หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >สารอโศก

คิดได้


๑๒ ส.ค. การจัดงาน วันแม่จะมีขึ้นทุกๆปีเป็นประจำ ที่โรงเรียนข้าพเจ้าก็เช่นกัน ในงานจะมี ผู้ปกครองโดยเฉพาะคุณแม่ ก็จะมาร่วมกันคับคั่ง แต่ข้าพเจ้ากลับไร้ ซึ่งแม้แต่เงาใคร บางคน......

ความเหงา ความเดียวดายเปล่าเปลี่ยว ได้ถาโถมเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่างหนัก หมดแรง ท้อแท้ ขาอ่อนกำลัง พาเดินไปอย่างไร้จุดหมาย สมองอื้ออึงสับสน เสียงตำหนิ ผุดออกมา จากสมอง ข้าพเจ้า

"แม่เธอน่ะตายไปตั้งนานแล้ว"
"แกมันลูกไม่มีพ่อ"
"เก็บมันมาจากถังขยะแหละ สันดานเลยไม่ดี"

ภาพในตอนเด็กหวนกลับมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าจำได้ว่า ตอนเด็กๆนั้น ก็มีพ่อแม่กับเขา เหมือนกัน พอเริ่ม ประสีประสาหน่อย จึงรู้ทีหลังว่า เขาเหล่านั้น ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง ด้วยความเป็นเด็ก จึงคิดว่า "อย่างนี้นี่เอง มิน่าถึงได้ดุด่า ตีเราทุกวัน"

ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่อบอุ่นเท่าไร พ่อมีอาชีพถีบสามล้อ แม่จะรับจ้างทั่วไป เช่น เด็ดพริก ๒๐ กิโล ได้ ๒๐ บาท บางครั้งก็มีเงิน ประทังชีวิตแค่ ๒๐ บาทต่อวันเท่านั้น ส่วนพ่อนั้น เงินที่ได้ จากการถีบสามล้อ ก็หมดไปกับสุราและบุหรี่ หาเงินมาได้ ก็จะนำไปเลี้ยง เพื่อนฝูงจนหมด บางวันค่าเช่าบ้าน ก็ไม่ได้จ่าย ซึ่งค่าเช่าบ้าน จะจ่ายรายวัน วันละ ๒๐ บาทเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เรื่องเงินก็เริ่มมีปัญหา จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับแม่ ถึงขั้นลงไม้ ลงมือกัน เป็นประจำ แม่เองก็เป็นคนขี้บ่นจู้จี้ จับวงอยู่กับเพื่อนบ้านหญิง เป็นประจำ ต่อหน้าแม่ เขาเหล่านั้น ก็ทำเป็นดี แต่ลับหลังแล้ว เขาก็นำมานินทา สารพัด ข้าพเจ้า ได้เห็นแล้ว หดหู่ใจ อย่างบอกไม่ถูก บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ ก็แสนจะซอมซ่อ จะพัง แหล่มิพังแหล่ สภาพสังคม เหมือนอยู่ในสลัม อย่างไงอย่างงั้น จริงๆแล้ว ก็คือ สลัมนั่นแหละ เวลาฝนตก ก็รั่วเปียก ใส่ที่นอนจนหมด น้ำก็เจิ่งนองเต็มพื้น ชีวิตโดยรวม ของชาวชุมชนที่นี่ จะเป็นแบบ ตัวใครตัวมัน เห็นแก่ตัวค่อนข้างมาก หาน้ำใจจากที่นี่ ไม่ค่อยได้

พวกเราเป็นครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ บางวันก็อดมื้อกินมื้อ บางครั้งก็แทบไม่มีจะกิน การเงิน ก็มีปัญหาเดิม แทบไม่พอจะกินจะใช้อยู่แล้ว ก็ยังถูกหยิบยืม จากคนรอบข้าง พ่อน่ะใจกว้าง อะไรก็ได้อยู่แล้ว ส่วนแม่ ปกติขี้บ่น เป็นนิสัย พ่อทนแม่พูดพล่ามไม่ไหว จึงระเบิดอารมณ์ใส่ เมื่อต่างฝ่าย ต่างไม่ยอม ซึ่งกันและกัน ผลลัพธ์ก็คืออย่างไร ไม่ต้องบรรยายมาก ลงไม้ลงมือกัน เป็นประจำ แม่ซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อโดนใช้กำลัง มีหรือจะต้านทาน เพศตรงข้ามได้ แม่เจ็บใจมาก ทนไม่ได้ จึงระเบิดใส่ข้าวของ แล้วก็พาล ระบายอารมณ์ กับข้าพเจ้า เจ็บกายไม่เท่าไร แต่เสียใจเหลือเกิน ทำไมนะต้องเป็นเราด้วย ทำได้แค่ คร่ำครวญในอก ยากที่จะบรรยาย ออกเป็นคำพูด ได้แต่เก็บไว้ในใจตลอดมา

