-
ฟากฝั่งฝัน นาวาอโศกตระกูล
ในโลกนี้มีอะไร ?
|
ทุกชีวิตเกิดมาบนโลกใบนี้
โดยเฉพาะมนุษย์ ที่ให้สมญา ตัวเองว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ เคยตั้งคำถาม
กับตัวเอง บ้างหรือไม่ว่า ในโลกนี้ เราเกิดมาเพื่อเอาอะไร?
และในโลกนี้ มันมีอะไร? แล้วหาคำตอบ ให้ตัวเองได้หรือไม่?
ข้าพเจ้าเป็นบุคคลหนึ่ง
ที่เกิดมาบนโลกลูกนี้ และใช้ชีวิต ตามสังคม ที่เขาพาเป็นพาไป โดยไร้จุดหมาย
ของชีวิต ที่แท้จริง
|
สมัยก่อนโน้น ก่อนที่จะมาพบชาวอโศก
ข้าพเจ้ารับราชการครู และทราบข่าว การแสดงธรรมของ สมณะโพธิรักษ์
ข้าพเจ้าจึงติดตามไปฟังที่วัดธาตุทอง
เมื่อได้ฟังจึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใส
เพราะการปฏิบัติของสมณะโพธิรักษ์คือ ฉันอาหาร มังสวิรัติ
วันละหนึ่งมื้อ ไม่ใส่รองเท้าและ ท่านยังสอนให้ถือปฏิบัติศีล ๕ ละอบายมุข
ข้าพเจ้าจึงเริ่ม ปฏิบัติตาม จนมั่นใจแล้วว่า แนวทางหรือทิศทาง การปฏิบัติแบบนี้
จะทำให้ ตัวข้าพเจ้า มีทุกข์น้อยลง
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจลาออกจากงาน
เพื่อจะมาบวช แต่ข้าพเจ้าไปบวชกับพระหมู่ใหญ่อยู่ ๔ พรรษา คือไปปฏิบัติกับ
ครูอาจารย์ทางโน้น แต่ก็ได้เพียงประเพณี จึงลาออก จากอุปัชฌาย์ ทางโน้น มาบวชกับ
พ่อท่านโพธิรักษ์ โดยท่านเป็นอุปัชฌาย์ให้ ตั้งแต่วันที่
๙ ตุลาคม ๒๕๑๙
ข้าพเจ้าเป็นสมณะรุ่นบุกเบิกสมัยแดนอโศก
การทำงานไม่มีมาก เหมือนในปัจจุบัน การปฏิบัติ จึงเน้นที่ ตัวเรา มีการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการกิน-อยู่-หลับ-นอน
แม้จะเป็นเพียงพื้นฐาน แต่พื้นฐาน แข็งแรง ย่อมมั่นคง ในการที่จะปฏิบัติขั้นสูงต่อไป
ฝึกบำเพ็ญตบะ
ฉันอาหารแบบวันเว้นวัน วันพุธธัง ก็สำรวมวาจาไม่พูด ฝึกการนอน โดยนอน ไม้กระดาน
แผ่นเดียว และหลับเพียงตื่นเดียว หรือ ตกจากไม้กระดาน ก็ไม่นอนต่ออีก ฝึกอย่างนี้ทุกๆวัน
เป็นการปฏิบัติ ขัดเกลา ความติดสบาย ของตัวเราเอง เป็นการปฏิบัติ ที่ถูกตรงทาง
ขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปฏิบัติสังวรในศีล สำรวมอินทรีย์พร้อมสัญญาและใจ
ถ้าเรียกกันก็คือ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ฝึกไม่ติดรสอาหาร ไม่ติดการนอน
ให้รู้จักเวลาพัก เวลาตื่น คือตื่นเป็นตื่น พักเป็นพัก ข้าพเจ้าก็ฝึกแบบนี้
ในช่วงสมัยโน้น
ในเบื้องต้นมันช่างยากลำบากมากสำหรับข้าพเจ้า
แต่ด้วยความศรัทธา ในแนวทางการปฏิบัติ ต้องทน ต้องฝืน
พอนานไปเกิดความเคยชิน มันก็ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องทน ก็จะเบาสบาย นี่คือ การทวนกระแส
ความเคยชิน หรือทวนกระแสกิเลสของตัวข้าพเจ้านั่นเอง จะรู้สึกดีขึ้น
เพราะเราสามารถ เอาชนะกิเลส ของเราได้ จิตบริสุทธิ์ของเราแข็งแรงขึ้น
สมัยข้าพเจ้าปฏิบัติที่แดนอโศก
การฟังธรรมได้ฟังมากกว่าปัจจุบันนี้มาก สมัยโน้น ฟังธรรม วันละ ๔ เวลา พ่อท่านเทศน์สอน
อบรมวันละ ๔ เวลา คือ เช้ามืด ๓.๐๐ น. ก่อนฉัน ๘.๐๐ น. ตอนบ่าย ๑๓.๐๐ น.
