จุดประกายต้นกล้า คนบุญนิยม
เสียสละสร้างสรร
จนเป็นวัฒนธรรม
เกิดระบบสังคม
ไม่ใช่ตรรกศาสตร์
ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
Rory Mackenzie
สัมภาษณ์พ่อท่าน
๒๔ ส.ค.๔๕ ที่สันติอโศก Mr.Rory Mackenzie
จาก International Christian College ซึ่งเป็นวิทยาลัย เอกชน
อยู่ที่เมือง Glasgow ประเทศอังกฤษ ได้มาทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก
ด้านศาสนา เปรียบเทียบ ในแนวสันติอโศก และธรรมกาย Mr.Rory
เป็นอาจารย์สอนวิชาศาสนศาสตร์ ที่นำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน และเป็นผู้ดูแล
นักศึกษาฝึกงาน "อโศกมีลักษณะผสมผสาน ระหว่างเถรวาท และมหายาน ทั้งยังเห็นความสำคัญ
ของสิทธิสตรี ให้ผู้หญิงได้เป็น สิกขมาตุ ที่สำคัญ เป็นกลุ่มที่ออกมา จากกระแสหลัก
จึงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ" Mr.Rory กล่าว จากบางส่วน
ของการสัมภาษณ์ ที่น่าสนใจดังนี้
Mr.Rory :
สิ่งที่ท่านอยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคืออะไร
พ่อท่าน : ไม่ได้อยากเห็นเกิดในสังคมไทยเท่านั้น
อยากเห็นมนุษย์ทั้งโลก ควรจะอยู่กัน อย่างเป็นคนที่ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว
เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีสมรรถนะ มีความสามารถ สร้างสรร เกื้อกูล ปลาใหญ่ช่วยปลาเล็ก
คนที่มีความสามารถมาก มีน้ำใจ ไม่ใช่คนมีความสามารถมาก ก็กอบโกยเอามามาก
เป็นนายทุน เป็นทุนนิยม โลภไม่รู้จักพอ และตั้งกฎเกณฑ์ ที่เอาเปรียบ สังคม
ไม่ถูกต้อง ไม่ดีไม่งาม ไม่ใช่มนุษย์ที่ดี ศาสนาพุทธนั้นสอนว่า ให้รู้จักสารสัจจะ
คนไม่กินมาก ใช้มาก กินแค่จำเป็น มันจะน้อยเพียงแค่พอเหมาะพอดี แต่สมรรถนะของเรา
สร้างได้มากกว่า ที่เรากินเราใช้เยอะ มายืนยันมาพิสูจน์อันนี้กัน
ถ้าเราไม่ถูกหลอก บริโภคอะไร ตามเขานะ ไม่โง่ตามเขา เราจะมีเหลือ เพื่อที่จะช่วยมนุษย์อื่น
ได้เยอะเลย การศึกษา ในระดับไหนๆ ก็ควรสอนให้คนลดความเห็นแก่ตัว ลดความโลภ
มีความรู้ ความสามารถ มากเท่าไหร่ เราไม่มีปัญหา เอามาสร้าง แล้วช่วยกัน
เมื่อไม่โลภไม่เห็นแก่ตัว สังคมมนุษย์ทั้งโลก จะอยู่กันดี ไม่เบียดเบียนกันมีแต่จะรักกันทั่วโลกเลย
Mr.Rory :
จะให้คนเอาศาสนาที่แท้ เราจะทำอย่างไรบ้าง
พ่อท่าน : ยืนยันความจริง พิสูจน์ความจริง
ทำความจริงให้ปรากฏ อาตมาคนหนึ่ง นี่คนหนึ่ง หลายคน มาทำ ความจริง ให้มากๆๆ
ความจริงลักษณะนี้ มาเป็นคนมักน้อยสันโดษ มาเป็นคนกล้าจน มาเป็นคนไม่ต้องโลภ
ไม่ต้องเอาเปรียบ เป็นคนเสียสละสร้างสรรอย่างนี้ๆ ไปเรื่อยๆ จะเกิดระบบวัฒนธรรม
จะเกิดระบบสังคม เกิดจารีตประเพณี ระบบระเบียบ
Mr.Rory :
ท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอะไรบ้าง จากที่เป็นสังคมชาวอโศก
และสังคมภายนอก
พ่อท่าน : อย่างหนึ่งคือเห็นความเป็นไปได้
ทั้งๆ ที่อาตมารู้ว่า ทำสังคมอย่างนี้ยาก เพราะไม่เอาอะไร ไม่สะสม กินน้อยใช้น้อย
มาลดกิเลสมันยากมาก แต่เห็นความเป็นไปได้ จึงทำให้อาตมา มีกำลังใจ แล้วเห็นว่าอนาคตเป็นไปรอด
มาถึงวันนี้ อาตมามั่นใจว่า ไปรอด แม้ในระยะ เวลาข้างหน้า ๕๐๐ ปี จะมีความสมบูรณ์
คิดว่าน่าจะไม่ถึง เพราะว่าโลกข้างนอก กำลังร้อนแรง กำลังเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นนี่
๑.
๒. เราทำได้แล้วเป็นตัวอย่าง (model)
๓. ต่างคนต่างแสวงหาทางออก ซึ่งทางออกมีให้เขาเห็นอยู่แล้ว และ
๔. ยิ่งในระยะยาว ทางออกอื่นยิ่งสู้ไม่ได้
ต้นกล้าประชาชนคนตะวันตก
๒๕ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก ทำวัตรเช้าพ่อท่านแสดงธรรมกับผู้ฟัง ๒ กลุ่มที่มาซ้อนกัน
กลุ่มแรก เป็น เกษตรกร ที่เข้าโครงการ พักชำระหนี้กับธ.ก.ส.
