หน้าแรก >สารอโศก

กว่าจะถึงอรหันต์ โดย...ณวมพุทธ

อิจฉาริษยาตาร้อน
ซ้ำซ้อนวาจาว่าร้าย
ไล่อรหันต์ไม่ละอาย

บาปอบายหลายชาติใช้คืน

พระชัมพุกเถระ

อดีตชาติของพระชัมพุกเถระนี้ เคยสั่งสมบุญญาธิการเอาไว้แล้ว ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ โดยมีใจศรัทธายิ่งนักในพระสัมมาสัมโพธิญาณ(ความรู้ที่รู้แจ้งถูกจริงได้ด้วยตัวเอง)ของพระพุทธเจ้า ได้บูชา โพธิพฤกษ์ (ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับใต้ร่มเงาในคราวตรัสรู้) สร้างธรรมาสน์ (ที่นั่งแสดงธรรม) ถวาย พร้อมด้วยพัดทองสำหรับพัดวีแด่พระองค์

บุญกุศลเหล่านั้นทำให้ได้ไปสู่ทางสุคติ(ทางดำเนินที่ดี)......จนกระทั่งได้ไปเกิดเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ในสมัยของ พระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ ก็ด้วยศรัทธาที่มีอยู่ จึงได้ออกบวชในพระศาสนานี้ โดยมี อุบาสกคนหนึ่งเคารพศรัทธาท่านอย่างแรงกล้า ถึงกับสร้างอารามถวายแก่ท่าน

แต่มีอยู่วันหนึ่ง ปรากฏพระขีณาสพ(พระอรหันต์)องค์หนึ่ง ครองจีวรเก่าๆ ปอนๆ ออกมาจากป่า อุบาสกนั้น ได้พบเห็นเข้าแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใส ในอิริยาบถ และความมักน้อยสันโดษของท่าน จึงนิมนต์ ให้พระขีณาสพ พักอยู่ที่อาราม แล้วถวายโภชนะอันประณีต ถวายจีวรเนื้อดีด้วยความศรัทธายิ่ง

พอท่านเห็นอุบาสกที่เป็นอุปัฏฐาก(ผู้อุปถัมภ์) ไปเคารพบูชาในพระขีณาสพ ก็บังเกิดจิตอิจฉาริษยา มีความตระหนี่ขึ้นมา ถึงกับขาดสติกล่าววาจาใส่ร้ายจาบจ้วงพระขีณาสพว่า
"ท่านทำตัวมักน้อย สันโดษอยู่ในป่า พฤติกรรมเยี่ยงพวกอเจลก (ชีเปลือย) ที่ไม่นุ่งผ้าซึ่งมีคูถ (อุจจาระ) เป็นอาหาร แต่ท่านก็ทำสู้พวกอเจลกไม่ได้ แล้วยังจะมีหน้ามาพักอยู่ที่อารามนี้ ให้อุบาสกบำรุงดูแล ในความลามก ของท่านหรือ"

ได้ว่ากล่าวเพื่อขับไล่พระขีณาสพไปแล้ว ผลแห่งบาปกรรมก็ตามมาทันที ทำให้ท่านต้องหมกไหม้ อยู่ในนรก (สภาวะเร่าร้อนใจ) โดยมีคูถเป็นอาหาร แม้ตายไปได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ๕๐๐ ชาติ ก็ต้องเป็นพวกนิครนถ์ (นักบวชในศาสนาเชน) ที่ไม่นุ่งผ้าและมีคูถเป็นอาหาร

ตราบกระทั่งถึงสมัยของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม ท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ในตระกูล ของคนทุกข์เข็ญ เศษแห่งวิบากบาป ที่ว่าร้ายแก่พระอรหันต์นั้น ก็ยังทำให้เขาชมชอบเคี้ยวกินคูถตั้งแต่เด็กๆ แม้พ่อแม่ จะให้บริโภค ข้าวสุก เขากลับทิ้งข้าวสุกไปเสีย

พอเติบโตเป็นหนุ่มแล้วก็ยังยินดีในการกินคูถ ทำให้เครือญาติเบื่อหน่ายระอา เพราะไม่อาจห้าม ให้เขาเลิกกินคูถได้ ในที่สุด จึงขับไล่เขา ออกจากครอบครัว

เหลือเพียงลำพังตัวคนเดียว เขาจึงออกบวชเป็นพวกนักบวชเปลือย ไม่อาบน้ำ ใช้แต่ฝุ่นละอองทาตัว ไม่มีการตัดผม แต่จะใช้การถอนผมและหนวด จะยืนบำเพ็ญอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง บริโภค อาหาร เดือนละครั้ง กินแต่คูถแห้งเท่านั้น ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชื้อเชิญ

เขากระทำตนเป็นนักบวชเปลือยอยู่อย่างนี้นานถึง ๕๕ ปี ทำให้มหาชนที่งมงายอย่างมิจฉาทิฐิ สำคัญว่า เขาเป็นผู้มีตบะแก่กล้า มีความมักน้อยสันโดษอย่างยิ่ง จึงได้เลื่อมใส น้อมใจ เคารพบูชาแก่เขา เป็นจำนวนมาก

อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริในพระทัยว่า นักบวชเปลือยผู้นี้ สามารถมีดวงตา เห็นธรรมได้ พระองค์ จึงเสด็จไปหาเขา แล้วแสดงธรรมให้ฟัง เพียงการฟังธรรมจบเท่านั้น เขาก็ละมิจฉาทิฐิเสียได้ บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วขอบวชกับพระศาสดา พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า

"ท่านจงเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ โดยถูกตรงเถิด"

คำตรัสนี้ถือเป็นการอุปสมบทให้แล้วของพระศาสดา นับแต่นั้นมา พระชัมพุกเถระ ก็ขวนขวาย ในวิปัสสนา (การฝึกอบรมปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง) กระทั่งได้ดำรงอยู่ใน อรหัตตผล

คราวใดที่ท่านทบทวนอดีต ได้เห็นถึงการที่เคยปฏิบัติผิดของตนแล้ว มักจะกล่าวว่า

"เราเคยได้ทำบาปกรรม อันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติ(ทางไปชั่ว) เป็นอันมาก ถูกโอฆะใหญ่ (กิเลสที่ท่วมทับใจ หมู่สัตว์โลก) พัดพาไปอยู่ แต่เมื่อได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และการที่ธรรมของพระองค์ เป็นธรรมอันเลิศ ทำให้วิชชา ๓ (คือ ๑. บุพเพนิวาสานุสติญาณ = รู้ระลึกชาติของกิเลสได้ ๒. จุตูปปาตญาณ = รู้การเกิด และ ดับของกิเลสสัตว์โลกได้ ๓. อาสวักขยญาณ = รู้ความหมดสิ้นไปของกิเลสได้) เราได้บรรลุแล้ว เราได้กระทำกิจ ของพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว"

ณวมพุทธ
เสาร์ ๑๑ ม.ค. ๒๕๔๖
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๓๒๗
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๒ หน้า ๒๔)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๕ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕)