กรรมตามสนอง
ลูกเนรคุณ
หลวงพ่อเติม เมธีวังโส
ขณะนี้ท่านอายุ ๕๙ ปีแล้ว ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดทรายมูล บ้านแดงใหญ่
ต.แดงใหญ่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ท่านบอกว่าในตอนเป็นหนุ่ม ท่านได้ไปพบ ไปเห็นคนที่โดนวิบากกรรม
เล่นงานมาจนถึงตาย และอีกสามชีวิต ต้องตกระกำ ลำบาก ไปตามๆกัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นราว
พ.ศ.๒๕๐๓ ตอนนั้นหลวงพ่อยังเป็นฆราวาสอยู่ อายุประมาณ ๑๐ กว่าปี ได้พบกับ
เหตุการณ์ อันน่าสลดใจ คือ...
มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง
ผู้เป็นพ่อชื่อส่วย แม่นั้นชื่อสาย ตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้าน สหกรณ์แห่งนี้
มานานปีแล้ว มีอาชีพหลักคือ ทำนาทำไร่ เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย จำนวนมาก เอาไว้ขาย
มีลูกชายอยู่สองคน คนโตแต่งงานแล้ว ได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัว ของคนรัก ที่หมู่บ้านอื่น
ส่วนคนที่สอง ชื่อนายรอง ได้แต่งงาน กับสาวบ้านอื่น ชื่อ นางเนียน
พ่อส่วยแม่สายได้รับเอานางเนียนลูกสะใภ้คนนี้เข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน
แล้วก็เพราะ ความขยัน หมั่นเพียรในการงานของลูกชาย พ่อส่วยแม่สาย จึงรักลูกชายคนนี้มาก
หวังให้เขาเลี้ยงดู ในยามแก่เฒ่า เผื่อฝากผีฝากไข้ ในยามเจ็บป่วยบ้าง หากตายลง
ก็จะให้เขารับมรดก สืบแทนพ่อแม่ไป
นางเนียนได้ช่วยปู่ย่า
ช่วยสามีทำไร่ทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายด้วยดีเสมอมา แต่หลังจาก ห้าหกปีให้หลัง
คือปี ๒๕๐๓ สองผัวเมียผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวคือ พ่อส่วยอายุได้ ๘๘ ปีแล้ว
แม่สาย ก็แก่พอๆกันคืออายุ ๘๕ ปีพอดี ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ ก็ได้ลูกแล้ว
ถึงสองคน
ในปีนั้นนางเนียนลูกสะใภ้หลังจากมีลูกสองคนแล้ว
ก็เกิดความขี้โลภ อยากได้สมบัติ มาเป็นสมบัติของตน แต่เพียงผู้เดียว ด้วยความคิดกลัวไปว่า
พ่อส่วยแม่สาย จะแบ่งปัน สมบัติ ที่มีอยู่นี้ ให้กับพี่ชายของสามี นางเนียนจึงพยายาม
หาเรื่องต่างๆนานา ฟ้องผู้เป็นสามี อยู่เสมอๆ ด้วยการโกหกว่า "พ่อส่วยแม่สาย
มาบ่นมาด่าจู้จี้จุกจิกบ่อยๆ ฉันน่ะรำคาญ หากยังขืนบ่น ขืนว่าฉันอีก ฉันว่าควรจะแยกกันอยู่เสียดีกว่า"
นายรองต้องคอยปลอบใจเมียอยู่เสมอว่า
"ช่างแกเถอะ แกแก่มากแล้ว ทำงานไม่ได้ดังใจ แกก็บ่นไป อย่างนั้นเอง
อย่าไปถือสาคนแก่เลย"
ถึงแม้นายรองผู้เป็นสามีจะบอกจะสอนอย่างไร