อีกกลุ่มหนึ่งมาจาก ชุมชนต่างๆ ในภาคตะวันตก
(กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ) ที่ได้รับทุน ในโครงการต่างๆ จากกองทุน
ชุมชน หรือ กองทุนเพื่อสังคม (SIF) เป้าหมายที่จัด
ก็เพื่อให้ชุมชนต่างๆ ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ กันและกัน คล้ายงาน "ตุ้มโฮมมูนมั่งไทอีสาน
สืบสานภูมิปัญญา แก้ปัญหาคนจน" ที่ศีรษะอโศก
เมื่อเดือนที่แล้ว
เนื้อหาการแสดงธรรมไม่ต่างจากหลายๆ ครั้งที่พ่อท่านพูด กับเกษตรกร ที่มาอบรม
ตามโครงการ ของธ.ก.ส. เป็นต้นว่า พระพุทธเจ้า เป็นคนเช่นเราๆ ท่านแสวงหาสิ่งสูงสุด
จนพบ แล้วมาสั่งสอน เผยแพร่ เมื่อพบสิ่งสูงสุดแล้ว พระพุทธเจ้า ทิ้งความรวย
มาเป็นคนจนที่ขยัน สร้างสรร เสียสละ เงินทอง ไม่ใช่ทรัพย์แท้ของเรา ตายแล้วเอาติดตัวไปไม่ได้
กรรมคือ ทรัพย์แท้ ที่จะติดตัวไปกับเรา และ บุญบาปแบ่งกันไม่ได้....
พ่อท่านเทศน์เพียงครั้งเดียว นอกนั้นมีกิจกรรมอื่นๆ ที่คณะจัดงาน มีให้อย่างหลากหลาย
อยู่แล้ว ก่อนมาร่วมงานนี้ พ่อท่านมีอาการไอ ทางคณะจัดงาน ของปฐมอโศก รู้สึกเกรงใจ
ปรึกษา มาหลายรอบว่า ถ้าพ่อท่านไม่สบายไอมาก จะงดรายการของพ่อท่านก็ได้ ด้วยอยาก
จะถนอมสุขภาพพ่อท่าน แต่สุดท้าย พ่อท่านก็มีอาการดีขึ้น ไอน้อยลงไม่มีไข้
จึงรับมาเทศน์ให้ ทั้งๆ ที่ก็มีงานเขียนเร่งรออยู่ อาจเป็นเพราะ กลุ่มคนที่มาสัมพันธ์นี้
คุ้มกับการมา เพื่อต่อเชื้อ เผ่าพันธุ์พุทธ
น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ
สัมภาษณ์
๒๕ ส.ค.๔๕ ที่ปฐมอโศก คุณเพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ผู้สื่อข่าวน.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ
ได้มาขอ สัมภาษณ์พ่อท่าน แล้วได้นำมาลงพิมพ์ฉบับวันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๕
คอลัมน์ จุดประกาย เสาร์สวัสดี ซึ่งมีภาพพ่อท่านในอิริยาบถต่างๆ
โดยพาดหัวเรื่อง ให้ดูน่าสนใจ มีข้อความว่า คิดใหม่
ทำ(บุญ)ใหม่ ....สมณะโพธิรักษ์ "บุญนิยม" ก้าวร้าว? เนื้อหา
ส่วนที่ได้ลงพิมพ์ มีดังนี้
ก่อนหน้าจะถือบวชเป็นสมณะ มงคล รักพงษ์ เคยเป็นพิธีกรรายการทีวี
นักแต่งเพลง ที่โด่งดัง มีชื่อเสียง กระทั่ง เบื่อหน่ายชีวิตทางโลก หันมาโกนศีรษะเดินเท้าเปล่า
กินมังสวิรัติ จนเพื่อน หลายๆ คนสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น กับชีวิตเขา และในที่สุดบวช
เป็นพระสงฆ์ ธรรมยุติกนิกาย แต่เกิดความขัดแย้ง กับเจ้าอาวาส วัดอโศการาม
ที่ท่านถือบวช จึงออกมา ตั้งศูนย์ธรรมะ ที่แดนอโศก จังหวัดนครปฐม สมณะ และสิกขมาตุ
ครองผ้าสีกรัก แทนสีส้มสด ถือพระวินัย ของพระสงฆ์ สมัยโบราณ และประกาศไม่ขึ้นต่อ
มหาเถรสมาคม
หลายสิบปีที่ผ่านมา สมณะโพธิรักษ์ ที่ชาวอโศกเรียกว่า"พ่อท่าน"
ถูกสังคมมอง อย่างไม่เข้าใจ บ้างว่า ท่านเป็นพระนอกรีต นักธรรมก้าวร้าว ส่วนอีกมุมท่านเป็นที่เคารพนับถือ
ของชาวพุทธ โดยยืนยันว่า ธรรมะที่ปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักพระพุทธเจ้า
แม้วันนี้ สมณะโพธิรักษ์จะอายุราวๆ ๖๙ ปี แต่ใบหน้ายังดูอิ่มบุญเกินวัย ประกายตา
แสดงความเมตตา ต่อทุกๆ คน ที่เข้าใกล้ จุดประกาย
เสาร์สวัสดี มีโอกาสแวะเวียน ไปสนทนาธรรมกับท่าน ที่กุฏิที่เรียบง่าย
หลังคามุงจากของปฐมอโศก นครปฐม บรรยากาศ ยังแวดล้อมด้วยญาติโยม จำนวนไม่น้อย
ก่อนจะก้มลงกราบพระสงฆ์องค์เจ้าที่ถูกอำนาจรัฐมองว่า เป็นพระนอกรีต ท่านยิงคำถามว่า
"ทำไมถึงอยากสัมภาษณ์อาตมา"
เราตอบไปว่า "ท่านทำประโยชน์ให้สังคม"
"แน่ใจหรือว่าอาตมาทำประโยชน์ให้สังคม" (ใบหน้ายิ้มน้อยๆ)
หลายคำถามที่ท่านตอบ แฝงไว้ด้วยความลึกซึ้ง อย่างเข้าใจชีวิตทางโลก และทางธรรม
แม้บางคำถาม จะดูกึ่งท้าทาย กึ่งตรวจสอบ แต่นักบวชที่เข้าใจสัจธรรม ก็ยินดีไขปริศนา
นักข่าว : ขอย้อนไปสักนิดถึงช่วงแรกๆ ในชีวิต ท่านมีเจตนา ในการบวช
เพื่ออะไรกันแน่
พ่อท่าน : แต่ก่อนนี้อาตมาก็อยู่ในโลกโลกียะ ต้องการมีความสุขเหมือนคนทั้งหลาย
อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เสพโลกีย์ อยากได้อะไรที่ตามใจตัวเอง พอชอบใจ ก็มีความสุข
หลงไปตามโลก จนอายุ ๓๐ ปีกว่าๆ รู้สึกว่า ชีวิตไม่มีสาระ ก็มาปฏิบัติธรรม
บางคนหาว่าอาตมาเป็นคริสต์มาก่อน จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น อาตมาหัดปฏิบัติธรรม
ตามประสา อาตมาเอง คือใช้สัญชาตญาณ อาตมาไม่ได้มีครูบาอาจารย์ ไม่มีสำนัก
ปฏิบัติตาม ภูมิปัญญา ของตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนแบบนี้ ก็ปฏิบัติตาม อาตมาพูดเสมอว่า
อาตมามี ของเดิมอยู่แล้ว จึงปฏิบัติธรรมได้ง่ายและรู้ได้เอง มีคนบอกว่า อาตมาพูดเหมือนกับ
ตัวเอง เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เอง ก็เลยนึกหมั่นไส้ ทั้งๆ ที่อาตมาพูดความจริง
พอเข้าไปฝึกสายธรรมะก็เห็นความจริง เกิดปัญญาความรู้ ทิ้งทางโลก บ้านครอบครัว
ทิ้งทั้งหมด โดยไม่มีปัญหา พอบวชก็ดำเนินการตามที่อาตมาเข้าใจ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
อาตมา ก็เอาแนว ที่เข้าใจ มาสอนต่อ จนกระทั่ง กระแสหลักเห็นว่า อาตมาสอนผิดแนว
พระธรรมปิฎก หาว่าอาตมา ทำพระธรรมวินัย ให้วิปริต ท่านเอง เป็นคนให้ข้อหานี้
แก่อาตมา จนเป็นเรื่อง บานปลาย อาตมาต้องขึ้นศาลอยู่ ๖-๗ ปี
นักข่าว : หลังจากบวชเรียนศึกษาธรรมะด้วยตัวเอง แนวความคิดที่ท่าน
พยายามจุนเจือ ให้กับสังคม ยังคงใช้แนวเดิม ตลอดมาหรือไม่
พ่อท่าน : อาตมายังยึดหลักบุญนิยม พยายามจะบอกว่า
บุญคืออะไร ปฏิบัติตน ให้ลึกซึ้ง ถึงการสร้างสรรบุญอย่างไร พูดง่ายๆ
ในทางโลกบอกว่า บุญคือผู้เสียสละ เพื่อประโยชน์สังคม ซึ่งก็จริง ถ้าทำอย่างฉาบฉวย
ก็ได้ฉาบฉวย ทุกวันนี้ มีคนทำบุญลวงโลกก็เยอะ เพื่อผลประโยชน์ ตอบสนองคืนมา
ทำบุญเชิงโฆษณา เพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ตอบแทนกลับคืนมา ก็ไม่น้อย ตราบใด
ที่กิเลสในจิตใจ ยังมีอยู่ คนพวกนี้ก็จะพยายาม หาทางเอาเปรียบคนอื่น
แม้ให้ ก็ให้แบบมีผลสะท้อน กลับมาให้มากที่สุด เป็นกลวิธีของมนุษยชาติ
ที่ฉลาดในการหา แนวทางเช่นนั้น
อาตมาพามาพิสูจน์ให้เห็น แม้แต่ฆราวาสเองก็สามารถสละได้ ไม่มีทรัพย์ ไม่ต้องสะสม
อาตมาเอาอย่าง พระพุทธเจ้า ให้เห็นว่า มนุษย์ควรกินใช้ร่วม
ในส่วนกลาง สังคมอโศก เป็นสังคมแบบนั้น ทุกอย่างต้องแบ่งกัน ส่วนกลาง เพื่อให้เกิดการปล่อยวาง
เกื้อกูลกันเอง เป็นสังคม พึ่งตนเอง คือ สร้างมาก กินใช้น้อย ต่างจากสังคมโลกีย์
ซึ่งถูกยั่วยุมอมเมา สาระชีวิต ไม่ใช่เป็นเรื่องเพ้อฝัน ฟุ้งเฟ้อ แบบนี้ไม่ถูกต้อง
สังคมของเราอยู่ด้วยกันเหมือนพี่น้อง มีเพื่อน มีญาติ เราเห็นว่า การได้ช่วยเหลือคนอื่น
เป็นสิ่งมีประโยชน์ การเสียสละ ควรมีระบบไม่สะสม ไม่ต้องมีภาระ มันโล่งเบาสบาย
ซึ่งเป็นระบบ ที่พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็ให้คนลองเข้ามาพิสูจน์ ก็เลยเกิดสังคมกลุ่มนี้
อาตมาเรียกว่า นวัตกรรมสังคมชนิดใหม่ คุณไปสืบสาวได้เลยว่า ประวัติศาสตร์
เมื่อ แสนปีที่แล้ว จะไม่มีสังคมแบบนี้ ยูโทเปียก็ไม่เป็นแบบนี้
นักข่าว : นอกจากปฏิบัติธรรมะและทำงานให้ชุมชนแล้ว ท่านมีวิธีหาความรู้อื่นๆ
อย่างไรบ้าง
พ่อท่าน : อาตมาเป็นนักอ่านที่แย่มาก ไม่ค่อยอ่านหนังสือ อาตมามักจะคิดเอง
ให้ความหมายเอง จึงมีคนหาว่า อาตมาไม่อยู่ในหลักเกณฑ์สังคม ยกตัวอย่าง หากมีใคร
ให้ความหมาย ในเรื่องหนึ่งๆ แบบหนึ่ง อาตมาจะให้ความหมายต่างออกไป เขาจึงว่า
อาตมานอกรีต
ทุกวันนี้อาตมายังตามข่าวบ้านข่าวเมือง แต่ในเรื่องแนวลึก ความรู้ตำรา วิชาการ
อาตมา เป็นคนอ่อนด้อย ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่นักเรียนรู้ อาตมาเป็นคนเถื่อนๆ
ลูกทุ่งๆ
นักข่าว : แต่เวลาท่านออกมาแสดงความเห็นทางรายการทีวีหรือวิทยุ ท่านก็สามารถ
วิพากษ์ วิจารณ์สังคม ได้อย่างเฉียบคม ตรงประเด็น จนหลายคนบอกว่า ท่านเป็น
พระนอกรีตที่... ปากจัด?
