สารอโศก อันดับที่ ๑๕๓ ตุลาคม ๒๕๔๕
พุทธวิสัยทัศน์
การศึกษาและปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งผู้มีชื่อเสียง มียศ ศักดิ์
ยิ่งยาก ฉบับ"ธารน้ำใจ" รู้สึกประทับใจ ชื่นชมผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง
ที่มาเข้าร่วมอบรม ใช้ชีวิตเป็นผู้เข้าอบรม ร่วมกิน ร่วมอยู่ แบบคนสามัญ
(ไม่ได้เพียงมาแค่ร่วมงาน) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ทราบว่า ผวจ. แทบทุกจังหวัด
จะหาเวลาว่างยากมาก มักมีคิวยาวตลอด นับเป็นนิมิตรที่ดี ที่ท่าน ผวจ.ตรัง
ปลีกงานอื่น มาเข้าร่วมอบรมกู้ชาติครั้งนี้
ระยะนี้ทางราชการมีการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เล็กลง
คนน้อยลง งานเท่าเดิม กำหนดงาน ให้ชัดเจน และใกล้จะขึ้นปีงบฯใหม่ มีการประชุมกำหนดกลยุทธการทำงาน
วิสัยทัศน์ พันธกิจ รู้สึกเป็นเรื่องใหม่ ทำให้ปวดหัว มึนไปหลายวัน
-วิชาการเด่น เน้นประสาน
เชี่ยวชาญงานประเมินผล
-เชี่ยวชาญงานวิชา รักษาเด่น เป็นที่พึ่งชุมชน
-ส่งเสริมรักษาเด่น เป็นแหล่งรวมวิชา มุ่งประชาสุขภาพดี
-ทีมงานดี วิชาการเด่น เน้นประสานพัฒนางานสู่องค์รวม
จากวิสัยทัศน์ข้างต้น
ทีมงานใช้เวลาเป็นวันๆ ความสำคัญอยู่ที่ว่า จะทำจริงหรือไม่ แล้วมานึก แปลกใจว่า
ทางวัดอโศก ได้คิดกลยุทธวิสัยทัศน์ ล่วงหน้าก่อนใครๆ ตั้งนานแล้ว เอ๊ะ !
คิดได้อย่างไรหนอ เช่น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ของสัมมาสิกขาอโศก
ประโยชน์จากการอ่านหนังสือ
ถึงวันนี้วางจิตวางใจ เรื่องอารมณ์โกรธได้ ไม่ถูกใจ กับผู้ที่ ทำเรื่องให้
ถึงจะไม่มาก ก็นับว่าเห็นผลชัดเจน
บัวฟ้า ประทุมสูตร จ.สระแก้ว
อโศกมีระบบการทำงานต่างๆ
ล้วนมีมาจากศาสนาพุทธ พยายามทำตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า จึงได้มีปรัชญา
การศึกษาเป็น ศีลเด่น - เป็นงาน - ชาญวิชา - บ.ก.
ฟ้า-น้ำ-ดิน-พืช
ข้าว กับข้าวหรืออาหาร ผ้า ยา บ้าน (ปัจจัย ๔) ที่ทรงคุณค่าครบถ้วน ประโยชน์อยู่ที่พืช
(ไม่เห็นต้อง เบียดเบียนเลือดเนื้อชีวิตใคร) พืชอาศัยดิน ดินจึงสำคัญที่สุด
เพราะเป็น แหล่งกำเนิด ของปัจจัย ๔
ฟ้า น้ำ ดิน ล้วนสำคัญ
แต่ดินเป็นทั้งที่อาศัยและแหล่งอาหารอันสำคัญยิ่ง การสร้างดิน ให้มีชีวิต