นางเนียนก็ไม่ยอมท่าเดียว แถมขู่สามีไปว่า "หากพี่รอง
ไม่จัดการแยกให้พ่อแม่ไปอยู่ที่อื่น ฉันจะพาลูกๆกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ฉันนะ"
เมื่อนายรองโดนเมียพูดออกมาอย่างนี้
ถึงกับอึ้งไปเลย แล้วการทะเลาะวิวาทกัน ระหว่าง นายรอง กับพ่อ บังเกิดเกล้า
ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ เนื่องจากนายรอง กลัวเมีย จะพาลูกๆ ทั้งสอง หนีจากไป
ตอนแรกนายรองพูดกับพ่อแม่ว่า
"อยากจะให้พ่อแม่ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่อื่น"
ผู้เป็นพ่อและแม่ก็บอกว่า
"จะให้พ่อแม่ย้ายออกไปอยู่ไหน บ้านช่องเรือนชานนี้
ก็เป็นบ้านของพ่อแม่ พากัน ก่อสร้างขึ้นมา สมบัติต่างๆ แม้เรือกสวนไร่นา
วัวควาย ก็ล้วนแต่ ของพ่อแม่ หามากับมือแท้ๆ จะให้ พ่อกับแม่ ไปได้อย่างไร"
ถึงแม้ผู้เป็นพ่อจะอธิบายอย่างไร
เจ้ารองผู้หลงเชื่อคำพูดของเมีย ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง คำใดๆทั้งสิ้น มีแต่ จะดันให้พ่อแม่
ออกจากบ้านหลังนี้ไป แม้แม่สายเอง จะมาพูดขอร้อง ลูกชาย ลูกสะใภ้อย่างไร
แต่นายรอง ก็ยืนยันว่า "พ่อกับแม่ต้องออกจากบ้านหลังนี้"
ทุกเช้าทุกเย็น ก็มักจะได้ยินเสียงพ่อลูกคู่นี้ทะเลาะกันเป็นประจำ
บางครั้ง จะได้ยินเสียง ของแม่ ร้องห่ม ร้องไห้ ขอร้องว่า "อย่าไล่พ่อและแม่
ออกจากบ้านไปเลยนะ พ่อแม่ก็แก่ มากแล้ว อยู่กับพวกลูก คงไม่นาน ก็จะตายจาก
พวกเจ้าไปแล้ว พอพ่อแม่ตาย สมบัติต่างๆ ก็จะเป็นของพวกเจ้า ทั้งสอง เท่านั้นเอง"
มีอยู่หลายครั้งหลายครา
ที่พ่อและแม่ไปหาคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน เอามาอบรมสั่งสอน เจ้าลูกชาย และ
ลูกสะใภ้คู่นี้
"การที่ลูกมาดุด่าพ่อแม่
โดยมาไล่พ่อแม่ให้หนีออกไปจากบ้าน มันไม่สมควรหรอก จะเป็น บาปกรรม เป็นเวร
และเป็นภัย มาถึงตัวทีหลังนะ
บาปอะไรก็ไม่บาปหนักเท่าบาปที่ทำกับพ่อแม่
ตายไปก็จะไปตกนรกอเวจีทีเดียวนะ"
แต่นายรอง เขาก็มักจะพูดตัดบทกับผู้เฒ่าผู้แก่ไปว่า "อย่ามาพูดเลย เรื่องของบาปของบุญ
เรื่องของกรรม ของเวรนี้ บุญบาปมันไม่ขี่เกวียนสูบยามาหรอก เขาไม่กลัวหรอก"
ผู้เฒ่าพูดจาหว่านล้อมต่างๆนานาอย่างไร
นายรองก็ไม่ยอมใจอ่อน มีแต่อยากให้พ่อแม่ ทั้งสอง ออกจาก บ้านไปซะ เมื่อผู้เฒ่าพูดอย่างไรก็ไม่เป็นผล
จึงปล่อยให้พ่อลูก คู่นี้ ทะเลาะกันไป อีกเกือบจะถึงปี
พวกชาวบ้านให้ความเคารพนับถือแก่พ่อส่วยแม่สายมาก
จึงปรึกษากันว่า "หากจะให้ สองพ่อลูก คู่นี้ทะเลาะกันอยู่อย่างนี้ สงสัยผู้เป็นพ่อและแม่
