หน้าแรก >สารอโศก

กว่าจะถึงอรหันต์
พระโคตมเถระ (พระญาติ)

เวียนว่ายตายเกิดวนวุ่น
เดี๋ยวขุ่นเดี๋ยวใสดีชั่ว
จิตใจแปรปรวนน่ากลัว
รู้ตัวรู้แจ้งสันติธรรม.

พระโคตมเถระ(องค์ที่เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม) เมื่อครั้งอดีตชาติ ได้สั่งสม บุญญาธิการไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เช่น คราวที่หมู่มหาชน พากันถวาย พระเพลิง พระสรีระ ของพระพุทธเจ้า พระนามว่า สิขี ซึ่งปรินิพพานแล้ว ก็มีโอกาส ได้ไปยังจิตกาธาน (เชิงตะกอน) ด้วยใจศรัทธายิ่ง แล้วโปรยดอกจำปา ๘ ดอก บูชาจิตกาธานนั้น ระลึกถึง คุณความดี อันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธเจ้า น้อมสู่ใจ เพื่อนำไปใช้ ประพฤติ ปฏิบัติต่อไป

ด้วยผลบุญอันเป็นกุศลจิตแท้จริงนั้น ส่วนใหญ่ ท่านได้เวียนว่ายตายเกิด โดยไม่พบทุคติ (ทางชั่ว) ได้ไปในเทวโลก (โลกของคนใจสูงบ้าง) และมนุษยโลก (โลกของคนใจประเสริฐ) บ้าง

กระทั่งได้มาเกิด ในชาติสุดท้าย อยู่ในเชื้อสายกษัตริย์ แห่งวงศ์ศากยะ ได้รับพระนามว่า โคตมะ ตามชื่อพระโคตรของตระกูล (มหาชนก็เรียกพระพุทธเจ้า ตามพระโคตรว่า พระโคดม หรือ พระโคตมะ หรือ พระสมณโคดม)

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในคราวที่หมู่พระญาติทั้งหลายของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมมาร่วมประชุมกัน ได้ฟังธรรมจากพระศาสดา เหล่าศากยกุมารจำนวนมากพากันศรัทธายิ่งนัก จึงชักชวนกัน ออกบวช แม้โคตมกุมาร ก็ร่วมผนวชด้วย

เมื่อเป็นภิกษุแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญ วิปัสสนากรรมฐาน (พิจารณาให้รู้แจ้ง เห็นจริง ในเหตุที่ กระทำต่างๆ ไม่ช้านานนัก ก็ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มีอภิญญา ๖ (คือ ๑. อิทธิวิธี = มีฤทธิ์ สู้กิเลสได้ ๒. ทิพพโสต = มีหูทิพย์แยกแยะกิเลสได้ ๓. เจโตปริยญาณ = รู้วาระจิตมีกิเลส หรือไม่ ทั้งของตน และของผู้อื่น ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ = รู้แจ้งระลึกชาติได้ ๕. ทิพพจักขุ = ตาทิพย์ มองทะลุกิเลสได้ ๖. อาสวักขยญาณ = มีความรู้แจ้งว่า กิเลสหมดสิ้นแล้ว)

ครั้นบรรลุธรรม กิเลสทั้งหลายเผาผลาญหมดสิ้นแล้ว กระทำตามคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า จนจบกิจสิ้นภาระ ได้เบาสบายอยู่ด้วยวิมุตติสุข อันคือความสุข ที่เกิดจาก การหลุดพ้นทุกข์ จากกิเลสทั้งปวง

วันหนึ่ง มีเหล่าพระญาติได้มาตรัสถามพระโคตมเถระว่า
"เหตุไฉนเล่า ท่านจึงละทิ้งพวกเราแล้วออกบวช"

พระเถระเห็นเป็นโอกาสแล้ว จึงประกาศทุกข์ของตน ที่เคยได้รับมา ในอดีตชาติ และ ความสุขจากนิพพาน ที่ตนได้บรรลุในปัจจุบัน แสดงธรรมถวาย แก่พระญาติเหล่านั้นว่า

"เมื่อชาติก่อนๆนั้น ที่อาตมาภาพท่องเที่ยวไป ในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ได้ไปสู่นรก (ความเร่าร้อนใจ)บ้าง ไปสู่เปรตโลก (โลกของความละโมภ หิวกระหาย)บ้าง ไปสู่กำเนิด สัตว์ดิรัจฉาน (ความมืดมัว โง่เขลา) อันเป็นทุกข์บ้าง ได้รับทุกข์หลายอย่าง ยาวนาน

หรือแม้ได้ตัวตนร่างกายเป็นมนุษย์ (ผู้มีใจประเสริฐ)บ้าง ได้ไปสู่สวรรค์ (สภาวะสุข ของผู้มีจิตใจสูง) บ้างเป็นครั้งคราว

อาตมาภาพเกิดในรูปภพ (ภาวะสงบของผู้เข้าถึงรูปฌาณ)บ้าง เกิดในอรูปภพ (ภาวะสงบ ของผู้เข้าถึง อรูปฌาน)บ้าง เกิดในเนวสัญญีนาสัญญีภพ (ภาวะสงบของผู้รับรู้ ก็มิใช่ ไม่รู้รับ ก็มิใช่)บ้าง ภพทั้งหลายเรารู้แจ้งแล้วว่า ไม่มีแก่นสาร ถูกปัจจัย(เหตุ) ปรุงแต่งขึ้น เป็นของ แปรปรวน กลับกลอก ถึงความแตกหัก ทำลายไปทุกเมื่อ

ครั้นอาตมาภาพรู้แจ้งภพเหล่านั้น อันเป็นของเกิดในตนทั้งสิ้นแล้ว จึงเป็นผู้มีสติ ได้บรรลุ สันติธรรม ที่แท้จริง อันคือ พระนิพพานนั่นเอง"

พระโคตมเถระได้แสดงอรหัตตผลแก่พระญาติเหล่านั้น ด้วยธรรมเทศนาดังนี้แล.

ณวมพุทธ
อังคาร ๑๐ ก.ย.๒๕๔๕
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๓๒๐อรรถกถาแปลเล่ม ๕๑ หน้า ๓๑๓)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๑ สิงหาคม ๒๕๔๕)