พ่อท่าน : ก็แล้วแต่ใครจะฟัง เฉียบๆ คมๆ ก็ฟังไป อาตมาก็ว่าไปซื่อๆ
บางคนว่า อาตมาปากจัด อาตมาพูดชัด มากกว่า คือ ปากชัด ไม่ใช่ปากจัด ในเมื่ออาตมาไม่มีเวลามาก
ก็ต้องรีบพูด ให้ชัดเจน มัวแต่เลี้ยวๆ คดๆ ไม่ทันการณ์ เวลานี้ สิ่งที่สังคม
มันหลอกลวง มอมเมา ทั้งมาก ถี่ และเร็ว
นักข่าว : ในฐานะที่ท่านทำงานด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน ท่านมองว่า บทบาทของสื่อเวลานี้
เป็นอย่างไรบ้าง
พ่อท่าน : อาตมาเห็นว่าสื่อน่าจะเป็นองค์กรที่สุจริตใจและจริงใจ
ทำงานเป็น ตัวแทนกลาง ไม่ใช่ได้ประโยชน์จากใคร ส่วนหนึ่งของสื่อที่มีปัญหาเวลานี้
เพราะกิเลสส่วนตัว อาตมา ก็วิพากษ์ วิจารณ์ในฐานะที่เรามีสิทธิมนุษยชน อาตมาไม่ได้วิจารณ์มากมาย
ทำไปบ้าง เพียงเล็กน้อย จริงๆ แล้วอาตมาวิพากษ์วิจารณ์สื่อ น้อยกว่าหลายๆ
คน พอวิจารณ์ไปแล้ว ก็ไม่ได้มีผลสะท้อนอะไร น่าจะมีผลกระเทือนบ้าง คำพูดอาตมา
คงไม่มีน้ำหนัก แก่สังคม น่าจะมีคนเข้าใจ และคิดบ้าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี
แต่ถ้าใครไม่เปลี่ยน ใครจะบังคับได้
นักข่าว : นอกจากภาระหน้าที่เกี่ยวกับชุมชนอโศกแล้ว ท่านยังมีภาระหน้าที่อื่นๆ
เพื่อสังคม อีกหรือไม่
พ่อท่าน : การทำงานเพื่อสังคม อาตมาตัดไม่ขาดหรอก เด็ดดอกไม้สะเทือน
ถึงดวงดาว จักรวาล มีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์
เกี่ยวโยงใกล้ ไกล แค่ไหน ก็ทำตามลำดับ เมื่อก่อนอโศกไม่ได้กว้างขนาดนี้
คนมองว่า อโศกเอาแต่พวกมัน ไม่เลย.... ตอนนั้นเรากำลังฟักตัว สร้างแก่นของเรา
ให้แข็งแรงก่อน ถ้าเราจะช่วยใคร ต้องทำ แก่นของเรา ให้แข็งแรง ไม่เช่นนั้น
จะช่วยใครไม่ได้ จะอุ้มคนอื่น ก็อุ้มไม่ได้ ดังเช่น บทกวี บางตอน ที่อาตมาเขียนไว้
นักข่าว : ท่านเป็นนักแต่งเพลงและกวีมาก่อน ปัจจุบันยังคงแต่งบทกวี ในเชิงธรรมะอีกหรือไม่
พ่อท่าน : อาตมาเป็นกวีเก่าคร่ำครึจนคนรับไม่ไหวแล้ว สนิมขึ้นแล้ว อาตมาบอกไปแล้วว่า
ตอนนี้ ชุมชนอโศก มีแก่นพอควร ประมาณสัก ๑๐-๒๐ เปอร์เซนต์ ยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร
แต่ที่สุดแล้ว ไม่ใช่เรา จะไม่เอื้อให้กับผู้อื่น เราพยายามจะบอกแนวทางของเรา
กับสังคมว่า มาเป็นแบบนี้ดีไหม เราไม่ได้บังคับหรืออ้อนวอน กดดันใคร อาตมาว่าอิสระเสรีภาพ
ก็คือ ความจริง คนเข้ามาด้วยความสมัครใจ ไม่ได้เอากฎหมายมาบังคับ
อโศกมีขีดจำกัด คือ ต้องปลอดบุหรี่ สุรา ที่นี่กินมังสวิรัติ ถ้าคุณมาแล้วไม่ไหว
ก็มีสิทธิเดินออกไป
ต้องมาพิสูจน์เอง ชุมชนเรา เกิดการพัฒนาเรื่อยๆ
นักข่าว : ทุกวันนี้สังคมไทยมีปัญหามากมายจนยากจะแก้ไข ท่านคิดว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
พ่อท่าน : อาตมาว่า มันเกิดจากแกนจิตวิญญาณจริงๆ สังคมโลกียะมอมเมากัน
ไม่หยุดยั้งเลย พวกครีเอทีพ ทั้งหลายแหล่ พยายามหากลุ่มเป้าหมาย ให้มาหลงใหล
ตลอดเวลา แล้วเขาก็ไม่ถือว่า เป็นความทุจริต ไม่ดีไม่งามอะไร เข้าใจว่าสุจริต
ยุติธรรมแล้ว หากกฎหมาย ห้ามไว้แค่นี้ ก็เลี่ยงนิดเลี่ยงหน่อย อย่างพวกค้ายาบ้า
หรือโรงเหล้า ทั้งๆ ที่นำไปสู่ความเสื่อม ก็ยังทำ กรณีการส่งเสริม ให้ผลิตสุรา
โดยเห็นแก่ภาษีนิดๆ หน่อยๆ แล้วมอมเมากัน กลายเป็น ระบบทุนนิยม โปรโมทกันไป
โดยไม่ได้คิดว่า เป็นสิ่งเลวร้าย ต่างจากอิสลาม ที่การดื่มสุรา เป็นข้อห้าม
ที่ชาวอิสลาม ถือปฏิบัติ อย่างชัดเจน ตอนนี้รัฐบาล กำลังจะเอากาสิโน มากอบกู้เศรษฐกิจ
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่ศึกษา หาสัจธรรม และค้นหาผลเสีย ที่มีความซับซ้อน
ผลได้ จากภาษีเหล้า ทำให้คนมอมเมา เสียเวลา และเสียสุขภาพ แล้วแค่มาบอกว่า
เมาไม่ขับ ไม่ใช่แค่นั้น คุณสนับสนุนทำไม แล้วเวลาอวยพรงานต่างๆ ก็เอาสุรามาใช้
ทั้งๆ ที่เราเป็น เมืองพุทธ แต่ศีล ๕ ขั้นพื้นฐานยังไม่มี
นักข่าว : ในความหมายของท่าน....ทุนนิยมเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม ถ้าเป็นเช่นนั้น
เราควรรีบแก้ไข อย่างไร