จะไม่แก่ตายแน่ แต่ทว่า จะอกแตกตาย ต่างหาก"
พวกชาวบ้านจึงพากันหาไม้มาสร้างบ้านหลังหนึ่ง
ในที่สาธารณะท้ายหมู่บ้าน เป็นบ้าน หลังน้อย กะทัดรัดดี แล้วพวกชาวบ้าน ก็ไปเชิญพ่อส่วยแม่สาย
ให้มาอยู่อาศัย สองตายาย
แม้ไม่อยาก จากไป เพราะรักลูกและหลานๆทั้งสอง แต่ก็จำใจยอมจากไป เพราะอยาก
จะให้ปัญหา มันหมดไป แม่เฒ่าร้องไห้อาลัย ในบ้านช่องเรือนชาน ดูไปก็น่าสงสารยิ่งนัก
หลังจากสองตายายมาอยู่บ้านน้อยหลังนี้แล้ว
การที่จะให้สองตายาย ไปทำมา หากินเอง คงจะยาก เพราะแก่ด้วยกันทั้งคู่แล้ว
เรื่องอาหารการกินนั้น ลูกชายลูกสะใภ้ ไม่เคยหา อาหารมาให้กินเลย
เรื่องนี้จึงตกเป็นภาระ ของชาวบ้าน ทุกครัวเรือน ทุกๆวันชาวบ้าน จะพากันมาส่ง
ข้าวปลาอาหาร ราวกับว่า ตายายคู่นี้ เป็นพระอยู่ที่วัดเลยล่ะ
ในระยะที่ตายายคู่นี้ย้ายออกมาอยู่ยังบ้านหลังใหม่
หลวงพ่อเติมตอนนั้น เป็นเด็กหนุ่ม คนหนึ่ง ที่พ่อลุงแม่ป้า ได้ทำอาหารอร่อยๆ
ให้ไปส่งแก่ สองตายายคู่นี้ เป็นประจำ จึงสนิทสนม รักใคร่ท่านทั้งสอง ดุจเดียวกับท่านเป็นตา
และยายแท้ๆ เลยทีเดียว
ส่วนที่บ้านลูกชายและลูกสะใภ้ของสองตายาย
พวกชาวบ้านพากันรังเกียจ จึงไม่ค่อยมีใค รไปคบค้าสมาคม จะมีก็แต่พวกขี้เหล้า เมายา พวกนักเลงการพนันเท่านั้น ที่ไปคบหาสมาคม
นอกนั้น ก็เป็นพวกมาหาซื้อ วัวควายเท่านั้น ที่ไปมาหาสู่
หลังจากสองตายายคู่นี้ได้ย้ายออกมาเป็นปีที่สาม
คือปี ๒๕๐๗ ในปีนั้นพอถึงฤดูหนาว อากาศ จะหนาวมาก พอตกตอนเย็น พวกชาวบ้าน
จะพากันก่อไฟผิงกันหนาว
สองตายายก็เหมือนกัน เมื่อบ้านน้อยอยู่ริมทุ่ง
ยามลมหนาวพัดมา ก็ไม่มีบ้านหลังอื่น บังลมหนาวให้ สองตายาย จึงพากันก่อไฟผิง
ตกดึกก็เข้านอน เป็นอยู่อย่างนี้ไม่นาน เรื่องอันน่าสลดใจ ก็เกิดขึ้น คืออากาศมันหนาวมาก
จนทำให้สองตายายคู่นี้ ทนไม่ได้ ถึงกับหนาวตาย ด้วยกันทั้งคู่ ในปีเดียวกันนั้นเอง
สองตายายตายไป ผู้เป็นลูกชายคนโตและชาวบ้าน
ช่วยกันจัดการงานศพให้ ส่วนลูกชาย คนที่สอง และนางเนียน ลูกสะใภ้ ไม่เคยมาเหลียวแลเลย
ในเรื่องการจัด งานศพพ่อแม่ ช่างใจจืด ใจดำ เสียนี่กระไรใจคน สมแล้วที่เรียกว่า
"ลูกเนรคุณ"
พอพูดมาถึงตรงนี้ หลวงพ่อเติมท่านก็พูดถึงวิบากกรรมที่ลูกทำกับพ่อและแม่ว่า
"มันเป็นกรรมหนัก (อนันตริยกรรม) ดูแต่พระมหาโมคคัลลาเถระ ที่อดีตชาติ
เคยฆ่าพ่อแม่ ตาบอดตาย เพราะคำยุยง ของเมีย ผลของบาปกรรม ส่งผลให้ไปตกอยู่ในนรก
หลายแสนปี แม้เศษบาปกรรม ที่เหลืออยู่ เมื่อมาเกิดเป็นคน ก็ยังต้องถูกฆ่า
ถูกทุบถูกตี อีกตั้ง ๑๐๐ ชาติ เลยทีเดียว"
หลังจากที่สองตายายตายไปแล้ว
