สังคมสีขาว บนโลกสารพัดสี

ตุลาคม ๒๕๔๕
ข่าว ดร.พุทธจรัลเหาะลอยได้ พ่อท่านวิพากษ์อย่างไร?
จากการแสดงธรรมที่ทักษิณอโศก ๑ ต.ค.๔๕ แถมด้วย การบอกเล่า ประสบการณ์ของพ่อท่านก่อนออกบวช เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่เคย พูดที่ไหน มาก่อนเลย พ่อท่านเล่าอะไร?

INTERNATIONAL PEACE FOUNDATION องค์กรสันติภาพสากล ทาบทามพ่อท่าน ไปร่วมประชุมอะไร? (๑๐ ต.ค.) ให้รู้สึก เสียดาย ที่เครื่องบันทึกเสียง อัดไม่ติดเลย ข้าพเจ้าพยายาม ถ่ายทอด ทีท่าการไม่หลงสรรเสริญ ที่เขาหยิบยื่นมา เท่าที่ จะจดจำได้

ฉลองน้ำ'๔๕ (๑๗-๒๓ ต.ค.) พ่อท่านพูดอะไรเกี่ยวกับน้ำท่วมที่อื่นๆ และน้ำท่วมที่บ้านราชฯ มีศัพท์ใหม่ๆ เกี่ยวกับ เงินหนุน และเงินเกื้อ ต่างจากเงินหนี้และเงินกู้อย่างไร? วันออกพรรษา(๒๑ ต.ค.) ในสายตา ของพ่อท่าน ศีล ๕ ศีลข้อไหน ที่ชาวอโศก ยังบกพร่องกันอยู่?

วิพากษ์บั้งไฟพญานาคและเปรียบจอร์จบุช ดุจฤาษีป่า? เป็นการแสดงธรรมที่วังน้ำเขียว(๒๕ ต.ค.) บั้งไฟ พญานาค ที่กำลังเป็นข่าวดัง พ่อท่านนำเอามาเป็นอุปกรณ์การสอนให้เกษตรกรที่มาอบรมฟังอย่างไร? แม้แต่จอร์จบุช ที่คนทั่วโลก กำลังจับตาดูเขาอยู่ พ่อท่านนำมาเปรียบ กับลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรม อย่างฤาษีป่าอย่างไร?

สันติอโศกในสายตาของเลขาธิการทั่วไป ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ คุณสมาน ศรีงาม ได้มา ให้ความรู้ เรื่องกฎหมาย ๑๑ ฉบับ ที่รัฐทำสัญญาขายรัฐวิสาหกิจกับทุนต่างชาติ(๒๘ ต.ค.) แล้วคุณสมาน มองสันติอโศก เป็นอย่างไร?

ต้อกระจกที่ตา จากการพบ พ.ญ.สุขุมา วรศักดิ์ (๒๙ ต.ค.) สภาพตาของพ่อท่านเป็นอย่างไร? ในสายตา ของหมอ

วิธีตีความพุทธศาสนา ของพระธรรมปิฎก เป็นชื่อหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของคุณ Martin Seeger จาก Hamburg University เยอรมัน คุณ Martin ได้มาขอสนทนา(๓๐ ต.ค.) เอาอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เป็นพุทธพจน์? พระธรรมปิฎกและพ่อท่านตีความ "อัตตา" ต่างกันอย่างไร? เราจะประยุกต์ พระไตรปิฎก หรือ ประยุกต์ธรรมะ มาใช้ได้ไหม? ท่านอาจารย์พุทธทาสตีความเรื่องนรก สวรรค์ หรือชาติหน้า เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม พ่อท่าน เห็นอย่างไร? หากไม่เชื่อเรื่องชาติก่อน จะไม่บรรลุธรรมจริงหรือ? การที่พระธรรมปิฎก ไม่ตอบว่า นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา พ่อท่านเห็นอย่างไร? พระธรรมปิฎก มีอิทธิพล ต่อพ่อท่านหรือไม่? พระอภิธรรม และอรรถกถา พ่อท่าน วิพากษ์ว่าอย่างไร? พ่อท่านแนะนำ ชาวต่างชาติ ที่ไม่มีครูบาอาจารย์ มีแต่หนังสือ มีแต่คัมภีร์ ให้ปฏิบัติอย่างไร?

