หน้าแรก>สารอโศก


- ป.ปรีดา [email protected] -
ภัยอำพราง


ฉันปิดเสียงตามสายเมื่อรายการธรรมะจบลง นั่งสมาธิบำเพ็ญเจโตสมถะสักครู่ แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ยังไม่ผ่อนคลาย ทำให้ฉันต้องล้มตัวลงนอนอีก แล้วพลิกตัวไปมา ยืดเส้นยืดสาย ในท่าต่างๆ สลับกับการพัก เป็นช่วงๆ

ขณะที่กำลังสบายๆเคลิ้มๆอยู่นั้น ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตูรั้วหน้าบ้านชั้นล่าง เหมือนมีการกระแทก หรือถูกเขย่าแรงๆ ๒-๓ ครั้ง แล้วหายไป ใจหนึ่งก็สงสัย แต่อีกใจคิดว่า คงจะเป็นพวกสุนัข หรือแมว ละแวกบ้าน ที่มักจะกระโดดข้ามช่องระหว่างซี่เหล็กรั้วลูกกรงอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่อยากฝืนใจ ทำอะไรอื่น คิดว่าอีกสักพักจึงจะลุกขึ้นจากที่นอน

พลันก็มีเสียงดังของกระทาชายนายหนึ่ง ตะโกนขึ้นมาจากทางประตูรั้วว่า "มีใครอยู่บ้าง" ฉันผุดลุกขึ้น อย่างรวดเร็ว คิดว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ ฉันเปิดประตูออกไปยืนก้มลงมอง จากระเบียงบ้านชั้นบน มองลงไปเห็นชาย ๒ คนยืนเรียงกันอยู่ที่หน้าประตูรั้ว

คนหนึ่งร่างผอมสูง ผิวคล้ำ มีผมหงอกแซมมากจนดูสีเทา อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ อีกคนหนึ่งรูปร่างสันทัด อ้วนลงพุง เชื้อสายจีน ฉันจำได้ว่า เขามักขับรถมาจอดปากทางเข้าบ้านตอนเช้าๆ เขาเป็นคนแถวนี้เอง คงจะพากันมา เขาถามต่อว่า "บ้านนี้มีผู้ชายไหม" ฉันตอบไปทันทีว่า "มี" ทั้งๆ ที่ขณะนั้นไม่มีใครในบ้านเลย นอกจากฉันเพียงคนเดียว แต่ครอบครัวของน้องสาวฉันมีน้องเขย (สามีของน้องสาว) กับลูกชาย ๑ คน ได้มาพักค้างอยู่กับฉัน ๔-๕ วัน และเพิ่งจะกลับไปไม่นาน

ชายร่างอ้วนลงพุงถามต่อทันทีว่า "อายุเท่าไร" ฉันตอบไม่ตรงคำถามว่า "เขาเป็นหมอ" ฉันหมายถึง น้องเขยของฉัน ซึ่งเป็นนายแพทย์ทางสูตินรีเวช ตอนนั้นฉันรู้สึกกึ่งงง กึ่งสงสัย และคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ ที่จะต้องมาตอบข้อซักถามอะไร อย่างที่เขาต้องการในเวลานี้

เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า "มีผู้ชายอายุไม่มากประมาณรุ่นหนุ่มไหม?"
ฉันยิ่งงุนงง ต่อคำถามของเขา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมไม่บอกมาตรงๆ ยังไม่ทันที่ฉันจะได้โต้ตอบอะไรออกไป ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ด้วยกัน หลุดปากออกมาอย่างเหลืออด "มันว่าจ้างรถ ให้มาที่ซอยนี้ แต่งตัวมอซอ นึกอยู่แล้วว่า จะได้ค่าจ้างหรือเปล่า ดูตัวสกปรกมอมแมม มันให้จอดรถที่ปากซอยทางเข้ามาบ้านนี้ แล้วเดินเข้ามาที่ประตูรั้วนี้

