>สารอโศก


รักแท้...ต้องพิสูจน์

..โชคชะตาชีวิต ล้วนกรรมลิขิต ไม่ใช่ฟ้าบันดาล ดิฉันเป็นอีกคนที่ลิขิตชีวิตด้วยตัวเอง ไม่เชื่อโชคเชื่อลาง แต่เชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง ดิฉันมีชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเอง เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูก ด้วยการขายของชำ

จากชีวิตที่ต้องทั้งดิ้นรน ทั้งต่อสู้เพื่อการอยู่รอดในสังคมเมืองฟ้าอมร ทำให้เกิดความเครียด ความทุกข์รุมเร้า เร่งรีบ ทำให้อารมณ์ไม่มั่นคง หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่ไม่ดีมากระทบบ่อยๆ จนแทบจะหาความสุขให้กับชีวิตไม่ได้

ดิฉันได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง จำได้ว่าเมื่อปลายปี'๓๖ มาทราบทีหลังว่า ผู้จัดรายการ ใช้นามว่า "ท่านจันทร์" ดิฉันจึงติดตาม รายการที่ท่านจัดเป็นประจำ ทำให้เรียนรู้ธรรมมะ และนำธรรมะ มาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน ของดิฉันได้

จากการที่ได้ติดตามรับฟังรายการ ในความรู้สึกของดิฉันว่า รายการนี้แปลกดี อยากรู้ว่า เป็นใคร? มาจากวัดไหน? ทำให้เกิดความสงสัย ดิฉันจึงติดตามมาจนเจอว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ ของสมณะโพธิรักษ์ อยู่ที่พุทธสถานสันติอโศก ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากบ้านดิฉันนัก ทำให้ดิฉัน เริ่มที่จะค้นหาความจริง ให้มากกว่านี้ว่า ถ้าสำนักนี้ดีจริง ทำไมจึงมีคดีความ ถ้าสำนักนี้ ผิดจริง ทำไมถึงได้มีพุทธสถาน อีกตั้งหลายแห่ง

ดิฉันจึงนำหนังสือไปอ่าน สนใจเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับชาวอโศกมากขึ้น ยิ่งติดตาม ก็ยิ่งชัดเจน มากขึ้นว่า เขาก็ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนนี่ ดิฉันจึงเริ่มปฏิบัติ ตามแนวทาง ของชาวอโศก โดยกินอาหารมังสวิรัติ และย้ายครอบครัว มาอยู่ข้างพุทธสถาน สันติอโศก

โดยที่ลูกๆของดิฉันเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับธรรมะมากมายนัก แต่ดิฉันอธิบาย ให้เขาเข้าใจ ในมุมกว้างๆ เขาก็เชื่อดิฉัน อาจด้วยเพราะความเป็นแม่ก็ได้ เขาจึงต้องย้าย ตามกันมาด้วย พอมาอยู่จริงๆ ลูกๆเขารับไม่ได้กับการที่ดิฉันมาอยู่อย่างนี้ ดิฉันจึงต้องอดทน และรอคอย รอให้เขาเห็นทุกข์ทางโลกย์ ให้มากกว่านี้

เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว ดิฉันได้เห็นข้อวัตรปฏิบัติของสมณะชาวอโศก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ได้เห็นความมีเมตตา กรุณาของท่าน ที่มีต่อลูกๆ ทำให้ดิฉันประทับใจ เคารพศรัทธา ท่านมากๆ สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาของท่าน จะหาอะไรมาเปรียบ หรือหาอะไร มาวัดค่าไม่ได้ กับความเมตตาของท่าน

เมื่อดิฉันมีทุกข์มีร้อนอะไร พ่อท่านก็ถามไถ่ ยิ่งทำให้ดิฉันภูมิใจมาก ภูมิใจที่ชาตินี้ เกิดมาได้มา อยู่ใกล้ โพธิสัตว์ อยู่ใกล้พระอาริยะ อยู่ใกล้มิตรดีสหายดี ได้ปฏิบัติ ตามแนวทางนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้น และจะกำจัดทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไรกับตัวเราเอง

เมื่อสมัยก่อนที่ดิฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ใกล้วัด ดิฉันมีแต่ทุกข์ ทุกข์ และไม่มีหนทาง กำจัดทุกข์เลย แต่พอมาอยู่ที่นี่ จากการปฏิบัติก็สามารถทำให้ทุกข์นั้นเบาบางลง ลดลง และมีผลดีต่อสุขภาพร่างกายด้วย จากที่ต้องไปโรงพยาบาลทุกเดือน ทุกวันนี้ แทบจะไม่ได้ไป โรงพยาบาลเลย นี่ก็เป็นผลจากการปฏิบัติที่ดิฉันปฏิบัติตามแนวทางนี้

จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ประโยคนี้จริงที่สุด เพราะสมัยก่อน ดิฉันเป็นคน ยึดมาก ยึดว่าต้องให้ได้ดั่งใจเรา ต้องให้เป็นอย่างนี้ ต้องให้เป็นอย่างนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เป็นดั่งจิตเรายึด ก็เลยทำให้เราเจ็บป่วยขึ้นมา ไปหาหมอรับยามากินอย่างไรก็ไม่หาย

แต่ทุกวันนี้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น พยายามปล่อย พยายามวางให้มาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่ไม่นอน มัวยึดก็ทุกข์ที่เรา ป่วยที่เรา ก็เลยทำให้จิตใจ เบาสบายมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นไป ดิฉันก็เพียรพยายามล้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของโทสะ ส่วนความอิจฉาริษยา ดิฉันไม่ค่อยมาก แต่กิเลสที่มากคือความโมโห เป็นสายโทสะ แรงมากๆ

วิธีการที่ดิฉันพยายามจัดการกับโทสะของตัวเองคือ ใช้วิธีพิจารณาว่า ถ้าเราตาย ณ วันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ มันก็ดำเนินของมันต่อไป ลูกๆเขาก็ดำเนินชีวิตของเขา ไปตามกรรม ที่เขาลิขิตเอง แล้วดิฉันจะมัวมายึดว่า เขาไม่ได้ดั่งใจเราทำไม? จะแบกทุกข์ ไว้ทำไม? ถ้าในเมื่อเขาไม่เชื่อเรา ก็ควรปล่อยเขา เพราะเราก็ให้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

ทุกๆคืนดิฉันก็จะใช้วิธีนี้ ในการขจัดทุกข์จากความยึดติดลูกๆ ทุกข์มันเกิดที่เรา ไม่ได้เกิดที่เขา เขาเป็นองค์ประกอบหนึ่งสำหรับเราในการเรียนรู้ทุกข์ และต้องหาวิธีกำจัดทุกข์ ดิฉัน ก็จะทบทวน แบบนี้ตลอด ทำให้ทุกวันนี้ เบา-ว่าง-จาง-คลาย จากความยึดติด ได้มากๆทีเดียว

บนโลกใบนี้ไม่มีเส้นทางอื่นแล้ว สำหรับการที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ ร้อยทั้งร้อย พันหมื่นแสน ก็ต้องมาเดิน เส้นทางนี้เพื่อความหลุดพ้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถหลุดพ้นถึงขั้นพระอาริยะ แต่เส้นทางนี้ก็คือ ทางรอดของ มวลมนุษยชาติ ที่จะต้องเดินไปให้ถึงเพื่อการหลุดพ้น จากความยึดติดอะไรต่างๆในชีวิต

แม้ว่าเราจะลดจะละได้เพียงเล็กน้อย แต่มันก็ได้ทุกครั้งที่เราทำ คือมันจะได้ความสงบมากขึ้น ณ เดี๋ยวนั้น ที่เราเลิกละลดได้ ไม่ใช่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ยากเลย สำหรับการที่เราอยากจะหลุดพ้น กับวังวน ของการยึด-ติด ในสิ่งที่เรายึดทั้งปวง

ภูมิคุ้มกันชีวิตในสังคมปัจจุบันนี้คือ ให้ถือศีล ปฏิบัติธรรม ก็จะสามารถ ที่จะไม่คิดสั้น จนถึงขั้นฆ่าตัวตาย แต่ถ้าไม่เรียนรู้เรื่องศีลเรื่องธรรม คนทุกวันนี้ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตตัวเอง จึงทำให้เกิดการฆ่าตัวตาย เกิดการเสพย์สารเสพติด เพราะฉะนั้น ภูมิคุ้มกันชีวิต ที่ดีที่สุดคือ การถือศีล ปฏิบัติธรรม

อันหนังสือเปรียบคือบุปผา
หอมยิ่งกว่าดอกอื่นใด
กลิ่นไม่หอมฟุ้งจรุงใจ
เท่าดอกศีลไซร้ที่ทวนลม

เคารพรัก ศรัทธายิ่ง
ปางแก้ว สุขสวัสดิ์

 

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๖ มกราคม ๒๕๔๖)