น้ำใจจากแดนไกล
กราบนมัสการ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ที่เคารพและศรัทธา อย่างสูงค่ะ
หนู(ชิดตะวัน)ได้ทราบข่าวจากคุณแม่ทางโทรศัพท์ว่า
พ่อท่าน จริงๆแล้ว มีอายุขัย ๗๒ ปี แต่จะ พยายาม ทำอิทธิบาท
ให้มีอายุยืน มากกว่านั้น
หนูได้ฟังข่าวก็ตกใจมาก เพราะทราบว่า ตอนนี้ พ่อท่านก็อายุ ๖๙ แล้ว
ยังไงหนูก็อยากให้พ่อท่าน รักษาสุขภาพ ให้มากๆนะคะ จะได้อยู่กับลูกๆ อโศกนานๆ
เพื่อกอบกู้ ศาสนา หนูยังจำได้ ตอนประมาณกลางปี หนูไปใส่บาตรกับคุณแม่ กับคุณป้าประคอง
คุณแม่กับ คุณป้าประคอง ขอพ่อท่านว่า ให้พ่อท่าน มีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี พ่อท่านยังตอบมาเลยว่าเป็น
๑๒๑ ปี ไม่ได้เหรอ ทำไมต้อง ๑๒๐ ปี หนูก็ขอให้คำนั้น เป็นจริงนะคะ
ยังไงพ่อท่าน ก็ต้องอยู่กับลูกๆ อย่างน้อย ๑๒๐ ปีนะคะ
หนูอยู่ที่อเมริกาก็พยายามฝึกฝนตัวเอง เหมือนกันค่ะ
แต่จริงๆ แล้ว สังคมที่นี่ มันก็ทำให้เรา ต้องฝึกฝน ตัวเอง ไปโดยอัตโนมัติ
มาเรียนที่นี่เนื่องจาก คุณแม่คุณพ่อไม่มีเงิน ก็เลยต้องเรียนภาษา เพื่อทำคะแนน
TOEFL และ GRE (ซึ่งจำเป็นมาก)
ให้ได้สูงที่สุด เพื่อมีสิทธิ จะได้ทุน และก็ทำงาน ที่ร้านอาหารไทย เป็นพนักงาน เสริฟ ไปด้วย
ทำทั้งหมด ๕ วันค่ะ (อังคาร-เสาร์) ทำตอนเย็น หลังเลิกเรียน ทั้งเรียนด้วย
ทำงานด้วย เหนื่อยมากๆ เลยค่ะ แต่ก็ภูมิใจนะคะที่ได้ช่วยเหลือตัวเอง เดือนนึงทำงานก็ได้ ประมาณ
๑,๑๐๐ USD. หักค่าเช่าบ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วก็จะเหลือ ประมาณ
๗๐๐ เหรียญ ก็ถือว่า เหลือเยอะ เหมือนกัน แต่ก็ต้อง ประหยัด น่าดูทีเดียว จะซื้ออาหาร หรืออะไรแต่ละที
หยิบแล้ววาง หยิบแล้ววาง หลายรอบ มากคะ เสียดายตังค์ เพราะกว่า จะได้ตังค์มา แต่ละทีนี่
ต้องเหนื่อย ทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ต้องใช้ความอดทน มากๆเลยค่ะ
ตอน ๒ เดือนแรก โดนเจ้าของร้านด่าว่า เสียดสีเกือบทุกวัน ร้องไห้ คิดจะเลิกทำงาน
ตั้งหลายครั้ง บางที ก็คิดว่า จะด่ากลับ เพราะมานะ อัตตาเราขึ้น ตั้งแต่เกิดมา
ไม่เคยมีใครมาด่าว่า แต่พอคิดไปคิดมา ก็คิดได้ว่า ทำงานต่อไปน่ะดีแล้ว เพราะนอกจาก
จะได้เงิน เลี้ยงตัวเองแล้ว ก็ยังได้บทเรียน ที่สำคัญ แก่ตัวเรา ฝึกความอดทน ให้จริงๆ
แล้วหนูว่ามันสำคัญนะคะ เพราะคนเราโดยเฉพาะตัวหนู ทนอะไร
ส่วนใหญ่ ก็จะทนได้ แต่เวลามีคน มาด่าว่า กระทบกระทั่ง มักจะทนไม่ได้ เพราะคิดว่า
เราแน่ เราเก่ง แกเป็นใคร มาจากไหน กล้าดียังไง ถึงมาด่าเรา
ฉะนั้น เมื่อหนูอดทนได้ ตอนนี้ หนูรู้สึก ดีมากเลยค่ะ เพราะต่อไป ในอนาคต
ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิต มันจะเลวร้าย ขนาดไหน หนูก็คงอดทนอยู่ได้ โดยไม่ ลำบากนัก
ถึงแม้ว่าเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว หนูจะเคยใช้ชีวิต อยู่ที่อเมริกา เป็นเวลา ๑ ปี
เคยเจอ ความลำบากมาแล้ว แต่มาคราวนี้ ชีวิตมันก็ต่างกับ คราวที่แล้ว มากๆ เลยค่ะ
อันนึงก็คือ ครั้งที่แล้ว ปัญหามันอยู่ตรงที่ ความแตกต่าง ระหว่างวัฒนธรรม
เพราะครั้งนั้น หนูอยู่กับ host family ชาวอเมริกัน
แต่คราวนี้ ชีวิตส่วนใหญ่ ต้องคลุกคลี อยู่กับคนไทย ซึ่งในความเห็นหนูแล้ว
หนูรู้สึกว่า สังคมไทยที่นี่
เป็นอะไร ที่แย่มาก คนไทย (ที่มาตั้งรกรากทำงาน) ที่นี่ไม่ช่วยเหลือกัน อิจฉากัน
ขี้นินทาเนี่ย เป็นที่หนึ่ง จนหนูรู้สึกว่า เป็นนิสัย ประจำชาติ ไปซะแล้ว
หนูเบื่อ ที่จะฟังมากเลยค่ะ ก็ไม่ใช่ว่า หนูจะเป็นคนดีอะไร นักหนา หรอกนะคะ
แต่นี่มันเกินไป เจอหน้าเมื่อไหร่ เป็นพูดเรื่อง ความฉาวโฉ่ เสื่อมเสียของชาวบ้าน
ประมาณว่า คนในโลกนี้ ไม่มีใคร มีดีเลย แต่พอต่อหน้า ก็พูดดี จ๊ะจ๋า เซ็งมากเลยค่ะ
แต่ก็ดี เหมือนกัน ทำให้หนูรู้ว่า นิสัยขี้นินทานี่ น่ารังเกียจ จะได้ไม่ทำ
ส่วนสังคมนักเรียนไทยที่หนูเจอที่ Boston University ก็จะเป็น อีกแบบนึงค่ะ
สุดโต่งเหมือนกัน รวยสุดโต่ง ชีวิตแสนจะสบาย ไม่ต้องทำอะไร วันๆเที่ยวเล่น
เพราะมีพ่อแม่ ประเคนเงินให้ พวกนี้ เค้าเกิดมา มีบุญมาก นะคะ เกิดมาร่ำรวย
แต่หนูก็รู้สึกว่า ชีวิตพวกเค้า ไร้ค่าจัง บางคนพ่อแม่ ส่งมาเรียน
ก็ไปอยู่กับแฟน เรียนภาษาเป็นปี คะแนน TOEFL ก็ยังไม่ถึง ที่จะเข้ามหาลัย
ทั้งๆ ที่มีเงิน บางที หนูก็อิจฉาเค้า เหมือนกัน นะคะ ถ้าหนูมีเงิน เหมือนเค้า
ป่านนี้ หนูก็คงเรียนจบโท ได้ต่อเอกไปแล้ว แต่นี่หนู ก็ต้องมาเรียน ภาษาอยู่
ทั้งๆที่คะแนน TOEFL หนูก็ได้ระดับสูง ที่จะเข้า ปริญญาโท ตั้งนานแล้ว แต่หนูก็คิดว่า
ชีวิตหนูตอนนี้ ที่อเมริกา บางทีประสบการณ์ เที่ยวนี้
มันอาจจะมีค่า ให้บทเรียนหนู มากกว่า ปริญญาโทซะอีก ก็คงเรียกว่า เป็นปริญญาชีวิตนะคะ
แต่ตอนนี้หนูภูมิใจกับความสำเร็จ ในการเรียน อยู่หนึ่งอย่างค่ะ คือหนูพึ่งสอบ
TOEFL ไป และได้คะแนน ๖๒๐ ซึ่งถือว่าสูงมาก อยู่ในเกณฑ์ของ พวกมหา'ลัยดังๆ
เช่น Harvard Uni, Yale, etc ค่ะ และก็มีโอกาส ที่จะได้ทุนสูงมาก หนูดีใจมากๆเลยค่ะ
เพราะ ๒ เดือน ที่ผ่านมา นอกเวลาเรียน และทำงาน หนูก็จะ ทุ่มเทเวลา ฝึกฝน ทำข้อสอบเก่า
TOEFL เกือบทุกวัน และผลลัพธ์ มันก็ออกมาดี ก็เลยภูมิใจ และชื่นใจค่ะ
ปกติทุกปีใหม่หนูกับที่บ้านและญาติๆ จะขายรองเท้าแตะ ตราม้าดาว
