บันทึกจากปัจฉาสมณะ
แข็งแรง เข้มข้น ทนทาน
ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ
กันยายน
๒๕๔๕
"ขายทรัพย์สินของชาติ...แก้ปัญหาได้จริงหรือ?" หัวข้อเสวนาที่สันติอโศก(๑
ก.ย.) โดยมี น.พ.เหวง โตจิราการ อ.อัมรินทร์ คอมันตร์ และดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์
เป็นผู้ให้ความรู้ เนื้อหาทั้งหมด ผู้สนใจติดตามได้จากเท็ป งานนี้ น.พ.เหวง
กล่าวถึงชุมชนชาวอโศกว่าอย่างไร?
ปลายประสาทอักเสบของพ่อท่านเป็นอย่างไร?
หมอพจน์แนะนำการรักษาอย่างไร?
เหตุผลอะไรที่พ่อท่านเห็นว่า ที่ไม่ล้มป่วยทั้งๆ ที่งานมากเพราะอะไร? หมอพจน์ถ่ายทอดคำแนะนำของหมออารีย์ว่าอย่างไร?
พ่อท่านพูดถึงการทำดีท็อกซ์ (๒๐ ก.ย.)ของพ่อท่านว่าอย่างไร?
ดนตรีบำบัดที่คุณอภิสิน ศิวยาธร ทดลองแนะนำให้พ่อท่านทำ(๒๐ ก.ย.)เป็นอย่างไร?
หลังจากทำตาม พ่อท่านเห็นอย่างไร?
อัตลักษณ์ของสันติอโศกเป็นอย่างไร?
น.ส.ขัตติยา ขัติยวรา นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มาขอ สัมภาษณ์พ่อท่าน
(๓ ก.ย.) มีประเด็นใดที่น่าสนใจ
ศีรษะอโศกถูกลอบวางเพลิง!
(๓ ก.ย.) เป็นไปได้อย่างไร? พ่อท่านพูดอะไร? ให้กำลังใจ ชาวศีรษะอโศก อย่างไร?
เป็นการไปอย่างทันควัน ไม่ทันจะมอด!
งานบุญข้าวประดับดิน (๖
ก.ย.) ที่อุบลราชธานี จัดโดยกองทุนเพื่อสังคม(SIF) และได้นิมนต์ พ่อท่านไปเทศน์
บรรยากาศ เป็นอย่างไร? ประเด็นหลักๆพ่อท่านพูดอะไร?
กระทรวงพุทธศาสนา! ประเด็นร้อนๆในสังคม
แล้วมาเกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างไร?
พ่อท่านเห็นอย่างไร? กับประเด็นร้อนๆนี้
สังคมสัมพันธ์ศิษย์เก่าเพาะช่าง
๒๑ ก.ย. พ่อท่านเดินทางไปร่วมงานทำบุญครบรอบวันเกิด อ.เฉลิม นาคีรักษ์ อายุ
๘๔ ปี บรรยากาศงานเป็นอย่างไร? พ่อท่านวางตัวอย่างไร? ศิษย์เก่าเพาะช่าง
รุ่นน้อง พูดถึงพ่อท่านอย่างไร?
ญาติธรรมรุ่นเก่าแก่ แต่มีทิฏฐิเป็นเทวนิยม
พ่อท่านจะสอนอย่างไร? (๒๓ ก.ย.)
เลี้ยงสัตว์... เป็นบุญหรือบาป? (๒๙ ก.ย.) เรื่องอย่างนี้ ญาติธรรมรุ่นเก่าๆ
หลับตาก็รู้คำตอบ แต่พ่อท่านก็ยังอุตส่าห์แวะโปรด ในขณะอธิบายการปฏิบัติมรรคองค์
๘ คราวนี้พ่อท่านพูดอย่างไร?
ความไม่โลภ....ไม่อยากใหญ่....ไม่อยากมีมาก....ทำให้ทุกอย่างลงตัว....ดี!
รายละเอียด ของเรื่องราว เป็นอย่างไร? จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น(๒๙ ก.ย.)
เกี่ยวกับเครื่องจักรกลผลิตยาจากไต้หวัน
สุดท้ายจากโอวาทปิดประชุมชุมชนปฐมอโศก
และ ๘ พาณิชย์บุญนิยม พ่อท่านเตือน เรื่องการเพิ่มงาน มากเกินไป อย่าหลงทิศทาง
ชาวอโศกจะต้อง แข็งแรง เข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ
ทั้งหมดข้างต้นนี้ รายละเอียดเป็นอย่างไร
พลิกไปอ่านได้
น.พ.เหวง
อยากเห็นชุมชนอโศกเติบโตต่อไป
๑ ก.ย.๔๕ ที่สันติอโศก คณะทำงานการเมืองพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้จัดกิจกรรม
ให้ความรู้ เกี่ยวกับ กฎหมาย ๑๑ ฉบับ ที่รัฐบาลชุดก่อนได้ทำสัญญาขายรัฐวิสาหกิจ
ให้กับกลุ่ม ทุนต่างชาติ อย่างเสียเปรียบ โดยเชิญวิทยากร น.พ.เหวง โตจิราการ
ดร.อัมรินทร์ คอมันตร์ และดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ มาให้ความรู้ในหัวข้อ
"ขายทรัพย์สินของชาติ.... แก้ปัญหา ได้จริงหรือ?" ซึ่งทั้งหมด
ล้วนมีข้อมูล ไปในทิศเดียวกัน คัดค้านการทำสัญญา อย่างเสียเปรียบนั้น ควรมีการแก้ไขใหม่
หากจำเป็น ต้องขาย ที่ถึงขั้นปฏิเสธ การขาย โดยเด็ดขาดก็มี อ้างข้อมูลทั่วโลก
ไม่มีสักประเทศเดียว ที่ขายรัฐวิสาหกิจ ให้ทุนต่างชาติแล้ว เศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้น
มีแต่แย่ลง กว่าเดิม
(หลังรายการ มีเสียงบ่นๆ จากญาติธรรม ที่ชื่นชอบการทำงาน ของรัฐบาลปัจจุบัน
อยากให้ มีตัวแทน ของรัฐบาลชุดนี้ มาชี้แจงให้ความรู้ในเรื่องนี้บ้าง ต่อมาคณะทำงาน
พรรคเพื่อฟ้าดิน ได้ติดต่อ เชิญตัวแทน ฝ่ายรัฐบาล ให้มาพูดคุยเรื่องนี้ เพื่อให้ญาติธรรม
ได้รู้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่าย ปรากฏว่า ใกล้ถึงวันนัด ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล
ขอเลื่อนวัน เพราะติดประชุมพรรค และเมื่อจะถึงวันที่เลื่อน ก็ได้รับการปฏิเสธ
จากตัวแทน ฝ่ายรัฐบาลอีก คราวนี้อ้างติดงาน)
ในวันนั้น น.พ.เหวง เปิดเผยถึงความรู้สึกที่มีต่อชาวอโศกว่า
"ผมอยากจะเห็นชุมชนอย่างนี้นะครับ แข็งแกร่ง ต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าชุมชนอย่างนี้นะครับ
ถึงจะมีพลังในการสู้กับบริโภคนิยมและทุนนิยมได้ ถ้าไม่มีชุมชนอย่างนี้นะฮะ
บริโภคนิยม จะกลืนกิน เอาหัวใจ เอาจิตวิญญาณทั้งหมดของเราไป.....
......ผมไม่ได้มาเอาอกเอาใจพวกท่านทั้งหลายนะครับ
แต่ต้องการชี้ว่า ที่ท่านทำน่ะถูกแล้ว ขอให้ยืนหยัด บนเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ"
ปลายประสาทอักเสบ!
ยืดคลายเส้นด้วยดนตรี!
๒ ก.ย.๔๕ ที่สันติอโศก เช้านี้พ่อท่านลุกตื่นแล้วบอกเล่าว่า
ที่หลังเท้าซ้ายมีอาการเจ็บแปล๊บๆ เมื่อวาน ตอนที่คุณแรงผา มาช่วยกดนวด ถ้ากดบริเวณที่เจ็บสักพักจะรู้สึกดีขึ้น
อาการเจ็บ แปล๊บๆ น้อยลง ตอนนอน เมื่อคืน พ่อท่านจึงใช้ส้นเท้าขวา กดถูที่หลังเท้าซ้าย
ทำให้ผิวหนัง เกิดรอยถลอก คุณเพ็ญเพียรธรรม พยาบาลได้มาช่วย ทำความสะอาด
บริเวณแผลที่ถลอก ด้วยน้ำเกลือ แล้วใช้ วิตามินอีทา ส่วนอาการเจ็บแปล๊บๆ
นั้นเป็นอาการ ปลายประสาท อักเสบ เนื่องมาจากการขาด วิตามินบี แม้พ่อท่าน
จะได้รับการถวายวิตามินบี เสริมแล้วก็ตาม แต่เป็นเพราะพ่อท่าน ใช้สมองมาก
ทำให้ร่างกาย ก็ดึงเอาวิตามินบี ไปใช้มาก ต่อมา คุณเพ็ญเพียรธรรม ได้ช่วยฉีดวิตามินบี
เข้ากล้ามเนื้อที่ตะโพกขวา ให้พ่อท่าน ตามคำแนะนำ ของหมอพจน์
พ่อท่านบอกเล่าในขณะนอนให้คุณเพ็ญเพียรธรรมฉีดวิตามินบี
"ช่วงที่ผ่านมานี้ มีงาน หลายๆอย่าง จนรู้สึกเมื่อย แม้แค่เวลา ๑๕ นาทีก็ต้องขอเอนนอนก่อน
มันรู้สึกเลยว่า เราต้องพัก แต่ก่อนไม่ใช่อย่างนี้ อาตมาว่า ที่อาตมาไม่ล้ม
ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้ ก็เพราะจิต ของอาตมาดี มันทำท่าจะไม่ดีอยู่แล้ว โดยทางกาย
รู้สึกเลยว่าจะไม่ดี แต่จิตอาตมาดี จึงทำให้ไม่เป็นอะไรมาก......"