พ่อท่าน : อาตมาคิดว่า ทุนนิยมเข้ามากินหมดเลยทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง
เพราะทุนนิยม มีหลักว่า ต้องเอาให้มากๆ พอมีความคิดแบบนี้ ก็มีเครือข่าย
และบริวาร ช่วยกันอุดหนุน คนต้องหาวิธี ตั้งอัตรา ให้ตัวเองมากที่สุด นี่คือ
แนวคิดทุนนิยม เมื่อทุกคนมีความรู้ ความเห็นว่า นี่แหละคือ ความสุจริตยุติธรรม
ต่างแสวงหาความรู้ ความสามารถ เพื่อใช้ความรู้ ใช้ปลาใหญ่ งาบปลาเล็ก เอาเปรียบทุกอย่าง
บางครั้ง เขารู้โดยสามัญสำนึก เหมือนกัน คือ เกื้อกูลคนอื่นบ้าง แต่จะทำในลักษณะ
อ่อยเหยื่อ วิธีการทางโลก จะไม่ใช่ลักษณะ มีมากๆ ทำมากๆ แล้วเอาไว้น้อยๆ
แต่ทุนนิยมนั้น มีน้อยๆ แต่ไปอ่อยมาให้ได้มากๆ จึงกลับกันคนละขั้ว
ถ้านักการเมืองมาเป็นฝ่ายบุญนิยมเสียสละและสร้างสรรจริงๆ ก็จะดี อาตมาพยายาม
สอนให้ลดความโลภ โกรธ หลง และช่วยเหลือประชาชนจริงๆ ต้องสร้างระบบ เพื่อให้เกิด
ความสุจริตใจ อาตมาบอกว่า ประชาธิปไตยก็คือ เพื่อประชาชน โดยประชาชน
คนจะทำงาน การเมือง ไม่ใช่เอาแต่ประโยชน์ คนที่รับอาสา เข้ามาทำงาน นั่นหมายความว่า
คุณต้องพึ่ง ตัวเองได้แล้ว
นักข่าว : ท่านกำลังบอกว่า สังคมไทยเป็นพุทธแต่เพียงเปลือกนอก แล้วท่าน
มีข้อแนะนำ อย่างไร
พ่อท่าน : แน่นอนเราเป็นพุทธแต่เปลือก เปลือกก็ไม่มีด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม
ก่อนจะมีเปลือก ต้องมีกิ่งก้านก่อน ถ้าไปหลงกิ่งก้านข้างนอก กว่าจะเข้าถึงเปลือก
จนถึงแก่น และเข้าถึงปัญญา สมาธิ ก็ไม่ง่าย แต่ทุกวันนี้ เราไปหลงกิ่งก้าน
โลกอบายมุข คนส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักศีลเลย สมาธิ ไม่ต้องพูดถึง ถ้าจะเข้าไปถึงเปลือก
ถึงปัญญาถึงแก่น เรื่องแบบนี้ ไม่ได้เรียนกันเลย นี่คือ คุณประโยชน์ จากศาสนา
ทุกวันนี้ อยากถามว่า มีศีล ๕ ครบกันกี่คน อาตมาขอยืนยันว่า ชาวอโศก แม้กระทั่งเด็ก
ยังมีศีล ๕ ครบ ที่นี่มีศีลจริงๆ แล้วเอาศีลเป็นแก่นชีวิต
นักข่าว : แม้ชุมชนอโศกจะตั้งมานานหลายสิบปี แต่ก็ยังมีความแปลกแยกกับสังคม
ท่านพอ จะวิเคราะห์ ได้ไหมว่า มีสาเหตุจากอะไร
พ่อท่าน : ใช่ แปลกแยกจากสังคม แตกต่างจากสังคม แต่ไม่ได้แตกแยก ทะเลาะ
วิวาทกับ สังคม ที่อาตมายืนยันว่า ชาวอโศกไม่ได้ทำร้ายสังคม เพราะชาวอโศก
ถูกสอนให้ มักน้อย สันโดษ และสร้างสรรสังคม เกื้อกูลไม่กอบโกย และ ไม่สะสมความรวย
อาตมาคิดว่า ความใฝ่ฝัน ที่จะร่ำรวย เป็นความผิดของมนุษย์ พระพุทธเจ้า พาเรามาจน
ไม่เคยพามารวย
นักข่าว : ถ้ามีคนแย้งว่า แนวคิดแบบชุมชนอโศก อาจทำไม่ได้จริง ในสังคมขนาดใหญ่
เพราะทุกคน ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ท่านจะให้ความชัดเจนเรื่องนี้อย่างไร
พ่อท่าน : อาตมามีลูกเป็นพันๆ เลี้ยงสบายๆอย่างง่ายๆ เกื้อกูลกัน
พี่เลี้ยงน้อง พวกเขาช่วยกัน ดูแลปู่ย่า ตายาย แก่ๆ จนถึงที่สุด เราช่วยกัน
ตลอดเวลา
นักข่าว : สังขารมนุษย์เป็นสิ่งไม่เที่ยง ดังนั้นท่านได้วางแนวทางชุมชนในอนาคตไว้อย่างไร
พ่อท่าน : อย่ามายึดตัวบุคคลเป็นอันขาด ถึงอาตมาจะตายในวันนี้ ก็ไม่มีปัญหา
เพราะพวกเขา มีหลักเกณฑ์ จารีตประเพณี มีวัฒนธรรมเป็นระเบียบหมดแล้ว จะมีคนสืบทอด
เป็นระดับ ไม่ใช่ มายึดอาตมาเป็นหลัก
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ยึดตัวเรา ไม่ให้ยึดมั่น
ถือมั่น ไม่ต้องวางแผนอะไร ไม่ต้องเขียน พินัยกรรม ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
ก็จะมีคนดูแล ตามส่วนต่างๆ ทุกอย่าง อาตมา ไม่ใช่คนวาง เป็นการช่วยกันคิด
ช่วยกันทำ แล้วมันจะเกิดแขนง สาขาออกไป ถ้าอะไร งอกมาใหม่ เราก็จะบำรุง เราช่วยกัน
ประชุมกันมาก แบ่งความรับผิดชอบกันไป โดยมีเป้าหมาย อยู่ที่บุญนิยม อาตมาไม่ใช่คนวางระบบ
อาตมาไม่ใช่นักวางแผน อาตมาเป็นคนไร้แผน
ไม่มีโครงสร้าง แต่อาตมา มีปัญญาพอสมควร ที่จะดูว่า ถ้าอาตมาเดินไปขนาดนี้
ก็จะรู้ว่าก้าวข้างหน้ามีรังสีหรือรัศมีออกไปขนาดไหน อาตมาไม่จำเป็น ต้องคิดโครงการ
