หน้าแรก>สารอโศก

จุดประกายต้นกล้า
คนบุญนิยม
เสียสละสร้างสรร
จนเป็นวัฒนธรรม
เกิดระบบสังคม
ไม่ใช่ตรรกศาสตร์
ไม่ใช่แค่ทฤษฎี

สิงหาคม ๒๕๔๕
- ต้นเดือนสิงหาคมพ่อท่านมีไข้และไอมาก หมอให้งดฉันผักสด ทำไมต้องงด? เป็นความรู้อีกอย่างหนึ่ง เชิญเปิดไปอ่านได้ แม้จะมีเสียงทักท้วงให้พ่อท่านลดการทำดีท็อกซ์ลง พ่อท่านก็ยังคงยืนยัน ที่จะพิสูจน์ต่อไป ให้ครบ ๓ เดือน พ่อท่านมีเหตุผลอะไร? ความหวังดีของลูกๆ ที่มีภูมิรู้ในการดูแล รักษาสุขภาพที่หลากหลาย ความหวังดีและภูมิรู้นั้นเป็นอย่างไร?

- การเคลื่อนไหวคัดค้านการขึ้นเงินเดือนของส.ส. และ ส.ว. พ่อท่านให้คำแนะนำในการทำกิจนี้อย่างไร?
เมื่อได้รับการติดต่อจากท่านจันทร์ จะนิมนต์ให้พ่อท่านใช้สื่อในการแพร่กระจายความคิดค้าน แต่พ่อท่านปฏิเสธ ด้วยเหตุผลใด? ก่อนปิดการประชุมเตรียมการเดินคัดค้านฯ พ่อท่าน ให้ข้อคิดที่ดี หลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นนิมิตใหม่....First impression ...ไม่เอาแพ้เอาชนะ... ไม่หาเสียง? หลังการเดินคัดค้านฯแล้ว มีการประชุมสรุปงาน พ่อท่านให้ข้อคิดที่ดีอีกก่อนปิดการประชุม เราเพียงแสดงสิทธิ และหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าเขายังจะทำอยู่อย่างนั้น ก็แล้วแต่เขา เมื่อนักข่าว กรุงเทพธุรกิจ สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวนี้ พ่อท่านตอบอย่างไร? สุดท้าย คณะทำงาน ข่าวอโศกรายปักษ์เขียนรายงานข่าวนี้ ส่งมาให้พ่อท่านตรวจ พ่อท่านได้สอนการเขียนข่าวให้เป็น อย่างผู้สื่อข่าว มีรายละเอียดเป็นอย่างไร?

- "การทำสมาธิกับการพัฒนาทางจิตของมนุษย์" เป็นชื่อภาคนิพนธ์ที่คุณนิสสุชล ทัดเทียมพร นักศึกษา จากนิด้า ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน มีอะไรที่น่าสนใจ เชิญเปิดไปอ่านได้

- งานศิษย์เก่านักเรียนปฐมอโศก(๑๑ ส.ค.) พ่อท่านให้ข้อคิดกับผู้ใหญ่และศิษย์เก่าที่มาร่วมงานไว้อย่างไร?

- "วันนี้" ของความตาย เป็นข้อความที่พ่อท่านเขียนเตือนใจผู้ที่ยังไม่ตาย ให้กับญาติๆของโยมบุญมาก สิทธิพันธ์ และโยมสุเมธ ดีรัตนา ซึ่งได้จัดทำสมุดคำรำลึกมาให้พ่อท่านเขียน ทั้งสองศพเป็นญาติธรรม รุ่นเก่าที่มีลูกๆ ได้ทำคุณประโยชน์ช่วยงานพระพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่องกว่า ๒๐ ปีแล้ว พ่อท่านเขียน ให้ข้อคิดเตือนใจอะไร เชิญพลิกไปอ่านได้

- "ญาณวิทยา" เป็นหัวข้อแสดงธรรมที่พ่อท่านเทศน์กับผู้มาอบรมเข้าค่ายอุโบสถศีล ที่ราชธานีอโศก (๑๗ ส.ค.) มีส่วนใดน่าสนใจเปิดไปอ่านดู

- Rory Mackenzie อาจารย์วิทยาลัยเอกชนในอังกฤษ ได้มาสัมภาษณ์พ่อท่าน(๒๔ ส.ค.) ทำไม Mr.Rory จึงสนใจมาสัมภาษณ์? สิ่งที่พ่อท่านอยากเห็นให้เกิดขึ้นในสังคมไทยและสังคมโลกคืออะไร?

- "ต้นกล้าประชาชน คนตะวันตก" เป็นชื่องานที่กองทุน SIF ภาคตะวันตกจัดที่ปฐมอโศก(๒๕ ส.ค.) พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม แม้ยังไม่หายดีนักจากอาการไอ พ่อท่านก็รับเทศน์ เผื่อจะได้คนกลุ่มนี้ ต่อเชื้อเผ่าพันธุ์พุทธ

- น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจมาขอสัมภาษณ์ (๒๕ ส.ค.) ทำไมนักข่าวจึงมาสัมภาษณ์หลายคำถาม พวกเรา ได้ยินพ่อท่านตอบมาบ่อยแล้ว สังคมไทยมีปัญหามาก เกิดมาจากอะไร? ทุนนิยมเป็นปัญหาใหญ่ ในสังคมเรา ควรรีบแก้ไขอย่างไร? พ่อท่านเผยแพร่ธรรมะมา กว่า ๓๐ ปีแล้ว พบแก่นความลึกซึ้งเพียงใด? ทำไมพ่อท่านจึงยืนยันว่าธรรมที่มี มาจากชาติก่อนๆ? กับคำถามที่ว่า ท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตอนนี้ บรรลุธรรมแล้วใช่หรือไม่? พ่อท่านตอบอย่างไร? ไม่ควรพลาด


ไข้หวัด + ภูมิแพ้ และท้องอืด + กลิ่นเหม็นจากช่องปาก
๓ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก เช้านี้ไม่ได้ออกบิณฑบาต เมื่อคืนพ่อท่านมีอาการไอมาก ติดต่อให้ คุณใบลานมาช่วยตรวจ วัดความดัน ๑๒๐/๘๐ มิลลิเมตรปรอท ชีพจร ๑๐๐ ครั้ง/นาที ไข้ ๓๗.๒ ํc หลังฉัน พ่อท่านพยายามรักษาสุขภาพโดยพักการทำงาน แล้วนอนพักจนถึงค่ำก็ยังคงมีอาการมึนหัว มีอาการไอเป็นระยะๆ ค่ำคุณใบลานมาตรวจอีก วัดความดัน ๑๑๐/๗๐ มิลลิเมตรปรอท ชีพจร ๑๐๐ ครั้ง/นาที ไข้ ๓๘.๘ ํc โทรศัพท์แจ้งหมอพจน์ หมอแนะนำให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น เช็ดตัวพ่อท่าน เพื่อ ระบายความร้อน ผ้าผ่านน้ำอุ่นอีกผืนเหน็บไว้ที่ใต้รักแร้ แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ด ย้ายกลดเสื่อจากกุฏิ ให้พ่อท่านมานอนที่ห้องทำงาน ด้วยมีผู้แนะนำว่าที่กุฏิชื้นเย็นมากกว่า จะทำให้พ่อท่านไอมาก