ที่ปฐมอโศก หลังเสร็จการประชุมชุมชนปฐมอโศกในเวลาเย็น
หมอพจน์ได้มาตรวจดู สุขภาพพ่อท่าน แล้วบอกเล่าว่า ได้พูดคุยกับหมออารีย์
ซึ่งหมออารีย์แนะนำ ให้ใช้ลูกประคบ เพื่อให้เลือดลม เดินดี จะช่วย บรรเทา
อาการเจ็บ เนื่องมาจากปลายประสาท อักเสบได้ ต่อมาญาติธรรม กลุ่มพลาภิบาล
ช่วยทำ ลูกประคบ มาประคบให้พ่อท่าน
๑๖ ก.ย.๔๕ ที่ปฐมอโศก หมอพจน์โทรมาแจ้งว่าได้คุยกับหมออารีย์
เกี่ยวกับการทำการสวน ล้างพิษ ทางลำไส้ใหญ่ (DETOXIFICATION)
ของพ่อท่านว่า ให้อยู่ที่พ่อท่านสะดวก จะทำต่อ อาทิตย์ละสองครั้ง
ก็ได้ นอกจากนี้หมอพจน์ได้พูดถึงการที่พ่อท่าน รู้สึกมีลมมีแก๊ส ในลำไส้ใหญ่
ในขณะทำดีท๊อกซ์ ให้พ่อท่าน ลดระดับขวดน้ำกาแฟ ลงมาให้ต่ำกว่า ระดับ ลำไส้ใหญ่ชั่วคราว
เพื่อให้น้ำกาแฟ ไหลจากลำไส้ใหญ่ มาที่ขวด ลมและแก๊ส จะได้ออก จากลำไส้ใหญ่
เมื่อรู้สึกว่าดี ค่อยแขวนขวดกลับ ไปในระดับเดิม
๑๗ ก.ย.๔๕ ที่สันติอโศก ๔.๓๐ น.
พ่อท่านลุกตื่น คุณเพ็ญเพียรธรรม พยาบาล ช่วยมาตรวจ วัดความดัน และชีพจร
ก่อนเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจผลหลังการทำดีท๊อกซ์ ๓ เดือน คุณเพ็ญเพียรธรรม
ชมว่า เลือดพ่อท่าน มีสีแดงสดดี แสดงว่ามีออกซิเจน ในเลือดมาก แต่ก่อนนี้
สีเลือดของพ่อท่าน จะออกแดง เข้มๆไปทางดำ ไม่สดแดงอย่างนี้ เข้าใจว่า น่าจะเป็นผลมาจาก
การทำดีท็อกซ์ จึงขอเสนอ ให้พ่อท่าน ทำดีท็อกซ์ต่อไป วันละครั้ง
๒๐ ก.ย.๔๕ ระหว่างนั่งรถเดินทางจากสนามบินดอนเมืองมาสันติอโศก
พ่อท่านพูดถึง การทำดีท็อกซ์ ในเช้าวันนี้ที่บ้านราชฯ (ก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอุบลราชธานี)
วันนี้มีอาการเหมือนมีกลิ่น ออกมาจากช่องปาก กลิ่นเดียวกับที่ทำดีท็อกซ์
แล้วถ่ายออก เข้าใจว่า ร่างกายคงไม่รับแล้ว แรกๆที่ทำ ก็ดูปกติดี ระยะหลังๆมานี้
เหมือนมีแก๊สในท้อง เวลาทำ มันจะดันกาแฟ ขึ้นไปในขวดเลย
ข้าพเจ้า เข้าใจว่า ผลจากอาการนี้
ทำให้พ่อท่าน ลดจากการทำทุกวัน วันละครั้ง ลงมาเหลือ สัปดาห์ละ สองครั้ง
๑๕.๓๐ น. คุณอภิสิน ศิวยาธร ได้นำเสนอการบริหารกาย
ประกอบดนตรี หรือดนตรีบำบัด โดยอธิบาย หลักการคร่าวๆก่อนว่า คนมีกาย-อารมณ์-จิต
การดูแลรักษาสุขภาพก็จะมี การยืด (STRETCH) คลายเส้นและกล้ามเนื้อ-ดนตรี-สมาธิ
แล้วจึงวาดรูปให้ดูประกอบ
๑. กาย อารมณ์ จิต
๒. การยืด STRETCH สมาธิ ดนตรี กาย อารมณ์ จิต
๓. กาย สมาธิ อารมณ์ การยืด STRETCH จิต ดนตรี
กาย_____อารมณ์
\ /
จิต
สมาธิ
stretch/ \
การยืด_______ดนตรี
กาย_______อารมณ์
\ /
จิต
สมาธิ
กาย________อารมณ์
ดนตรี______stretch
การยืด
จิต
หลังจากอธิบายก็เริ่มปฏิบัติ ด้วยการยืดเส้นสาย ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นขา มีเส้นที่คอ
หลัง เอวบ้าง พ่อท่านและข้าพเจ้าข้อพับเข่าตึง เอวหลังแข็งมาก จึงโน้มก้มตัวไม่ได้มาก
อาจเป็น เพราะวิถีชีวิต นั่งทำงาน เป็นส่วนมาก นานหลายปี แล้วไม่ค่อยได้ยืดคลายเส้นสาย
กว่าจะเสร็จ จากการยืดคลายเส้น ก็เป็นเวลา ชั่วโมงเศษ ต่อจากนั้น เป็นการใช้เสียงดนตรี
ด้วยการยืนฟัง อย่างสงบนิ่ง ให้ช่วงห่าง ระหว่างขาซ้ายขวา ประมาณช่วงไหล่
ปลายเท้า ต้องไม่แบะออก ให้พยายามบิด เข้าในนิดๆ โดยให้ น้ำหนัก อยู่ที่ฝ่าเท้า
อย่างเต็มส่วน พยายาม อย่าให้ลงน้ำหนักในไป หรือนอกเกินไป และต้อง ปิดเปลือกตา
ทั้งสองลง เสียงคุณ อภิสินบอก ให้กำหนดความรู้สึก ตั้งแต่จุดกลางกระหม่อม
ลงมาที่หน้า คอ อก ท้อง ขา และฝ่าเท้า ให้ทุกส่วนผ่อนคลาย เมื่อเปิดเท็ปให้ฟัง
ก็จะมีเสียงแนะนำอย่างนี้ แล้วจะมี เสียงดนตรี ตามมา ให้กำหนดความรู้สึก
ตามเสียงดนตรีนั้นไป โดยใช้เวลากว่า ๒๐ นาที ข้าพเจ้า รู้สึกเมื่อย และ ชาที่ขา
มีเสียงคุณอภิสินพูด เป็นบางช่วง ให้กำหนดตาม แล้วผ่อนคลาย ตามเสียง คล้ายการ
สะกดจิต เสร็จจากนั้น ให้ถูมือตนเองไปมา แล้วค่อยๆ ลืมตา และปิดลง ๓ ครั้ง
คุณอภิสิน พูดนำให้ผู้ฝึกกล่าวตาม ข้าพเจ้าจำคำกล่าวนั้น ไม่ได้ แต่มีลักษณะ
คล้ายมีอัตภาพ เป็นเทวนิยม ที่พูดบอกกับตัวเอง ในการขอ อนุญาตฝึก หรือ ออกจากการฝึก
คุณอภิสินถามความรู้สึกของพ่อท่านเป็นอย่างไร
พ่อท่านวิจารณ์ว่า เป็นวิธีการสะกดจิต เรื่องอย่างนี้ อาตมาเข้าใจดี และเคยทำมาแล้ว
แต่เสียงดนตรีอย่างนี้ ไม่มีผลอะไรกับจิตใจ และ ร่างกายอาตมา
แม้คุณอภิสิน จะพยายามอธิบายเพิ่มเติมว่า
มันน่าจะมีผลอะไรต่อร่างกาย เช่นเดียวกับ อาหาร ที่มีผล ต่อร่างกาย ในรสชาติอาหารแบบต่างๆ
เปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด ฝาด ขม หรือ อย่างคลื่นแม่เหล็ก คลื่นไฟฟ้า ก็จะมีผลต่อร่างกาย
คนที่อยู่รอบข้าง การทำดนตรีบำบัดนี้ เหมือนการให้ข้อมูล กับร่างกาย และจิตใจ
ที่มีผลดี
พ่อท่านยืนยันว่า "เสียงดนตรีเมื่อครู่นี้ไม่มีผลต่อร่างกายและจิตใจของอาตมาเลย
ซึ่งในบรรดา คลื่นแม่เหล็ก คลื่นไฟฟ้า และคลื่นเสียง คลื่นเสียง จะมีผลต่อร่างกายคนเรา
น้อยที่สุด"
วันต่อๆมา คุณอภิสิน จึงแนะนำและพาฝึกบริหารกาย
ยืดคลายเส้นอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ เสียงดนตรี กับการบริหารกาย ของพ่อท่านอีก
พ่อท่านเอง ก็ยอมแบ่งเวลาทำงาน มาบริหารกาย ยืดคลายเส้น แทบทุกวัน ยกเว้นวันที่ติดงาน
ติดการประชุมจริงๆ เท่านั้น แม้เดินทางไปบ้านราชฯ ก็อาศัยเท็ปวิดีโอ ดูประกอบ
การทำไปด้วย
อัตลักษณ์ ของสันติอโศก!?
๓ ก.ย.๔๕ ที่สันติอโศก น.ส.ขัตติยา ขัติยวรา นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชา การพัฒนา
สังคม ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้มาขอสัมภาษณ์ พ่อท่าน เพื่อประกอบการทำวิทยานิพนธ์ "การก่อรูปอัตลักษณ์
ของขบวน การเคลื่อนไหว ทางศาสนา กรณีศึกษาชุมชนสันติอโศก
Identity Formation of Religious Movement ; A Case Study of Santi Asoke
Community."