๕ ปี หรือ ๑๐ ปีข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องฝันเฟื่อง ไม่ใช่ทำสำเร็จ แล้วโก้หรู
เราทำตามความเป็นจริง ตามลำดับ โดยที่เราไม่ต้องวางแผน หรือคาดเดาอะไร
นักข่าว : แล้วท่านหาผู้สืบทอดรับมรดกทางธรรม เพื่อดูแลชุมชนอโศก
ต่อจากท่าน ไว้บ้างหรือยัง
พ่อท่าน : ไม่ต้องหา พวกเขามาเอง หลักวิธีของพระพุทธเจ้า ท่านมีความรอบรู้มากมาย
อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ ประพฤติอย่างท่าน เหมือนกัน ก็เท่าที่เห็นเท่าที่รู้นั่นแหละ
อย่างพระพุทธเจ้า ท่านมีดีพร้อมหมด ใครจะได้ขนาดพระพุทธเจ้า ไม่ง่ายเลย ทำอย่างไร
ให้สังคม เป็นอย่างพระพุทธเจ้า
นักข่าว : มีผู้คนเข้ามาหาท่านมากมายหลายแบบ ท่านมีวิธีการดึงผู้คน
เข้ามาช่วยเหลือ กิจกรรม ทางสังคมอย่างไร
พ่อท่าน : อาตมาอยู่ในฐานะนักบริหาร ดูแลนโยบายและเป็นที่ปรึกษา แม้กระทั่งเรื่องใหม่
ที่จะเกิดขึ้น ในชุมชน มีใช้หลักการบริหารคล้ายๆ กัน อาตมาก็เสริมหนุน คนที่มีศักยภาพ
ในการทำงาน ร่วมกัน ตามลำดับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่า พออาตมาตายลง งานจะไม่ต่อเนื่อง
อาตมาคิดว่า สิ่งสำคัญของศาสนาพุทธคือ โลกุตระ แต่ทุกวันนี้ มันไม่ได้โลกุตระแล้ว
มันเป็นเทวนิยม อาตมา กำลังจะกระจาย ความหมาย กำลังจะบอกกับสังคม ให้ชัดเจน
เพราะ ทุกวันนี้ มันไม่มีพุทธ กลายเป็นแค่ ศาสนากัลยาณธรรม
แสวงหาความดีเท่านั้น แต่ยังไม่เข้าขั้น โลกุตรธรรม ทั้งๆที่พุทธเป็น อเทวนิยม
อาตมากำลังพยาม จะอธิบายเรื่องนี้
นักข่าว : ท่านพออธิบายได้ไหมว่า ทำไมแนวโน้มของพุทธศาสนาในเมืองไทย
จึงมีทิศทาง ไปสู่ความเป็นเทวนิยม
พ่อท่าน : ต้องย้อนไปสักนิด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา รอบตัวท่านมีแต่เทวนิยมทั้งนั้น
บางลัทธิ ก็มีพระเจ้าองค์เดียว บางลัทธิมีพระเจ้าหลายองค์ เหมือนคริสต์ อิสลาม
มีพระเจ้าองค์เดียว สรุปแล้ว เป็นลัทธิ เทวนิยมทั้งนั้น นอกนั้น จะมีลัทธิประเภทที่ว่า
ไม่สนใจเหตุผล ไม่มีปัจจัยอะไร มันจะเป็น ก็เป็นของมันเอง ไม่มีบาปไม่มีบุญ
พวกนี้ จะมีคนยอมรับน้อย แต่ลัทธิที่มีพระเจ้า จะมีคนยอมรับมาก
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาท่ามกลางศาสนาเทวนิยม พอท่านอุบัติขึ้นมา ประกาศว่า
เป็นลัทธิ อเทวนิยม จึงทำให้ท่าน ลำบากลำบน ในการสร้างศาสนาขึ้นมา ท่ามกลางดงเทวนิยม
อยากให้เห็นว่า ศาสนาไม่ใช่พลังพิเศษ ในการบันดาลสิ่งต่างๆ คือ ไม่มีพระเจ้า
ไม่มีลัทธิ ที่มีพระเจ้า นิรันดร แล้วลัทธิที่มีเจ้ากรรมนายเวร พวกมีพลังงานพิเศษ
เป็นเทวนิยมทั้งสิ้น เราไม่ต้องเข้าใจ จิตวิญญาณ พลังพิเศษ แบบพระเจ้า ไม่ต้องไปอ้อนวอน
ร้องขอ
ศาสนาพุทธจะสอนในเรื่องกรรม คือ ใครทำดี ดีนั้นเป็นของตน
ตนต้องเป็นทายาท ของกรรม ที่พาเรามาเกิด ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า กรรมเป็นเผ่าพันธุ์
ยิ่งกว่าดีเอ็นเอ ลึกซึ้งกว่านั้นอีก ที่พึ่งยิ่งใหญ่ คือกรรม ไม่ใช่พระเจ้า
นี่คืออเทวนิยม ในมหาศีล จะบอกไว้หมดเลยว่า จุดธูป จุดเทียน จุดไฟ พวกนี้ไม่มีในศาสนาพุทธ
แล้วในเมืองไทย มีวัดไหนบ้าง ไม่มีการจุดธูป จุดเทียน รดน้ำมนต์ ไม่มีหรอก
ในยุคดั้งเดิม พวกเทวนิยม ใช้พวกนี้ พระพุทธเจ้า จึงตราไว้ว่า พุทธเป็น อเทวนิยม
ลองไปดู ในพระไตรปิฎก เรื่องแบบนี้ มีให้เห็นชัดเจน แต่เดี๋ยวนี้ เมืองไทย
ไม่ใช่พุทธแล้ว เป็นเทวนิยม เกือบหมด อาตมาอยากจะกู้กลับ ศาสนาพุทธ
นักข่าว : ท่านศึกษาธรรมะในพุทธศาสนามานานกว่า ๓๐ ปี แล้วได้ค้นพบ
แก่นความลึกซึ้ง เพียงใด
พ่อท่าน : อาตมาไม่ได้ศึกษาธรรมะในชาตินี้ แต่ทำงานธรรมะทางศาสนา
ในชาตินี้ อาตมา เคยศึกษาธรรมะ มาแต่ชาติปางก่อน อาตมาขอพูดเช่นนี้ ใครจะว่า
อาตมาบ้าๆ บอๆ ก็ตาม อาตมาก็รับ ชาตินี้อาตมา ไม่ได้ศึกษาธรรมะ
จากใครจากที่ไหนเลย อาตมาเชื่อว่า ธรรมะนี้ เป็นของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นโพธิสัตว์
เอาธรรมะพระพุทธเจ้า มาเผยแพร่ขยาย และทำงาน
