รำลึกถึงหลวงปู่พหุลีกโต
|
หลวงปู่
คือ ครูที่ควรจดจำ
คุณความดี ที่ได้กระทำ
จะตอกย้ำในใจเรานี้
ขออธิษฐานให้
หลวงปู่พันธ์ท่านจงไปดี
แม้ท่านจากไปชาตินี้
คุณความดีอยู่ชั่วนิรันดร์
- สมณะเด่นตะวัน นรวีโร -
๑๓ ต.ค. ๒๕๔๕ |
หลวงตาของฉัน
ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ มิอาจหลีกเลี่ยงความตายไปได้ และไม่มีใครหยุดยั้ง ความตายไว้ได้
แม้จะยิ่งใหญ่คับฟ้า หรือต่ำต้อย ด้อยวาสนา จุดจบของชีวิตคือ"เชิงตะกอน"
เช่นเดียวกับ หลวงตาของฉัน
ตั้งแต่ฉันจำความได้ หลวงตาของฉันเป็นคนเอาจริง
และมีความรัก ความปรารถนาดี ต่อลูกๆ ทุกคน ให้อิสระทางด้านความคิด การกระทำ
ไม่บังคับขู่เข็ญ หรือเคี่ยวเข็ญ ให้ลูกๆ หลานๆ ตัดสินใจเอง แต่ต้องอยู่
บนความถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม
หลวงตาเป็นคนชอบใฝ่ศึกษาหาความรู้
โดยเฉพาะความรู้ทางธรรมะ ทุกวันพระ ฉันจะได้ไปวัด กับหลวงตา ไปถือศีลนอนค้างวัด
สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นเป็นประจำ แม้ในสมัยนั้น จะยังไม่ได้รู้จักชาวอโศก
หลวงตาก็ถือปฏิบัติ เช่นนี้มาตลอด จวบจนกระทั่งหลวงตา ได้มีโอกาส มาพบชาวอโศก
ได้ร่วมงานปลุกเสก พระแท้ๆ ของพุทธ ที่พุทธสถาน ศีรษะอโศก จังหวัด ศรีสะเกษ
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓
หลวงตาเป็นคนทำอะไรทำจริง
เอาจริงเอาจัง จึงพาลูกๆหลานๆ กินอาหารมังสวิรัติทันที ที่กลับจาก งานปลุกเสกฯ
หลวงตาเปรยกับลูกๆหลานๆว่า "เมื่อเกษียณแล้ว
จะไปบวชเป็น สมณะชาวอโศก" แม้ช่วงเวลานั้น หลวงตาจะอายุ ๕๘ ปีเศษๆแล้วก็ตาม
หลวงตา ก็ยังมี ความมุ่งมั่น ปฏิบัติจริงๆ
ทุกๆเช้า หลวงตาจะพาลูกๆหลานๆตื่นเวลา
๐๓.๓๐ น. เพื่อทำวัตรเช้า สวดมนต์ ฟังหลวงพ่อ เท็ปของ สมณะโพธิรักษ์
เปรียบเสมือนยกวัด มาไว้ที่บ้าน ที่วัดปฏิบัติอย่างไร ที่บ้าน
ก็ปฏิบัติตาม แบบนั้น จนเพื่อนบ้าน มองครอบครัวของหลวงตา เพี้ยนไปเป็น คอมมิวนิสต์
แล้วหรือ?
หลวงตาจะรักห่วงใย เอาใจใส่ลูกๆหลานๆ
แม้แต่อาหารการกิน ฉันประทับใจ และจดจำได้ ไม่เคยลืมเลือน หลวงตาจะเตรียมอาหารไว้ให้ลูกๆได้กิน
หลังจากลูกๆ กลับจากโรงเรียน ความรักความห่วงใย ของหลวงตา ที่มี สังเกตได้จากการเตรียม
เครื่องส้มตำไว้ มะนาว มะเขือเทศ พริก และมะละกอ ที่ฝานไว้
เป็นเส้นบางๆ เรียบเสมอกัน มองดูสวยงาม สัมผัสได้ ถึงความรัก ความห่วงใย
ความเอื้ออาทร ที่มอบให้ กับลูกๆ หลานๆ ไม่มีใครอีกแล้ว ในโลกนี้
จะฝาน มะละกอ ได้สวยงาม เท่ากับหลวงตาของฉัน ไม่มีอีกแล้ว จริงๆ
อายุก็มากแล้ว เวลาในการที่จะปฏิบัติตามเส้นทางของชาวอโศก
เพื่อมุ่งไปยังเส้นทาง ขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหลือน้อยเต็มที
เมื่อเกษียณแล้ว ลูกๆก็โตแล้ว ทำหน้าที่ "พ่อ"
สมบูรณ์แล้ว จึงต้องการออกบวชปฏิบัติตัวเอง เพื่อให้หลุดพ้น จากกิเลสตัณหา
อุปาทาน มองดูผิวเผิน เหมือนเป็น การเห็นแก่ตัว ตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่ในความเป็นจริงอันลึกซึ้ง
เป็นการเสียสละ เพื่อไม่ต้องไปแย่งลาภ แย่งยศ แย่งข้าวของเงินทอง จากสังคมโลก
หันมาใช้ชีวิต ในเพศบรรพชิต อยู่อย่างมักน้อย สันโดษ ขยัน ไม่หอบ ไม่หวง
ไม่กอบไม่โกย แต่กลับสะพัด ออกสู่สังคม บวชแล้วแม้อายุจะมาก แม้สังขารจะร่วงโรย
แต่หลวงตา ยังคงมุ่งมั่น ฉันอาหารมื้อเดียว และพยายามปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ
สม่ำเสมอ
เมื่อโครงการปฐมอโศกเกิดขึ้น
(ชุมชนวัฒนธรรมปฐมอโศก) หลวงตามีความเมตตา ปรารถนาดี ต่อครอบครัว อยากให้ลูกๆหลานๆ
มาอยู่ใกล้หมู่กลุ่ม ที่ดีมีคุณธรรม เพื่อจะได้พัฒนาตนเอง ให้ดีขึ้น และ
มีทุกข์น้อยลง ด้วยความซึ้งในเมตตา และ ปรารถนาดี ของหลวงตา ทางบ้าน จึงขายทุกอย่าง
แล้วมา ปลูกบ้าน อยู่ในโครงการปฐมอโศก
แม้จะเกิดวิกฤตการณ์เกี่ยวกับชาวอโศก
"กรณีสันติอโศก" สมณะจะต้องถูกจับ ถูกสอบสวน ถูกกักขัง
หลวงตาของฉันก็ไม่หวั่นไหว ไม่เกรงกลัว ยังมั่นคงในเส้นทางสายอโศก อดทน ยิ้มสู้
แม้สภาพสังขาร จะร่วงโรย ด้วยความชรา "แท้ย่อมไม่ท้อ"
นี่แหละสมกับฉายาว่า พหุลีกโต คือ ผู้ซึ่งมีความเพียร
ทำให้มาก ทำให้ยิ่งเสมอๆ หลวงตาสอนลูกๆหลานๆ ด้วยการกระทำ ทำเป็น
ตัวอย่าง "ตัวอย่างที่ดีมีค่ายิ่งกว่าคำสอน"
ผ่านพ้นวิกฤติกรณีสันติอโศกไปแล้ว
หลวงตายังมีความเพียรมุ่งมั่นปฏิบัติในศีล เคร่งในวินัย กิจวัตร ไม่ละเลย
ยึดมั่นบิณฑบาตเป็นวัตร งานปลุกเสกฯ งานพุทธาฯ หลวงตาจะให้ ความสำคัญ ทุกครั้ง
ใฝ่ศึกษาฟังธรรม ค้นคว้าอ่านหนังสือ และอ่านจิตอ่านใจ ของตนเอง
"ในโลกนี้มีทุกข์อยู่
๒ อย่างคือ ทุกข์ ๑ เพราะเขา ทุกข์ ๒ เพราะเรา เขาจะว่าเราดี
เราก็ไม่ดีใจ เขาจะว่า เราไม่ดี เราก็ไม่เสียใจ ดี-ชั่วตัวเราทำเอง ในโลกนี้ใครทำให้กันไม่ได้
เรื่องของเขา ก็เป็นกรรมของเขา เรื่องของเราคือการปล่อยวาง อภัย ไม่ให้มีเขาไม่ให้มีเรา
ก็หมดทุกข์เอง เพราะไม่มีเขา ไม่มีเราก็ไม่มีทุกข์" นี่เป็นเพียงบางส่วน
ในสมุดบันทึกของหลวงตา
จากไปแล้ว หลวงตาจากฉันไป...ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
ร่างกายขันธ์มอดดับเป็นเถ้าธุลี กลับสู่ผืนแผ่นดิน ที่ยิ่งใหญ่
"เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" หลวงตาทิ้งไว้เพียงแต่ความทรงจำอันดีงาม
หลวงตาไม่เคย ผูกอาฆาต พยาบาทใคร ความดีที่หลวงตาพาทำ ฉันจดจำได้ทุกอย่าง
ไม่เคย ลืมเลือน จากอดีตจนถึงวันที่ หลวงตา ลาลับ
ใช่...ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แต่ก่อนตายมีใครบ้างที่คิดจะทำแต่กรรมดี ทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เพื่อคนอื่น
ไม่เบียดเบียนใครๆทั้งทางกาย-วาจา-ใจ ดั่งบันทึกเล่มสุดท้าย ของหลวงตา บันทึกไว้ว่า
"สมณะผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นทางกาย
ทางวาจา และทางใจอยู่ สมณะผู้นั้น ไม่ได้เดินตรงทาง ขององค์มรรค ยังเป็นผู้มิจฉาทิฏฐิ
ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ยังห่างไกลมรรคไกลผล สมณะผู้มีเมตตา ต้องมีอุเบกขาจิต เมตตานั้น
จึงจะสมบูรณ์"
ต่อนี้ไป แม้จะเหงาอ้างว้าง
แต่หนทางที่หลวงตาพาก้าวเดิน ยังชัดเจนในความรู้สึกของฉัน แม้ไม่มีร่าง ให้มองเห็นแล้ว
แต่ความดีที่หลวงตาฝากไว้ ยังเป็นสัญลักษณ์นำทาง ให้มุ่งไป แต่ละก้าว ที่เต็มใจ
แม้อาจจะเจ็บช้ำ จะจดจำคำสอนให้ฝังใจ
เธอคือหนึ่งในใจฉันเนืองนิจ
ผู้มีจิตเมตตา หาใครเหมือน
ผู้เข้มแข็งอดทน มิแชเชือน
ผู้เป็นเพื่อน เป็นพี่ ที่อาทร
ฉันเติบใหญ่มาได้ทุกวันนี้
ด้วยหลวงตาพหุลีผู้พร่ำสอน
เดินเถิดลูกตรงมรรคห่างนิวรณ์
หลวงตาฉันพร่ำสอนเสมอมา
ลาลับแล้วโลกนี้ที่ว้าวุ่น
ขอผลบุญหนุนส่งในภพหน้า
จักเดินตามรอยเท้าของหลวงตา
ไว้เจอกันชาติหน้า...ถ้ามีบุญ...
- ฟากฝั่งฝัน
นาวาอโศกตระกูล -
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๓ ตุลาคม ๒๕๔๕)
|