"หนูจะมาศึกษาองค์ประกอบแล้วก็แนวคิดที่ผสมผสานขึ้นมาเป็นอโศกนะคะ
อย่างเช่น การมีแนวคิด แบบ Humanist หรือว่าแนวคิดพัฒนาชุมชน
หรือว่า แนวคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่สันติอโศก เลือกหยิบ มาผสม ผสาน หรือว่านำมาเน้น
ในยุคปัจจุบันนะคะ
คำว่า "อัตลักษณ์"นี่
แต่ก่อนทางทฤษฎีเขาใช้คำว่า "เอกลักษณ์" แต่คล้ายๆว่า มันเป็น
พัฒนาการ เขาก็เปลี่ยน มาใช้คำว่า อัตลักษณ์ เพราะว่า เอกลักษณ์นี่ มันจะดูเป็น
แก่นแกนเดียว มองอะไร เป็นอย่างเดียว ในพัฒนาการ ทางสังคมวิทยานี่ เขาเลือกหยิบเอา
อัตลักษณ์มานี่ เพื่อที่จะให้เห็นว่า ขบวนการ ทางศาสนานี่ มีการผสมผสาน มาจากอะไรบ้าง
ซึ่งหนูจะมองผ่าน โครงสร้างองค์กร พิธีกรรม คำสอน บทบาทสงฆ์ อะไรอย่างนี้ค่ะ
ก็ทำเป็นงาน กับชุมชนภายนอก นี่คือเรื่องคร่าวๆที่จะทำ" คุณขัตติยา
บอกเล่าถึงที่มา ของคำว่า อัตลักษณ์ และสิ่งที่จะมาเก็บข้อมูล จากการสัมภาษณ์
ข้าพเจ้าขอนำบางส่วนจากคำถามคำตอบที่ยังไม่เคยมีคำถามอย่างนี้
มานำเสนอ (สำหรับ ประเด็น เกี่ยวกับ การศึกษา ภาษาบาลี,
การศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์, พ.ร.บ. การปกครองคณะสงฆ์, การอบรม เกษตรกร ที่พักชำระหนี้
ตามโครงการร่วม ธ.ก.ส. หลักการบุญนิยม ที่ต่างจากทุนนิยม... ขอข้ามผ่าน เนื่องจาก
มีการนำเสนอ มามากแล้ว)
ถาม : การปกครองคณะสงฆ์ที่นี่
ใช้วิธีอะไร ปกครองกันอย่างไรคะ?
พ่อท่าน : ถ้าจะพูดให้เก๋แล้วนะ วิธีปกครองคณะสงฆ์ ปกครองอย่างประชาธิปไตย
คือ เอาประชาชน เป็นแกน เอาประชาชนเป็นหลัก แต่เราก็มีหลักของธรรมะ เป็นธรรมาธิปไตย
นี่คือ วิธีการปกครอง
ถาม : แล้วในหมู่สงฆ์นี้มีการแบ่งชั้นกันไหมคะ
เช่นว่ามีกิจกรรม หรืองานอะไรอย่างหนึ่งนี่ ย่อมจะต้อง มีตัวแทน ใช่ไหมคะ
ที่จะต้องเป็นหัวหน้า
พ่อท่าน : อ๋อ มีการมอบหน้าที่ มีการระบุบุคคลที่จะให้รับผิดชอบ อย่างนี้เป็นวิธีการ
ของคนอยู่แล้ว ตำแหน่ งจะว่ามี มันก็มีโดยโลกมันพามี คนนี้เป็นคนนำ คนนี้ถนัดอย่างนี้
จะเข้าใจกัน โดยสังคม ที่อยู่ร่วมกัน ไม่ใช่คนจรมาจากไหนก็ไม่รู้ เพราะเราอยู่
อย่างสังคมจริง ไม่ได้ไปเอาคนนั้น คนนี้ มาสมัคร เป็นหัวหน้า มาจากไหนก็ไม่รู้
เป็น"หมาหลง"มา อย่างนี้ไม่ใช่ อันนี้เป็นสังคมจริง คนอยู่ด้วยกันจริง
ก็จะรู้ว่า คนไหนถนัดอะไร คนไหน มีความสามารถ เท่าไหร่ ก็เข้าใจกัน พอเข้าใจกันโดยสัจจะ
ก็ไม่มีอะไร ที่จะลำเอียง ไม่มีอะไร ที่จะมาเป็น ตัวกำหนด เล่นพรรคเล่นพวก
หรือว่ามีอคติ ๔ ก็จะรู้กัน บอกกันได้ ตามสมเหมาะ สมควร คนนี้จะชำนาญกว่าคนนี้
คนนี้อาจจะเป็นรอง แต่คนนี้มีงานเยอะ คนนี้ทำไม่ได้ ก็แบ่ง มาให้คนนี้ หรือ
คนนี้ตรงนี้ทำไม่ไหว ให้คนนี้ทำไปก่อน รอไปก่อน อะไรอย่างนี้ เป็นไปตามความจริง
เมื่อมีการพูดถึง งานอบรมเกษตรกร
ที่พักชำระหนี้ ตามโครงการร่วมกับ ธ.ก.ส. คุณขัตติยา กล่าวกึ่ง แสดงความเห็นว่า
ก็รู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างที่จะเปิดตัวเอง กับข้างนอกมากขึ้น
พ่อท่าน : "เราเริ่มเปิด คือพระพุทธเจ้าสอนเรา
ให้ทำตนเองให้ดีก่อนสอนผู้อื่น ภายหลัง จะไม่มัวหมอง ตอนแรก เราไม่ได้เปิดมากอะไร
จนคนอื่นหาว่า อโศกมีแต่พวกมัน เขาว่า เราก็พยายาม ฟูมฟักตัวเรา จนกระทั่ง
พอมีพลังนิดๆหน่อยๆ เราก็ค่อยๆ ก้าวต่อไป และ เราก็รู้ว่า เราค่อยก้าวไปสู่สังคมเพิ่มขึ้น
ก็ยังไม่ได้มากเท่าไร เราก็ระวังตัวเราอยู่ ถ้าเราอ้าขา ผวาปีก มากเกินแรง
มากเกินจริง เราตาย เหมือนช่วย คนตกบ่อนี่ เราช่วยได้แค่ เราเอื้อมไปได้
แล้วก็แรงยึดของเรานอกบ่อนี่ ต้องแข็งแรงขนาดนี้ ถ้าเราขืน เอื้อมลงไปในบ่อ
เกินขีด ก็หัวทิ่มบ่อ เราก็ตายไปด้วยกันหมด นั้นแหละ อาตมาระวังอยู่ เพราะฉะนั้น
ใครจะบอกว่า เราได้น้อย ช่วยคนอื่น ยังไม่ได้มาก เขาจะว่าอย่างนั้น
เราก็ไม่มีปัญหาอะไร เราเชื่อว่า เรามีเจตนาดี และทุกวันนี้ เราก็มีแรงช่วยคนได้เพิ่มขึ้นๆ
ตามลำดับอยู่ เราจะไม่รีบมักมาก เป็นอันขาด และเราก็ทำเต็มที่เต็มแรง
ของเราแล้ว เหนื่อยนะ
ที่จริงแล้ว ภาคสังคม หัวใจของการพัฒนาสังคมนี่
ต้องสร้างคน ต้องพัฒนาคน ให้คนเจริญ นั้นคือ สังคมจะเจริญตาม
แต่ทุกวันนี้ คนเราไปคิดถึงทฤษฎี หลักการ กฎหมาย กรอบของสังคม ไปมุ่ง ทางนี้หมด
การเมืองลากจูงเขาออกไป การเมืองก็คือการไปคิด สร้างกฎ สร้างหลักสร้างเกณฑ์
แล้วก็ไปบริหาร ควบคุม ดูแลจัดการอะไร ให้เข้ากรอบ เข้าหลัก มันเลยหลง ไปทางนั้นหมดเลย
ทุกวันนี้ แม้รัฐบาล ผู้บริหาร บ้านเมือง ไม่ได้พัฒนาคน ไม่ได้สร้างคน แต่ไปสร้างหลักเกณฑ์
ไปสร้างกรอบ สร้างกฎ สร้างวิชาการ สร้างความรอบรู้ คำว่าสร้างคนนี้ ลึกซึ้ง
ต้องสร้างคนให้เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนวิถีชีวิต จากไม่ดี มาสู่ดีนี่ สั้นๆง่ายๆ
จนเป็นจริง
ศาสนาพุทธสอนให้คนเปลี่ยนชีวิตจากไม่ดีมาสู่ดี
อย่างถาวร อย่างยั่งยืนได้ สอนให้คนพัฒนา มาสู่ ความเป็นจริงที่ดี ดีแล้วดีเลย
ดีแล้วดีได้อย่างถาวรมั่นคง สมาธินี้ คือจิตตั้งมั่น ให้ถึงจิต เปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งศาสนาพุทธ เรียกว่า โลกุตระ โลกุตรภูมิ หรืออาริยะ
อาตมาถึงบอกว่าวิธีสังคมศาสตร์ก็ดี
มานุษยวิทยาก็ตามจะต้องเข้าใจจุดนี้ ชัดเจนเลยว่า มนุษย์นี้ สำคัญ พัฒนาขึ้นดีได้
และถ้าทำให้มนุษย์ดีขึ้นได้แม้คนหนึ่ง ๕ คน ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คน ๑๐,๐๐๐ คน นั้นคือ
แกนของสังคม ที่จะพัฒนา ไปในอนาคต ยิ่งทำให้ต่อเนื่องมา จนกระทั่ง ถึงรุ่นเยาวชน
รุ่นต่างๆ สืบทอดกัน ขึ้นมาได้โดยแกน โดยทฤษฎี โดยหลักการ เป็นไปตามแนวทางที่เราใช้ได้ดี
การบริหารสังคม ต้องเน้น"คน"
พัฒนาคนถึงขั้นสร้างคนให้ดี ไม่ใช่เอาแต่เก่ง และ ไม่ใช่เอาแต่ สงเคราะห์กันแต่ทางวัตถุ
ไม่ว่ารัฐบาล หรือสถานศึกษา แม้แต่ศาสนา มีแต่เน้น การสงเคราะห์ และสร้างคนเก่งเท่านั้น
ไม่เน้นสร้างคนดี ให้ช่วยตน ชนิดไม่เอาเปรียบใคร จริงๆ ให้ลึกซึ้ง และมีคุณธรรม
สูงจริง แก้ปัญหาสังคมจึงไม่สงบ และไม่เจริญแบบยั่งยืน"
วางเพลิงศีรษะอโศก
๔ ก.ย.๔๕ ที่สนามบินดอนเมือง ขณะกำลังรอขึ้นเครื่องบินไปอุบลราชธานี ได้รับโทรศัพท์
แจ้งเหตุร้าย จากสมณะผืนฟ้า อนุตตโร ว่าร้านน้ำใจ ถูกไฟไหม้หมด เมื่อคืนนี้ตอนสี่ทุ่ม
มีคนมาเผา ค่าเสียหาย ประมาณ ๘ ล้านบาท ดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร
พ่อท่านตั้งข้อสังเกต หลังจากทราบเรื่อง
"...ไฟฟ้าช็อตหรือเปล่า สายไฟฟ้ามันเก่าหรือเปล่า"
เมื่อเครื่องบิน ไปถึงอุบลราชธานี
พ่อท่านเปลี่ยนแปลงเส้นเดินทาง ยังไม่เข้าราชธานีอโศก หันทิศ เดินทางไป ศีรษะอโศกทันที
หลังจากดูสถานที่บริเวณที่ถูกไฟไหม้แล้ว ก่อนฉัน พ่อท่าน ได้บอกเล่า เรื่องราวต่างๆ
ให้ชาวศีรษะอโศกฟัง เริ่มด้วยการพูดเย้าๆ ".....อยู่ดีๆไม่ได้มีสัญญาณอะไร
ไม่ได้มีนัดอะไร ต้องมาเจอกัน ก็อยากเจอกัน ไม่ต้องลงทุน ขนาดนี้ก็ได้ อยากจะเจอกันเร็วๆด่วนๆ
ลงทุนขนาดนี้ มันมากไปมั๊ง ดีนะ ไม่มีคนบาดเจ็บอะไร เสียแต่ทรัพย์สิน"
แล้วพ่อท่านเล่าเรื่อง ที่ปฐมอโศก ข้างศาลา ขยะขยัน ได้เผาเศษไม้ ขณะที่
ถังน้ำมันเก่าหลายใบ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน มีน้ำมันค้างอยู่ ทำให้ถังน้ำมัน เก่าลูกหนึ่ง
เกิดระเบิด ลูกอื่นๆกำลังบวมขึ้น ต้องเรียกรถดับเพลิงมา ปลัด อบต. ตำรวจมากันใหญ่.....