พวกนักเลงทั้งหลายก็หมดความเกรงใจ อีกต่อไป จึงพากันไป ที่บ้านนายรอง และนางเนียน
เพื่อต้องการหลอกล่อ เอาทรัพย์สมบัติ ตอนแรก
ก็ทำที ไปชื่นชม ยินดีกับความมั่งมี ของสองผัวเมียคู่นี้ แล้วก็ชักชวน ให้มากินเหล้า
ฉลองกัน แล้วก็เพราะ ผัวเมียคู่นี้ ปกติก็ไม่มีใครมาสนใจ พอเห็นพวกขี้เหล้า
มาชื่นชมก็ดีใจ จัดข้าวปลา อาหาร มาให้พวกเขากินกัน
พวกขี้เหล้าเมายาก็เลยเข้าออกบ้านนี้เป็นประจำเสมอมา
ต่อมาก็ชักชวนสองผัวเมีย เล่นโบก เล่นไฮโลกัน ตอนเล่นใหม่ๆ พวกนักเลงการพนัน
ทำทีเป็นเล่นเสีย เพื่อเป็นการอ่อยเหยื่อ ให้สองผัวเมีย คู่นี้ตายใจ ตกหลุมพราง
ที่นายพราน วางดักเอาไว้ แล้วเขาก็ชักชวน ให้ออกไปเล่น กันที่อื่น
ในการเล่นการพนันของนายรอง
เขาถือว่ามีเงินจากการขายวัวควาย ขายข้าวของต่างๆ เขามักจะลงพนัน ทีละมากๆ
เมื่อได้ก็จะได้มาก แต่ถ้าเสีย ก็เสียมากเหมือนกัน
ยามใดเล่นได้ เขาก็จะเอาเหล้ามาดื่มฉลองกัน
แต่พอยามใดเล่นการพนันเสีย เขาก็จะบอกว่า เอาเหล้ามาดื่มแก้กลุ้ม วันนี้ดวงไม่ดีเลย
เป็นอยู่อย่างนี้เสมอมา ไม่นานเขาก็ติดเหล้า ติดการพนัน อย่างงอมแงม
หลายปีต่อมา ข้าวของเงินทองที่เขามีอยู่ก็ร่อยหรอลง
วันใดที่เล่นการพนันเสีย เขาก็จะกู้ ยืมเงิน เพื่อนๆ ในวงการพนันนั้น แล้วก็จะบอกว่า
"หากผมไม่มีเงินให้ ก็ไปจูงเอาวัว เอาควาย ผมได้เลยนะ"
เมื่อเขาได้เงินจากการกู้ยืมมาแล้ว
ก็จะทุ่มลงไปไม่อั้น เพื่ออยากจะได้เงินที่สูญเสียไป ให้คืนมาเร็วๆ เพียงไม่นานเท่าไหร่
เงินที่กู้ยืมเขามา ก็หมดไป แล้วก็จะมีคน มาจูงเอาวัว หรือควาย ออกไปจากคอก
ครั้งละตัวสองตัว นานวันเข้า วัวควายที่เคยมีอยู่
เป็นร้อยๆตัว ก็ทยอย หมดคอก เพราะผีการพนันเข้าสิง
"ก็เป็นธรรมดานะ"
หลวงพ่อเติมว่า "ในเมื่อทรัพย์สมบัตินี้โกง เอามาจากพ่อแม่ พวกนัก การพนัน
ก็มาโกงต่อ มันเป็นวิบากกรรม ของนายรองเขา เสมือนหนึ่ง กงกรรมกงเกวียน หมุนวน
หมุนเวียน
เมื่อโดนผีการพนันเข้าสิงสู่เสียแล้ว
แม้ลูกและเมียจะบอกกล่าวอย่างไรว่า "อย่าไปเล่นเลย การพนันน่ะ เขาเป็นเซียนการพนัน
แล้วเราจะไปสู้เขาได้เหรอ! เลิกเสียเถอะพี่" นางเนียน บอกกล่าว กับผู้เป็นสามี
เขาไม่ยอมฟังเสียงใครๆทั้งสิ้น
ในใจมีแต่เสียดายทรัพย์สินที่เสียไป อยากได้คืนมา เหมือนเดิม เขากลุ้มใจ
กินเหล้าหนักขึ้นไปอีก ข้าวปลาอาหารก็ไม่ค่อยกิน
การงาน ก็ไม่เป็นอันทำ พอถึงตอนเย็น เขาก็จะเดิน ออกจากบ้าน เพื่อไปยังบ่อน
การพนันเถื่อน ที่พวกนักพนัน พากันเปิดบ่อน แอบเล่นกัน ในหมู่บ้านนั้นเอง
พอเขาไม่มีวัวควายเอามาจำนองเล่นการพนันแล้ว