โลกสีขาว : โรงเรียนศีล ๕ เป็นชื่อที่เก๋มาก คณะผลิตรายการ "โลกสีขาว" ช่อง ๗ สี ได้มาถ่ายทำ กิจกรรม ต่างๆ ของโรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก (๓๑ ต.ค.) แนวการศึกษา ที่มีศีลเข้ามาเกี่ยวข้องนี่ พ่อท่าน อธิบายอย่างไร? ถ้าเด็กจบแล้วจะต้องไปอยู่สังคมภายนอก จะปรับตัวอย่างไร? หลังการถ่ายทำ คุณสุขเกษม สุขภิญโญ ผู้ควบคุม การผลิตรายการ วิจารณ์อย่างไร? ในวันเดียวกันนั้น(๓๑ ต.ค.) นักวิชาการ จากกระทรวง ศึกษาธิการ ได้มาตรวจงาน และให้คำแนะนำ คุรุคนหนึ่ง ตั้งข้อสังเกต เปรียบเทียบ การมาของสื่อ กับเจ้าหน้าที่ จากกระทรวงศึกษาฯ ต่างกัน อย่างไร?


ข่าว คนเหาะลอยได้ พ่อท่านเห็นอย่างไร ?
๑ ต.ค. ๔๕ ที่ทักษิณอโศก ทำวัตรเช้าพ่อท่านแสดงธรรมในหัวข้อ "บูรณาการเศรษฐกิจ แต่ยังกร่ำโลกีย์ โลกไปไม่รอด" จากบางส่วน ที่พ่อท่านบอกเล่า วิจารณ์ข่าว น.ส.พ.ที่ลงทั้งภาพ และข่าว เกี่ยวกับการเหาะ ลอยตัวของ ดร.พุทธจรัล

".....ในวงการวิทยาศาสตร์ เขาก็ว่า เขาพบอนิจจัง อนัตตาแล้วเหมือนกัน ตรงกับศาสนาพุทธที่ค้นพบ แล้วเขาก็ว่า เขาบรรลุแล้ว

ใช่! เขาค้นพบในด้านรูปธรรม ไม่ใช่พลังงานจิตวิญญาณ วิทยาศาสตร์ เรียก Quantum อะไรเนี่ย เขาค้นพบ ไปจนกระทั่ง ถึงการเคลื่อน การเป็นตัวตนอะไร เขาก็บอกว่าสุดท้าย ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ตัวตน สุดท้าย ไม่มีอะไร เป็นตัวตนอยู่เลย มันไม่เที่ยงเป็นไปตามเหตุปัจจัยจริง แต่คนพวกนี้ มีแต่อนิจจัง กับอนัตตา ที่บอกว่า เขายังไม่รู้จัก จิตวิญญาณ เพราะเขาไม่รู้จักทุกข์ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้มันเกิดตรงไหน มันเกิด อย่างไร อะไรเป็นเหตุ เขาไม่รู้ เขารู้อนิจจัง เขารู้อนัตตา เขาเข้าใจ แล้วพิสูจน์ เป็นวิทยาศาสตร์เลย แต่พลังงาน ทางจิต ยังมีความวิจิตรพิสดาร ในความเป็นจิตวิญญาณ อีกมากกว่ามาก ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ เขาไม่สามารถ ใช้จิตวิญญาณ ไปในสภาพ ของการรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุแห่งทุกข์ และก็ดับเหตุแห่งทุกข์ จนเป็นคน ไม่มีทุกข์เลย เขาไม่รู้ตรงนี้ แต่ก็สามารถที่จะใช้พลังงาน ที่ไม่ใช่พลังงาน จิตตัวเองหรอก พลังงาน ข้างนอก ให้มีอิทธิปาฏิหาริย์ ให้มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ แต่เขาไม่สามารถ ใช้จิตวิญญาณ ของเขา ให้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หรือ อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ นี่คือวิทยาศาสตร์ทาง Quantum