จึงสำคัญมากที่สุด สำหรับพืชพันธุ์
เกษตรกรอย่างฉันจะมีอะไรในหัวที่สำคัญเล่าสู่กันฟังเท่าพืช
และ การเกษตรล่ะจ๊ะ
อาหารใจคือ ธรรมะคือการนึกถึงใจเขา
ใจเรา จะทำให้เรามีเมตตา และ เป็นผู้ให้มากขึ้น
อาหารกาย สิ่งใดเล่าจะเลิศเท่ากับมังสวิรัติ
จากเกษตรธรรมชาติ ที่ไร้สารพิษ เธอคงเห็นด้วย
ฉบับนี้เล่าสู่กันฟังเรื่องยาสมุนไพรพื้นบ้าน
ที่ทรงคุณค่าใกล้ๆตัวเรานี่เอง.... หลายสัปดาห์ก่อน หลังฝน ตกหนัก เกิดโรคระบาดไก่
ไก่จำนวนมากเริ่มหงอยลง จากนั้น ๕-๖ วันก็ตาย ซากไก่เน่า เหม็นทั่วบริเวณ
เพราะไก่เดินไปตายในที่ๆเราไม่ทันสังเกตเห็น นอกจาก จะจับตามองมัน ไว้ทุกระยะ
จึงจะพบซากมัน ก่อนที่ซากจะเน่า บ้านฉันไม่มีรั้ว เพื่อนบ้านก็ไม่มีรั้ว
ไก่เดินไปมา หากินสู่กัน หลายบ้าน
อดีตลูกเจี๊ยบหลงแม่ที่ฉันเลี้ยงไว้
เดี๋ยวนี้เป็นแม่ไก่ลูก ๘ ตัว มันหงอยและไอเสียงดัง เริ่มติด โรคระบาด เมื่อแรกฉันคิดว่าช่างมันเถอะ
แล้วแต่เวรแต่กรรม แต่ภาพที่ลูกๆ ห้อมล้อมแม่ หากิน ป้วนเปี้ยนใกล้แม่ ซึ่งนอนหงอย
คอตก ทำให้ฉันต้องรักษามัน เพื่อนบ้านใช้ยาปฏิชีวนะ ของต่างชาติ ที่มีชื่อเป็นภาษา
ต่างประเทศ ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป มาผสมน้ำ ให้ไก่กิน แต่ฉัน.... ใช้พืชสมุนไพร
ในสวนฉันเอง ไก่ไอ มีเสลดมาก มันร้องครางอยู่ในคอ และไม่ยอม กินอาหาร แต่สัญชาตญานของแม่
ต้องพาลูกออกหากิน แม้กลางฝนพรำ ทั้งที่มันป่วย มันควรต้อง หลบฝน หลบแดด
อาการมันจึงทรุดหนักลง
ทุกครั้งที่ไอ มันจะสบัดหัว
เสลดหลุดกระเด็นเป็นยางเหนียวปนฟอง ฉันจับมันขังกรง ให้อยู่ในที่ หลบแดด-ฝน
โปรยเปียนรอบกรงให้ลูกมัน (เปียนคือข้าวหัก เป็นท่อนเล็กๆ ผสมจมูกข้าว เป็นอาหารของหมู)
แต่มัน ไม่ยอมแตะอาหาร ได้แต่ไอ สบัดหัว ร้องคราง และ นอนหงอยคอตกอยู่
ฉันคิดว่า ไก่จะตายน่าจะเกิดจากเสลดเหนียวข้นอุดทางเดินหายใจ
มากกว่าอย่างอื่น สมุนไพร ที่ช่วยให้ เสลดอ่อนตัว และถูกขับออกมาง่าย ได้แก่
น้ำมะนาว ๑ ลูก (แก้ไอได้ด้วย) ใบกะเพรา ๒ ยอด ใบแมงลัก ๒ ยอด (สรรพคุณร้อน
ช่วยไหลเวียนเลือด ทำให้ร่างกายอบอุ่น) กระเทียม ๑ หัว ใบฟ้าทะลายโจร ๘ ใบ
ใบมะระขี้นก ๘ ใบ มีคุณสมบัติเป็น ยาปฏิชีวนะธรรมชาติ
สมุนไพรที่กล่าวมา ฉันใส่ครกตำ
ใส่น้ำอุ่นพอขลุกขลิก(เพราะรู้ว่าวันหนึ่งๆ ไก่โตตัวหนึ่ง ไม่ต้องการ กินน้ำมาก