ก็หันมาเอาไร่ เอานา เอาสวนไปจำนอง การพนันลงได้เล่น
มีแต่ได้กับเสีย ไม่นานไร่นาสวน ก็หมดไป
ทุกคืน.....พวกชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกัน
เรื่องทรัพย์สมบัติ ที่ผัวเอาไป สูญหายกับ การเล่นโบก เล่นการพนัน นายรองขี้เมา
ก็มักจะพูดกับเมีย อยู่เสมอว่า "ขอแก้มือ อีกสักครั้ง จะขอเอา สมบัติ
ที่สูญเสียไปนั้น คืนมาให้หมด"
แต่นางเนียนก็มักจะพูดว่า
"พอๆ พอแล้ว อย่าเล่นอีกเลย เดี๋ยวบ้านช่องเรือนชาน ก็ไม่มี อยู่หรอก"
แต่นายรอง โดนวิบากกรรมบังตา บังใจเอาไว้เสียแล้ว เขาถือว่า ทรัพย์สมบัติต่างๆ
ที่เอาไปเล่น มันเป็นทรัพย์ ของพ่อแม่เขา
แล้วเขาก็เอาที่ดินที่อยู่อาศัย
พร้อมบ้านไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาเล่นการพนันแก้มือ
พอเล่นได้ เขาก็เอา เงินนั้น ไปซื้อเหล้า มาแจกเพื่อนๆ ที่เล่นการพนันนั้นกิน
แล้วก็พากัน เล่นการพนันอีก ก็คนเมาเหล้า มีหรือจะไม่ถูก โกงการพนัน ไม่นานเงินที่ได้
จากการจำนองบ้าน และที่ดิน ก็หมดไป
เขากลุ้มใจหนักขึ้นไปอีก
กินเหล้าเมามายทุกวัน พอเมาแล้วก็เหมือนคนเสียสติ มักจะพูดว่า "เอาสมบัติของกูคืนมา
เอาสมบัติของกูคืนมา"
และแล้วคืนวันหนึ่งในฤดูหนาวของปี
๒๕๑๓ เขาได้เดินหายออกจากบ้านไป พร้อมกับ ความเมาเหล้า อย่างเต็มที่ มันเป็นคืนที่เขาจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก
ชั่วชีวิตนี้
ตอนเช้ามีคนไปพบว่า เขาได้กลายเป็นศพ
นอนหนาวตายอยู่ข้างทางในหมู่บ้านนั้นเอง สันนิษฐานว่า เขาเมาหนัก
ไม่มีแรงเดิน จึงยึดเอาข้างถนนเป็นที่หลับนอน และเพราะ ความหนาวเย็น ของฤดูหนาว
เขาจึงหนาวตาย ในที่สุด
"นี่แหละหนอ กรรมที่เขาเคยทำเอาไว้กับพ่อแม่อย่างไร
ผลของกรรมนั้น มันก็ย้อน มาสนองเขา เช่นกัน"
หลวงพ่อเติมกล่าว
ส่วนนางเนียน บัดนี้ทรัพย์สมบัติที่เคยขี้โลภโกงเอามานั้น
มันได้อันตรธานหายนะ ไปหมดแล้ว แม้กระทั่ง นายรองสามีของนาง ก็มาตายไป นางเนียน
จึงพาลูกน้อยทั้งสอง หอบหิ้ว กันเดินทาง กลับไปอยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านเก่า
นี่ล่ะคือ ผลกรรม ความขี้โลภ ของลูกเนรคุณ
ก่อนจากหลวงพ่อเติมได้ฝากคติธรรมเอาไว้เตือนใจคือ
เกิดเป็นคน จนหรือมี
ดีหรือชั่ว
อยู่ที่ตัว เราทำ กรรมสนอง
หากทำดี ดีส่ง คงเรืองรอง
ทำชั่วต้อง ได้รับกรรม ที่ทำมา
ก่อแก่น
(ปล. เพราะเป็นเรื่องราวชีวิตจริง
และไม่ต้องการให้ใครได้รับความเสียหาย ผู้เขียน จึงต้องขอ สมมติ ชื่อใหม่
ให้แก่ ทุกคน ในครอบครัวนี้)
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๖ มกราคม ๒๕๔๖) |