แต่วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ศึกษาปฏิบัติเล่นจิตอยู่ ก็สามารถที่จะสร้างจิตวิญญาณให้มีพลังงาน จนกระทั่ง ทำอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็ยังพอทำได้อยู่ นี่มีภาพภาพหนึ่ง เขาลงข่าว น.ส.พ.เมื่อวานนี้ (๓๐ ก.ย.) เป็นรูปภาพที่คนเหาะ นั่งสมาธิแล้วก็เหาะให้ดู นักข่าวเขาก็ไปถ่ายมา ดร. พุทธจรัลน่ะ ถ้าใครรู้จัก เขาก็มามุ่นทางนี้ เขาก็ว่าเขาพุทธนะ เคยสมัคร เป็นผู้ว่า กทม. ดร.พุทธจรัล เขาว่า เขาจะสร้างโรงเรียน จะทำจนกว่า ชีวิตของเขา ...... เขาก็ว่าชีวิตของเขา คงจะอยู่ไปได้ อีกซะ ๓๐ ปี เขาว่า...! ตอนนี้อายุเขาเท่าไหร่ อาตมาไม่รู้ จะแก่กว่า หรือจะอ่อนกว่าอาตมาไม่รู้ เนื้อข่าวเขาไม่ได้พูด เรื่องการเหาะอะไร พูดแต่ว่า เขาจะสร้างโรงเรียน ได้รับบริจาค อยู่ทางเหนือ ที่เชียงใหม่หรืออะไร อาตม าจำไม่แม่นแล้ว นี่นักข่าวไปคุยเรื่อง การจะสร้างโรงเรียน แล้วเขาก็แสดงถึง เรื่องของพลังงาน ทางด้าน จิตวิญญาณ ทำสมาธิแล้ว ก็สามารถ ที่จะลอยได้ เขาก็ทำแสดงให้ดู แล้วนักข่าว น.ส.พ. เขาก็ถ่ายรูปมา อย่างนี้เป็นต้น

พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ เรื่องเหาะเหิน เดินน้ำ ดำดิน อะไร อิทธิปาฏิหาริย์ ของชาวคันธารี ที่เขาทำ เขาก็เก่ง ในอิทธิปาฏิหาริย์ ส่วนมาณิกานั้น เก่งทาง อาเทสนาปาฏิหาริย์ เก่งทางด้าน ใช้พลังงานจิต ที่จะเหมือนกับเรดาห์ เหมือนกับคลื่นวิทยุ ไปได้ไกล หยั่งรู้จิตใจ หยั่งรู้พลังงานข้างนอก ส่วนอิทธิ ปาฏิหาริย์นี้ คือเอาพลังงาน มาสร้างรูปธรรม เหาะเหิน เดินน้ำ ดำดิน ทะลุฝา ทะลุกำแพง ทะลุภูเขา อะไรก็แล้วแต่ ออกนอกโลกไป จนกระทั่ง ไปจับพระอาทิตย์ พระจันทร์อะไรได้ จนถึงทุกวันนี้ ใช้พลังงาน ทางวัตถุ เขาก็ทำได้แล้ว เท่ากับที่อิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหลาย เขาเป็นนะ เอามือลูบคลำ พระอาทิตย์ ได้ด้วย ฝ่ามือ ถ้าใครเคยอ่าน เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ หรือ อิทธิวิธี ที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก อย่างนี้ เป็นต้น เป็นเรื่องที่เกินมนุษย์สามัญ จะทำได้ง่ายๆ เรื่องเหล่านี้ อาตมาไม่สงสัย อาตมาเลิก เด็ดขาด เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ซึ่งในสมัยเป็นฆราวาสนั้น ยังทำอยู่

ไอ้เรื่องเหาะลอยเมื่อวานนี้ ท่านแน่วแน่ ก็เปรยถาม อาตมาว่า อาตมาเคยทำมั้ย? เรื่องนี้ อาตมา ยังไม่เคย พูดเลย เพิ่งจะพูดวันนี้ เป็นวันแรก เพราะว่า ท่านสีลวัณโณ เป็นคนถามขึ้น