และ น้ำอุ่นช่วยละลายเสมหะ ฉันกะปริมาณยา ที่ตัวเองคิดว่า เหมาะสมกับ ไก่โต
๑ ตัว และปรุงยา วันต่อวัน) แล้วคั้นเอาน้ำยาข้นๆ ใส่ขวด ให้ได้ประมาณ ๓
ช้อนแกง
กรอกยาไก่วันละ ๔ ครั้ง
แบ่งเวลาเท่าๆกัน (ฉันใช้หลอดฉีดยา เพราะกรอกสะดวก และ ปริมาณยา ที่แน่นอน
เท่ากันทุกๆครั้ง) ฉันยึดเวลา ๗.๐๐, ๑๑.๐๐, ๑๕.๐๐ และ ๑๙.๐๐ น. ในการกรอกยาไก่
กรอกไป ๒ วันแรก มันยังคงไม่กินอาหาร ที่ฉันเอาไว้ให้ในกรง ฉันจึงเอา เปียนตำ
ผสมน้ำซาวข้าวกล้อง งาตำ และ กล้วยสุก ขยำกับใบกระถิน (สูตรที่ฉันคิดว่า
มีประโยชน์ดีแล้ว ด้วยความหวังที่สุดว่า มันต้องไม่ตาย) เอาเฉพาะ น้ำขลุกขลิก
กรอกมันอีก กรอกยาเพียง ๔ วัน มันก็เริ่มดีขึ้น กินอาหารเองได้ ยืนมากกว่านอน
แต่ฉันยังไม่ปล่อย ยังคงกรอกยา และให้กล้วย กับน้ำซาวข้าวกล้องอยู่ แต่เริ่มวางอาหาร
ให้เหมือนเดิม
ฉันกรอกยาจนครบ ๗ วัน
แต่ขังไก่ดูอาการไว้อีก ๓ วัน รวมขังไก่ไว้ ๑๐ วัน มันหายสนิทดี นอกจากหายดีแล้ว
ยังมีภูมิต้านทานดีด้วย ไม่ป่วยด้วยโรคเดิมอีกเลย ทุกวันนี้ มันแข็งแรง และ
ปกติดี และตอนนี้ มันกำลัง กกไข่ครอกใหม่ ซึ่งมีไข่อยู่ ๑๑ ฟอง
ชีวิตไก่ต้อย ทำให้ฉันมั่นใจที่ฝากชีวิตไว้กับพืชพันธุ์มาก
พ่อท่านสอนให้ฉันพบ ธรรมะที่แท้ พ่อท่านบอกว่า "ไม่มีอะไรสำคัญกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหาร
หรือ ในคำว่า กสิกร อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่า ชีวิตมนุษย์ ปลูกพืชพันธุ์ ธัญญาหารเก่ง
รักด้วย รักผืนดิน รักน้ำ รักต้นไม้ รักพืชพันธุ์ ธัญญาหาร ชีวิตของคนคนนั้น
สบายแล้ว ถ้าไม่ไปหลงโลก ที่เขามอมเมานะ อาตมาว่า คนเหล่านั้น สบาย อยู่รอดแล้ว........"
(จากเพียงส่วนหนึ่งของคำพูดพ่อท่านในสารอโศกฉบับ
ธารน้ำใจ หน้า ๔๖-๕๕) ช่างเป็น คำที่วิเศษ สำหรับ เกษตรกร อย่างฉันเสียเหลือเกิน
ตัวเองรู้อยู่ มันไม่เท่าผู้ที่เราบูชา พูดบอกย้ำ ประโยชน์สาระหรอกนะ มันเหมือน
น้ำมันราดไปบนกองไฟ......รู้ไหม
ดูซี.....อยู่กับพืช เราจะยิ่งค้นพบข้อดีของพืชอยู่เนืองๆ
ไม่นับประโยชน์อีกมากมาย ที่บรรพบุรุษ เราค้นคิดไว้ ให้อีกนะ พืชสำคัญที่สุดจริงๆ
แต่....ดินต่างหากล่ะ ที่เป็นรากแก้ว ของความสำคัญ จึงต้องสร้างดิน ให้มีชีวิต
