- ฟากฝั่งฝัน
นาวาอโศกตระกูล -
เรียนรู้ชีวิต
ความรู้น้อยด้อยการศึกษา ดิฉันจึงต้องใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา
โดยเฉพาะศึกษาธรรมะ เพื่อให้ชีวิต ของดิฉัน ทุกข์น้อยลง ซึ่งความคิดของดิฉันคิดว่า
ทำงานไปสักระยะ เก็บเงินเก็บทอง แล้วไปบวชชี ในบั้นปลายของชีวิต
อนิจจัง! ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนบนโลกใบนี้
มีรุ่นน้องในที่ทำงานแนะนำว่า ดีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จะลองไปศึกษาดูก่อนไหม? ด้วยความที่เป็นคนใฝ่ศึกษาทางธรรมะอยู่แล้ว
จึงไปตามคำบอกเล่า ของรุ่นน้อง
ดิฉันมาที่สันติอโศกในวันอาทิตย์
ได้ฟังเทศน์จากท่านสิริจันโท ด้วยความศรัทธา
ในพระพุทธศาสนา อยู่แล้ว เมื่อได้มาฟังธรรมดิฉันก็ตัดสินใจกลับไปปฏิบัติทันที
กินอาหารมังสวิรัติมื้อเดียว ทั้งที่ยังไม่รู้จัก อาหารมังสวิรัติ
เท่าที่ควร แม้จะยังทำอาหารมังสวิรัติไม่เป็น กินยังไงก็ไม่อร่อย แต่ดิฉัน
ไม่อยาก ทำบาปอีกแล้ว ไม่อยากเบียดเบียนชีวิต เพื่อนร่วมโลกอีกแล้ว........
เริ่มต้นปฏิบัติก็ล้มๆ ลุกๆ เรื่องมื้ออาหาร
แต่เรื่องที่จะย้อนกลับไปกินเนื้อเพื่อน ชีวิตเพื่อนร่วมโลกนั้น ไม่มี จวบจนกระทั่งถึงงานปลุกเสกพระแท้ๆ
ของพุทธ ปีพ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ศรีสะเกษ พอกลับจาก งานปลุกเสกฯ ดิฉันก็กินอาหารมื้อเดียวได้บริสุทธิ์
และศึกษาอ่านหนังสือ ของชาวอโศก ทุกเล่ม เพื่อย้ำความศรัทธา ให้มากให้ยิ่ง
โดยเฉพาะหนังสือ "เจริญชีพด้วยการก้าว" ดิฉันอ่านแล้วก็อ่านอีก
เพราะมันชัดเจนมากๆ ในเส้นทาง ของการปฏิบัติ เพื่อการหลุดพ้นในวัฏฏสงสาร
ชีวิตลูกจ้างอย่างดิฉัน ตื่นมาก็ต้องใส่บาตร
บางทีบางครั้งเถ้าแก่ ก็มาร่วมใส่บาตรกับดิฉันด้วย ทำให้ดิฉัน สามารถตัดสินใจ
ลาออกจากการทำงานได้ กล้าบอกเถ้าแก่ว่า "ขอลาออกนะ" เถ้าแก่ถามว่า
"จะไปทำอะไร?" "จะไปอยู่วัด...."
แต่ก็ไม่ได้เข้ามาอยู่วัดทันที ดิฉันไปช่วยขาย อาหารมังสวิรัติ กับน้าคำปล้องก่อน
จนเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๗ ได้มีโครงการชุมชนปฐมอโศกขึ้น
โครงการนี้จะสร้างชุมชนคนมีศีล ดิฉัน จึงหาสมาชิก เพื่อไปปลูกบ้าน ในโครงการนี้
บ้านหลังแรก ในโครงการนี้คือ บ้านพลตรีจำลอง ศรีเมือง
ส่วนบ้านดิฉัน เป็นหลังที่ ๕ หรือหลังที่ ๖ นี่แหละ
ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ที่ท่านมีเมตตาให้มีชุมชนคนมีศีล อยู่ใกล้ พุทธสถาน ทำให้ดิฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น
คือเมื่อสมัยก่อนดิฉันเป็นคนใจร้อน เจ้าอารมณ์ แต่พอได้มาปฏิบัติ ตามแนวทางนี้
และได้มาอยู่ใกล้สมณะ สิกขมาตุ มาอยู่กับคนที่ มาปฏิบัติธรรม ด้วยกัน ทำให้ดิฉัน
ลดความโกรธลงได้มาก ได้รู้จักอดทนอดกลั้น ไม่เอาแต่อารมณ์ตัวเอง เป็นที่ตั้ง
จากอาการที่ป่วยบ่อย พอมาอยู่วัด มาฝึกเรื่องกินอาหาร
ทำให้สุขภาพดิฉันดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ซึ่งอาการปวดหัว สมัยก่อนก็ลดลง ดิฉันเป็นคนที่ไม่ยอมใคร
ถ้าใครมาว่าดิฉันผิดทั้งๆที่ไม่ผิด จะไม่ยอม อาการไม่ยอมก็ออกมาทางร่างกายคือ
ปวดหัวตัวร้อน นั่นแหละคือตัววางไม่เป็น วางไม่ลง โถ.... เขาว่าถ้าไม่เป็นอย่างที่เขาว่า