กำไรอาริยะ แต่ปีนี้หนูคง ไม่ได้ไปขาย แต่ก็ฝากเงิน สมทบทุน กับคุณแม่ไป ๒๐๐
USD. จริงๆแล้ว หนูอยาก ไปขาย ด้วยตัวเอง
มากกว่า เพราะสนุกมาก และรู้สึกชื่นใจ เวลาชาวบ้าน เค้ารี่เข้ามาหาเรา และ
show ให้เราดูว่า "เนี่ยรองเท้า (เกิบ)
ซื้อไปตั้งแต่ ปีที่แล้ว ใส่ดีมาก ยังไม่ขาดเลย จะมาซื้ออีก"
เพราะรองเท้าแตะ ม้าดาว เป็นรองเท้า ที่ชาวบ้าน เค้าใส่กันจริงๆ ใส่ไปทำนา
หนูก็เลยรู้สึก ดีมากๆเลยค่ะ ที่ได้มีส่วนร่วม ในงานบุญอาริยะ
เขียนมาตั้งนานแล้ว ก็ขอจบดีกว่า ยังไงก็ขอให้พ่อท่าน รักษาสุขภาพ ให้มากๆ
นะคะ หนูก็ขออาราธนา ให้พ่อท่าน มีอายุยืนยาวถึง ๑๒๑
ปีค่ะ จะได้ช่วยมนุษยชาติ เพราะตอนนี้ โลกมันใกล้กลียุค เข้าไป ทุกทีแล้วค่ะ
ส่วนหนูก็จะพยายาม ฝึกตัวเอง จะได้ไม่ต้องตกร่วง ไปอยู่ในกลียุคค่ะ
ปล. สำหรับเรื่องที่พ่อท่านบอกหนู ตอนที่ไปกราบลา มาอเมริกา
พ่อท่านบอกว่า "อย่าทิ้งธรรม" ตอนนี้
หนูก็ยังไม่ทิ้งธรรมนะคะ พยายามปฏิบัติ เท่าที่จะทำได้ ก่อนนอน ก็กราบพระทุกวัน
ตั้งจิต นึกถึง พระบรมสารีริกธาตุ ที่สันติอโศก ส่วนเรื่อง ปัญหาคาใจ ที่หนูถามพ่อท่านว่า
"ทำไมตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีคน มาจีบเลย" ผ่านมา ๓ เดือน จนถึงตอนนี้ เจอหนุ่มหล่อๆ
ลูกเศรษฐีทั้งไทย และเทศ เยอะแยะ แต่ก็ยังไม่มี คนมาจีบอยู่ดีค่ะ แง.... ฮือ.... ฮือ ........
พ่อท่านบอกว่า "จริงๆ แล้วมันเป็นบุญ" หนูก็เชื่อนะคะ และหนู ก็ยังข้องใจ
และงง อยู่ดีแหละค่ะ มีหนุ่ม บางคน เค้าก็มาคุย กับเพื่อนหนู บอกว่า หนุ่ยน่ารักดี
แต่คงมีแฟนแล้ว พอเราบอกว่า ยังไม่มี ก็ไม่เชื่ออีก หาว่าเราโกหก อีกอย่างนึงนะคะ
ที่ตลกมาก ก็คือ เรียนที่นี่ มีแต่เด็กต่างชาติ เค้าก็จะมาคุย และบอกว่า หนูเหมือน เป็นคุณหนู
ท่าจะรวยมาก พอเราบอกว่า พ่อแม่เรา ไม่มีเงิน เค้าก็ไม่เชื่ออีก หาว่า เราถ่อมตัว
ซะอีกค่ะ ไม่รู้ว่าโชคดี หรือโชคร้าย นะคะเนี่ย
ห้องที่หนูเรียนถือว่า เป็นห้องที่เก่งที่สุดคะ มีเพื่อนทั้งชายและหญิง ในห้อง
ประมาณ ๑๕ คน มาจาก แต่ละชาติ (เกาหลี, ญี่ปุ่น, จีน TAIWAN,
อิสราเอล, ซาอุ, เวเน, โคลัมเบีย, ไนจีเรีย) ไม่มีเด็กไทย คนอื่นค่ะ หนุ่มๆหน้าตา
Cute Cute (เก๋) ก็เยอะนะคะ สมองก็ออก จะฉลาด แต่ทำไม
ไม่มีใครมองเห็น ความน่ารัก ของเราล่ะคะเนี่ย
ว้า! งงจัง หนูก็พึ่งโทรคุยกับคุณแม่ เรื่องนี้ค่ะ คุณแม่ก็บอกว่า "ก็อย่างที่พ่อท่าน บอกน่ะแหละ
มันเป็นบุญ " แต่บางที หนูก็ยังงงๆ อยู่ค่ะ สงสัยกลับไปเมืองไทย คราวหน้า
คงต้องไปปรึกษา พ่อท่านอีกที แล้วล่ะค่ะ)
กราบนมัสการค่ะ
น.ส.ชิดตะวัน ชนะกุล U.S.A.
|