เพียงอย่างเดียว เราจึงจะอยู่รอดได้ อย่างสมบูรณ์
พ่อจ๋า.....หัวผักกาด
มันก็ต้องอาศัยดินอยู่โดยแท้ ต้องสร้างดินให้มีชีวิตอุดม ตามวิถีธรรมชาติ
ไม่ยอมเสวนา กับสารเคมี อยู่แล้วล่ะจ้ะ
ช้า....แต่ได้พร้าเล่มงามยิ่งนัก
และไม่นานเกินรอแน่นอน
ฉันซื้อเคียวใหม่เอี่ยม
๑ อัน ไว้เกี่ยวหญ้า เก็บใบกระถิน ใบจามจุรี ที่ขึ้นในสวนของพี่ชาย ที่ซื้อทิ้งร้างเอาไว้
ซึ่งอยู่ห่างบ้านไปราว ๑ ก.ม. ใส่ ๒ ตะกร้าพ่วงจักรยาน ทุกวัน เอามาเป็นปุ๋ย
พร้อมเก็บฝักแก่ ไว้โปรย ให้ขึ้นในสวน ใช้ประโยชน์ในภายหน้าด้วย แม้น้อย
และอาจช้า แต่ความสำเร็จ ในอนาคต ทำให้ฉันไม่ท้อ ก็ร่างนี้เกิดมา ควรบูชาดิน
ก็ต้องคืน และให้ ความอุดมแก่ดิน อย่างถูกต้อง ถูกมั้ยจ๊ะ
วันเกิดปีนี้ (ซึ่งจะถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า)
จะไปบริจาคศพเป็นวิทยาทานแก่แพทย์ ให้ศพเรา เป็นสื่อ ให้คน ช่วยคน เพราะกรุงศรีฯ
ไม่สิ้นคนดี ฉันใด เชื่อว่าคนไทย ก็เป็นฉันนั้นแหละจ้ะ
หัวผักกาด จ.อุตรดิตถ์
ฟ้า-น้ำ-ดิน
เสริมสร้างพืชพันธุ์ให้งอกงาม แต่ถ้าขาดใจที่รักธรรมชาติโดยธรรมแล้ว
มนุษย์ก็ทำลาย ทุกสิ่งสิ้น..... ฟ้าเสีย-น้ำเน่า-ดินตาย-พืชเป็นพิษ
เพราะฉะนั้น จะมีพืชพันธุ์ ไร้สารพิษ ไว้คู่โลกนี้ได้ ก็ต้องเกิดจาก
น้ำมือของมนุษย์ ผู้มีคุณธรรมเท่านั้น ที่จะสามารถ บันดาลขึ้นได้ -
บ.ก.
ปุ๋ยหมักธรรมชาติ
หนังสือสารอโศก ได้รับหลายวันแล้วค่ะ ขอโทษด้วยตอบช้าไป (ได้รับตั้งแต่เดือนที่แล้ว)
งานมาก ไม่ค่อยมีเวลา งานปลูกผักทำสวนครัว ปลูกผักหลายชนิดไร้สารพิษ รดน้ำหมักชีวภาพ
ตอนแรกได้ผลดี แจกเพื่อนบ้าน ตอนหลังปลูกใหม่อีก ไม่ดีเลยค่ะ ได้ผลน้อย เพื่อนๆญาติๆ
เขาบอก ให้ใส่ปุ๋ยบ้าง (ปุ๋ยเคมี) ดิฉันปฏิเสธเด็ดขาด ไม่ใช้ ถ้าตายปลูกใหม่
จะไม่ท้อ ทำต่อไป ตามคำแนะนำ ของพ่อท่าน ไม่ถอย จะทำดีต่อไป
ส่วนการรักษาศีล
ยังเคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนผู้อื่นอยู่เสมอ
สาโรจน์ วราภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช
การปลูกพืชผักนอกจากใช้น้ำหมักชีวภาพแล้ว
เราก็มีปุ๋ยหมักธรรมชาติ หรือปุ๋ยสะอาด นำมาใช้ เป็นปุ๋ย แก่ดิน แก่พืชอีกด้วย
ลองศึกษาดูเถิด จะจัดส่งหนังสือ "กู้ดิน พลิกฟื้น ธรรมชาติ"
ไปให้ค้นคว้า ทดลองทำดู - บ.ก.