เฉยๆ ซะก็สิ้นเรื่อง แต่กว่าจะเฉยได้ ดิฉันใช้เวลาฝึกฝน เป็นสิบกว่าปี จนปัจจุบันนี้
ดิฉันก็สามารถเฉยๆ ได้แล้ว เพราะจำคำสอน ของพ่อท่านที่ว่า
"คนเขาว่า มันไม่เจ็บหรอก เขาไม่ได้มาตีหัวเราซะหน่อย"
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ประมาณ
๒๐ กว่าปี ที่ดิฉันได้มาปฏิบัติกับมิตรดีสหายดี สิ่งแวดล้อมดี ซึ่งเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น
ของพรหมจรรย์ แต่การเรียนรู้ชีวิต ยังคงต้องเรียนต่อไป แม้ว่าดิฉัน จะอายุ
มากแล้ว เป็นคนแก่ เป็นป้าเป็นยายแล้วก็ตาม อยู่ที่ไหนๆก็ต้องมีผัสสะเสมอ
ดิฉันก็ต้องท่อง "อภัย... อภัย.... อภัย.... เขาจะว่าไม่จริงก็อภัย
เขาว่าเรามาจริงถูกต้อง ก็รับฟัง และปรับปรุง แก้ไขตัวเอง
สิ่งที่ดิฉันได้กับตัวเองนอกจากเรื่องการตามจิตตามอารมณ์ของตัวเองแล้ว
ดิฉันยังได้ทำงานต่างๆ เพื่อผู้อื่น งานส่วนรวมทุกอย่างของชุมชน เพราะการทำงานนี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
ตามมรรคมีองค์ ๘ ผัสสะต่างๆ ย่อมเกิดขึ้น จากการทำงาน
คนไม่ทำงานก็คือคนที่ไร้ค่า ดิฉันไม่อยากเป็น คนไร้คุณค่า ถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
ดิฉันก็ทำงาน......
ชีวิต....ชีวิตดิฉันจะพอใจอยู่เพียงเท่านี้กระนั้นหรือ?
คำถามที่ดิฉันถามกับตัวเอง การศึกษา เราเป็นคน เรียนรู้มาน้อย จะพัฒนาตัวเองดีไหม?
เมื่อถามตัวเองบ่อยๆ คำตอบที่ได้ จึงสมัครเป็น นิสิตม.วช.
(สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต) วิชชาเขตปฐมอโศก
เพื่ออะไร? เพื่อพัฒนา และ ปรับปรุง ตัวดิฉันเอง เพื่อเขียนบันทึก สภาพจิตใจของตัวเองทุกวัน
เพื่อเคี่ยวเข็ญตัวเอง ให้มากขึ้น เพราะอยู่วัดนาน อาการแก่วัด มันจะมาเกาะกุมจิตใจ
ให้ดื้อด้านกับการทำกิจวัตร
ก่อนจะสมัครดิฉันก็หวั่นว่า พ่อท่านจะรับไหม
เพราะความรู้เรามันน้อย แต่ด้วยความเมตตา ของโพธิสัตว์ ดิฉันจึงได้มีโอกาสเป็น
นิสิตม.วช. ด้วยปรัชญาการศึกษาที่ว่า ศีลเด่น-เป็นงาน-ชาญวิชา
เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ แม้จะไม่มีบุญที่จะบวชได้
แต่ดิฉันก็ภูมิใจแล้วในค่อนชีวิตที่ผ่านมา
มีความมั่นคง ในการกินมังสวิรัติ ไม่เบียดเบียนชีวิต เพื่อนร่วมโลก ที่เป็นพี่เป็นน้องกัน
ดั่งคำตรัส
ของพระพุทธเจ้า "เราทั้งผองพี่น้องกัน"
บนเส้นทางสายนี้ สายแห่งความอดทน ทั้งเคี่ยวเข็ญตัวเองและต้องทำงานเพื่อผู้อื่น
จึงเป็นเส้นทาง ที่ทรหด อดทน ทนให้ได้ทุกสภาพ ดิฉันเป็นนิสิตแรกแย้มฝาโลงแล้ว
อายุปาเข้าไปกว่า ๖๐ ปีแล้ว จึงต้องอดทน เพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่เอาความแก่มาเป็นตัวกั้นความเจริญของตัวเอง
ปี ๒๕๔๖ นี้ ดิฉันจะพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น
จะพยายามไม่ติดแป้นติดฐาน ที่เราได้แล้ว เพราะดีกว่านี้ สูงกว่านี้ยังมีอีก
ดิฉันจะไม่ประมาทในชีวิต เพราะชีวิตนี้ดิฉันเลือกเอง
เส้นทางสาย ทรหดอดทน กับการขัดเกลา กิเลสนี้ ดิฉันก็เลือกเองเช่นกัน
น.ส.ใจใส
ชาวหินฟ้า
นิสิต ม.วช.ปฐมอโศก
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๕ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕)
|