ สิกขมาตุมาบรรจบ ก็โกนผมกันเลย รองเท้าก็ไม่ใส่ ออกมาเดิน จ่ายตลาด ที่ราชประสงค์ คนก็มองกันใหญ่

สมัยก่อนโน้น ไม่เคยมีผู้หญิงโกนผม คนจึงมองกันใหญ่ จะว่าบ้าก็ไม่ใช่ จะว่าดีก็กังขา เพราะบุคลิก ท่าทางของพวกเรา ไม่ใช่ลักษณะคนบ้า คนจึงได้แต่มอง ด้วยความฉงน และดิฉัน ก็ไปบอกเพื่อนๆ และ ทางบ้าน พอเขาเห็น เขาก็พูดทันทีว่า "กำลังจะไปตามหา ว่าไปอยู่ ณ ที่ไหน?"

พ่อท่านแสดงธรรม คนที่สนใจธรรมะ ลูกศิษย์ลูกหาก็มากขึ้น ก็เลยตัดสินใจย้าย จากวัด อโศการาม ไปแดนอโศกกัน เพราะภาพภายนอก มองดูแล้ว มันเป็นเหมือนวัดเล็ก ซ้อนอยู่ ในวัดใหญ่ ใครๆก็มองว่า ลูกศิษย์พระโพธิรักษ์ บ้าๆบอๆ กินก็ไม่เหมือนใคร จะเหมือนได้ไง ก็มังสวิรัติ แถมแจกคน ที่มาฟังเทศน์ ฟังธรรมอีก จึงตัดสินใจ ย้ายกันไป แดนอโศก ซึ่งเจ้าของที่ อนุญาต ให้ไปอยู่

พอ ๐๓.๐๐ น. พวกเราก็เดินจาริกกัน เพื่อจะไปยังแดนอโศก ด้วยการที่ไม่รู้เส้นทาง บวกกับไม่เคย ได้ฝึกหัด การเดินจาริก ทำให้เดินกันลำบาก แดดร้อน ทำให้เท้าพอง ซึ่งตั้งใจ กันไว้ว่า จะเดินจาริก ถึงแดนอโศก ๗ วัน แต่สุดท้าย ก็ต้องโบกรถอ้อย เขาก็ไปส่ง ถึงแดนอโศก ซึ่งห่างไกล จากหมู่บ้าน และตลาด

ส่วนลูกศิษย์ที่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม พอทราบข่าวก็ติดตามไปที่แดนอโศก ซึ่งก็มี คุณสันติยา คุณประพันธ์ คุณประทุม คุณสมศักดิ์ ไปมาเป็นประจำ พวกเราก็ปฏิบัติธรรม กันอยู่ ณ แดนอโศก และรับศีล จากพ่อท่าน เป็นศีล ๑๐ คือไม่ใช้เงิน และบิณฑบาต เลี้ยงชีพตัวเอง

ธรรมะของพ่อท่านฟังง่าย แต่ทำได้ยาก เพราะเราต้องทำปัจจุบันธรรม ให้รู้เท่าทัน อารมณ์ รู้กิเลส ให้ทัน ทุกขณะจิต พ่อท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ฉลาดล้ำ เป็นพระในเมือง ให้คนมาอยู่ รู้การกระทบกัน เมื่อเจอผัสสะ เกิดกิเลสใด ให้เท่าทันกิเลส ที่มันเกิด ฟังไม่ยาก แต่ปฏิบัติ ตามได้ยาก แม้ใครๆ ที่ไม่มีความรู้มาฟัง ก็ฟังได้ง่าย เข้าใจ แต่การปฏิบัติ ก็แล้วแต่ตัวใคร จะมีความสามารถเพียงใด

ดิฉันเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ย่อมได้เจอกับอุปสรรคที่ท้าทายความมั่นคง ความศรัทธา ตั้งแต่ สมัยที่อยู่ แดนอโศกแล้ว ด้วยการปฏิบัติ ของพวกเรา เป็นการปฏิบัติที่แปลก แตกต่าง จากคนกลุ่มใหญ่ จึงทำให้คน เข้าใจผิดได้เสมอ

มีอยู่คราวหนึ่งรถ GMC ของทหาร และทหารหลายคน พร้อมด้วยอาวุธครบมือ ได้เข้ามา ตรวจค้น ที่แดนอโศก ซึ่งพ่อท่านไม่อยู่ ไปกิจนิมนต์ อยู่แต่พวกดิฉันไม่กี่คน ตำรวจทหาร ก็ค้นทุกซอก ทุกมุม ก็ไม่เจออะไร ไม่มีอะไร แล้วเขาก็กลับกันไป ดิฉันและ สิกขมาตุผุสดี สิกขมาตุมาบรรจบ ก็เฉยๆ นั่งสมาธิ สงบนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การที่เราชัดเจน ชัดแจ้ง ทำให้เรามั่นคงหนักแน่น ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น แม้จะเจอ กรณีสันติอโศก อีกครั้ง จนถึงขั้นโดนจับ แต่เรารู้ว่า เรามาทำจริง เพื่อให้ตนเอง มีทุกข์น้อยลง แต่ก็เข้าใจคนอื่น เพราะการที่พวกเรา มาปฏิบัติแบบนี้ ทวนกระแสสังคม แบบนี้ เขาก็มองว่า เราเป็นคน ไม่น่าไว้ใจหรือเปล่า เขาก็มาจับ เพื่อไปสอบสวน หาความจริง ก็เท่านั้นเอง