เมืองกสิกรรม
ผมต้องขอขอบคุณสำหรับสารอโศกและดอกหญ้า ที่ยังคงมีให้อ่านทุกเดือน อยากจะเขียน
เรื่องราว ที่ได้จากสารอโศก ให้เป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม่ได้ทำสักที แต่วิธีการปฏิบัติตน
ได้ใช้ความรู้ ความคิดมากมาย ที่ได้รับจากการถ่ายทอด ผ่านสารอโศก โดยเฉพาะเรื่อง
กสิกรรมธรรมชาติ ปีนี้ลองทำนา โดยไม่เผาฟาง ในเขตชลประทานทุ่งระโนด ได้ผลผลิต
เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เป็นการทำครั้งแรก อาจจะต้องดูปัจจัยอื่นๆด้วย
ส่วนที่โรงเรียน ก็ได้นำนักเรียนปลูกผักปลอดสารพิษกิน
ระยะแรก ใช้แกลบถมพื้นที่ แล้วปลูก ก็ได้ดี พอสมควร ช่วงนี้มีฟางมาก ก็ใช้ฟางถม
และใช้จุลินทรีย์หมัก ทำปุ๋ย ปลูกผัก ได้สวยกว่าเดิมมาก การดูแลรักษา ก็ดูเหมือนจะเบาแรงลงมาก
จริงๆแล้ววิธีการนี้ ผมทำมานานแล้ว
ตั้งแต่ไปศึกษาธรรม อยู่ศีรษะอโศก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาส เผยแพร่ กล่าวคือ
ไม่ค่อยได้มีโอกาสขยายผล ปีนี้โชคดี ได้เปลี่ยนวิชาสอน มาสอนวิชา วิทยาศาสตร์
และเกษตร สอนเด็ก ให้ปฏิบัติจริง เด็กๆชอบมาก เพราะที่ผ่านๆมา มักจะเรียน
แต่ในห้องเรียน วิชาเกษตร ในอดีต มีแต่ในแบบฝึกหัดและข้อสอบ เมื่อได้ลงภาคสนาม
เด็กๆ ได้อะไรๆเพิ่มขึ้นมากมาย ผู้ปกครอง ก็ได้มีโอกาส ชื่นชม ผลงานลูกๆ
นายอนันต์ ศิรินุพงศ์ จ.สงขลา
หากครูตามโรงเรียนต่างๆ
สามารถทำให้เยาวชนของชาติ มีความรัก และสนุก กับกสิกรรม ธรรมชาติ ทั้งยังได้
ผลผลิตไร้สารพิษ งดงามเป็นผลงานออกมา เชื่อได้ว่า เมืองไทย จะไปรอด
เพราะที่แท้แล้ว เมืองไทยคือ เมืองกสิกรรม - บ.ก
อดทนคนจริง
ดิฉันได้สมัครเป็นสมาชิกรับหนังสือดอกหญ้าและสารอโศก กับสมาคม ผู้ปฏิบัติธรรม
มาเป็นเวลา ๗ ปีแล้ว หนังสือที่ได้รับมาอ่านแล้ว จบบ้างไม่จบบ้าง ก็แจกให้คน
ที่เขาใฝ่ธรรมจริงๆ และก็เอาไปส่ง ห้องสมุด โรงเรียน ที่บ้านละทาย ส่วนหนังสือสารอโศก
ที่ยังเหลืออยู่ที่บ้าน ก็คิดว่าจะเอาไปให้ พุทธสถาน ราชธานีอโศก เพื่อเป็นประโยชน์
กับญาติธรรมใหม่ๆ
ดิฉันได้ประโยชน์กับการอ่านคือ
๑. เรื่องอาหาร ดิฉันได้ทานข้าวกล้อง ถั่ว งา ผักสด ผลไม้ที่ส่วนมาก ๘๐%
ปลอดสารพิษ สุขภาพดิฉัน ก็แข็งแรงดี