๔ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก ๖.๐๐ น. พ่อท่านยังคงนอนพักยาวจากเมื่อคืน คุณใบลานมาขอตรวจวัดความดัน ๑๑๐/๗๐ มิลลิเมตรปรอท ชีพจร ๗๘ ครั้ง/นาที ไข้ ๓๖.๔ ํc อาการไอน้อยลง เริ่มมีเสมหะขาวเหลือง โทรศัพท์รายงานให้หมอพจน์ทราบ หมอแนะนำ ควรงดฉันผักสดในระยะนี้ เนื่องจากยางผักสด จะทำให้ระคายเคืองแล้วไอ และขอให้งดวิตามินต่างๆชั่วคราว ด้วยวิตามินที่มี anti oxidant จะไปทำลายยาปฏิชีวนะที่ใช้แก้ไขอาการหวัด อาการไอของพ่อท่าน หลังฉันพ่อท่านพักนอนเป็นเวลาชั่วโมงกว่า ลุกตื่นขึ้นทำงานต่อ ดูพ่อท่านมีการดีขึ้น อย่างผิดตาจากเมื่อวาน วัดไข้ ๓๗.๕ ํc แต่ดูพ่อท่านไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือมึนหัวอย่างวันวาน

๑๐ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก ค่ำหมอพจน์มาตรวจสุขภาพพ่อท่าน มีการพูดถึงการทำดีท็อกซ์ ๒ ครั้งในหนึ่งวัน จะมากไป ขอให้พ่อท่านลดลงมาเหลือวันละครั้ง ก็น่าจะพอ เพราะพ่อท่านไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง แต่พ่อท่านยังคงยืนยันที่จะทำวันละ ๒ ครั้งต่อไป จนถึง ๓ เดือนตามที่หมออารีย์แนะนำ จะได้พิสูจน์ให้รู้ว่า เป็นผลอย่างไร หากทำหรือไม่ทำตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น ก็เลยไม่รู้ อยู่อย่างเดิม ยังไม่รู้จริงว่าเป็นอย่างไรต่อมาหมอฟากฟ้าหนึ่ง นำอาจารย์ตุ้ม ที่เชี่ยวชาญการกดจุดนวดฝ่าเท้า เป็นศาสตร์แผนโบราณ ทั้งของไทยและจีนให้มากดนวดพ่อท่าน เพื่อแก้อาการไอและที่ตา

๑๑ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก อาจารย์ตุ้มได้ขูดผิวเท้าที่หนาของพ่อท่านออกโดยใช้มีดโกนผม ต่อด้วยการ กดคลายจุดหลัง และการอบสมุนไพร และในวันนี้มีผู้นำ ดินโคลนภูเขาไฟมาถวาย ให้พ่อท่านใช้ถูทา บริเวณขาที่มีอาการร้อนๆนั้น

๑๒ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก ช่วงก่อนฉัน กิจกรรมวันแม่ที่ศาลาวิหารดำเนินต่อไป ขณะที่พ่อท่าน ต้องขึ้นไปพักนอน จนได้เวลา ๑๐.๓๐ น. ลงมาแสดงธรรม การเทศน์มีไอเป็นช่วงๆ ประกอบกับพ่อท่าน บอกเล่าว่า "แต่ก่อนมีแต่ถูกนิมนต์ขอให้นอนพัก มาถึงวันนี้ต้องนอนพักเองแล้ว ทำงานไปก็ต้องนอนพักไป ตื่นขึ้นมาก็ทำงานต่อ" หลายคนเป็นห่วง โทรฯไปบอกหมอพจน์

๑๓ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก คุณเพ็ญเพียรธรรม โทรฯมาปรึกษาอยากจะนิมนต์พ่อท่านไปตรวจ x-ray ปอด ด้วยหมอพจน์เกรงว่าจะมีความชื้น มีน้ำแล้วจะติดเชื้อ กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อความไม่ประมาท อยากจะนิมนต์พ่อท่านให้ตรวจดูก่อนไปอุบลฯพ่อท่านปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกทั้งกำลังเร่งงาน ไม่มีเวลาที่จะไปตรวจ ให้บอกยกเลิกไปได้เลย

๑๔ ส.ค.๔๕ ที่สันติอโศก ๔.๓๐ น. พ่อท่านลุกตื่น คุณเพ็ญเพียรธรรม มาตรวจวัดความดัน ชีพจร และวัดไข้ทุกอย่างปกติ แล้วขอเอาเลือดพ่อท่านไปตรวจดูผล หลังจากทำดีท็อกซ์ เป็นเดือนที่สองแล้ว ผลเป็นอย่างไร อย่างน้อยๆก็จะตรวจหาค่าเกลือ หากต่ำมากจะได้ปรับเรื่องอาหารใหม่ เนื่องจากมีผู้ไปคุมเข้ม แม่ครัวให้งดเกลือและซีอิ๊วทุกชนิด

๒๐ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านมีอาการท้องอืดและมีกลิ่นเหม็นออกมาจากช่องปาก โดยพ่อท่านรู้สึกว่า มีกลิ่นเหม็นอย่างนี้ขึ้นมาจากท้องหลายวันแล้ว วันนี้พ่อท่านจึงฉันอาหารได้น้อย คุณใบลานโทรฯแจ้งหมอพจน์ ซึ่งได้ช่วยจัดยาช่วยย่อยให้ แล้วนิมนต์พ่อท่านพักนอน หลังจากนอนได้ ๑ ชั่วโมง พ่อท่านลุกตื่นขึ้นมาบอกอาการท้องอืดดีขึ้นแล้ว จึงทำงานต่อ

ต่อมามีข้อสันนิษฐานว่า อาการกลิ่นเหม็น ที่ขึ้นมาจากท้อง อาจมาจากน้ำมะขามหมัก ที่ผสมลงไปกับน้ำมะนาว ซึ่งใช้ทำการ สวนล้างลำไส้ใหญ่ในช่วงค่ำ เป็นการเพิ่มเติมจากที่หมออารีย์ แนะนำไว้แค่น้ำมะนาวแต่ผู้ที่ทำถวายให้ เชื่อว่าจะเป็นผลดีมากกว่าจึงผสมน้ำมะขามหมักเพิ่มเติมมาให้ เมื่อไล่เรียง วันที่มีกลิ่นเหม็นในช่องปาก กับวันที่ผสมน้ำมะขามหมัก ก็อยู่ในระยะเดียวกัน จึงบอกให้ผู้ทำงดน้ำมะขามหมัก ให้ใช้น้ำมะนาวอย่างเดียว แทน