เห็นมันขยับกุญแจ แล้วมันก็ปีนรั้วเข้ามาในบ้าน ออกไปทางด้านข้าง หนีไปเลย" เขาหยุดพูดนิดหนึ่ง มองฉัน ด้วยแววตาโกรธเคือง แล้วสบถต่อว่า "ทำไมคุณทำประตูรั้วบ้านอย่างนี้ ปล่อยให้มันปีน ข้ามเข้าไปในบ้านได้ ระวังมันจะเข้าไป ฆ่าคนในบ้าน ปล่อยให้มันปีนเข้าไปได้แบบนี้"

ฉันเริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที เสียงประตูรั้วที่ดังขึ้นเมื่อเช้านี้ คงเป็นผู้โดยสาร ที่เขากล่าวถึง ปีนรั้วหนีหายไป ไม่จ่ายค่าโดยสารนั่นเอง ทำให้เจ้าของแท็กซี่ ต้องพาชายจีนแถวนี้ มาเป็นเพื่อน เพื่อตามหา จะเอาเงินให้ได้ แล้วก็มาตะโกน เรียกเจ้าของบ้าน ที่คนทุจริตมิจฉา อาศัยเป็นเส้นทางหนีรอดไปได้

ฉันไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเจ้าของแท็กซี่ที่พาลมาโกรธฉัน ด่าฉันที่ทำรั้วบ้าน ให้คนสามารถปีนข้ามได้ เพราะฉัน ก็ระลึกได้ทันทีว่า ฉันเคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์ เมื่อครั้งโจรปล้นธนาคาร ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี บ้านเกิดของฉัน เห็นโจรชักปืนมาขู่พนักงานบัญชี ผู้ถือกุญแจเซฟ จนเมื่อโจรได้เงินไปเป็นถุงแล้ว และวิ่งลง ทางประตูข้างไปชั้นล่าง ซึ่งเป็นที่จอดรถ แล้วก็ปีนรั้วด้านหลังธนาคาร ออกไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ที่ติดเครื่อง รออยู่ ที่ซอยด้านหลังธนาคาร แล้วหนีออกไปอย่างรวดเร็วมาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ที่คนทุจริตมิจฉาชีพคิดประกอบกรรมชั่ว จะทำรั้วรอบขอบชิดไว้อย่างบ้าน อยู่อาศัย หรือ ธนาคาร ที่มั่นคงแข็งแรง เมื่อกิเลสผีร้ายเข้าสิง โจรก็ทำอะไรได้ทั้งนั้นตามลู่ทางที่มันได้มองหาไว้แล้ว

คนชั่วหนีรอดไปได้ แต่ประชาชนที่อยู่ปกติธรรมดาต้องมารับเรื่องราวชั่วๆไปด้วย เพราะความเสียดายทรัพย์ ที่ควรจะได้โดยสุจริต ทำให้พาลโกรธเคืองว่าร้ายเจ้าของบ้านที่เขาอยู่ดีๆไม่รู้เรื่องรู้ราว..... ทำให้ฉัน ต้องโต้ตอบ เตือนสติเขาด้วยเสียงอันดังว่า "ประตูรั้วบ้านใส่กุญแจนะ ไม่ได้อนุญาตให้ใครเปิดออก แล้วเดินเข้ามาได้ง่ายๆ ผู้ที่ปีนรั้วเข้ามาถ้าฉันเห็นละก็ จะแจ้งความให้ตำรวจจับทันที ข้อหาบุกรุก เข้ามาในบ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่นี่ ฉันไม่รู้ไม่เห็น และมิได้ยินยอมให้ใครปีนรั้วเข้ามาด้วย คุณควรจะไป แจ้งตำรวจ เอาเองดีกว่า ข้อหาที่ผู้โดยสารวิ่งหนี ไม่ชำระเงินค่าโดยสาร....."