และ รอบเย็น ๑๗.๐๐ น. และก็จะมีการเดินจงกรม นั่งเจโตสมถะ นี่เป็นลักษณะ
ในการปฏิบัติ ในสมัย แดนอโศก เข้มงวดกับตัวเราเองให้มาก
ข้าพเจ้าได้ทบทวนกับตัวเอง
เมื่อก่อนยังอยู่ทางโลกโลกีย์ ก็สนุกไปกับการใช้ชีวิต แบบไร้สาระ ไม่มีประโยชน์อะไร
ไม่รู้ว่ามันมีโทษอย่างไรกับเรื่องของการเที่ยวเตร่ และ มีความเกียจคร้าน
พอมาปฏิบัติที่นี่ ได้เห็นโทษภัย ของสิ่งเหล่านั้น ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงขยันมากขึ้น
เพื่อจะได้หนีพ้น อบายมุข คือตัวขี้เกียจ
เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติตามแนวทางนี้
จิตใจมันจะเบา ปลอดโปร่ง โล่ง สบาย หรือ เรียกว่า สุขกาย สุขใจก็ได้ จิตมันมีแต่ความสุข
มีความกระปรี้กระเปร่า มีความสุขโดยส่วนเดียวเลย คือไม่มีทุกข์ ตามมา ส่วนทางโลกโลกีย์
มันไม่ใช่สุขโดยส่วนเดียว มันมีสุขบ้างทุกข์บ้าง พอได้สมใจก็สุข พอไม่ได้สมใจ
ก็ทุกข์ตามมา แต่ทางธรรมะมีสุขโดยส่วนเดียว ไม่มีทุกข์ตามมา เพราะเรารู้
เท่าทันกิเลส ที่บอกว่าสุข เพราะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
กิเลสมันไม่ได้หมดไปง่ายๆ
ตัวถือสาถือดีมันก็ยังมีอยู่ในตัวข้าพเจ้า มันยังมีตัวอัตตามานะ คือ ความถือสา
มีศักดิ์ศรีของตัวเราเอง มันก็คงสั่งสมมานาน หลายชาติ ข้าพเจ้าก็พยายามหาทาง
ที่จะหลุดพ้นกับ กิเลสตัวนี้ จึงหัดปล่อยวางด้วยการคิดว่า "คนเราเกิดมาก็ตัวเปล่า
ไปก็ตัวเปล่า จะมามัวถือดี รักศักดิ์ศรีอะไร ตัวเราก็ผิดพลาดได้ คนอื่นก็ผิดพลาดได้"
เมื่อทบทวน บ่อยๆ ตัวที่จะไป ถือสาคนอื่นมันก็จะน้อยลง และ เจริญเมตตาได้มากขึ้น
สันติภาพ ก็จะเกิดขึ้น ในจิตใจเราเอง
มันยากนะ สำหรับตัวอัตตามานะ
เพราะมันเป็นสักกายะของข้าพเจ้า ต้องเห็นโทษภัยของมัน ให้ได้ จึงจะสามารถ
จัดการมันลง โค่นมันได้ อีกไม่นานตัวเราเองก็ต้องตาย
แล้วจะมัวมาถือตัว ถือตนอยู่ทำไม ข้าพเจ้าต้องเตือนตัวเอง แบบนี้อยู่ตลอดเวลา
จนสามารถที่จะวางเฉยได้ ระดับหนึ่ง และ หัดยอม ยอมให้เป็น ให้เขาว่าได้ ให้เขาเตือนได้
ยอมให้กับทุกๆคนได้ จิตใจ มันก็อ่อนน้อม ถ่อมตนลงได้ แล้วเจริญ ในธรรม เห็นใจคนอื่น
เข้าใจคนอื่น ตัวถือสา หรือ อัตตามานะ ก็จะลดลงเอง
ข้าพเจ้าจะทำให้ตัวเองมีความสุขในการลดอัตตามานะ
เพราะตัวถือสา มันเกิดจากตัวเรา ไปกำหนด คนอื่นว่า ทำไม่ถูกใจเรา ไม่ตรงกับความเห็นของเรา
นั่นคือ ความใจแคบของเรา ทั้งๆที่เราไม่มีสิทธิ์ ไปครอบงำคนอื่นเขา เราไม่มีสิทธิ์เป็นศาลเตี้ย
ไปพิพากษาคนอื่นว่า เขาผิด แต่มันอยู่ที่ เราต้องมอง ความผิด ของตนเองก่อน
จึงจะทำให้เรายอมได้ แล้วตัวมานะถือสา มันก็จะลดลงไป
การมาปฏิบัติในเส้นทางสายนี้
ต้องทำใจ กับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมัยนั้น ที่ข้าพเจ้า ตัดสินใจ มาปฏิบัติ
พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ถามข้าพเจ้าประโยคหนึ่งว่า "คุณจะมาตายรึป่าว"
"มาตายครับ" นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้น
ต้องพร้อมที่จะตาย กับเส้นทาง สายนี้เสมอ ต้องทำใจได้ กับทุกๆเรื่อง แม้ว่าจะเป็นวิกฤตเหตุการณ์
กรณี สันติอโศก ข้าพเจ้าก็ทำใจ พร้อมตายเสมอ