แล้วพ่อท่าน ก็วกมาเรื่องไฟไหม้ ร้านน้ำใจ
"....ไม่ใช่เรื่องไฟช็อตโดยอุบัติเหตุ
อันนี้เป็นเรื่องของการจงใจ เจตนาวางเพลิงแน่ เพราะมัน หลายจุด หลายสาเหตุที่มันจะเกิดได้
เราก็ไม่ต้องไปพูดอะไรมากหรอก ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ เขาจัดการ ของเขากันไปเอง
เราก็ให้ข้อมูล ให้หลักฐาน ให้อะไรที่มันควรจะให้ไปเท่านั้น แหม! มาที่นี่มีแต่เด็กน้อย
ต้อยขี้ไก่โป่ (คำพูดเย้าเด็กๆ) ทั้งนั้นแหละนะ หาตัวผู้ใหญ่ยาก เป็นวัย
เจริญพันธุ์ มีพลังสูง ก็ช่วยกันสร้าง ก็แล้วกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย มันหมดไป
เพื่อที่จะเกิดใหม่ อย่างดีขึ้นกว่าเก่า อาตมาถามดู เมื่อกี้นี้ ก็บอกว่า
สินค้าต่างๆที่เราไปซื้อมา มันวางเงิน เขาหรือยัง ไปเป็นหนี้เขามาหรือเปล่า
ก็ปรากฏว่า พวกเรานี่ ดำเนินนโยบาย หลักการตลาด ได้ดีนะ ซื้อสด งดเชื่อ อันนี้จะแสดง
ให้เห็นชัดเจนเลยว่า มันมีเท่าไหร่ ก็เท่านั้น เรามีเงินเท่านี้ เราก็ใช้เท่านี้
ซื้อเท่านี้วางเงินสด แต่ถ้าเผื่อเราอวดดี เล่นแบบ ระบบเก่า ไปเอามาก่อน
เชื่อเท่าไหร่ก็ได้ เอามามากเกินแรง เกินพอ เอามากองไว้นี่ ไฟไหม้ ของก็สูญเสีย
ไปกับไฟ ต้องมาตามใช้หนี้โดยของก็สูญไปหมดแล้ว เอาของเขามาอีก ๒ ล้าน ๓ ล้าน
โอ้โอ๋ หน้ามืดเลย ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ นี่เห็นผล เห็นฤทธิ์ ของขายสดงดเชื่อไหม
ขณะที่เรื่องเงินเชื่อ มันทำให้เศรษฐกิจ ดีมานด์ (Demand)
ซับพลาย (Supply) ไม่เป็นจริง อะไรต่างๆนานา มันทำ
ความเลวร้าย ให้แก่ระบบธุรกิจ ไปอีกมากมาย แต่เราปรับมาเป็นระบบขายสดงดเชื่อ
มีเท่าไหร่ทำเท่านั้น มันจะเกิดสภาพที่โปร่ง ผลเสีย ของเงินเชื่อ และผลดีของเงินสด
เรายังคิด ไม่ครบ มันจะมีอะไรอีกมาก แต่ตอนนี้ เราต้องมาเริ่มต้นใหม่ ต้องหาทุนรอน
มาสร้างโรงเรือน กว่าจะมีโรงเรือน กว่าจะตั้งหลักตั้งฐานได้อีก ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
แล้วจะสร้างใหม่ไหม สร้างนะ เอ้า สร้างช่วยกัน ช่วยกันขนทราย คนละเม็ดๆ ทำไงได้
เรามันมีวิบาก เรื่องนี้ ท่านกุสโลโ ทรมาหาเมื่อกี้ ท่านกุสโลบอกว่า แหม!
เหตุการณ์แบบนี้ ผมไม่อยากจะคิด อจินไตยอะไร วิบากอะไรของพระโพธิสัตว์ อาตมาก็ไม่รู้วิบากอะไร
ก็ไม่เป็นไร เราจะตายไหม พิสูจน์ดู เราก็มีอย่างนี้ นี่แหละ เราทำดีแท้ๆ
ก็ยังมีคนไม่ชอบ มีส่วนที่เขาไม่ชอบ ไปกระทบ กระเทือน ส่วนนั้น ส่วนนี้ของเขา
เราก็ไม่อยากจะให้กระเทือนใจ อะไรหรอก แต่ว่าถ้ามัน ไม่ถูกต้อง มันไม่ดีไม่งาม
เราก็พยายาม จะทวนกระแส หรือต้านไว้บ้าง อะไรที่ทำ ให้เขา ไม่ชอบใจ มันก็คงจะมีหลายๆเหตุ
เราก็คงต้องพิสูจน์ไป สืบสาวราวเรื่องไปว่า มันเรื่องไหนกันแน่......."
แล้วพ่อท่าน ก็บอกเล่าเรื่องงานต่างๆ
ที่มากขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น ฝรั่งชาวอังกฤษ กำลังทำ ปริญญาโท ที่อังกฤษ
ก็จะมาสัมภาษณ์ นักศึกษาปริญญาโท จากเชียงใหม่ ก็ขอสัมภาษณ์ ก่อนเดินทางมาเมื่อเช้า
ประธานองค์กร สันติภาพสากล ก็จะขอมาพูดคุย เพื่อจะเชิญ ไปร่วมประชุมด้วย
.....ผู้ที่ได้รับเชิญ ไปประชุม เขาบอกรายชื่อมาให้ดู มีแต่คนดังๆทั้งนั้น
พระธรรมปิฎก เจิมศักดิ์ คุณหญิงชดช้อย อานันท์ ปันยารชุน ใครต่อใคร แหมคนดังทั้งนั้น
อาตมาคิดว่า อาตมาคงไม่ไปดีกว่ามั๊ง
เพราะว่าเราเนี่ย
๑. เราเล็ก
๒. ถ้าจะให้ใช้วิธีของเราเนี่ย มันยาก
๓. วิธีการของเรา ถ้าจะสร้างสันติภาพ ด้วยการพากันมาจน แล้วเขาจะมาได้เหรอ
มันรู้สึกว่า จะเสนอเข้าไปไม่ได้เรื่องอะไรหรอก
ให้เขาเสนอกันดีกว่า คงมีอะไรใหม่ๆ อะไรดีๆ เยอะ สำหรับเรานั้น อาจจะใหม่
แต่ตกกระป๋อง มันมีตัวอย่างก็จริง แต่ตัวอย่างเล็กๆ และ ก็ยากด้วย แล้ววิธีการ
ที่จะสร้างสันติภาพให้แก่สังคม ต้องเป็นวิธีบุญนิยม หรือ วิธีต้องมาจน แล้วมันจะยังไง
เขาจะเอาหรือ เสนอไปแล้ว แฮ่ะๆ ดี แต่เอาไว้ก่อน เรามาทำของเรา ไปเรื่อยๆ
ดีกว่า อาตมาว่า ก็ขอดู ก่อนนะ เขาบอกว่า จะมาคุยส่วนตัว..... หลังจากนี้ไป
พ่อท่านพูดถึง ที่บ้านราชฯ ก็มีกลุ่มกรีนเวย์ จากหลายๆ ชาติ มาอบรม แล้วก็เลยไปพูดเรื่องฉลองน้ำ
ท่วมหรือไม่ท่วม ก็จะฉลอง จากนั้น พ่อท่าน ก็บอก เล่าเรื่องเรือต่างๆ เรือที่จะเอาไปไว้บนภูเขา
ทำเป็นร้านค้า แล้วก็กลับม าตอบคำถาม เรื่องสุขภาพ พ่อท่าน ก่อนฉันอาหาร
ทั้งหมดนี้ เป็นภาพคร่าวๆ ที่พ่อท่านได้พูด หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ เพิ่งผ่านไป
ไม่กี่ชั่วโมง
๒๖ ก.ย.๔๕ ที่ราชธานีอโศก ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าว
เรื่องเงินที่ถูกไฟไหม้ในร้านน้ำใจนั้น จากยอดทั้งหมด ๒ แสนเศษ ทางเราได้ส่งหลักฐานต่างๆไปให้ทางธนาคารชาติตรวจสอบ
เพื่อใช้สิทธิ ยื่นขอเงินทดแทน เงินที่ถูกไฟไหม้ ตามระเบียบปฏิบัติ ที่ธนาคารชาติได้ให้สิทธินี้
กับประชาชนไทยทั่วๆไป อยู่แล้ว ผลปรากฏว่า ธนาคารชาติ สามารถจ่ายเงินทดแทน
ให้ได้ถึง ๘๕,๐๐๐ บาท
ซึ่งพ่อท่าน แนะให้ผู้แจ้งข่าว ติดต่อกับทางธนาคารชาติ
ขอรับเอาหลักฐานธนบัตร และ เหรียญต่างๆ ที่ถูกไฟไหม้นั้น มาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของเรา
เพื่อจะได้เป็นอนุสติ เตือนใจ ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ อีกหน้าหนึ่ง ของชาวอโศก
งานบุญข้าวประดับดิน
๖ ก.ย. ๔๕ ที่ราชธานีอโศก วันนี้พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงธรรมในงานบุญข้าวประดับดิน
ซึ่งจัดบริเวณร่มไม้ ข้างพิพิธภัณฑ์ อุบลราชธานี เนื่องจากถนนทางเข้าออกหมู่บ้านราชธานีอโศก
ทั้งทางด้าน หมู่บ้านคำกลาง และทางด้านหมู่บ้านกุดระงุม น้ำท่วมถนนขาดหลายช่วง
รถทั้งเล็ก และ ใหญ่ ไปมาไม่ได้ ต้องใช้เรือแล้วไปต่อรถที่หมู่บ้านคำกลาง
ก่อนออกเดินทาง ฝนตก ต้องใช้พลาสติกกันฝน