๒๘ ส.ค.๔๕
ที่ราชธานีอโศก เมื่อคืนพ่อท่านมีอาการไอมาก เช้านี้มีอาการเจ็บคอ แต่ตรวจวัดไข้ยังไม่มี ค่ำนี้มีผู้หวังดี จะต้มน้ำสมุนไพรมาให้พ่อท่านได้สรง พ่อท่านปฏิเสธว่าเป็นภาระวุ่นวายเปล่าๆ การอาบน้ำสมุนไพรต้องผสมน้ำตักอาบ ยุ่งยากกว่าเปิดน้ำฝักบัว ที่มีเครื่องทำให้อุ่น สะดวกสบายกว่ากัน

๒๙ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านมีอาการไอมากขึ้น แต่ยังไม่มีไข้ ความดันและชีพจรก็ปกติ เสมหะ ยังเหนียวใส คุณใบลานโทรศัพท์ปรึกษาหมอพจน์ เพื่อให้ยาระงับอาการไอ ต่อมา คุณเพ็ญเพียรธรรม โทรฯมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า การทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ทุกวัน ทำให้ภูมิต้านทานลดลงหรือเปล่า? ส่วนคุณเกร็ดดินหรือคุณใบลานไม่ทราบชัดว่าเป็นใครแน่ ตั้งข้อสันนิษฐานว่า มาจากการนอน ที่กุฏิหลังคา หญ้าฟาง มอดไปกินไม้รวกทำให้เกิดผงขี้มอด ประกอบกับน้ำท่วมหลังคามา ๒ ปี ทำให้เกิดความชื้น อาจเป็นสาเหตุทำให้พ่อท่านเกิดภูมิแพ้ ส่วนสมณะชัดแจ้ง วิจักขโณ สันนิษฐานว่า วิตามินที่พ่อท่านฉัน ตอนที่พ่อท่าน ไม่ฉันวิตามิน พ่อท่านไม่เห็นจะไออย่างนี้

๓๐ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก วันนี้พ่อท่านมีอาการไอน้อยลง แต่ก็ยังคงนอนพัก คุณใบลาน มาตรวจวัด ความดัน ชีพจร วัดไข้ทุกอย่างปกติ จึงสรุปว่า อาการไอของพ่อท่านมิใช่จากการติดเชื้อ น่าจะมาจาก ภูมิแพ้อะไรสักอย่าง ซึ่งสันนิษฐานในเบื้องต้นว่า คงจะเป็นละอองมอด ความชื้น จากหลังคากุฏิ ที่มุงด้วย หญ้าคา เมื่อถูกน้ำท่วม ๒ ปีซ้อนนั้น การตีฝ้ากันผงมอด จึงทำให้ความชื้นของหญ้าคา ภายใน ไม่ได้ถูก ลมโชยพัดจึงชื้น เนื่องจากเมื่อเปลี่ยนย้ายมานอน ที่ห้องทำงาน พ่อท่านมีอาการไอน้อยลง


คัดค้านการขึ้นเงินเดือน ส.ส. และ ส.ว.
จากข่าวการขอขึ้นเงินเดือนให้ส.ส. และ ส.ว. ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ คัดค้านมากมาย
จากสื่อมวลชน ต่างๆ ขณะที่พวกเราที่สนใจงานการเมือง เห็นว่าทางพรรคเพื่อฟ้าดิน ควรเคลื่อนไหว คัดค้าน การขอขึ้นเงินเดือนของส.ส.และ ส.ว. ด้วยเป็นนโยบาย เป็นอุดมการณ์ของ พรรคเพื่อฟ้าดิน อยู่แล้ว ที่จะให้ถึง ขั้นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือส.ส.เสียสละถึงขั้นไม่รับเงินเดือน ตอบแทนเลยด้วยซ้ำ

๗ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก ได้รับโทรศัพท์จากคุณขวัญดิน และคุณแก่นฟ้า ปรึกษาถึงบทบาท ที่จะเคลื่อนไหวคัดค้านฯ

พ่อท่านแนะนำว่า "เราทำให้จริงๆ ซึ่งก็ต้องระมัดระวัง มิใช่ทำเพื่อหาเสียง โดยไม่ต้องบอกข่าว ให้หนังสือพิมพ์ เขามาทำข่าวหรอก เป็นหน้าที่ของเขาที่จะตามรู้เอง จึงไม่ควรทำเอกสาร ส่งหนังสือพิมพ์ใดๆ อาจจะเพียงแค่ไปยื่นเอกสารคัดค้านฯ ให้ประธานสภาฯ หรือ ประธานวุฒิสภาฯ จะอย่างไร ในรายละเอียด ก็ไปคุยกันดู"

หลังจากนั้นก็ได้รับโทรศัพท์ปรึกษาถามมาเป็นระยะๆ เริ่มจากฝ่ายจัดทำป้ายข้อความคัดค้านฯ ทางศาลีอโศกและสันติอโศกก็สอบถามว่า จะให้ร่วมอย่างไรแค่ไหน? จะให้ระดมคนมามากน้อยอย่างไร? พ่อท่านตอบเป็นหลักคร่าวๆว่า "ก็ควรมากันพอสมควรเพื่อเป็นมวลเป็นพลังในการเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ต้อง ถึงกับระดม กันมามากมายอะไร เพราะเราเพียงแค่ไปยื่นหนังสือคัดค้านฯเท่านั้น รายละเอียด จะอย่างไร ก็ค่อยคุยกันดูอีกที ซึ่งพรุ่งนี้จะมีการประชุมที่สันติอโศก"

สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ โทรศัพท์มาบอกเล่าว่า กำลังออกอากาศรายการวิทยุพูดถึงเรื่องนี้ คนฟังโทรศัพท์มาเพียบร่วมคัดค้าน อยากจะปรึกษาพ่อท่านว่า ถ้าจะนิมนต์พ่อท่าน ร่วมออก อากาศ รายการสด พูดเรื่องนี้ด้วย พ่อท่านจะเห็นอย่างไร? พ่อท่านปฏิเสธสั้นๆ "อย่าเพิ่งเลย ท่านจันทร์ นั่นแหละพูดไปเถอะ ถ้าผมพูด เดี๋ยวมันจะไม่ดี"

๘ ส.ค.๔๕ ที่สันติอโศก มีการประชุมเตรียมการเดินขบวนจากสนามหลวง ไปทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภา หลังจากที่มีการบอกเล่าถึงประเด็นต่างๆ ที่จะทำหนังสือคัดค้านการขึ้นเงินเดือนส.ส. และ ส.ว. ถึง ๘ ประเด็น และแจ้งขั้นตอนต่างๆ ที่จะไปร่วมกัน ในวันพรุ่งนี้ พ่อท่านได้ให้ข้อคิดเตือนใจ ก่อนปิดการประชุมว่า "....นี่เป็นนิมิตใหม่ ที่เราจะมีเด็กๆ ไปร่วมงานการเมือง หากเป็นไปได้ ไปออกความคิดเห็นได้ด้วยก็ดี แทนที่เขา จะเอาเด็กไปแข่งแฟชั่น แข่งร้องเพลงประกวด เขาน่าจะเอาเด็กมาทำอย่างนี้บ้าง เด็กๆจะได้รู้จักคิด เรื่องของสังคมบ้าง แทนที่จะคิด แต่เรื่องของตัวเอง

มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากพวกเราก็คือ First Impression สัมผัสแรกที่คนเขาจะพบเห็น ควรสร้างไว้ให้เกิด ความประทับใจ สุภาพ เรียบร้อย สงบ ยิ้มแย้ม แจ่มใส ไม่ใช่เครียด! งานนี้เราไม่ได้เอาแพ้เอาชนะอะไร และอาตมาค่อนไปข้างเห็นจะแพ้ แต่เป็นการแสดงสิทธิมนุษยชน เป็นการแสดงพื้นฐานของประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิมีเสียง ทักท้วงคัดค้านความคิดเห็นกันได้ และเรามิใช่ไปประท้วง หรือไปชุมนุมม็อบอะไร อย่างที่เขาทำกัน ที่สำคัญไม่ต้องไปส่งแถลงการณ์ให้นักข่าว แต่ถ้านักข่าวเขามาขอ เราก็ให้ เพราะเป็น หน้าที่ของเขา โดยเราไม่ต้องการทำเพื่อหาเสียงหรือโฆษณาให้ดัง และอย่าไปพูดหยาบคาย หรือ หยิ่งผยอง กับนักข่าว แม้เขาอาจจะมีท่าทีหรือวาจาที่ไม่ดีกับพวกเรา....."

๙ ส.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก ก่อน ๑๒.๐๐ น. พวกเราที่ไปเคลื่อนไหวแสดงสิทธิในระบอบ ประชาธิปไตย คัดค้าน การขึ้นเงินเดือน ของส.ส.และส.ว.กลับมา ครู่ต่อมา มีการประชุม สรุปการไปเคลื่อนไหว แสดงสิทธิในครั้งนี้ โดยผู้ไปร่วม ได้แสดงความคิดเห็น และความรู้สึกของตนออกมาว่า.... การเคลื่อนไหว เป็นพลังมาก ตั้งแต่เริ่มเดิน ดูพวกเราพร้อมเพรียงและสงบ....ได้รับคำชมจากตำรวจว่า พวกเรามีระเบียบดี เรียกรวมตัว เป็นแถวเป็นแนว ได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ตำรวจอย่างพวกผม ในที่ที่เดินบนทางเท้าริมถนนได้ พวกเราก็เดินเพื่อจะได้ไม่ก่อปัญหา กีดขวางการจราจร ....ตำรวจก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ เมื่อแถวขบวน จะข้ามถนน หรือต้องเดินริมถนน....ประชาชนแม่ค้าริมทางเท้า แม้แต่คนบนรถเมล์ และคนในรถส่วนตัว ส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หลายคนขอธง ที่มีข้อความคัดค้านฯ และแผ่นปลิว แถลงการณ์จากพวกเรา ไม่มีผู้แสดงความไม่เห็นด้วย หรือต่อต้าน พวกเราแม้สักราย.... เจ้าหน้าที่ รัฐสภาบางคน ชื่นชมพลังที่พวกเรามี บางคนบอก อยากมีส่วนร่วม แต่เขาแสดงออก อย่างพวกเราไม่ได้.... มีคนหนึ่ง เขาก็เห็นด้วยกับพวกเรา แต่ก็ถามพวกเรา อย่างตรงไปตรงมาว่า ถามจริงๆ เถอะ พระโพธิรักษ์ ให้มาใช่ไหม? ซึ่งพวกเราก็ชี้แจงว่า พวกเราคิดและทำกันเอง ตามสิทธิและหน้าที่ ในฐานะประชาชน ที่จะพึงกระทำได้ พ่อท่าน เป็นเพียง ให้คำปรึกษาและแนะนำว่า ให้ทำให้จริง อย่าทำเพื่อหาเสียง และให้เคลื่อนไหว อย่างสงบ สุภาพ ยิ้มแย้ม.... การเคลื่อนไหวครั้งนี้ดูดี แม้จะมีเวลา เตรียมตัวแค่ ๒ วัน แต่พวกเราก็ทำได้เรียบร้อย ง่าย งาม มีป้ายมีธงกันทันการ

พ่อท่านให้ข้อคิดปิดท้ายสรุปการประชุมว่า "ขอบคุณทุกคนที่มาเหนื่อย หากมีคนถามว่า ทำไมเอาเด็ก มาวุ่นวาย เราก็บอกเขาไปว่า นี่เป็นการเรียนสมัยใหม่ ให้เด็กได้เรียนรู้การแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วม ต่อสังคม ที่เป็นประชาธิปไตยจากประสบการณ์จริง มองดูองค์รวม พวกเราได้แสดง ความเป็น ประชาธิปไตย อย่างสุภาพ เรียบร้อยดี รู้สึกสงสารประธานรัฐสภาฯ ที่แสดงท่าที ที่ไม่เป็น นักประชาธิปไตยเลย ไม่ทันเหตุการณ์ความรู้สึกจริงของประชาชน ไม่ควรแสดงออก ก็แสดงออกมา เหมือนเบ่ง วางอำนาจ จริงอยู่กับกลุ่มคนอื่นเขาอาจแสดงอย่างนี้ได้ แต่เมื่อเราสงบอย่างผู้น้อย ผู้ใหญ่แสดงออกอย่างนี้ มันเสียความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่

การเคลื่อนไหวแสดงสิทธิและหน้าที่ครั้งนี้ ต่างจากตอน"พฤษภาทมิฬ" ตรงที่อันนั้น ต้องเกาะติด ต้องเอาให้ได้ เพราะนั่นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกำลังเป็นเผด็จการ แต่ครั้งนี้เป็นเพียงคัดค้านการขึ้นเงินเดือน ถ้าเขาไม่เห็นด้วย จะทำอยู่อย่างนั้นก็แล้วแต่เขา..."

๒๕ ส.ค. ๔๕ ที่ปฐมอโศก คุณเพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ ผู้สื่อข่าว น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ได้มาสัมภาษณ์ พ่อท่าน มีประเด็นที่เกี่ยวกับ การคัดค้านการขึ้นเงินเดือนของ ส.ส. และ ส.ว. ดังนี้

นักข่าว : ดูเหมือนว่าท่านเอาชุมชนอโศกเข้าไปเกี่ยวโยงกับสังคม อย่างกรณีต่อต้าน การขึ้นเงินเดือนของ ส.ส.และส.ว.
พ่อท่าน : ใช่ นี่เป็นหน้าที่ของประชาชนที่ทำงานการเมือง พรรคเพื่อฟ้าดินเขาทำ
นักข่าว : แล้วทำไมท่านคิดว่า ตรงนี้ บทบาทของอโศกนี่จำเป็นจะต้องเข้าไป
พ่อท่าน : นั่นเป็นหน้าที่ของสังคม เป็นเรื่องของประชาชน เพราะว่าเขาขึ้นเงินเดือนนี่ ภาษีประชาชน เงินของเขา เขาต้องรักษาดูแลด้วยบ้าง โอ๊! คุณไม่พอหรือ เอาไปตั้ง ๘๐,๐๐๐-๙๐,๐๐๐ บาท ยังมีเงินเบี้ยบ้ายรายทางนี่เดือนหนึ่งรวมเป็นแสนแล้ว คุณกินข้าวเม็ดเป็นทองคำหรือไง คุณถึงได้ เอาไปมาก ไปมาย แล้วคุณไปอ้างว่า เอาไปเสียภาษีสังคม มีที่ไหนบอกว่า คุณได้เงินเดือนแล้ว คุณเอาไปจ่าย ให้แก่สังคม ใครมาขอคุณก็ให้ มีที่ไหนเขาบอก และมันไม่ใช่หลักปฏิบัติ เงินเหล่านั้น ให้ไปเลี้ยงชีพ มิได้นำไปหาเสียง ให้แก่ตนเอง เพราะฉะนั้น คุณอย่ามาร่ำร้อง อย่าอ้างอันนั้นมา มันไม่ถูกต้อง คนอื่นเงินเดือนน้อย เขายังอยู่รอด นี่เงินเดือนขนาดนี้ และทำงานไม่ได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย ตลอดยุคสมัยด้วยซ้ำ ไม่เหมือนข้าราชการประจำ ทำงานอายุแค่นั้น มีเวลาที่จะไปทำประโยชน์ส่วนตัว อีกตั้งเยอะตั้งแยะ เพราะฉะนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เขาเห็นกันอย่างนี้ เขาก็เลยต้องค้านกัน อาตมา ได้รับการเสนอมา ก็เห็นด้วย ก็เป็นที่ปรึกษาให้เขา พวกฆราวาสเขาไปต้าน ไปทำหน้าที่ของประชาชนที่ควร เขาก็ทำอย่างสุภาพ ทำอย่างสันติ ไม่ได้มึงมาพาโวย หยาบคายอะไร


๑๖ ส.ค.๔๕ ที่ราชธานีอโศก สมณะบินบน ถิรจิตโต โทรศัพท์ปรึกษาเรื่อง น.ส.พ.ข่าวอโศกรายปักษ์ จะเหมาะควร แค่ไหน

ในการนำเสนอข่าวที่พรรคเพื่อฟ้าดิน ไปเดินคัดค้าน การขอขึ้นเงินเดือนของส.ส.และส.ว. เนื่องจาก กำลังจะพิมพ์เป็นฉบับแล้ว สมณะบินบน ถิรจิตโต เห็นว่าไม่ควรนำเสนอ เป็นข่าวออกไป ไม่ทราบ พ่อท่าน จะเห็นเป็นอย่างไร? จึงโทรสารข้อความ ที่จะลงพิมพ์มาให้พ่อท่านตรวจ ซึ่งพ่อท่าน ก็อนุญาต ให้นำเสนอ เป็นข่าวได้ ตามเนื้อความนั้น เพียงแต่ช่วยแก้ไข สำนวนการเขียน ให้ดูเป็นนักข่าว รายงานข่าว มากขึ้น ไม่ใช่สมาชิกพรรคเพื่อฟ้าดิน เขียนข่าวเอง ตัวอย่างเช่น

๑. สำนวนเดิม.... ประชาชนขอธงทิวและแผ่นปลิวแถลงการณ์จากเราด้วยท่าทียิ้มแย้ม
พ่อท่านแก้เป็น.... ประชาชนขอธงทิวและแผ่นปลิวแถลงการณ์ด้วยท่าทียิ้มแย้ม

๒. สำนวนเดิม.... สี่แยกไฟแดงที่เราเดินผ่าน โดยไม่มีผู้แสดงความไม่เห็นด้วย
พ่อท่านแก้เป็น.... สี่แยกไฟแดงที่ขบวนเดินผ่าน โดยไม่มีผู้แสดงความไม่เห็นด้วย

๓. สำนวนเดิม.... ขบวนของเราเดินไปถึงทำเนียบรัฐบาลเวลา ๐๘.๐๐ น. ฝนเริ่มตกลง มาและตกหนักขึ้น แต่คณะของเรายังยืนด้วยความสงบ ที่ถนนฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล
พ่อท่านแก้เป็น.... ขบวนเดินไปถึงทำเนียบรัฐบาลเวลา ๐๘.๐๐ น. ฝนเริ่มตกลงมา และ ตกหนักขึ้น แต่คณะคัดค้านยังยืนด้วยความสงบที่ถนนฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล

๔. สำนวนเดิม.... ในที่สุดเราเพียงแต่หวังว่า บทเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองที่เราพาลูกหลานเยาวชนอโศกพันธุ์ใหม่ของเรา เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริง ในสังคมชีวิตจริงๆ
พ่อท่านแก้เป็น.... เพียงแต่หวังว่าบทเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองที่แสดงออก พึงมีส่วนร่วม ควรเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงในสังคมชีวิตจริงๆ

ข้างต้นทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่พ่อท่านตรวจแก้สำนวนคำความให้ ข้าพเจ้าพลอยได้ความรู้ เรื่องการเขียน รายงานข่าว ให้เป็นอย่างนักข่าวไปด้วย


การทำสมาธิ กับ การพัฒนาทางจิต
๙ ส.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก น.ส.นัสสุชล ทัดเทียมพร นักศึกษาสถาบันบัณฑิตพัฒน-บริหารศาสตร์(นิด้า) ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน หลังจากที่ได้สัมภาษณ์สมณะ สิกขมาตุ และฆราวาสมาแล้ว ๔ ราย "งานชิ้นนี้จะทำเป็นภาคนิพนธ์ ซึ่งเป็นงานที่จะเผยแพร่ตามห้องสมุดต่างๆ จะทำเรื่อง การทำสมาธิ กับการพัฒนา ทางจิตของมนุษย์ จุดที่เลือกมี ๒ จุดที่ทำเป็น case study คือที่สันติอโศก และ วัดมหาธาตุค่ะ......" คุณนัสสุชล กล่าวแนะนำ ก่อนสัมภาษณ์

เนื่องจากคำถามคำตอบเป็นเรื่องประวัติ ภูมิลำเนา การศึกษา อาชีพการงานก่อนบวช....การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ที่สอดคล้องกัน....ฯลฯ ที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังอยู่แล้ว ข้าพเจ้าขอตัดข้ามผ่าน