๒. จิตใจ ก็พยายามเป็นคนที่ใจเย็นขึ้นมาหน่อย
รู้สึกว่าต้องอดทนมากหน่อย บางทีร้องไห้เลย เพราะทำใจ ได้ยากมาก สิ่งที่ทำใจได้ยาก
ก็คือ ทำใจกับสามี เรื่องไม่ให้เขา ใช้ยาฆ่าหญ้า และสารพิษต่างๆ ก็ตกลง กันแล้วว่า
เราเลิกใช้สารเคมี สารพิษทุกชนิด แต่เขาก็ไม่เชื่อดิฉัน เขาแอบเอาไปฉีดใส่
ตอนวันที่ดิฉัน ไม่ได้ไปสวน พอไปเจอเข้าวันหลัง ดิฉันน้ำตาตกนอก ตกในเลย
โอ้ย ! แทบจะบ้าตาย
ดิฉันบอกเลิกกับเขาเลย
ต่อแต่นี้ คุณต้องแยกกันทำสวนกับดิฉัน ทำคนละไร่ครึ่ง สวนของดิฉัน จะทำแบบ
ไร้สารพิษ จะอาศัยถั่วเขียวเป็นปุ๋ย และปลูกพืชหลายชนิด ลงไปในแปลงพริก คือ
ทำสวนพริก แต่จะปลูก หลายอย่าง เช่น ถั่ว ข้าวโพด และอื่นๆอีกหลายอย่าง ก่อนจะปลูกพืช
ทุกชนิด ดิฉันจะหว่าน เมล็ดถั่วเขียว เสียก่อน พอถั่วเขียวโตแล้ว ก็ไถกลบทำให้ดินดี
พืชก็แข็งแรงดี คนก็สุขภาพดี ดิฉันจะทำให้เขาดู เป็นตัวอย่าง
ดิฉันได้อดทนต่อคำพูดเสียดสีถากถางของคนอื่น
ที่เขามองเราว่ากินอย่างนั้น มันจะไปมีกำลัง หรือ กินแต่ผัก ดิฉันก็อธิบายให้เขาฟังว่า
ดิฉันไม่ได้กินแต่ผักอย่างเดียว มีถั่ว งา มีกล้วยมี ข้าวกล้อง (ตำเอาเอง
ไม่ได้ไปซื้อ เพราะเป็นชาวนา) ทานอย่างนี้แหละ ครบหลัก ๕ หมู่ เธอมากินแบบเราซิ
จะได้มีสุขภาพแข็งแรง ประหยัดดีด้วย และประโยชน์ก็สูงด้วยนะ
นี่แหละเขาเรียกว่าสุดยอดของชีวิต
พอดิฉันพูดอย่างนี้จบ เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ แล้วเขาก็พูด ไปเรื่องอื่น ก็ไม่เป็นไร
เพราะได้อธิบายให้ฟังแล้ว สักวันหนึ่ง เขาอาจจะนำไปคิด ถ้าอดทน ต่อคำพูดของคนที่เขาพูด
เป็นอสาระได้ จิตใจมันก็จะสงบ
ดิฉันรู้สึกว่า ถ้าได้อดทนต่อสิ่งที่มากระทบ
ทั้งทางกาย-วาจา-ใจ ถึงมันจะอึดอัดหน่อย แต่ผ่านไปได้ จิตใจ ก็สงบลง สบาย
ดิฉันจะนึกถึงความไม่เที่ยง ความแปรปรวนของโลก คือ กฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา หรือไม่ดิฉันก็นึกถึงโลกธรรม ๘ ซึ่งมีคู่กับโลก ใบนี้ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
นางสุภาพร พละศักดิ์ จ.ศรีสะเกษ
แม้มีอุปสรรคกับปัญหาพุ่งใส่
ใจของคนจริง ก็ยังสู้ไม่ถอย อดทนทำต่อๆไป ถึงน้ำตาจะตกใน ก็ตามที เพื่อชีวีสงบ
สุขสบาย - บ.ก.
ต่อสู้-อดทน
อย่าแปลกใจนะจ๊ะว่า ไม่ได้เป็นสมาชิกแล้วได้อ่านหนังสืออย่างไร ขอยืมคนอื่นอ่าน
สาเหตุ ที่ยืมเขาอ่าน ก็เพราะว่า ตัวเองมีเรื่องกลุ้มในครอบครัว จะพูดให้ใครฟังก็ไม่ดี
เพราะว่า มันเป็นเรื่อง ในครอบครัว
สามีเอาแต่ใจ ทั้งๆที่เราก็ทำงานเหนื่อย
และก็ต้องรับผิดชอบดูแลลูกมาตลอด ได้อ่านสารอโศก ทุกๆเล่ม ที่เพื่อนให้อ่าน
และทำตาม ที่พ่อท่านสอนทุกๆเล่มแล้ว ทำให้มีการต่อสู้ กับครอบครัว มากที่สุด
ขอโทษนะจ๊ะ ใช้คำว่า ต่อสู้ มันอาจจะแรงเกินไป ต้องใช้คำว่า อดทนดีกว่า
ตอนนี้ดิฉันอดทนมาได้
๘๐% แล้ว อดทนต่อการเลี้ยงลูกให้ได้ดี ดิฉันมีลูกชาย ๒ คน ปัจจุบัน ลูกชายคนโต
อายุ ๒๐ ปี ลูกชายคนเล็ก ๑๘ ปี คำว่าอดทน ทำให้เราชนะได้จริงๆนะจ๊ะ เพราะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ลูกชาย เกเรมากๆ จนคิดแล้วว่า ชาตินี้ทั้งชาติ ลูกคงดีไม่ได้ แล้วก็คง เรียนหนังสือ
ไม่จบแน่ เพราะเขาทั้งสอง หลงเดินผิดทางไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่า ความอดทน ทำให้คนมาเป็นคน
คำว่า อดทนคือผู้ให้ ให้อภัยลูก ให้โอกาสลูก
ทุกวันนี้ ความอดทนทำให้ดิฉันชนะมาถึงเกือบจะ
๑๐๐ % ได้ ตอนนี้ลูกชายคนโตที่ว่าเกเรมาก ก็เรียนมาถึง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีที่ ๓ คณะนิติศาสตร์ ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ว่าสุดแซ่บ ก็เรียนอยู่ที่ วิทยาลัย
นาฏศิลป์ สุพรรณบุรี เอกโขน
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ได้ความสำเร็จจากการอ่านหนังสือของพ่อท่าน
ได้ต่อสู้กับคำว่า อดทน ที่พ่อท่าน ได้สอนไว้ ในหนังสือสารอโศกที่ลูกอ่าน
ตอนนี้ลูกชายทั้ง ๒ คนเป็นคนขยันเรียน ขยันทำงาน เป็นคนที่รัก เคารพพ่อ และแม่มากๆ
อัมพร ทัศเกษร จ.สุพรรณบุรี
"ขันติคือ
ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง" กิเลสเป็นตัวทำ
ให้คนเรา ทุกข์อยู่เสมอๆ ฉะนั้น หากใครสามารถต่อสู้กับกิเลส ด้วยความอดทน
อดกลั้นได้ ในที่สุด จะต้องชนะกิเลสจนได้ เมื่อนั้น ย่อมพ้นทุกข์แน่นอน
โดยเฉพาะ กิเลสตัวรัก ตัวหวง ตัวห่วง กังวล ตัวผิดหวังเสียใจ ฯลฯ -
บ.ก.
เท้าเปล่าย่างไป
ดิฉันได้รับนิตยสารดอกหญ้าและสารอโศก ที่ท่านกรุณาส่งไปให้ มีความรู้สึกว่า
วันๆเร็วมาก เผลอไป นิดเดียว หนังสือส่งมาให้อีกแล้ว ต้องขอขอบพระคุณท่าน
และคณะผู้จัดทำ ที่มีหนังสือ ที่ให้สาระ ในการดำรงชีวิต พร้อมทั้งได้นำหลักธรรม
มาฝึกฝนตนเอง จนได้ระดับหนึ่ง
เวลาดิฉันไปตลาด เพื่อซื้ออาหารทุกครั้ง
หลายคนจะช่วยสำรวจ ตรวจสอบดิฉัน ประการแรก ดูที่เท้า เพราะดิฉัน ฝึกเดินเท้าเปล่า
บางคนอดไม่ได้ จึงถามดิฉันว่า "พี่นับถือศาสนาอะไร"
ดิฉันคิดว่า ตัวเองพยายามเดินให้ถูกทางของศาสนาพุทธอยู่นะ
ไม่ได้โกรธเขาหรอก หลายคนก็ว่า ดิฉันเพี้ยนไปแล้ว
ดิฉันยังไม่ได้ตอบเขาได้แต่มอง
เขาจึงพูดต่อว่า "ที่พี่ถอดรองเท้าเดินน่ะ ศาสนาพุทธ เขามีอย่างนี้ด้วยหรือ"
ดิฉันก็ตอบเพียงสั้นๆว่า
"ใช่! นี่แหละศาสนาพุทธ" และชั่งใจว่า จะอธิบายให้เขา ในเรื่องของ
ศาสนา แค่ไหนดี เพราะคนในสังคมหลายคน ไม่ได้ใส่ใจ ในการศึกษาธรรมะ เท่าที่ควร
บางคน ศึกษาเข้าใจ แต่ขาดการปฏิบัติ
ดิฉันจึงตอบหลายๆคนไปว่า
"ทำเพื่อสุขภาพ" ดิฉันมีเหตุผลในใจ ไม่ทราบว่าจะใช้ได้ไหม....