ลงเรือเล็ก (เครื่องหางยาว) แล้วไปต่อ เรือใหญ่ ที่ท่าเรือ ชั่วคราว ใกล้ๆป่ายาง
ด้วยน้ำยังท่วมไม่มากพอ ที่จะใช้เรือใหญ่ เข้ามาในบุ่ง ภายในหมู่บ้านได้
ลงจาก เรือใหญ่ ขึ้นรถต่อไปพิพิธภัณฑ์ อุบลราชธานี ฝนยังตกปรอยๆ งานไม่ต่าง
จากปีที่แล้ว ซุ้มร้านค้า ของชาวบ้าน ดูไม่คึกคัก ไม่ค่อยมีคนสนใจ มางานนี้
เท่าไหร่นัก ทั้งลักษณะงาน สภาพสถานที่ ไม่มีส่วน ดึงดูดใจรสนิยมของคนเมือง
แม้จุดมุ่งหมาย ของการจัดงาน จะเป็นไปเพื่อส่งเสริม และอนุรักษ์ ขนบธรรมเนียม
ประเพณี วัฒนธรรมที่ดีๆที่มีมาแต่โบราณ อีกทั้งส่งเสริม ผลผลิต ของชาวบ้าน
หรือ ภาษาสมัยใหม่ "วิสาหกิจชุมชน" ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มชาวบ้าน
ที่ได้รับการช่วยเหลือ จากกองทุน ชุมชนเพื่อสังคม (SIF) ขณะที่กลุ่มชาวบ้านเอง
ที่มาออกร้านร่วมงาน ก็ดูบางตา ไม่คึกคัก เท่าที่ควร ทั้งๆที่เป็น กลุ่มเป้าหมาย
เป็นเนื้องานนี้โดยตรง อาจเป็นเพราะ อยู่ในช่วงฤดูฝน ต้องดูแลพืชผล ดูแลไร่นา
หรือเปล่า จึงทำให้ชาวบ้านเอง ก็มาร่วมงานน้อย
โชคดีที่ฝนหยุดตกก่อนเวลาที่พ่อท่านจะแสดงธรรม
แม้กระนั้นผู้มาฟังธรรม ก็มีประมาณ ๗๐ คน เป็นญาติธรรม ๒๐ คน ถ้านับชาวบ้าน
ที่เฝ้าอยู่ตามซุ้มขายสินค้า รอบๆบริเวณ ก็ประมาณ อีก ๑๐๐ คน รวมทั้งหมด
ก็ประมาณ ๑๗๐ คน พิธีกร พูดนำไปเรื่อยๆ เป็นภาษาอีสาน มีหลายคำ ที่ใช้คำศัพท์
ของอีสาน ข้าพเจ้าฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
พ่อท่านเทศน์ก็ใช้ภาษาอีสานเช่นกัน
แต่ดูจะฟังง่ายกว่า ไม่มีศัพท์เฉพาะที่ยากเกินไป เริ่มจาก การอธิบาย คำชื่องาน
บุญข้าวประดับดิน แล้วก็พูดถึงชื่อฉบับ น.ส.พ.เราคิดอะไร เล่มใหม่ "บูรณาการเศรษฐกิจ
แต่ลืมจิตและคุณธรรม ยังคงกร่ำโลกีย์ โลกไปไม่รอด" เข้าใจว่า เป็นภาษาสำนวน
ที่ทักเตือน ผู้บริหาร บ้านเมือง โดยตรง ซึ่งพ่อท่าน ก็นำมาอธิบาย เตือนชาวบ้านไปด้วย
ที่ไม่ลืมพูดถึง ก็คือ คุณค่า ของการเป็นคน มักน้อยสันโดษ แล้วก็ไปจบที่
คนวรรณะ ๙ แม้จะเป็นเรื่องยาก โดยภาษา และความหมาย แต่พ่อท่าน ก็มีฉันทะ
ในการพูดเรื่องยาก ให้ชาวบ้านฟังได้เสมอ
กระทรวงพุทธศาสนา?
๘ ก.ย.๔๕ ที่ราชธานีอโศก ๒๑ นาฬิกาเศษ พ่อท่านและสมณะชัดแจ้ง พายเรือไปพัก
จำวัดที่เรือ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ โทรมาฝากเรื่อง ปรึกษาพ่อท่าน ๒ เรื่อง
เรื่องแรก สว.กำพล ภู่มณี ประธานคณะอนุกรรมาธิการ กิจการพุทธศาสนา วุฒิสภา
นิมนต์ สมณะ เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ไปร่วมระดมสมอง (Work Shop)
ที่รัฐสภาในวันอังคารที่จะถึงนี้ โดยมีพระ ในปกครอง ของมหาเถรสมาคม
หลายรูป ร่วมด้วย เรื่องที่จะพูดคุยกันคือ การตั้ง กระทรวงใหม่ เกี่ยวกับศาสนา
พ่อท่านจะเห็นอย่างไร? เรื่องที่สอง กลุ่มราชาโยคะ ได้มารบเร้า คะยั้นคะยอ
นิมนต์ให้ไปอินเดีย หนึ่งอาทิตย์ เพื่อดูผลงาน จากการทำความสงบ เพื่อสันติภาพ
เรื่องนี้สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ฝากบอกความเห็นส่วนตัว มาด้วยว่า ใจไม่อยากไป
ด้วยเกรงว่าจะเสียธรรม เพราะดูเขา จะมีลักษณะ อย่างเทวนิยม เข้ามาปนอยู่
แต่ก็ไม่รู้ จะหาคำปฏิเสธเขาไปอย่างไรดี จึงออกตัวกับเขาไปว่า ตนเองเป็นผู้น้อย
มีหมู่มีคณะ ต้องขอ ปรึกษา ความเห็น ของผู้ใหญ่ดูก่อน ซึ่งทั้งสอง เรื่องนี้พ่อท่านเห็นอย่างไร
ก็ยินดี จะปฏิบัติตาม ทุกอย่าง
วันรุ่งขึ้น ๙ ก.ย. ทราบว่าสมณะเพาะพุทธ
จันทเสฏโฐ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับพ่อท่าน โดยตรงแล้ว ซึ่งพ่อท่านบอกเล่า
ให้ฟังคร่าวๆว่า กรณีเรื่องที่หนึ่ง พ่อท่านอนุญาต ให้ไปร่วมได้ อย่างสังเกตการณ์
ส่วนเรื่องที่สองนั้น พ่อท่านเห็นว่า เป็นความคิดกว้างๆใหญ่ๆ ซึ่งไม่เหมาะ
กับพวกเรา ที่เล็กๆน้อยๆ ให้หาทาง ปฏิเสธไปเสียดีกว่า
๑๕ ก.ย.๔๕ ที่สันติอโศก หลังจากรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
ให้จัดตั้ง กระทรวง พุทธศาสนา พ่อท่านให้ผู้ที่ช่วยงาน มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน
ติดต่อสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ซึ่งมีกิจอยู่ที่ กาญจนบุรี ครู่ต่อมา ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องทำงาน
ขณะที่พ่อท่าน กำลังพูด โทรศัพท์กับ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ พอจับความได้ว่า
ตอนนี้มีข้อมูลมากขึ้นว่า ความคิดเห็น ของกลุ่มที่เคลื่อนไหว ก่อตั้งกระทรวง
พุทธศาสนานั้น ค่อนข้างจะคับแคบ กับศาสนาอื่นๆ จึงควรถอนตัว ออกจากการเคลื่อนไหว
ร่วมกับ กลุ่มนั้น จะดูดีกว่า
เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ พ่อท่านได้แสดงธรรมก่อนฉันตามปกติ
แต่มีบางส่วน พ่อท่าน ได้กล่าวถึง ความเคลื่อนไหว ที่จะให้ตั้งกระทรวงพุทธศาสนา
ที่กำลังเป็นข่าวอยู่
"...นี่จะไปรณรงค์กันวันที่
๑๗-๑๘ นี่จะไปตั้งม๊อบกัน จะให้รัฐต้องตั้ง ชื่อกระทรวงใหม่ ว่ากระทรวง พุทธศาสนา
และวัฒนธรรม ไม่ยอมว่างั้น จะไปรณรงค์ ต้องให้ใส่ความนี้ คำนี้ อาตมาก็ว่า
มันจะอะไร กันนักกันหนา ตอนแรก ท่านจันทร์ ได้รับหนังสือเชิญ ไปร่วมประชุม
ในเรื่องนี้ อาตมา ยังไม่รู้ รายละเอียดนัก ก็ให้ไป พอไปแล้ว มาได้ข้อมูลรายละเอียดว่า
จะไปรณรงค์ เพื่อที่จะต่อสู้ ให้ตั้งชื่อกระทรวงนี้ว่า กระทรวงพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย
บอกว่า เลิกไปได้แล้ว ไม่ต้องไปรณรงค์ ไม่ต้องไปแย่ง ไปชิง อ้างคำว่าพุทธ
คนที่เกิดมา เป็นคริสต์ เขาก็เกิดในประเทศไทย ตั้งหลายชั่วคนแล้ว ปู่ย่าตาทวดเขา
ก็อยู่ที่นี่ เกิดที่นี่ เป็นคนไทย เป็นทั้งเชื้อชาติไทยกันแล้ว ให้ไปอยู่ที่อื่น
เขาก็ไม่ไปแล้ว แม้เขาจะเป็นคริสต์ เป็นอิสลาม หรือ เป็นพราหมณ์แล้ว เขาไม่ได้เป็นคนไทยหรือไง?