บางครั้งก็หาทางไประบายอารมณ์เวลาที่อึดอัด โดยการไปเดินเล่นบ้าง ไปที่ไกลๆ เมื่อสบายใจแล้ว จึงกลับมา และก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตคนอื่น ก็มีสภาพ ไม่แตกต่างกันเท่าไร อย่างเด็กข้างถนน พวกเขาเหล่านั้น ไม่มีใครใส่ใจเหลียวแล แต่ละคน บ้านแตก สาแหรกขาด ใจแตกกัน บางคนติดยาเสพติด บ้างก็ต้อง เสียตัว อย่างไม่ยินยอม ด้วยการถูกขืนใจ บ้างก็ทำไป เพราะเห็นแก่เงิน บางคนถูกจับไป เพราะข้อหา เป็นขโมยก็มี เสียดายอนาคตจริง

ทำให้คิดได้ว่า เด็กจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ก็ด้วยการขัดเกลา จากครอบครัว เป็นอันดับแรก ถ้าครอบครัวแย่ ก็จะส่งผลไปถึง บุตรหลานของตน ข้าพเจ้าเคยคิดว่า ถ้าเป็นเด็กเร่ร่อนบ้าง คงจะดี อิสระ แต่เห็นสภาพ สังคมแล้ว น่ากลัวมาก ที่จะออกไปผจญโลกเหล่านั้น ตามลำพัง อยากทำ แต่ก็ทำไม่ได้ มันน่ากลัว อันตรายเกินไป ฉะนั้น ตามบุญตามกรรม เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ขณะที่ข้าพเจ้าโหยหาความรักตลอดเวลา อยากมีพ่อแม่กับเขาบ้าง อยากมีคนรัก และให้ ความอบอุ่น แต่สิ่งที่เป็นอยู่ มันไม่ใช่ ความจริงกับความฝัน สวนทางกัน จะหมดกำลังใจ ที่จะก้าวเดิน ต่อไปอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซะก่อน "ผักไหมครับผัก ไร้สารพิษนะ จะบอกให้"

เสียงเด็กหนุ่มผู้พิการแขนและขาอย่างละข้าง แถมตาเหล่ กำลังร้องเรียก ผู้คนมาซื้อผัก ที่เขานำมาขาย เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูกะรุ่งกะริ่ง แต่ก็ไม่สกปรก อายุราวๆ ๑๒ ปี ถึงแม้ จะเป็นอย่างนั้น แต่ชีวิตเขาสู้ สู้ด้วย ความมุ่งมั่นที่จะทำ ทุกๆเช้า เขาจะเก็บผัก ที่ตนปลูกไว้ ข้างกระต๊อบ นำมาขาย ถ้าเหลือเฟือ ก็จะแจกจ่าย ผู้ไม่มีอันจะกินด้วยกัน ชีวิตความเป็นมา มีอยู่ว่า.... เขาเองเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่เช่นกัน เนื่องจาก แม่เสียชีวิต ระหว่างคลอด แม่เสียชีวิตเป็นเพราะ ต้องแลกชีวิตเพื่อเขา เป็นมะเร็งปากมดลูก ถ้าผ่าตัดก่อน แม่จะรอด แต่แม่เป็นห่วงลูก จึงให้คลอดลูกก่อน ผลสุดท้าย แม่เลยเสียชีวิต พ่อก็ต่อสู้กับ ความยากจน จนกระทั่งเสียชีวิต แม้ว่าเขาไม่ได้เห็นหน้าแม่ก็ตาม แต่โชคดี ที่ยังมีพ่อ ได้มีโอกาส เห็นความทรหด อดทนต่อสู้กับชีวิต ที่แร้นแค้น พ่อของเขา เป็นคนดี ทำทุกอย่าง ที่สุจริต เพื่อหาเงินมารักษา ความพิการ ของเขา ตั้งแต่เกิด แต่อนิจจา พ่อได้ลาลับโลก เมื่อเขาอายุ ๘ ขวบเท่านั้น ได้แต่ทิ้ง กระต๊อบหลังโทรมๆ หลังหนึ่ง ไว้เป็นมรดก แต่มรดกชิ้นสุดท้ายจริงๆ ที่พ่อได้ทิ้งให้เขาคือ คุณธรรมความดีงาม ที่เป็นตัวอย่าง แก่คนรุ่นหลัง

