หน้าแรก >สารอโศก

- ไผ่ร่วมกอ -


ล้างพิษ-ทฤษฎีใหม่
สวนกาแฟให้นุ่มนวลชวนฝัน

การสวนกาแฟ
สวนกาแฟเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เป็นการล้างพิษร่างกายโดยผ่านการทำงานของตับ เพราะตับ เป็นอวัยวะ สำคัญ ในการกำจัดสารพิษ นอกเหนือจากหน้าที่อื่น ตั้งแต่การสร้างและหมุนเวียน โปรตีนกับเอนไซม์ การสะสมแป้ง และ หมุนเวียนไขมัน การสร้างและสะสมวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ

อย่างไรก็ดี ใครที่สนใจสวนกาแฟ ลองถามตัวเองว่า มีบางครั้งหรือไม่ ที่ภายหลังจากสวนกาแฟ แทนที่ จะรู้สึก สดชื่นแจ่มใส แต่ตรงกันข้าม อาจรู้สึกง่วงซึมอ่อนเปลี้ย ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าที่ควร แต่บางครั้ง ก็ไม่เป็น

เกิดอะไรขึ้นกับการสวนกาแฟแต่ละครั้งการสวนกาแฟยังจะเป็นวิธีที่ดีหรือไม่ในการกำจัดพิษ

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เกี่ยวกับกระบวนการล้างพิษของตับผ่านการสวนกาแฟ


การขับพิษ ๒ ระยะด้วยการทำงานของตับ
ก่อนอื่นพึงรู้ว่าการสวนกาแฟมิได้มุ่งหมายโดยตรงที่จะให้เอาอุจจาระออก นั่นเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น แต่สวนกาแฟ ต้องการให้สารคาเฟอีนดูดซึมผ่านเส้นเลือดดำที่ลำไส้ใหญ่ คือ Hemoroidal vein และ Colonic vein ซึ่งจะส่งต่อเข้า Portal hepatic vein อีกทอดหนึ่ง ซึ่งแล่นเข้าสู่ตับ ไปกระตุ้นให้ตับทำงานมากขึ้น การสวนกาแฟ ต่างกับการดื่มกาแฟ เพราะระบบหลอดเลือดดำ ตรงนี้เอง

มีคนถามอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าไม่สวน จะใช้การดื่มกาแฟแทนได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้ เพราะปกติ ร่างกาย ของคนเรา มีระบบเลือดสองระบบ หนึ่งคือระบบหมุนเวียนเลือดทั่วไป (Systemic circulation) เวลากินดื่ม เข้ากระเพาะ จะถูกดูดซึมผ่านระบบแรกนี้เข้าสู่หัวใจ สมอง ดื่มกาแฟจึงทำให้ใจเต้น นอนไม่หลับทันที

สองคือระบบหลอดเลือดดำตับ (Portal system) ระบบนี้มีไว้ปกป้องตัวเรา เวลาลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำ กลับเข้าตัว เพื่อปั้นอุจจาระเป็นก้อน อาจมีสารเสียบางอย่างติดมาด้วยจากลำไส้ใหญ่ จึงต้องให้ผ่านตับ เสียก่อน เพื่อทำลายสารพิษ เปรียบเหมือนระบบทำลายน้ำเสียของโรงงาน ก่อนที่จะปล่อยลง แม่น้ำ ลำคลอง เรารู้จักระบบนี้และใช้ระบบนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยสื่อสารกับตับ ด้วยสารกาแฟอีนนี่เอง

การทำลายสารพิษของตับมีอยู่ ๒ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ ระยะนี้ตับไม่ได้กำจัดพิษจริงๆ เพียงแต่จับสารเหล่านี้ที่ไม่ต้องการ ให้จับกับสารโมเลกุลอื่น และทำให้อยู่ในสภาพที่ละลายน้ำได้ เพื่อสะดวกในการกำจัดออกนอกร่างกาย การทำงานขั้นนี้แหละ ที่ใช้เอนไซม์ ชุดใหญ่ ซึ่งรู้จักกันในนาม ไซโตโครม P450 (Cytochrome P450-dependent mictosomal oxidase)

สารต่างๆ ที่ตับจะจับไว้เป็นโมเลกุลที่ละลายน้ำได้ในขั้นตอนนี้ มีตั้งแต่แอลกอฮอล์ สารโพลีซัยคลิก ไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสารเกรียมไหม้จากอาหารปิ้ง ย่าง ทอด สารเสียจากควันบุหรี่ ควันรถยนต์ ควันไฟ ไอระเหย ของสีทาบ้าน ยาต่างๆ ที่เรากินเป็นร้อยเป็นพันชนิด ตั้งแต่พาราเซตามอล ซัลฟา บาร์บิทูเรต ไปจนถึง สารเคมีบำบัด ที่ใช้ในการรักษามะเร็ง ฮอร์โมน สตีรอยด์ ฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุมกำเนิด อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ยาฆ่าแมลงจำพวกออร์กาโนฟอสเฟต ไดออกซิน ที่ได้จาก อุตสาหกรรม พลาสติก และ อุตสาหกรรมกำจัดขยะ เป็นต้น

ปฏิกิริยาขั้นนี้เปรียบเสมือนกับการเก็บขยะในบ้าน ใส่ลงในถุงดำเพื่อรอให้รถขยะมาขนเอาไป แต่ถุงขยะ เหล่านั้น ยังคงอยู่ในบ้าน ถ้ารถขยะไม่มารับขยะ ก็ยังคงล้นบ้านอยู่ดี

ระยะที่ ๒ เป็นระยะขับสารพิษจริงๆ คือทำให้สารพิษเหล่านั้นหมดพิษสงลง และถูกกำจัดออกไป โดยจะเกิดขึ้น ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า คอนจูเกชั่น (conjugation) โดยจะต้องอาศัย เอนไซม์สำคัญ อีกตัวหนึ่งชื่อ กลูตาไทโอน (glutathione)

ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนกับพนักงานขนขยะ มาเก็บเอาถุงขยะ ที่เตรียมไว้แล้ว ขนทิ้งไปจากบ้านเรา


ระวังพิษค้างเติ่ง เพราะภาวะ "คอขวด"
ข้อสังเกตที่สำคัญสำหรับนักสวนกาแฟที่พึงใส่ใจก็คือ การทำงานของตับในระยะที่ ๑ สารพิษ ที่บรรจุ หีบห่อไว้ จะอยู่ในรูปที่ละลายน้ำ ได้มากกว่าเดิม ถ้าไม่สามารถผ่านเข้าสู่ ระยะที่ ๒ ได้ เกิดภาวะ"คอขวด" รอผ่านระยะที่ ๒ ไม่ได้เสียที สารพิษเหล่านั้น ที่ค้างเติ่งอยู่ กลับจะเป็นพิษกับร่างกาย มากยิ่งขึ้นกว่าเก่า บางตัว อยู่ในสภาพ สารอนุมูลอิสระ ที่มีฤทธิ์แรง บางตัวเป็นสารก่อมะเร็ง เสียด้วยซ้ำ

เพื่อป้องกันตัวตับเองและเซลล์ร่างกายอื่นๆ หากการกำจัดสารพิษต่อในระยะที่ ๒ ทำได้ไม่ทัน ร่างกาย จะเปลี่ยน สารพิษที่ได้จากการทำงาน ระยะแรกของตับ ให้กลายเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่มีโครงสร้างคล้าย คลอรัลไฮเดรต ซึ่งเป็นยานอนหลับ นิยมใช้กล่อมเด็กให้หลับ

ด้วยเหตุนี้ใครที่มีสารคลอรัลไฮเดรตในตัวจากความค้างเติ่งของการกำจัดพิษที่ตับ ก็จะเกิดอาการง่วงซึม รู้สึกขี้เกียจ ไม่กระปรี้กระเปร่า ปวดเมื่อยตามตัว ไม่มีเรี่ยวแรงและอ่อนล้าจะ


แก้ภาวะค้างเติ่งของสารพิษได้อย่างไร?
เราต้องเรียนรู้ว่ามีสารจำนวนมากที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยการทำงานล้างพิษของตับให้ลุล่วงไป โดยสมบูรณ์ ทั้งระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ในระยะแรกได้แก่ สารต้านอนุมูลอิสระปริมาณมาก วิตามินบีรวม ไขมัน ฟอสโฟไลปิด และ สารกลูตาไทโอนเอง ซึ่งสารตัวหลังนี้คือ ตัวทำคอนจูเกชั่น นำกระบวนการล้างพิษ ไปสู่ระยะที่ ๒ ส่วนระยะที่สอง ตัวช่วยที่สำคัญได้แก่ สารประกอบ กำมะถันไลโมนีน ซีสเตอีน กรดเบนโซอิก วิตามิน บีรวม แมกนีเซียม เซเลเนียม และ สังกะสี

จะเห็นได้ว่า ตัวช่วยเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วอยู่ในอาหารสุขภาพทั้งหลายที่เรากินอยู่ประจำวัน

เช่น สารประกอบกำมะถัน มีอยู่ในเครื่องเทศ เช่น หอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม

วิตามินบีรวม มีอยู่ในข้าวกล้อง และธัญพืชต่างๆ

ไลโมนีน มีอยู่ใน ส้ม ส้มโอ มะนาว

แมกนีเซียม มีอยู่ในข้าวกล้อง ธัญพืช อัลมอนด์ นัต กล้วย ผักใบเขียว

เซเลเนียม มีอยู่ใน วีทเจอร์ม บร็อกโคลี มะเขือเทศ หอมใหญ่

สังกะสี มีอยู่ใน วีทเจอร์ม เมล็ดฟักทอง มัสตาร์ด

กลูตาไทโอน มีอยู่ใน กะหล่ำปลี และพืชตระกูลกะหล่ำ

สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ มีอยู่ใน ผักสด ผลไม้ ผักพื้นบ้าน และสมุนไพรแต่ละชนิด

ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่ไม่สนใจกินอาหารสุขภาพ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว กินอยู่ตามสบายๆ แล้วจู่ๆ ใครเขานิยม การสวนกาแฟ ก็เห่อสวนไปตามเขาบ้าง ผลร้ายก็จะเกิดการค้างเติ่ง ของสารพิษ ในร่างกายนั่นเอง ตรงกันข้าม ใครที่กินอาหารธรรมชาติอยู่แล้ว การสวนกาแฟ ก็จะจรรโลงการขับพิษ ได้โดยแคล่วคล่อง

ในทางปฏิบัติก่อนสวนให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

ปั่นน้ำผักประเภทต่างๆ ดื่มสัก ๑ แก้ว หรือ ดื่มน้ำสมุนไพรตรีผลา สักครึ่งถ้วย

ให้สะดวกกว่านั้นแนะนำให้กินขมิ้นชัน ๕ เม็ดลูกกลอนกับโสมแคปซูล ๑ เม็ด ขมิ้นชัน เป็นสุดยอด แอนติออกซิแดนต์ โสมมีฤทธิ์เสริมสร้าง เอนไซม์กลูตาไธโอน เพียงเท่านี้ การสวนกาแฟ ก็ได้ฤทธิ์นุ่มนวล ชวนฝันเลยทีเดียว

(จากคอลัมน์ธรรมชาติบำบัด น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล น.ส.พ.มิติชนรายสัปดาห์)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๕ เดือน ธันวาคม ๒๕๔๕)