ไปตั้งกระทรวงนี้ จะมาดูแล แต่ศาสนาพุทธเหรอ! แล้วศาสนาอื่น ปล่อยปละละเลย
ทิ้งขว้างเขา เหมือนกับเขา ไม่ใช่คนไทย ทำไมใจมันแคบอย่างนี้ล่ะ เขาคิดอย่างไรของเขา
กระทรวงศาสนา ก็เขาส่วนน้อย ก็ดูแลเขาส่วนน้อย พุทธส่วนมาก ก็ดูแลส่วนมาก
ต้องเกื้อกูลกัน อยู่ด้วยกัน เป็นคน ด้วยกัน มีอะไรที่จะยึดถือ หรือเชื่อถือ
ไปห้ามความเชื่อถือ ของมนุษย์ได้ยังไง ก็เชื่อกันไป คนละอย่าง จะไปเชื่ออย่างพราหมณ์
จะไปเชื่อ อย่างคริสต์ จะไปเชื่ออย่างอิสลาม ก็เป็นไปได้ ถึงอย่างไรๆ แต่ละศาสนา
ก็พากันไปสู่ความเจริญ ไปสู่ความดีกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีศาสนาไหน จะสอน ให้ไปสู่
ความเสื่อมหรอก แต่มันมีนัยละเอียด ที่ต่างกัน ในจุด เป้าหมายสูงสุด เท่านั้นเอง
ในนัยหรือทฤษฎี ที่จะพาไปของศาสนา แต่ละศาสนา ศาสดา ก็สอนไป ในทฤษฎีอย่างนั้น
อย่างนี้ ก็อาจจะแตกต่างกันบ้าง ในรายละเอียด ส่วนในเนื้อหา ใหญ่ๆ ก็พาให้คนเจริญทั้งนั้นแหละ
จะไปรังเกียจรังงอนอะไรกันมากมาย อาตมาเคยพูดนะ พวกเราเป็นพุทธ นี่แหละ ใครอยากจะเปลี่ยนศาสนาไปอยู่คริสต์
ไปอยู่อิสลาม ก็บอกได้ อาตมา จะส่งเสริมให้ไปอยู่ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าไปอยู่คริสต์
หรือ อิสลามก็ตาม ต้องศึกษา คำสอนของ พระศาสดาให้ดีๆ แล้วปฏิบัติตัว ให้ดีๆ
อย่าไปทำให้เสียๆหายๆ......"
สังคม สัมพันธ์
ศิษย์เพาะช่าง
๒๑ ก.ย. ๔๕ ที่สมาคมศิษย์เก่าเพาะช่าง ได้จัดเลี้ยงทำบุญ เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด
อ.เฉลิม นาคีรักษ์ ซึ่งมีอายุ ๘๔ ปี พ่อท่านได้รับหนังสือแจ้งข่าวการจัดงาน
จึงเดินทางมาร่วม แต่ก่อนแต่ไร ตั้งแต่เริ่มบวช งานสังคมอย่างนี้ พ่อท่านไม่ได้ใส่ใจ
ไม่เคยมาร่วม ในระยะหลังๆ ไม่ถึง ๑๐ ปีมานี้ ดูพ่อท่าน จะออกงาน สังคมอย่างนี้อยู่บ้าง
ขณะที่การจัดงาน การจัด กิจกรรมต่างๆ ของพวกเราเอง รวมถึง ที่ต้องสัมพันธ์กับคนภายนอก
ก็ดูมีแนวโน้ม ที่ยืดหยุ่น อนุโลมมากขึ้น สีสัน แสงเสียง มีมากขึ้น ตามการเติบโต
ของหมู่คณะ
๙.๑๐ น. ถึงวิทยาลัยเพาะช่าง มีศิษย์เก่าเพาะช่างรุ่นน้องพ่อท่าน
มาทักทายต้อนรับ ทราบต่อมาว่า เป็นศิษย์เพาะช่าง รุ่นเดียวกับ คุณไม้ร่ม
และคุณไม้ป่า จากนั้นกรรมการ สมาคม ศิษย์เก่า เพาะช่าง ๒ คน สวมสูทมีตราของสมาคมฯ
มารับช่วงต้อนรับต่อ ทักคุยถึง หนังสือ ที่ส่งให้พ่อท่าน แล้วนิมนต์ ให้ไปนั่ง
ในห้องรับรองพิเศษ
คุณสุกริด ธารีนาค ทำหน้าที่ปฏิคม
ทักถามเรื่องกระแสต่อต้าน ในอดีต ปัจจุบันเป็นอย่างไร? แล้วกล่าวชมพ่อท่านว่า
เป็นผู้บุกเบิก ทำเรื่องเกษตรธรรมชาติมานาน และบอกเล่า ถึงตนเองว่า เคยไปสันติอโศก
อีกทั้งติดตามผลงาน มาตลอด ประเมินจากท่าทีดูเขามีศรัทธา คุณสุกริด ได้พูดถึง
พ่อท่านในอดีตว่า ในบรรดาศิษย์เก่าเพาะช่าง พ่อท่านมีชื่อเสียงมากที่สุด
ไม่มีใคร ไม่รู้จักพ่อท่าน เนื่องจากพ่อท่าน เป็นประธานนักเรียน และขัดแย้งกับ
อ.ประกิต (จิตร) บัวบุศย์ อยู่หลายเรื่อง "ผมยังจำได้ ท่านเขียน ท่านทำเป็นหนังสือ
แล้วท่านก็เอาไป ปิดประกาศ ที่ประตู" แต่เมื่อถามพ่อท่านว่า เป็นความขัดแย้ง
เรื่องอะไร พ่อท่านจำไม่ได้แล้ว คุณสุกริดเอง ก็บอกจำรายละเอียด ของเรื่องไม่ได้
เช่นกัน แต่หลักๆ เป็นความขัดแย้ง ที่ต่างก็หวังดี กับเพาะช่าง ล้วนเป็นเรื่องดี
ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
คุณสนั่น ศิษย์เพาะช่างรุ่นเดียวกับคุณสุกริด
เข้ามาในห้อง ประณมมือนมัสการ "เป็นมหามงคล ของโรงเรียนนะเนี่ย ที่ท่านมาเหยียบที่นี่"
แล้วบอกเล่าความดีใจ ที่ทราบว่า พ่อท่านมา "ผมไปลงทะเบียน ก็ได้รับหนังสือ
ที่ท่านเอามาแจก ก็ยังไม่รู้ว่าท่านมา เปิดดู ภายใน โอ้โฮมีเรื่องฌาน ก็เลยถามว่า
นี่เป็น หนังสือของใคร คุณเตือนใจบอก ท่านเอามาเอง ตอนนี้ก็อยู่ที่ห้องรับรองพิเศษ
จึงดีใจ อยากมา กราบท่านครับ"
ช่วงหนึ่งของการสนทนา คุณสุกริดทักถามเรื่องที่กำลังเป็นข่าว
"ตอนเขาประท้วง ให้เปลี่ยนชื่อ ที่หน้าทำเนียบนี่ ท่านเห็นอย่างไร?ครับ"
(เรื่องเสนอ ให้ตั้งกระทรวง พุทธศาสนา และ วัฒนธรรมไทย)
"อาตมาก็ดูข้อมูล ก็เห็นว่ามันไม่น่าจะไปทำอะไรอย่างนั้น
ให้เป็นเรื่องวุ่นวาย" พ่อท่าน ตอบสั้นๆ
ครู่ต่อมา พ่อท่านและปัจฉาฯ ได้รับนิมนต์ให้ไปนั่ง
ในห้องที่จัดงานนี้ มีพระสงฆ์ ๙ รูป กำลังรอ ประกอบพิธีกรรม (สวดมนต์) มีวงดนตรีไทย
อยู่บนเวทีอีกด้าน ศิษย์เก่าที่มาร่วมงาน มีประมาณ ๑๐๐ คน ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นน้องพ่อท่าน
คุณเปล่งศรี (งามอรุณ) สุขเกษม ก็มา คุณสุเทพ วงค์คำแหงก็มา เดินผ่านไป ยกมือไหว้
ทักทายคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไป เหมือนคน ไม่รู้จักกัน พ่อท่านเอง ก็ไม่ได้ส่งเสียง
ทักทายอะไร หรือพ่อท่านเกรงใจ ที่หากทักทาย คุณสุเทพ จะลำบากใจ ที่จะต้องมานมัสการ
พูดคุยด้วย เพราะตั้งแต่ เกิดกรณี ในพรรค พลังธรรม เมื่อหลายปีก่อนโน้น คุณสุเทพก็มีท่าทีเปลี่ยนไป
เมื่อพบเจอ ในงานศพต่างๆ ก็ไม่ทักทาย เช่นแต่ก่อน ที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ตอนมาช่วยร้องเพลงให้
คุณสุเทพเคยโอบกอด และ พูดคุยกับพ่อท่าน อย่างคนคุ้นเคยสนิทสนม
อ.เฉลิม ไม่สามารถมาร่วมงานได้ มีผู้ให้ข่าวว่า
ป่วยกะทันหัน ศิษย์เก่าที่มาประมาณ ๑๐๐ คนนั้น ก็ไม่ได้รู้จักกัน ทั้งหมด
จึงเห็นจับกลุ่มคุยกัน เป็นกลุ่มๆเฉพาะที่รู้จักกัน ที่รู้จัก และ มีท่าที
ที่ดีต่อพ่อท่าน หลายคน เข้ามาทักทาย บางคนมาก็ทักถามว่า จำเขาได้ไหม ซึ่งพ่อท่านเอง
ก็จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง ก็ไม่ได้เจอกันมา ๔๐ กว่าปี ขณะที่หลายคน ชมพ่อท่านว่า
ดูไม่เปลี่ยน ดูยังไม่แก่เท่าไหร่
กิจกรรมของงาน ไม่มีอะไรมากเลย ร่วมฟังพระสวดมนต์
และรับการประพรมน้ำมนต์ จากพระ หลังเสร็จ พิธีกรรมของพระ พ่อท่านให้จัดหนังสือ
ที่นำมาถวายพระ ๙ รูป ร่วมกับของถวายอื่นๆ จากนั้น ก็เป็นการ ถวายอาหารเพล
แก่พระสงฆ์ ต่อด้วย การรับประทาน อาหารเที่ยง ของบรรดาศิษย์เก่า ที่มาร่วมงาน
ในระหว่างนี้ มีคนแวะเวียนมา พูดคุย ทักทาย พ่อท่านอยู่บ้าง วงดนตรีไทย ก็บรรเลงกันไปเรื่อย
ทั้งหมดเคลื่อนย้ายไป ที่หอศิลป์เพาะช่าง
เพื่อร่วมเป็นเกียรติ ในงานเปิดแสดง ภาพวาด ผลงาน ของ ศิลปิน เพาะช่างต่างๆ
มีการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ ของการจัดงาน วันเฉลิม นาคีรักษ์ ก่อนเปิดห้อง
แสดงภาพ มีการตัดริบบิ้นส์ เปิดงานเข้าไปชม ผลงานภาพเขียนต่างๆ ผู้มาร่วมงาน
ส่วนใหญ่ ก็มีผลงาน ของตน มาแสดง ภาพวาด ภาพเขียน ของ อ.เฉลิม อยู่ด้านหน้า
บางภาพ เขียนวาดตั้งแต่ปี ๒๔๙๖ โน่น
ก่อนกลับคณะกรรมการสมาคมศิษย์เก่าฯ
ขอถ่ายภาพร่วมกับพ่อท่าน ที่ด้านหน้าวิทยาลัย เพาะช่าง
คนเก่าแก่ แต่ทิฏฐิเป็นเทว
นิยม พ่อท่านสอนอย่างไร?