เขาไม่เสียใจเลยที่ชีวิตต้องมาเป็นแบบนี้ เพื่อนบ้านก็จะมาดูแลบ้าง ตั้งแต่เล็กๆ ก็สู้ชีวิต มาตลอด ทำทุกอย่างที่ทำได้ ไม่อายที่ไม่มีใคร ไม่อายที่เป็นคนจน ไม่ท้อแท้ กับความพิการ ของตน แต่ที่อาย คือการไม่สู้ชีวิตทั้งๆที่เกิดเป็นคนแล้ว เขารักและผูกพันพ่อแม่ ท่านให้ชีวิต เลือดเนื้อ ให้ที่อยู่อาศัย ให้ข้าวให้น้ำ ให้เขาได้พิสูจน์ความเป็นคน เขาอยากจะทำ ความดีมากกว่านี้ แต่ติดตรงที่ความพิการ ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำได้

เรื่องราวของเขาทำให้ข้าพเจ้าสะเทือนใจทันที ขนาดพิการเขายังสู้ สู้อย่างเต็มภาคภูมิ สู้ด้วยหัวใจ แล้วเราล่ะ ทำไมเราจึงต้องมาท้อถอย กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ใช่เราคนเดียวหรอก ที่มีสภาพแบบนี้ หลายๆคนเขาก็เป็นกัน ทำไมจะต้องโหยหาความรัก ร่างกาย แม่ก็ได้มอบ ให้แล้ว เลือดเนื้อ จิตวิญญาณท่าน ก็ติดตัวเรามาตลอด ทำไมเราจะทำความดี ให้เป็นตัวแทน ของท่านไม่ได้เชียวหรือ ไยเราจะเรียกร้อง ความเห็นใจ ในเมื่อพ่อแม่บุญธรรม ก็ได้ชุบเลี้ยงเรามา ท่านทั้งสอง ก็มีบุญคุณ ไม่แพ้แม่เราเลย ทำไมไม่ตอบแทน กตัญญู ให้กับท่านบ้างล่ะ

หลังจากคิดคำนึงถึงความเป็นจริงแล้ว ความมุ่งมั่นได้เกิดแก่ข้าพเจ้า พร้อมที่จะทำความดี ตอบแทน บุญคุณท่าน คิดได้ดังนั้น รีบสลัดความเศร้าทิ้ง และประพฤติตน เป็นคนใหม่ทันที

สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ กตัญญูรู้คุณต่อบุพการีผู้มีพระคุณ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ชั่วร้ายขนาดไหน แต่ถ้า เลี้ยงเรามาแล้ว ก็ต้องนึกถึงบุญคุณ ตรงนี้ด้วย เพราะท่านก็ไม่ต่าง จากแม่เราเลย ฉะนั้น เราต้อง ทำความดี มอบแก่ท่าน ความดีสามารถเปลี่ยนอะไร ได้ทุกอย่าง เพราะเป็น สัจธรรม

มองละครชีวิตแล้ว อย่าลืมย้อนดูตัวเอง ที่สำคัญต้องมีศีลหล่อเลี้ยงชีวิตให้ดี แม่คะ หนูขอมอบ ความระลึก นึกถึง และ ทำความดีให้ดีที่สุด เพื่อมอบแก่แม่ ในวันแม่นี้ค่ะ

- ลูกที่คิดได้ -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๖ มกราคม ๒๕๔๖)