อาตมาเป็นนักอ่าน ที่เลวมาก อาตมาไม่ได้อ่าน พระไตรปิฎกมาก่อน เขาถึงว่า
อาตมานอกรีต อาตมาพูด ภาษาของตัวเอง ถึงไปกันใหญ่ พอเอาพระไตรปิฎก มาตรวจสอบ
ก็เหมือนที่ อาตมาค้นพบ ด้วยตัวเอง ข้อเขียนจึงอ้างพระไตรปิฎก พระบาลีไว้เยอะ
เพื่อให้คนอ่าน ตรวจสอบง่ายๆ อาตมาไม่ได้ออกนอก พระไตรปิฎกเลย
นักข่าว : ทำไมท่านถึงยืนยันมั่นใจว่า การศึกษาพระไตรปิฎกของท่าน
มีมาแต่ชาติปางก่อน ส่วนชาตินี้ มาอ่านตามทีหลัง
พ่อท่าน : อาตมายืนยันว่า ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกในชาตินี้ อาตมาเป็นคนอ่อนด้อย
ไม่เจริญ ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่นักการศึกษา ด้อย และอ่อนเยาว์มาก ชาตินี้เป็นลักษณะ
การตรวจสอบ พระไตรปิฎก พอตรวจสอบแล้ว ก็ได้เห็นจริง
อาตมาไม่ได้โมเม ไม่ได้เดา หรือ บังเอิญ พอตรวจสอบแล้ว ตรงมากๆ ก็น่าจะยอมอาตมาบ้าง
(หัวเราะ)
นักข่าว : แล้วที่ท่านทำตัวเหมือนศาสดา หรือพยายามจะบอกใครๆ ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์
ท่านจะอธิบายส่วนนี้อย่างไร
พ่อท่าน : คนที่พูดว่า อาตมาทำตัวเหมือนศาสดา เป็นคนที่แดกดันอาตมา
เพราะอาตมา ประกาศ ตลอดเวลาว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นคนทำงาน ไม่ใช่ศาสดา
อาตมาเป็นผู้สืบทอด อาตมารู้ว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ อันนี้บอกไม่ได้เป็นอจินไตย
(พ้นไปจากความคิด) แต่ยืนยันว่า ลองตามพิสูจน์อาตมาก็แล้วกัน อาตมาบอกว่า
เป็นโพธิสัตว์ ถึงจะพูดเล่น หรืออะไรก็ตาม แต่อาตมายืนยัน
นักข่าว : อยากให้ท่านตีความคำว่า โพธิสัตว์ ให้ชัดเจนกว่านี้
พ่อท่าน : ฝ่ายเถรวาทเข้าใจโพธิสัตว์ยังไม่ถูกต้อง เพราะพวกเขา ไม่มีระบบโพธิสัตว์
คำว่าโพธิสัตว์ อาตมา ขอแปลให้ดูเดือดๆ ใจนิดหน่อยก็แล้วกัน อาตมาแปลว่า
สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ก็คือคนที่ไม่มีคุณธรรม ไม่มีสาระของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ปรารถนา
อยากจะเป็น พระพุทธเจ้า เท่านั้น แต่ยังไม่มีอาริยธรรม ของศาสนาพุทธเลย เพราะไม่มีสิทธิ
เขาว่าอย่างนั้น คือ เป็นโพธิสัตว์ ยังไม่มีสิทธิ จะเป็นอาริยะ (บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ
จริงๆ แล้วเลิศกว่ามนุษย์ ไม่ใช่เลิศ เพราะอิทธิฤทธิ์ แต่หมายถึง คุณธรรม)
การตายของเทวนิยมจะเป็นลักษณะร่างกายแตก วิญญาณออกไปเกิด ใครจะอยู่ภพใหม่
ก็ต่อเมื่อร่างกาย ตายแล้วไป เกิดใหม่ แต่พระพุทธเจ้า สอนแบบอเทวนิยม ไม่ใช่การตายแบบนั้น
อาตมาได้มาจากพระไตรปิฎก ไม่ว่ามนุษย์จะเกิดเป็นอะไร ต้องดูที่จิตวิญญาณ
เรื่องเหล่านี้ มีคำอธิบายในพระไตรปิฎก แต่เราไม่เข้าใจกัน แล้วไปพูดเป็นอิทธิปาฏิหาริย์
ทั้งๆที่ พระพุทธเจ้า บอกว่า ให้ลด ให้ละ ให้เลิก
ต้องรู้ลักษณะจริง เพราะฉะนั้น ความเป็นไปแบบ อเทวนิยม เกิดที่จิตวิญญาณ
ไม่ใช่การตาย ทางร่างกายแล้วไปเกิด
นักข่าว : ท่านกำลังบอกว่า แม้กระทั่งคำว่าโพธิสัตว์ ยังเป็นการตีความที่ผิดใช่หรือไม่
พ่อท่าน : ใช่...เป็นการตีความแบบเทวนิยม อาตมาเมื่อยที่ต้องแก้กลับตรงนี้
อาตมา ต้องใช้เวลา วันละหลายชั่วโมง เพื่อเขียนเรื่องเหล่านี้ หากอาตมาตายไปแล้ว
จะมีคนเก็บ รวบรวมเอกสาร พวกนี้ไว้ ในอนาคต อาตมาไม่ได้สงสัยหรอก ถ้าคุณไม่เชื่อ
อยู่ให้ถึง ๕๐๐ ปี แล้วคุณ จะรู้ว่า ข้อเขียนอาตมา ที่นำมาเรียบเรียง มีประโยชน์
เพราะที่สอนๆ กันมา เป็นเทวนิยมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นอเทวนิยม
นักข่าว : ความอยากที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า เป็นกิเลสมิใช่หรือ
พ่อท่าน : เป็นวิภวตัณหา เป็นกิเลสชั้นสูง คำนี้คนไม่ค่อยเข้าใจ ศาสนาพุทธ
เดี๋ยวนี้ ก็ไม่เข้าใจคำนี้ วิภวตัณหา เป็นความต้องการ ที่เป็นอุดมการณ์
ตั้งใจไปสู่ภพ แห่งคุณงาม ความดี เป็นตัณหา ที่ต้องรู้ตัณหา ทางโลกสามัญ
และ ตัณหาทาง จิตวิญญาณ
ถ้าอธิบายอย่างเทวนิยมก็จะตื้นเขินเป็นแค่เรื่องวัตถุนิยมถ้าไม่เข้าใจกามตัณหา
