แถลง
ชีวิตนี้.....ขอสักชาติได้ไหม?
ถ้าใครไปงานตลาดอาริยะปีใหม่'๔๖
ก็จะได้เห็นคำสะดุดตาบนลานเวทีธรรมชาติ ด้วยประโยคที่ว่า ชีวิตนี้.....ขอสักชาติได้ไหม?
สำหรับชาติหนึ่งของมนุษย์ยาวนานสักเท่าใดนั้น มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาใจความว่า
เทพธิดาองค์หนึ่ง กำลังเก็บดอกไม้ในสวน เพื่อนำไปใช้ประดับเทพบุตรผู้สามี
ในระหว่างที่กำลังสอยดอกไม้ บนกิ่งไม้อยู่นั้น นางได้ทิ้งร่าง มาถือกำเนิดในเรือน
แห่งตระกูลหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี จนอายุได้ ๑๖ ปี จึงได้ออกเรือน ไปอยู่ในตระกูลแห่งสามี
นางเป็นอุบาสิกา ที่ขวนขวายในการถวายทาน ฟังธรรมและ รักษาศีล อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ก็ยังเอาใจใส่ ในการดูแลภิกษุสงฆ์ เช่น ทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ดถูโรงฉัน
ดูแลเรื่องปูอาสนะ น้ำฉันน้ำใช้อยู่เป็นนิตย์
นางได้ให้กำเนิดบุตรในโลกนี้ถึง ๔ คน ในวันหนึ่งหลังจากที่ได้ทำบุญฟังธรรม
และทำ ความสะอาด โรงฉัน เรียบร้อยแล้ว ตกเย็นนางได้เสียชีวิตเพราะโรคชนิดหนึ่ง
ซึ่งทำให้ภิกษุทั้งหลาย พากันสลดสังเวชใจ เพราะพึ่งได้เห็นหน้า ช่วยงานการกันหลัดๆ
เมื่อเช้านี่เอง พระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ คติภพของนางว่า ได้กลับไปเกิด
ในดาวดึงส์เทวโลก อย่างเดิม
ส่วนนางเทพธิดานั้น เมื่อได้กลับคืนสู่วิมานเดิม ก็ได้ถูกเหล่าเทวดาพากันซักถามว่า
เมื่อเช้าหายไปไหนมา ซึ่งนางก็ได้เล่าวิถีชีวิต ที่อยู่ในเมืองมนุษย์ มาเกือบร้อยปีนั้น
แต่เทียบได้เพียงแค่ ๑ วันในทิพย์วิมาน เท่านั้นเอง ซึ่งแม้อายุของมนุษย์จะสั้นออกปานนี้
แต่มนุษย์ทั้งหลาย ก็ยังพากันประมาท มัวเมา เป็นส่วนใหญ่
หมู่เทวดาที่มีปัญหาในชาวอโศกน่าจะมี ๒ พวกด้วยกัน คือ เทวดาที่มัวแต่เพลิดเพลินเจริญใจ
ชมสวนดอกไม้ ชมสมบัติพัสถาน ดูแลลูกหลานวัวควาย จนพากันตายไปก่อนจะได้ดี
กับเทวดาติดแป้น ซึ่งยึดดี หลงดี เมาดี ที่ตนมี จนไม่มีใครกล้า จะแตะต้อง
หรือบอกกล่าวได้
ในทางโลกนั้นแค่มีนักการเมืองแบบเทวดา เขาก็มีปัญหาวุ่นวายกันอยู่แล้ว ในทางธรรม
ถ้ามีนักบวช หรือ นักปฏิบัติธรรม ระดับเทวดา(ชีวิตข้าใครอย่าแตะ!) โลกนี้ก็คงจะหาที่พึ่งไม่ได้อีกแล้ว
ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก อย่ามัวแต่ชมสวนดอกไม้ อย่ามัวปกป้องสนองอัตตากันอยู่เลย
ท่านเทวดา ทั้งหลายเอ๋ย....
คณะผู้จัดทำ
สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๕ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕
|