๒๓ ก.ย. ๔๕ ขณะเดินทางออกจากสันติอโศก
เพื่อไปเยี่ยมญาติธรรมรุ่นเก่าแก่ ที่ห่างเหิน วัดวามานาน และชราภาพมากแล้ว
ระหว่างอยู่ในรถ ได้รับโทรศัพท์ จากญาติธรรมรุ่นเก่า ที่เตรียมตัว จะไปเยี่ยมเยียน
เช่นกันว่า ญาติธรรมรุ่นเก่าแก่นั้น เสียชีวิตแล้ว เมื่อเช้านี้เอง ครู่ต่อมา
พ่อท่านบอกเล่าว่า เมื่อคืนลูกสาว ของผู้ตาย ซึ่งก็เป็นญาติธรรม รุ่นเก่าแก่ด้วยกัน
ได้โทรศัพท์มาบอก ขอให้พ่อท่าน ส่งสมาธิมาช่วย ให้คุณพ่อ จากไปอย่างสงบด้วย
ฝ่ายรับ โทรศัพท์ เมื่อคืนไม่รู้จัก จึงวิจารณ์ว่า ผู้โทรศัพท์มาบอก คือลูกสาวผู้ตาย
ยังมีความคิด ที่เป็น มิจฉาทิฏฐิอยู่ "กรณีอย่างนี้ พ่อท่านจะสอนเขาอย่างไร?"
ข้าพเจ้าถาม
"ก็บอกความจริงให้เขาได้รู้
มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อเขายังมีความติดยึดอย่างนั้น ไม่ใช่เขา ไม่รู้นะ
เขาก็รู้ แต่ใจเขาติดอย่างนั้นน่ะ แม้แต่กรรมการมูลนิธิของเราบางคน ก็ยังมีทิฏฐิ
เป็นเทวนิยม อยู่บ้างเหมือนกัน" พ่อท่านตอบ
เมื่อมีการพูดถึงผู้ที่มักบอกสอนผู้อื่น
ด้วยกิริยาและวาจาที่แรงๆ หลายคนก็พอใจได้ประโยชน์ แต่หลายคน ก็รับไม่ได้
"แล้วคนที่มีจริตทำอะไรก็จะแรงๆอย่างนี้
ถ้าเขาเกิดไปทำอะไรผิดๆบ้าง พ่อท่าน จะบอก สอนเขา อย่างแรงๆ ด้วยหรือเปล่า"
ข้าพเจ้าถาม
"ตอบตายตัวไม่ได้ อยู่ที่คน
และสถานการณ์ขณะนั้น" พ่อท่านตอบสั้น
เลี้ยงสัตว์...เป็นบุญหรือบาป?
๒๙ ก.ย.๔๕ ที่สันติอโศก วันนี้เป็นวันอาทิตย์ จากบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรมก่อนฉัน
ย้ำสัจธรรม ที่ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม ที่ต่างจากศาสนา ที่เป็นเทวนิยม หลายประการ
ทั้งหลักธรรม คำสอน และการปฏิบัติ ซึ่งพ่อท่านได้อธิบาย การปฏิบัติมรรคองค์
๘ แล้วก็ มีประเด็น เรื่องการเลี้ยงสัตว์ พ่อท่านแวะเผื่อ ญาติธรรมหลายคน
ที่ยังพอใจยินดี กับเลี้ยง หมาบ้าง แมวบ้าง ฯลฯ
".....พวกเรามีตัวหลอกอันหนึ่ง
คิดว่าเรามีบุญคุณกับสัตว์ เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว ที่จริงคุณกำลัง สร้างความเลว
ให้กับมัน ทำให้มันเป็นหนี้ ไม่พึ่งตน คุณจะมีคุณแก่สัตว์ มันก็จะมีจิตเกี่ยวพัน
ผูกมัดกัน และกัน
คนไหนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ก็จะมีหมาๆแมวๆเป็นบริวาร
ยังไปไม่ถึงไหนหรอก ถูกหมา ถูกแมว ดึงไว้หมด พระพุทธเจ้า ตราไว้ในพระไตรปิฎก
จุลศีล ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ท่านก็เป็น ตัวอย่าง
การไม่เข้าใจเรื่องนี้ ว่าเป็นสิ่งที่เราควรงดเว้น
ก็เท่ากับว่า เรายังปฏิบัติสัมมาทิฏฐิไม่ตรง ธรรมะมัน ซ้อนลึก เหมือนเรานี่ยิ่งใหญ่
เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูสัตว์
แต่เมื่อเราเลี้ยงเขา ทำให้เขาลืมสัญชาตญาณดั้งเดิม
จึงพึ่งตนเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาตมา จะเลี้ยง พวกคุณ อาตมาจะไม่เลี้ยง
อย่างคุณเลี้ยงสัตว์ อาตมาจะเลี้ยง ให้คุณแข็งแรง เลี้ยงตนให้รอด แล้วให้คุณ
ไปเลี้ยงผู้อื่น ไม่ใช่แค่หาอาหาร มาเลี้ยงอาตมา
เพื่อที่อาตมาจะเอาเวลาไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า
ซึ่งพวกคุณยังทำไม่ได้"
ความไม่โลภ...ไม่อยากใหญ่...ไม่อยากมีมาก...
ทำให้ทุกอย่างลงตัว...ดี!
๒๙ ก.ย. ๔๕ ที่สันติอโศก
เสร็จจากการประชุม ๕ องค์กร คุณภูมิบุญ(โย่ง)
พาคุณหวัง ชาวจีนไต้หวัน ที่มาลงทุนเปิดโรงงานยาสมุนไพรในไทยมากราบพ่อท่าน
เนื่องจาก เพื่อนร่วมหุ้น โรงงานยาสมุนไพร เสียชีวิต ทำให้เมียของเพื่อนที่เป็นคนไทยขอเลิกกิจการ
ทรัพย์สมบัติ ที่เป็นอาคาร โรงงาน ตกเป็นของ เมียเพื่อนคนไทย ส่วนเครื่องจักรกล
ในการผลิตยา เป็นของ คุณหวัง ตอนแรก คุณหวังคิดหาทางออกเป็น ๓ ทางเลือก ๑.
ขายเครื่องให้จีน ๒. ขายเครื่อง จักรกลนี้ ให้โรงงานในไทย ๓. เอาเครื่องมาเสริมกำลัง
ให้ปฐมอโศกในราคาถูก แต่หลังจาก ที่คุณหวังได้มาสัมผัสปฐมอโศก ๓ ครั้งแล้วรู้สึกชอบใจ
และได้อ่าน หนังสือ ของพ่อท่าน และ ชาวอโศก ที่เป็นภาษาจีน รู้สึกศรัทธา
และเห็นว่า พ่อท่านนี้ยิ่งใหญ่ ต่อไป ชาวอโศก จะเติบโต ขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกทึ่งและชื่นชม
ที่พ่อท่าน สามารถดูแลปกครองคน ให้มาเป็นอย่างนี้ได้ จำนวนมาก คุณหวัง จึงตัดสินใจ
เลือกแนวทางที่ ๓ และให้ข้อเสนอว่า เรื่องราคายังไม่ได้คิด จะเป็นอย่างไร
ตอนนี้ให้เอามา ใช้ประโยชน์ก่อน อนาคตอาจลดราคา หรือยกให้เลย ค่อยว่ากันอีกที
แต่เนื่องจาก เขายัง ต้องการทุน กลับคืน จึงไม่สามารถ ยกให้ได้ในตอนนี้ และเสนอกำไร
ที่ได้ ๒๐% ให้ปฐมอโศก ส่วนต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการตลาด
เขารับจะจัดการเอง และจะส่งช่าง ที่ชำนาญงาน ให้มาถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับเครื่องจักรกลต่างๆนี้
สำหรับ ปัญหา เรื่องที่ ทางศูนย์เจาะวิจัย ยาสมุนไพร ปฐมอโศก ขาดแรงงานนั้น
คุณหวังเสนอ จะออก ค่าจ้าง แรงงาน ที่เพิ่มขึ้นเอง และให้ทาง ปฐมอโศก คัดเลือกบุคคล
ที่จะรับ จะจ้างได้เอง ตามกฎเกณฑ์ ที่ปฐมอโศกพอใจ
พ่อท่านแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น ก็เมื่อเขามาเห็น ศูนย์เจาะวิจัย ยาสมุนไพ
รปฐมอโศก คนยังไม่พอกับเครื่องที่มี โรงงานก็ใหญ่ ก็ที่มีอยู่ คนยังหามาไม่พอ
แล้วจะเอา เครื่องมาใหม่อีก จะไปหาคนมาจากไหน คนที่จะมาอยู่ อย่างนี้ได้
ไม่ใช่ง่ายๆ แม้คนนอก ซึ่งเป็นชาวบ้าน ข้างเคียง เราจะจ้างมาทำงาน เราก็ต้องคัดเลือก
ซึ่งก็มี ไม่มากด้วย และมันก็ได้เท่านั้น คุณหวังยังไม่เข้าใจ ระบบบุญนิยม
ซึ่งเป็นเรื่อง ของความเต็มใจ ยินดีมาทำ ด้วยสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับ ให้มาทำ
หรือ เอาลาภมาล่อ เอาเงินมาจ้าง อย่างทุนนิยมเขา ถ้าจะเอาบุญนิยม รวมกับทุนนิยมอย่างนี้จะยาก
ปัญหา จะเยอะน่าดู คนหนึ่ง รับเงินเดือน อีกคนหนึ่ง ไม่รับเงินเดือนเลย แล้วความเป็นอยู่
อย่างเรา ไม่ใช่ จะอยู่ได้ง่ายๆนะ หากคนของเขา มาอยู่ไม่ได้ แล้วเราต้องอนุโลม