ช่วงหนึ่งคุณนัสสุชล บอกเล่าถึงอาจารย์ที่ตนศรัทธา อยู่ที่พิษณุโลก เคยบวช แต่ตอนนี้สึกออกมาแล้ว "ท่านอาจารย์ถาวร ก็สอนสมาธิเหมือนกับ ที่พ่อท่านสอนเปี๊ยบเลย คือท่านบอกว่า การทำสมาธินี้ ไม่ใช่การมานั่งหลับตา ท่านให้ทำสติอย่างเดียว แล้วก็เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา อาจารย์ก็พูดแบบนี้ พอหนูฟังพ่อท่านแล้ว หนูรู้สึกว่า อย่างที่หนูเคยสัมภาษณ์อาจารย์ถาวร ท่านบอกว่า ไม่ว่าใครจะพูดว่าอะไร คือจะเหมือนกับพระไตรปิฎกหรือไม่ แต่ถ้าคนที่ผ่านลักษณะอย่างนี้มานี่ จะมีความรู้แบบเดียวกัน เพราะเป็นความจริง ของธรรมชาติ ใช่ไหมฮะ" คุณนัสสุชลถาม

"จริงๆแล้วมันเป็นความจริงของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของธรรมชาติ ถ้าผู้ใดไม่มีภูมิธรรมเดิม มารู้เองไม่ได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาปัจเจก ไม่ใช่ศาสนาทั่วๆไป เป็นศาสนา ที่ต้องศึกษาจากอาจารย์ ถ้าไม่มีอาจารย์ ที่เป็นผู้บรรลุ หรือเป็นผู้รู้จักสัมมาทิฐิจริง มาถ่ายทอด เพราะผู้ที่อยู่ในฐานะสาวกภูมิ ไม่ถึงขั้นปัจเจกภูมินี่ รู้เองไม่ได้ ต้องเป็นปัจเจกไปตามลำดับ จึงจะถึงขั้นพระพุทธเจ้า ที่เป็นสยัมภู เป็นผู้รู้เองเห็นเอง ผู้ที่เป็นสาวกของท่านจนถึงขั้นปัจเจกภูมิจึงจะรู้เอง จะเป็นปัจเจกตามๆมา ถึงได้เรียกว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ คือค่อยๆไล่มาตามลำดับ เพราะฉะนั้น จะมารู้เอง โดยไม่ได้รับการถ่ายทอด มาจากพระพุทธเจ้า โดยตรง ไม่มี ทุกอย่างมาแต่เหตุ" พ่อท่านตอบ ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นคำตอบ ที่ให้ความรู้ โดยหลักการ ไม่ได้ไปข่ม หรือดูถูกความคิดเห็นของผู้ถาม นับเป็นแบบอย่าง ที่น่าจดจำไปใช้ตาม

ต่อมามีคำถามเกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวตอนเป็นฆราวาส มีลักษณะอย่างไร? เมื่อพ่อท่านตอบว่า พ่อท่าน เป็นสายโลภะ หรือราคะ ไม่ใช่สายโทสะ ในชีวิตไม่เคยทะเลาะไม่เคยชกต่อยกับใคร จึงมีคำถาม ตามมาต่อว่า ลักษณะของการพัฒนา พ่อท่านมีการพัฒนาอย่างไรคะ

"พระพุทธเจ้าตรัสรู้บรรลุอรหันต์มาตั้งหลายชาติ ชาติสุดท้ายที่พระองค์เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่ ท่านก็มีภูมิ ของท่านแล้ว ท่านไปเจออาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านก็ปฏิบัติได้ ท่านก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ท่านก็ปฏิบัติ กับอาจารย์โน้นอาจารย์นี้ มันก็ไม่ใช่ สรุปแล้ว ๖ ปีที่ท่านปฏิบัติอยู่ในป่านั่น มันไม่ใช่ทาง ทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องอุตริ เป็นเรื่องนอกรีต เป็นเรื่องเดียรถีย์ ทรมานร่างกาย อดอาหาร จนกินอุจจาระ ท่านก็ทำมาหมด คนเลี้ยงวัวเอาอะไรมาแยงหู ท่านก็ทนเจ็บทนปวด ทำหมดทุกอย่างเท่าที่เขาจะพากันทำ เพราะฉะนั้น ในภาคปฏิบัติ ๖ ปีนี่ ใครไปเอาอย่างพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ออกป่านั่นก็ผิดแล้ว เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด อาตมาเอง ก็ไปปฏิบัติผิด ไปลองอะไรที่ไม่เข้าท่า ไปเล่นไสยศาสตร์ เข้าไปหวือหวาบนโลกมายา สุดท้าย ก็เบื่อ ทางวิทยาศาสตร์ก็ไปค้นคว้าว่าจิตคืออะไร ทางไสยศาสตร์ มันไม่มีคำตอบ ก็เลยมาคิดว่า เราเป็นพุทธก็เอาศาสนาพุทธมาปฏิบัติ หยิบตำราที่เขาเขียนนั่นแหละมาดู ก็สรุปได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เลิกลดละกิเลส เลิกสิ่งที่ควรต่างๆนานา อะไรที่เราไปหลงเขาหลอกมาเราก็มาเลิกๆ มันก็ไม่ยากสำหรับเรา จะบอกพัฒนาการก็พัฒนาการโดยที่อาตมาใช้ภาษาอยู่คำๆหนึ่งว่า เหมือนลิงลมอมข้าวพอง เราเกิดมา ในโลก โลกีย์มันก็ครอบงำ ต้องมาแย่งลาภยศสรรเสริญ อบายมุขสนุกสนานดีนะ มันก็หลอกเราหมด อาตมาก็เหรอๆไปตามเขา แต่พอเรามารู้ตัว พอเราหายจากลิงลมอมข้าวพอง รู้ตัวมีสติตื่นขึ้นมา ก็หันกลับมา ทางที่เราควรจะเป็น แล้วถึงมาทำทางนี้ จึงจะฟื้นภูมิธรรม จึงได้รู้ความจริง ซึ่งมันมีเนื้ออยู่แล้ว ซึ่งอาตมา ไม่ได้ศึกษาธรรมจากใคร ครูบาอาจารย์สำนักที่เขาสอน มันไม่ตรงกับเขาทั้งนั้นเลย แม้แต่สถาบันใหญ่ ยังบอกว่า นี่จะมาทำลายธรรมวินัย ทำธรรมวินัยให้วิปริต จะเอาเข้าคุก ด้วยซ้ำ จะว่าไป...."