ผัสสะทุกผัสสะ วิกฤตเหตุการณ์รุนแรงต่างๆที่เกิดขึ้นกับชาวอโศก
ถือว่าคือ บททดสอบ คือแบบฝึกหัด ให้เราได้ฝึก ได้เลื่อนฐานจิตของตัวเราเอง
ให้เจริญสูงขึ้น ข้าพเจ้าจึงทำใจได้ จึงสอบผ่านได้ และอยู่ได้ มาถึงทุกวันนี้
ศาสนาพุทธขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะรู้ได้เฉพาะบัณฑิต ปุถุชนคนกิเลสหนา-คนพาล จะรู้ตามไม่ได้เลย เข้าใจได้ยาก
รู้ตามได้ยาก ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรม ทวนกระแส ย่อมเป็นธรรมดา
ที่ชาวโลก เขาเข้าใจผิดได้ แต่ข้าพเจ้า เข้าใจชาวโลกีย์ และก็พร้อม ที่จะใช้สัจจธรรม
เป็นเครื่องพิสูจน์ "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
มรรคผล เป็นเครื่อง พิสูจน์พระ"
กระแสโลกกระแสสังคมทุกวันนี้
ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมเลย ธรรมะของ พระพุทธเจ้า พิสูจน์ได้ ทุกเมื่อ
ทุกสมัย พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เห็นได้ด้วยตนเอง เพียงเริ่ม ปฏิบัติศีล ๕ ลดละ
อบายมุข แล้วจะรู้ได้ ทันทีว่า ไม่ได้ยาก ไม่ได้ลำบาก หากเอาจริง ถ้าชนะกิเลสได้
ก็ทำได้ เพราะฉะนั้น การที่ชาวอโศก มาปฏิบัติ ตามแนวคำสอน ของพระพุทธองค์
ชาวอโศก ยังไม่ได้เคร่ง อย่างที่ชาวโลกโลกีย์ เข้าใจเลย เพราะพวกเรา ชาวอโศก
ยังต้องฝึกอีกมากมาย
กว่า ๒๐ ปีบนเส้นทางสายนี้
ที่ข้าพเจ้าร่วมเดินกับหมู่กลุ่ม กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับการทำงาน
มรรคองค์ ๘ ผัสสะต่างๆ ที่มากระทบ คือโจทย์ที่ข้าพเจ้า จะต้องทำ แบบฝึกหัด
ที่จะมาทำให้ข้าพเจ้า ต้องเลื่อนฐาน เขามากระทุ้ง
กิเลสในตัวเรา มาคุ้ยกิเลสในตัวเรา ถ้าเราไปมองว่า เขาคือ ศัตรู ตัวเราสอบตก
ทันที
ต่างฐานะ ต่างครอบครัว
มาอยู่ร่วมกันในเส้นทางสายอโศกนี้ ผู้เป็นบัณฑิต ย่อมตรวจสอบ ตัวเองว่า กระทบกับบุคคลใดแล้วเกิดอารมณ์ดูดหรือผลัก
อาฆาต พยาบาท บัณฑิต จะต้อง ตรวจสอบอารมณ์ (กิเลส) ที่เกิดขึ้น ถ้ายังมีมาก
ก็ยังโง่มากอยู่นั่นเอง
การงานมีมากขึ้น การเกื้อกูลสังคมภายนอกมีมากขึ้น
ข้าพเจ้ายิ่งต้องเคี่ยวตัวเอง ให้ยิ่งขึ้น เมื่อตัวเรามั่นคง
คนอื่นย่อมมั่นใจ ข้าพเจ้ามั่นใจในทิศทาง ที่ทำตามพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
มันเป็นทางออก ทางเดียว เพราะโลกนี้ มันวิกฤตในเกือบทุกๆด้าน มันมาถึงทางตัน
ของมวลมนุษยชาติแล้ว
จงหันมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์เถิด
เพราะเป็นทิศทางเดียวที่จะกอบกู้ชีวิต ของตัวท่าน กอบกู้สังคม
ให้กลับคืนมาร่มเย็นเป็นสุข เพียงถือปฏิบัติศีล ๕ ละอบายมุข เท่านี้ ก็จะสามารถ
ดำรงอยู่กับสังคม ที่เจอทางตันได้ อย่างไม่เดือดร้อน
มาเถิดชาวพุทธทั้งหลาย
ยังไม่สายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น หากศีลธรรมไม่คืนมา โลกาจะวินาศ เมื่อศีลธรรม
กลับคืนมา โลกาก็เป็นสุข ศีลธรรมและสันติภาพ อยู่ในกำมือท่าน ทุกคน มีทิศทางนี้
ทางเดียว ที่จะทำให้สังคม อยู่ด้วยกัน อย่างร่มเย็นเป็นสุข......
ส.เลื่อนลิ่ว
อรณชีโว
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๓ ตุลาคม ๒๕๔๕)
|