หรือภวตัณหา (อาการของกิเลส มันทำงาน มีความต้องการอยู่ภายใน) คุณจะไม่เข้าใจ
วิภวตัณหาเลย เพราะวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ล้มล้าง กามตัณหา แล้วคุณคิดว่า
พระพุทธเจ้า อยากสร้าง ศาสนา เป็นตัณหาหรือไม่ คุณคิดว่าเป็นไหม
นักข่าว : ทำไมท่านถึงมองว่า พุทธศาสนากำลังเดินมาถึงจุดเสื่อม
พ่อท่าน : ศาสนาพุทธในเมืองไทยเสื่อมมากแล้ว ผู้ที่ศึกษาศาสนาพุทธทุกวันนี้
เอาความรู้ ทางศาสนา ไปเป็นเครื่องมือ หาลาภยศ สรรเสริญ ให้กับตัวเอง ไม่ได้เป็นโลกุตรธรรมเลย
น่าอายไหม เอาธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มาแลกเงิน ทุกวันนี้ พระในศาสนา กอบโกย
เมื่อพระพวกนี้ ทำบุญสิบล้าน ยี่สิบล้าน ก็ได้เครื่องราชฯ
นักข่าว : เวลาเทศน์ให้คนในชุมชนฟัง ท่านมักจะบอกว่ามนุษยโลก ไม่ควรมีครอบครัว
มีลูกหลาน สืบต่อไป ท่านจะขยายความคิดเรื่องนี้อย่างไร
พ่อท่าน : พระพุทธเจ้ามีครอบครัวไหม แต่งงาน แต่ท่านเลิกในที่สุด
ธรรมะของ พระพุทธเจ้า เหนือธรรมชาติ เอาง่ายๆพระพุทธเจ้า สอนเรื่องกาม อย่างไร
ท่านสอนให้ลดกาม จนกระทั่ง ไม่มีกาม.....ใช่ไหม
กามเป็นเรื่องของสัตวโลกทั้งหมดต้องมีการสืบพันธุ์ ในระดับศีล ๘ ต้องมีคู่ไหม
สุดท้าย ล้างกามให้หมด เหลือธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าใจว่าศาสนาพุทธ
ก็คือ ธรรมชาติ นี่แหละ สอนมาผิด
ศาสนาพุทธต้องรู้จักธรรมชาติ แล้วอยู่เหนือธรรมชาติ
ถ้าผู้ใดอยู่เหนือธรรมชาติเลย ก็คือ ผู้มีนิพพาน ไม่ต้องเกิดอีก ธรรมชาติคือการเกิด
ตั้งอยู่ ดับไป ศาสนาพุทธนั้น พยายามจะหยุด การเวียนว่ายตายเกิด นี่คือสุดยอด
ของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้น เข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธ คือธรรมชาติ
นักข่าว : แล้วทำไมคำสอนของท่านขัดแย้งกับคำสอนบางส่วนของ ท่านพุทธทาสภิกขุ
ท่านจะอธิบาย ธรรมข้อนี้อย่างไร
พ่อท่าน : แน่นอน มีคนหาว่าอาตมาด่าท่านพุทธทาส
อาตมาเคารพ ท่านพุทธทาส เพราะท่าน นำส่วนที่ดี นำโลกุตรธรรม
มาอธิบายให้กระจ่างชัด นำหลายๆอย่าง มาอธิบาย ปูพื้นฐาน ธรรมะไว้ดีมาก
แต่ท่านยังติดว่า "ธรรมะ" คือ
"ธรรมชาติ"
นักข่าว : แต่ละวัน ท่านแบ่งเวลาในการปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง
พ่อท่าน : อาตมาไม่ต้องปฏิบัติธรรมอะไรแล้ว อาตมาทำงาน ถ้าอาตมาบอกว่า
บรรลุธรรมแล้ว คงไม่เชื่อกัน หาว่าอวด อาตมาบอกว่า มีจริงจึงอวดได้ ในพระไตรปิฎก
มีหลักฐานว่าอวดได้ พระธรรมปิฎก ยืนยันว่า พูดไม่ได้ ผู้ใดพูดว่า บรรลุธรรม
ผู้นั้นคือ ผู้ไม่รู้ ผู้ใดอวดว่า บรรลุธรรม คือ ไม่บรรลุธรรม เป็นไปได้ยังไง
เพราะพระพุทธเจ้า ก็อวดพระสาวก
นักข่าว : กล่าวเช่นนี้ ท่านกำลังจะบอกว่า สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตอนนี้บรรลุธรรมแล้ว
ใช่หรือไม่
พ่อท่าน : ใช่สิ ก็พิสูจน์ได้ มีคนตามมาพิสูจน์และจับผิดทั้งนั้น
มาจับผิดได้ อาตมาไม่มีปัญหา ไม่ต้องการบริวาร ไม่ต้องการอะไร
ที่ทำงานทุกวันนี้ เพราะกตัญญูต่อศาสนาพุทธ อาตมาไม่มีสิทธิ ขอร้องให้ใครเข้าใจ
แต่อาตมามีสิทธิ ที่จะเปิดเผยความจริง ส่วนใคร จะเข้าใจ หรือเชื่อถือหรือไม่
บังคับไม่ได้
ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้จากโอวาทพ่อท่านกล่าวปิดประชุมชุมชนราชธานีอโศก
๕ ส.ค. ๔๕
"จิตวิญญาณเปลี่ยนได้
ด้วยการให้เกิดและให้ตาย กิเลสบงการจิตคนมานานแล้ว
ถ้าฆ่ากิเลสให้มันตายได้ตัวหนึ่งตัวใด กิเลสตัวอื่นๆก็ฆ่ามันให้ตายได้
มีลักษณะคล้ายๆกัน จิตจะเกิดสู่ภูมิสูงได้
เพราะการฆ่ากิเลสให้ตายลงอย่างถูกตัวถูกตนจริง
ขอให้เข้าใจให้ได้จริงว่า สักกายะคืออะไร อัตตาคืออะไร อาสวะคืออะไร
ฆ่ามันให้เหลือน้อยลงๆ ได้ เรื่องจริง เรื่องแท้ ศาสนาอื่นไม่สามารถเข้าถึงได้....."
-
อนุจร (๘ ต.ค.๔๕) -
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๕ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕)
|