งานศิษย์เก่านักเรียนปฐมอโศก
๑๑ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้เทศน์ในงาน ๑๐ ปี ของโรงเรียนปฐมอโศก นับจากก่อตั้ง การเรียนในระบบ กศน. จนมาเป็นสัมมาสิกขาปฐมอโศก งานนี้มีศิษย์เก่าทั้งที่จบม.๖ จบม.๓ และที่ออกไป ในระหว่างชั้น ปีอื่นๆ มาร่วมกันประมาณ ๘๐-๑๐๐ คน เนื่องจาก ที่ศาลาวิหาร กำลังอบรมเกษตรกร คณะจัดงาน จึงนิมนต์พ่อท่าน ไปเทศน์ที่ลานทราย หน้าน้ำตก ที่ชื่อหาดทรายหาว มีทั้งญาติธรรม ภายในวัด และญาติธรรมนอกวัด เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ของนักเรียน ที่จะมาร่วมงานวันแม่ มาร่วมฟัง กันคึกคัก

"....มาถึงวันนี้ อาตมากำลังเปิดเผยศาสนาพุทธที่ไม่ใช่เทวนิยม อย่างที่กำลังเป็นอยู่ดาษดื่นในทุกวันนี้ ศาสนาพุทธไม่มีหรอก จุดธูป จุดเทียน เติมน้ำมันเปรียง น้ำมันเนย.... ศาสนาพุทธ คนละขั้วกับ ศาสนาเทวนิยม ของเขามีอัตตา ปรมาตมัน เป็นนิรันดร์ ของพุทธนั้นสูญหมดไม่มี เป็นอนัตตา....." พ่อท่านย้ำ ให้ความรู้ ทั้งผู้ใหญ่ และศิษย์เก่าที่มา

"....แม้อายุเรายังน้อย ยังไม่ได้ไปก่อเรื่องเกี่ยวพันอะไรก็ดีแล้ว อย่าไปต่อเรื่องต่อความเกี่ยวพันอะไรอีกดีกว่า ที่จริงเราแต่ละคนก็เคยผ่านมาแล้ว แต่เราจำไม่ได้ พระพุทธเจ้านั้นมีวิบากนางพิมพาเป็นที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้ายังต้องทิ้ง อย่างพวกคุณยังไม่ได้เป็นคู่วิบากที่สุดหรอก ยังนัวนังพันพัวอีกมาก ก็อย่าไปต่อเรื่อง เกี่ยวพันอะไรอีก และอย่าใจดำที่ไม่พยายามฝึกฝนตนเองและให้โลก" ข้อความเหล่านี้ ให้กับศิษย์เก่า โดยตรง

คณะจัดงานได้มาปรึกษาให้พ่อท่าน ช่วยคิดข้อความที่จะพิมพ์ติดพวงกุญแจเป็นรูปใบโพธิ์ ซึ่งทำจาก กะลามะพร้าว ไว้แจกเป็นของที่ระลึกกับศิษย์เก่าที่มาร่วมงาน เนื่องจากกะลารูปใบโพธิ์เล็กๆ จึงเขียนข้อความอะไร ไม่ได้มาก พ่อท่านหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนเขียนด้วยลายมือ ของพ่อท่าน ให้คณะจัดทำ ไปถ่ายขยาย ให้ได้สัดส่วน แล้วทำเป็นสติกเกอร์แปะติดเอาไว้ ที่พวงกุญแจกะลานั้น ข้อความ ที่พ่อท่านเขียนให้ คือ เราคือศิษย์เก่าสส. พ่อท่านเผยว่า เป็นข้อความเตือนใจให้รู้ว่า จะทำอะไร ต้องระลึกเสมอนะว่า เราคือศิษย์เก่าสัมมาสิกขา


"วันนี้" ของความตาย
๑๓ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก งานเผาศพญาติธรรมรุ่นเก่า ๒ ราย เสียชีวิตในเวลาที่พ่อท่าน สัตตาหะ จากราชธานี มาปฐมอโศกพอดี โยมบุญมาก สิทธิพันธ์เป็นโยมแม่ ของสมณะเสียงศีล ชาตวโร (เสียชีวิต ๙ ส.ค. ที่บ้าน) และโยมสุเมธ ดีรัตนา คนเก่าแก่รุ่นบุกเบิกปฐมอโศก ครอบครัวมีศรัทธา ปฏิบัติกันมานาน (เสียชีวิต ๑๒ ส.ค. ที่บ้าน) ทำให้พ่อท่านต้องเปลี่ยนแปลงเลื่อนการเดินทางกลับราชธานีอโศกออกไป เพื่อร่วมประกอบพิธีเผาศพให้ ญาติของผู้เสียชีวิตทั้งสองได้จัดทำสมุดเขียนคำรำลึกให้เป็นเกียรติ พ่อท่านได้เขียนให้ ทั้งสองศพ เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่พ่อท่านจะเขียนคำรำลึกให้ใครหรือให้งานศพไหนๆ เป็นครั้งแรกของพวกเราที่จัดงานเผา ๒ ศพในพิธีกรรมเดียวกันพร้อมกัน

ข้อความ ที่พ่อท่าน เขียนให้กับ ญาติๆ ของโยมบุญมาก สิทธิพันธุ์มีดังนี้
ถึงเวลาก็ต้องตายกันทุกคน บางคนไปไว บางคนก็ยาวนานพอสมควร โยมบุญมากถือได้ว่า ก็ยาวนาน มิใช่น้อย ตลอดกาละที่ได้พบได้รู้จักกันมา โยมบุญมากได้พัฒนาตนประกอบบุญ ละสิ่งที่ไม่ควร สั่งสมธรรมสมควรแก่ธรรมตลอดมา นั่นคือทรัพย์แท้ที่โยมบุญมากได้แท้ๆเป็นสัจจะ

สมแล้วที่เป็น พุทธมามกะ ผู้รู้จักสาระแห่งชีวิต ตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากพุทธมามกะอื่นๆปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เช่นโยมบุญมากนี้บ้าง ย่อมได้สาระสัจจะที่เป็นกุศลแน่แท้

ยิ่งผู้ใดสามารถปฏิบัติให้ถึงโลกุตรธรรมได้ด้วย ก็ยิ่งนั่นแหละคือผู้เจริญแท้ที่ได้พบพระพุทธศาสนา

สมณะโพธิรักษ์ (๑๒ ส.ค.๒๕๔๕)


ข้อความที่พ่อท่านเขียนให้กับญาติๆของ โยมสุเมธ ดีรัตนา มีดังนี้
ไม่มีอะไรที่จะไม่พรากจากกัน ...เป็นคำตรัสที่ยืนยันคำตรัสของพระพุทธเจ้า ทุกคนก็เช่นกัน จะต้องมี "วันนี้" กันทุกคน ดังนั้นจึงอย่าได้ประมาท ที่จะผัดผ่อนการ"ก่อกุศล" ให้แก่ตนเองอยู่นักเลย อย่านึกว่า เรายังหนุ่มยังสาว แม้เรายังเด็กเป็นอันขาด

"วันนี้" ของความตาย เกิดได้ เป็นได้ ทุกเวลาและทุกวัย คนที่ยังไม่ตายเท่านั้น ที่มีโอกาส "ก่อกุศล" และจะได้ "กุศล" เป็นทรัพย์ให้แก่ตน ก็ใช่ง่าย หากไม่พากเพียรตั้งใจจริง ก็จะได้แต่"อกุศล" นั่นแหละ เป็นส่วนมาก เพราะกิเลส เป็นใหญ่ในคน