๑. รองเท้ามีหลายรูปแบบ
และก็มีการเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ จัดเป็นแฟชั่น ดิฉันเอง ไม่ค่อยชอบ ไปเลือกซื้อ
รองเท้าเลย ใจไม่ยินดี ในการเลือกรองเท้า และบางคน ก็กลายเป็น นักสะสมรองเท้าก็มี
๒. ราคาของรองเท้า บางคู่ราคาแพงมาก
จึงได้แต่ดู รองเท้าได้สร้างความร่ำรวย ให้แก่ผู้ผลิต รองเท้าทำให้ คนยึดมั่นว่า
ต้องใส่ยี่ห้อนี้ จะได้ชื่อว่า มีรสนิยม ใช่ ! มันเป็นรส ที่คนนิยม แต่ดิฉัน
ไม่นิยมรสนี้ บางคู่ซื้อมา ใส่ไม่กี่ครั้ง ก็ชำรุด บางครั้งก็ลอก เนื่องจาก
อยู่กับทางร้าน มานาน
๓. เป็นช่องทางหากินของคนบางคน
เช่น สถานที่ที่มีคนไปท่องเที่ยว แล้วให้ถอดรองเท้า ก็จะมีคน เก็บเงิน ค่าฝากรองเท้า
มิฉะนั้นจะหาย ถ้าไม่ให้เงิน ก็ยึดรองเท้า ของเราไว้เลย น่าอเนจอนาถใจ ในบุคคลเหล่านั้น
บางคนก็หยิบผิด บางคน ก็ตั้งใจเอาไป ทั้งหมด เป็นสาเหตุ ให้เกิดความหงุดหงิดได้
๔. การเดินเท้าเปล่าจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น
เมื่อได้สัมผัสดิน เป็นคนติดดินมากขึ้น คนเรา ก็แปลก แค่ลดตัวเอง ลงจากรองเท้ามา
๑ ซ.ม. หรือ ๑ นิ้ว ก็แปลกในหมู่คนไปได้ ดิฉันไม่เห็น จะแปลกอะไรเลย คนสมัยก่อน
ไม่มีรองเท้า ให้เลือกซื้อมากมาย อย่างสมัยนี้ เขายังถอด รองเท้า เดินกันออกมากมาย
คนเราจะเลือกคบหา กันที่รองเท้า ก็ตามใจ แต่งตัวสุภาพ เรียบร้อย กิริยามารยาทดี
อ่อนน้อม แต่ไม่ใส่ รองเท้า มันน่ารังเกียจตรงไหน ขอให้เป็นคนดี ก็น่าจะพอใจ
แต่ละคนถูกสอนให้ใส่รองเท้า
เท้าจะได้ไม่เปื้อน พยาธิจะได้ไม่ไชเท้าเข้าสู่ร่างกาย
สรุปแล้ว แค่คำพูดของคนที่ไม่เข้าใจแนวทางการปฏิบัติ
เพื่อการลดละ จะไม่ทำให้ ดิฉันเปลี่ยนใจ จะพยายามให้ ยิ่งๆขึ้น ทุกคนมีสิทธิ์คิด
และทำ ในสิ่งที่แตกต่าง ขออย่าให้เป็น การเบียดเบียน จนคนอื่น ได้รับความทุกข์
จากการกระทำของเรา ก็แล้วกัน
นทวรรณ บุญนิล จ.อุทัยธานี
เจ้าชายสิทธัตถะ
ทรงฉลองพระบาททองคำ แต่พอออกบวช ทรงทิ้งรองเท้าทองคำ เสด็จไปไหน ด้วยพระบาทเปล่า
ไม่มีภาระ ไม่ติดแฟชั่น ไม่ต้องแสวงหาอีก และที่สำคัญ คือ ได้มีสติ
มีสมาธิ ในการก้าว เดินไป ในแต่ละย่างก้าว ที่เท้าเปลือยเปล่า สัมผัสแผ่นดิน
- บ.ก.
(สารอโศก
อันดับที่ ๑๕๓ ตุลาคม ๒๕๔๕)
|