ชายเจ้าของแท็กซี่ยังคงบ่นงึมงำ กล่าวโทษเรื่องประตูรั้วบ้านอีก ชายจีนคนนั้น หันไปบอกเขาว่า "คุณพูดอย่างนั้นไม่ได้ คุณไปว่ารั้วบ้านเขาได้ยังไง คุณไปแจ้งความตำรวจดีกว่า...."

ว่าแล้วเขาสองคนก็พากันเดินออกไปจากที่นั้น ฉันไม่ติดใจจะตามไปสืบสาวราวเรื่องกับพวกเขา แต่ฉันเริ่ม วิตกแล้วว่า แถวนี้ที่เคยสงบสุขมาช้านาน ชักจะเริ่มมีพวกมิจฉาชีพเข้ามาใกล้ตัวมากแล้ว เข้ามาอาศัย บริเวณนี้ ก่อความเดือดร้อน แก่ประชาชนแล้ว

เช้าวันนี้ที่สดใส วันใหม่ที่ฉันปรารภความเพียรส่วนตน กลับกลายมาเป็น วันที่ฉันต้องตระหนัก ถึงพิษภัย ของสังคม ซึ่งหลอกลวง หลอกใช้บริการแล้วหนีไปอย่างซึ่งๆหน้า ไม่ละอายไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่สนใจ ต่อผู้ประกอบอาชีพสุจริต ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยากลำบากเลย

ข่าวนี้กระจายไปแถวบ้านฉัน มีผู้มาเล่าว่า ลูกชายของคนที่อยู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ตรงข้ามบ้านฉัน อายุประมาณ ๑๒ ปี ถูกวัยรุ่นพวกรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นเด็กแถวนั้นนั่นแหละ ล็อคคอแล้วจี้เอาเงินไป ตอนที่ลูกชาย ซึ่งแต่งกายชุดนักเรียนกลับบ้านค่ำ ช่วงนั้นมีเขาเพียงคนเดียว ฟังแล้ว ฉันก็ได้แต่ปลงสังเวช เรื่องนี้ สอนฉันได้ดีเหลือเกินว่า "ทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดีไม่ได้ตลอดนั่นเอง"..........

อุทาหรณ์ที่นำเสนอโดย ทันตแพทย์หญิงชุติมา(ฟ้ารัก) ทิพยธรรม คุณหมอนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งเดิมรับราชการ ในแผนกทันตกรรม ของโรงพยาบาลราชวิถี และลาออกจากราชการ ก่อนเกษียณ มากว่าสิบปีแล้ว ทั้งที่การงานทางโลก กำลังเจริญก้าวหน้า เป็นอย่างดี แต่คุณหมอ กลับตัดสินใจลาออก เพื่อใช้เวลา ทุ่มทำงานให้กับสังคม

คอลัมน์นี้รู้สึกเป็นเกียรติที่คุณหมอส่งข้อมูลมานำเสนอ เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ทั้งที่เป็นญาติธรรม และประชาชนทั่วไป ได้พินิจพิเคราะห์ว่า สังคมทุกวันนี้ หากห่างไกล จากการปฏิบัติธรรม คนเรา มักเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ไม่ยอมลำบาก ติดสบาย จนทำความเดือดร้อน แก่ประชาชน ผู้ประกอบอาชีพ โดยสุจริต และ ส่งผลถึงบุคคลรอบข้าง ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พลอยรับเรื่องราว อันไม่เป็นมงคลไปด้วย

ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยกันรณรงค์ ให้ทุกคนใส่ใจกับการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าศาสนาใด ก็สอนให้คนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทุกศาสนา หากศาสนิกในแต่ละศาสนาสังวรให้ดีแล้ว เรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น เมื่อไร้บุญนิยม สังคมจึงประสบอันตราย

หากท่านผู้ใดมีประสบการณ์จริงจากชีวิต สามารถส่งมายังคอลัมน์นี้หรือส่งมาทาง email ข้างต้น

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)