เพียรเถิด สังวรให้จงหนัก ทรัพย์แท้ของทุกคนคือ "กรรม" ที่เราทำเองทุกกรรม

สะสมให้ได้"กุศล"ให้มากๆ เพราะ"กุศล"นั้นเป็นคุณแก่โลกโดยรอบ และเป็นบุญแก่ตนโดยตรง อย่ามัวชักช้า กันอยู่เลย เดี๋ยว"วันนี้" แห่งความตาย จะมาถึงเราเมื่อไหร่ก็ได้

เร่งสะสม "ทรัพย์ที่ประเสริฐ" ไว้ให้ได้ทุกวินาทีเถิด

สมณะโพธิรักษ์ (๑๓ ส.ค.๒๕๔๕)


ประกาศแก้ข้อความที่บกพร่อง
ในสารอโศกฉบับ"มหาทาน"สิงหาคม ๒๕๔๕ หน้า ๑๒๖
ความเดิม : ในครั้งอดีตทราบว่า โยม(สุเมธ ดีรัตนา) ได้รับรางวัลโนเบล ในสาขาสันติภาพ
แก้ไข : ในครั้งอดีตทราบว่า โยมสุเมธ ดีรัตนา เป็นบุคคลหนึ่งในคณะทำงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ องค์การสหประชาชาติ ฝ่ายช่วยเหลือผู้ลี้ภัย (United Nation High Commissioner For Refugees) ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่ได้รับรางวัลโนเบล ในสาขาสันติภาพ เมื่อปี ๑๙๘๑


ญาณวิทยา
๑๗ ส.ค. ๔๕ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรมกับญาติธรรมที่เข้าค่ายอุโบสถศีล ซึ่งมีทั้ง ญาติธรรมคนใน และญาติธรรมรุ่นเก่า ของกลุ่มอุบลอโศก ที่หายหน้ากันไปนาน พ่อท่าน ตั้งหัวข้อเทศน์ว่า "ญาณวิทยา"

".....ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ที่เป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์เองเป็นผู้ทำ ผู้เป็น มิใช่มาจากพระเจ้า เป็นเรื่องจริงที่มนุษย์เข้าถึงได้ แตะต้องได้ พิสูจน์ได้ เป็นญาณวิทยา ที่อาตมากำลังประกาศ ออกไป ในสิ่งที่มนุษย์ เกือบทั้งโลก กำลังเข้าใจผิด โดยเฉพาะชาวพุทธ ก็กำลังเข้าใจผิด ไปตามผู้ที่ถือศาสนา อย่างเทวนิยม กันเสียมากกว่ามากแล้ว พวกเราก็ต้องระมัดระวังให้ดีใ นผลกระทบ ที่จะมีมาถึง....." พ่อท่านเตือน

"....อิสสรนิมมานเหตุวาทะ ลัทธิมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง

อีกลัทธิหนึ่ง คือ อเหตุอปัจจยวาทะ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรทั้งนั้น มันเกิดของมันเอง

สาม ลัทธิปุพเพกตเหตุวาทะ เชื่อเรื่องกรรมเก่าวิบากเก่าๆอย่างนิจจัง เที่ยงแท้ ขณะที่ของพุทธ เชื่อเรื่อง กรรมเก่า มีวิบากเหมือนกัน ต่างกันที่พุทธจะมีอนิจจัง มีความไม่เที่ยงด้วยมนุษย์ สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง กรรมได้

พุทธต้องมีญาณปัญญา อ่านอาการ อ่านของจริง ของจิตวิญญาณของเราได้ มีอัปปนา พยัปปนาอย่างไร และ รู้จิตวิญญาณของจริง ว่ามีประโยชน์ คุณค่าอย่างไร เห็นความเป็นเทวดา ในจิตวิญญาณ ที่ละลดมาได้....."

พ่อท่านยกอ้างหลักการนำ ก่อนที่จะพูดถึงญาณวิทยาต่อมาว่า

"....ศาสนาพุทธมีญาณวิทยาอันลึกซึ้งวิเศษที่ถึงขั้นไม่ยึดติดเป็นเรา เป็นของของเรา

ญาณวิทยา เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง หยั่งเข้าไปหาเหตุปัจจัยของจริง ไม่ใช่ตรรกศาสตร์ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี หรือจิตวิทยา แต่เป็นความรู้ขั้นเกิดญาณ ซึ่งตัวเราเองจะต้องมีของจริง เกิดจริงที่ตัวเราก่อนจะรู้ผู้อื่น ต้องรู้จิตอื่นๆ (ปรจิต) ของเรา จิตอย่างนี้แตกต่างจากจิตอย่างนั้น....."

ในส่วนท้ายพ่อท่านได้อธิบายถึง การปฏิบัติฌาน และการตรวจสอบวิญญาณจากอรูปฌาน ๔ ของพุทธ ผู้ที่สนใจ รายละเอียด ติดต่อหาเท็ปไปฟังได้

แถมท้ายเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเทศน์ "ญาณวิทยา" แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำวันเดียวกันนี้ คือ ผู้ที่ทำงาน ให้พรรคเพื่อฟ้าดิน โทรศัพท์มาปรึกษาว่า ได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ ที่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองว่า พรรคเพื่อฟ้าดิน ควรมีส่วนร่วมกับชมรมไทยเกื้อไทย โดยคุณณรงค์ โชควัฒนา ที่กำลังเคลื่อนไหว เรียกร้อง ให้รัฐบาล แก้ไขกฎหมาย ๑๑ ฉบับ ที่รัฐบาลยุคก่อน ทำสัญญาไว้ อย่างเสียเปรียบต่างชาติ เกี่ยวกับการขาย รัฐวิสาหกิจต่างๆ พ่อท่านเห็นเป็นอย่างไร?

พ่อท่าน "ไม่มีปัญหาอะไร เราเคยร่วมกับศิษย์ของหลวงตามหาบัว ลงชื่อคัดค้านอยู่แล้ว อยู่ที่ว่า เราจะมีเวลา มีแรงพอทำไหวไหมล่ะ เพราะงานหลักๆของเรา ก็มีอยู่เยอะแยะ มากมาย"

เป็นคำตอบที่ไม่ได้รับหรือปฏิเสธทันที แต่ให้ผู้ถามกลับไปประเมินเวลา และ กำลังของพวกเรา ดูความเป็นไปได้หรือไม่ แล้วตัดสินใจเอา ไม่ใช่เป็นผู้ใหญ่แล้ว จะสั่งการอะไรๆได้ โดยไม่คำนึงถึงกำลัง และจิตใจ ของผู้น้อย โดยให้ความสำคัญกับงาน และผลงานมากกว่า แต่นี่พ่อท่าน ให้ความสำคัญ กับจิตใจ และ กำลังของผู้น้อย มากกว่างานที่จะทำ

อนุจร
(อ่านต่อฉบับหน้า)

สารอโศก อันดับที่ ๒๕๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๕