เมื่อเขาสอบสวนสืบสวน พวกเราก็ไม่มีอะไรจริงๆ เพราะไม่ใช้เงิน ไม่สะสมสิ่งของ ไม่แสวงหา ลาภ ยศ พวกเรามาปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์ ตามแนวทาง ของพระพุทธเจ้า โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เป็นผู้พาทำ พาเป็น พาไป พวกเราไม่ได้ดื้อดึง ไม่ได้ด้าน ไม่ได้แอ๊ค แต่พวกเรารู้ว่า พวกเราทำอะไร สมัยนั้น พอเขา จะมาจับพวกเรา เตรียมพร้อมเลย ครองผ้า เตรียมกลด เตรียมบาตรมานั่งรอ

ดิฉันได้พูดคุยกับนักข่าวที่เขามาทำข่าว ถามเขาว่าคุณเคยมาไหม "ไม่เคย" แสดงว่า ฟังตามเขาใช่ไหม? "ใช่" ดิฉันก็ได้เข้าใจ ถ้าเราเป็นเขา เวลาเราโง่ ก็เป็นแบบเขา นั่นแหละ ก็ฟังตามเขามา ถึงได้รู้ว่า ทำไมสินค้า ทุกวันนี้ ถึงได้โฆษณากันมาก แข่งขันกัน โฆษณามาก กรณีสันติอโศก ก็เช่นกัน ฟังแต่เขา โฆษณา ฝ่ายเดียว ไม่เคยเข้ามาดู มาสัมผัส ก็เป็นแบบนั้นแล

ดิฉันไม่โกรธเขาหรอก เพราะฝั่งเขาทางโลกๆ เราก็เคยอยู่มาแล้ว แต่ข้างในเราสิ เมื่อไหร่ มันจะหมดกิเลส ฝั่งนี้ต่างหาก ที่ทำได้ยาก มันไม่ใช่ง่ายๆเลย พ่อท่านพาทำอะไร ทำ! ลุยอะไร ลุย! เพราะยังมีแรง โดยทั้งที่สุขภาพ ไม่ค่อยแข็งแรง แต่ใจสู้

จากวันนั้น ปีพ.ศ.๒๕๑๔ ที่ออกจากบ้านมาปฏิบัติตน ตามแนวทางของ พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อที่จะขัดเกลาตัวเอง ฝึกฝน ตัวเราเอง งานที่ไม่เคยทำ ก็ได้ทำ ไม่เคยตักส้วม ก็ได้ตักส้วม ไม่เคยขนหินขนทราย ก็ได้มา ขนหินขนทราย จงตั้งตน อยู่บนความลำบาก กุศลธรรม เจริญยิ่ง

การทำงานหนักที่ว่ายาก หนักและเหนื่อย ไม่ยากไม่หนักเท่ากับการสู้กับกิเลส การเผชิญกับ อุปกิเลส ๑๖ ต้องล้างโคตร ล้างเง่ากิเลส นี่ต่างหาก ที่ยากยิ่งกว่า หนักยิ่งกว่า

ความลำบากสร้างคน ความอดทนสร้างความแข็งแกร่ง ชีวิตการเป็นนักบวชของดิฉัน ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝน เดินบิณฑบาต ท่ามกลางสายฝน หนาวก็ทน ร้อนก็ทน บทฝึกหัด ของนักปฏิบัติ เพื่อการขัดเกลา ตนเอง ให้ทนได้ทุกสภาพการณ์ และทุกสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น

การปฏิบัติตนคือการปฏิบัติศีล มีศีลเป็นข้อวัตรปฏิบัติให้มีคุณธรรม เป็นหลัก ให้กับ ตัวเราเอง ลดกายกรรม วจีกรรม จนกระทั่ง ถึงจิตใจ ว่าเราต้องวางได้ เย็นได้ สงบได้ ต้องมีความสันติได้ อย่าปฏิบัติธรรม เพราะเบื่อบ้าน เบื่อที่ทำงาน เบื่อคน เบื่อโลก ขี้เกียจทำงาน อย่าคิดว่า การปฏิบัติธรรม คือการอ่านหนังสือ หนังสือคือ อุดมการณ์ แต่ต้องลงมือทำ ถึงจะเป็น คนมีอุดมการณ์จริงๆ

คนยุคนี้ปฏิบัติธรรมยาก เพราะจิตใจเปราะบาง อ่อนแอ ความอดทนน้อย ความรู้มาก หัวหนัก ตีนเบา มือเบา จับอะไรทำอะไรไม่หนักแน่น ทำไม่สำเร็จ เช่น เรียนหนังสือก็เรียนไม่จบ ไม่ชอบใจ ก็หนีไป ปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมเบื่อ ก็อยากเรียนหนังสือ เป็นต้น

การปฏิบัติธรรมที่พาเราเจริญ และอยู่อย่างทุกข์น้อยที่สุด คือ ต้องอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนยอม ยอมเป็น ก็เป็นสุข ยอมไม่เป็น ก็ทุกข์เหลือหลาย ต้องสำนึกไว้เสมอ เตือนตนไว้ เสมอ มองตนเอง ให้มากกว่า มองคนอื่น

พ่อท่านให้ปัญญา แต่ปัญญาต้องเป็นปัญญาญาณ คือการหลุดพ้น จะเป็นที่พึ่ง ของเราเอง เพราะฉะนั้น ต้องยอม จะผิดจะถูก ต้องฟังซะก่อน นี่คือการยอม ที่จะเป็นสุข และมีสันติภาพ

กราบเท้านมัสการยิ่ง
* สิกขมาตุจิตรา แซ่ลี้

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๑ สิงหาคม ๒๕๔๕)