เพื่อให้เขา อยู่ได้ เราเองก็ลำบากใจ เขาเองก็ลำบากใจ ที่สำคัญ เราไม่สามารถ
ผลิตคนได้ ทันความต้องการ ของงาน ไม่ใช่ไม่เชื่อความรู้ ความสามารถของเขา
แต่เราเอง คนเราไม่พอ ที่จะมาดูแล เครื่องเหล่านี้"
วันนั้นเรื่องเครื่องผลิตยาสมุนไพรของชาวไต้หวัน
ที่จะเอามาเสริม โรงงานยาสมุนไพร ของปฐมอโศก (ศูนย์เจาะวิจัยฯ) ก็เป็นอันตกพับไป
ท่ามกลาง ความรู้สึก เสียดาย ของหลายๆ คน เพราะข้อเสนอ ของคุณหวัง ในมุมมองอย่างทุนนิยม
ก็ถือว่า เราได้ประโยชน์ อยู่แล้ว มีแต่ได้กับได้ แทบไม่ได้ลงทุนอะไรเลย
แต่พ่อท่านมอง อย่างบุญนิยม คำนึงถึง จิตวิญญาณ เป็นสำคัญ มากกว่าผลประโยชน์
ทางวัตถุ ที่จะได้รับ เมื่อไม่คุ้ม กับส่วนจิตใจ ที่จะสูญเสียไป ในระยะยาว
ก็ไม่เอา
หลายๆวันต่อมา ทราบจากทางศูนย์เจาะวิจัยฯว่า
คุณหวังเสนอผลประโยชน์ เพิ่มเติมว่า เครื่องจักรกล ทั้งหมด มูลค่า ๒๐ ล้านบาทนั้น
ให้ทางปฐมอโศก ไปเลือกดูเครื่อง ที่ศูนย์ เจาะวิจัยฯ ยังไม่มี และต้องการจะใช้
ให้ไปเลือกเอามาใช้งานได้ โดยคุณหวัง ไม่กำหนด เรื่องการผลิตว่า จะต้องได้เท่านั้นเท่านี้
ให้อยู่ที่ความสามารถ ในการผลิต ของปฐมอโศกเอง ได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น และจะช่วยจัดการ
เรื่องการตลาดให้ด้วย สำหรับเครื่องจักรกล ที่เหลือ คุณหวัง จะหาทางขาย ให้กับผู้ผลิตรายอื่นๆเอง
ไม่มีเงื่อนไข และข้อผูกมัดใดๆทั้งนั้น เท่ากับว่า เอาเครื่องจักรกล มาให้ใช้เท่านั้นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่มีส่วนบีบคั้น เร่งรัด เรื่องผลผลิต และการจ้าง คนงานใดๆ
พ่อท่านก็ไม่ขัดข้อง
ล่าสุด ทางศูนย์เจาะวิจัยฯแจ้งว่า
คุณหวังมีปัญหากับคู่กรณี ในสัญญาการแบ่งทรัพย์สิน ให้คุณหวัง เคลื่อนย้ายเครื่องจักรกล
ออกภายใน ๓๐ ก.ย.๔๕ เมื่อเลยกำหนด ในสัญญา ทางฝ่ายโน้น เขาก็ล็อค กุญแจ เอาไว้หมด
จึงขนย้ายเครื่องจักรกล ออกมาไม่ได้เลย ทางศูนย์ เจาะวิจัยฯ บอกโชคดี ที่ทางเรา
ยังไม่ได้ขุดเจาะพื้น ที่ศูนย์เจาะวิจัยฯ เพื่อรองรับ เครื่องจักร
พ่อท่าน "ดีนะที่มันเกิดเป็นเรื่องขึ้นมาก่อน
ที่จะขนย้ายมาที่เรา หากขนย้ายมาแล้ว ยังมีเรื่อง ข้อกฎหมาย ข้อสัญญาอะไรอย่างนี้
เราจะพลอยยุ่งไปกับเขาด้วย เราไม่รู้นะว่า อีกฝ่ายหนึ่ง เขามีอะไร แค่ไหน
ที่ผ่านมาเราฟังแต่คุณหวังเขาพูด เรื่องจริงๆเป็นอย่างไรแน่ เราไม่รู้ ดีแล้วล่ะ
ที่มันไม่มา เป็นเรื่องที่เรา"
ที่สุดแล้วเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร?
ไม่มีใครรู้ คุณหวังจะเป็นอย่างไร? เครื่องจักรกล จะเป็น อย่างไร? ศูนย์เจาะวิจัยฯจะมีโอกาสได้รับเครื่องจักรกล
ผลิตยาสมุนไพร โดยปราศจาก ปัญหาใดๆ ทางคดีความ เพื่อมาเสริมกำลัง การผลิตได้หรือไม่?
เป็นเรื่องของอนาคต ที่ไม่มีใคร บอกได้ แต่อย่างน้อย เรื่องนี้ เป็นอุทาหรณ์
ให้ข้อคิดที่ดี จากท่าทีของพ่อท่าน ที่แสดงถึง ความไม่โลภ....
ไม่อยากใหญ่.... ไม่อยาก มีอะไรมาก ไม่อยากได้ของของใคร ทั้งๆที่มีโอกาส
มีสิ่งล่อใจ มาตลอดว่า ข้อเสนอต่างๆเหล่านั้น ตั้งแต่ต้น ล้วนเป็นผลประโยชน์
ทางเรา ไม่ได้เสียเปรียบ อะไรเลย ถ้ามองทางวัตถุ แต่การที่พ่อท่าน เน้นให้ความสำคัญ
ต่อจิตใจคน มากกว่าวัตถุ มากกว่าผลงาน ที่จะได้รับ ทำให้ทุกอย่าง ลงตัว ไปในทางที่ดี
ปัญหา ที่อาจจะเกิด ถ้าพ่อท่านคิดโลภ....คิดใหญ่.... เห็นแก่ได้เล็กได้น้อย
แต่ปัญหาเหล่านี้ ก็ไม่เกิด ขึ้นเลย นับเป็นอีก บทเรียนรู้หนึ่ง ที่เกิดจากความจริง
ที่พ่อท่านเป็น..... "จงเห็นค่าของคน เหนือกว่าผลของงาน"
ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้
จากโอวาทปิดการประชุมชุมชนปฐมอโศก (๒ ก.ย. ๔๕) และ โอวาท ปิดการประชุม ๘
พาณิชย์บุญนิยม (๒๓ ก.ย. ๔๕)
"ในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่า
เราจะทำอะไรลงไปก็มีผลกับสังคมและการเมืองพอสมควร งานของเรา เป็นทั้งการเมือง
เป็นทั้งสังคมรอบกว้าง จนกระทั่งมีคนเปรยว่า พวกเรานี้ ขยายงาน มากเกินไป
จนคนของเรา จะไม่พอทำงาน ก็ป่วยบ้าง งานก็ทำไม่ทัน อะไรต่างๆ นานา มันก็เข้าขั้น
อย่างนั้นบ้าง เพราะฉะนั้น ก็อย่าเผลอไปต่องาน กว้างออกไป มันร้อนใจ เหมือนกันนะ
มันดี มันเจริญ เราจะถูกดึงออกไป เพิ่มงานมากเกินไป ขนาดนี้ ก็ไม่ใช่น้อยแล้ว
ปรึกษา หารือกัน ให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นจะแย่ อาตมากลัวว่า เขาจะกรูเกรียวกันเข้ามา
จะทำให ้พวกเราหนัก แล้วก็ไปไม่รอด เรื่องดีน่ะดีแน่ แต่ต้องระมัดระวัง เรื่องจะให้เราออกไป
ช่วยข้างนอกน่ะ ตัดไปได้เลย แม้เขาจะเข้ามาอบรม เรายังต้องคัดเลือก ต้องปรึกษากัน
ให้รัดกุม เพียงพอ ไม่เช่นนั้น จะไม่ไหวหมดแรงก่อน
ก็ขอขอบคุณทุกคน ขอให้พวกเราขมีขมันขึ้นหน่อย
ควรสำรวจข้อบกพร่อง แล้วปรับปรุง ขึ้นมา" โอวาทปิดการประชุม ชุมชนปฐมอโศก
และ จากโอวาทปิดการประชุม
๘ พาณิชย์บุญนิยม ดังนี้
"อาตมาเห็นความก้าวหน้าของพวกเรา
อาตมารู้สึกว่าพวกเรามีความเข้าใจ และ ขมีขมันขึ้น มากกว่าเดิม แม้แต่พาณิชย์บุญนิยม
ก็เป็นเรื่องขยายของงานไ ปสู่ประชาชน รอบกว้าง แต่อย่าลืม
ปฏิบัติธรรม ของแต่ละคน อุดมการณ์ต่างๆนานา อย่าไปหลงทิศ หลงทาง เราจะต้อง
แข็งแรง เข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ (นึกนบ คือความกตัญญู
ต้องนึก อยู่เสมอ และต้องนบน้อม ต้องนอบน้อม ต้องตอบแทน บุญคุณ ต้องเกื้อกูล
คือ เรื่องของ จิตวิญญาณ ทั้งนั้น เป็นจิต วิญญาณ อันดีงาม เป็นน้ำใจ เป็นกตัญญู
กตเวที เป็นสัมมาคารวะ เป็นการ ระลึกถึงคุณค่า) เราจะต้องทำ ให้เข้มข้นอย่างนั้นขึ้นมา
อาตมา คิดว่า พวกเราคงมั่นใจแล้วว่า เราเดินมา ถูกทางแล้ว และเป็นการถูกทาง
ที่นำหน้า สังคม ล้ำยุคเขา ไปแล้วด้วย เหลือแต่ว่า เราทำให้ แข็งแรง เข้มข้น
ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ ให้ได้ ก็ขอให้ทุกคนเอา ๖ คำนี้ ไปทำความเข้าใจ
ให้เข้าใจ"
อนุจร
(๙ พ.ย. ๔๕)
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๖ มกราคม ๒๕๔๖) |