ในสมัยที่เป็นฆราวาส ทำสมาธิแล้วก็เคยมีจิต พยายามที่จะให้ลอยให้เหาะ ก็พยายามทำ แต่ไม่ได้ทำ ถึงขั้น จะต้องเหาะ ต้องลอยไป เพื่อจะพิสูจน์ตัวเราเองว่าเหาะได้จริงๆ ลอยได้จริงๆ คือเอาของไปเหน็บ ไว้ที่สูง พอทำสมาธิเสร็จแล้ว ก็ต้องไปหยิบ เอาอันนั้น มาเป็นเครื่องยืนยันให้ได้ เพราะเวลา อยู่ในสมาธินี่ พวกนี้ จะไม่รู้ ข้างนอกเลย มันจะอยู่ในภวังค์ ทั้งหมดเลย เป็นวิธีที่เขาทำกัน แต่อาตมา ก็ทำตั้งจิต จะให้เหาะ ให้ลอยเหมือนกัน แล้วอาตมาก็ทำ ทำแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองลอย..... แต่ไม่รู้ว่า ตนเองลอยจริง หรือไม่จริง สิ่งที่มันพอ จะเป็นเครื่องสังเกต ยืนยัน ก็คือว่า อาตมานั่งทำสมาธิอยู่ที่ใด พอออกจาก สมาธิแล้ว ตัวไปนั่ง อยู่ห่างจาก ที่นั่งทำสมาธิ ตอนแรก ไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิม ซึ่งห่างไปไกลเหมือนกัน หลายครั้ง หลายคราว อาตมาก็ว่า เออ!แน่ใจว่า มันคงได้ สภาพนี้ บอกได้แต่เพียง รู้สึกในตัวว่า อืม! เบา รู้สึกเหาะ รู้สึกลอย รู้สึกว่า ไม่อยู่กับที่ แต่ไม่รู้ ไม่เห็นว่ามันเหาะ มันลอยจริง เพราะไม่ได้ลืมตา ออกมาจากภวังค์ แล้วก็ไม่มี ใครรู้ ใครเห็นด้วย เพราะอาตมาทำอยู่ในกุฏิ ที่วัดอโศการาม ส่วนมาก ก็ทำกลางคืน บางที ตื่นเช้าตี ๒ ตี ๓ ก็ทำ บางที ก็ทำสองยาม ไม่เป็นเวลาหรอก อยากตื่นเมื่อไหร่ อยากหลับเมื่อไหร่ ก็แล้วแต่ เพราะตอนนั้น มันไม่มีงานอะไร อาตมาก็อยู่กับจิต ไม่มีเรื่องอะไรก็ทำไป มีแต่ศึกษา เขียนหนังสือ เขียนเล็กๆ น้อยๆ"

คุณดีง่าย (เดิมชื่อ หินอ่อน) ผู้มีปฏิภาณฉับไวในการจับเอาคำความที่พ่อท่านเทศน์ มาเล่นคำ ใช้สำนวน โวหาร เสริมแทรก ให้ข้อคิด ที่ดีๆ อยู่บ่อยๆ คราวนี้ก็เช่นกัน คุณดีง่าย เสริมแทรก "กายลอย ใจลอยด้วย"

พ่อท่านสอนให้ความรู้ต่อ "ใจไม่ลอย ใจมุ่งมั่น ใจเป็นสมาธิ ใจอยู่ที่นั่น ถ้าใจลอย มันก็เลอะสิ คุณรู้จัก ภาษาไทยมั่งสิ ถ้าใจลอยแล้ว มันคือความไม่รู้ตัวเอง ใจลอยไม่ได้ นี่ภาษาตรงนี้ผิด ถ้าใจลอยแล้ว เหาะไม่ได้

นี่ก็เล่าให้ฟังจะบอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งอาตมาก็เลิกเรื่องเหล่านั้นแล้ว ทุกวันนี้ นั่งสมาธิ เจโตสมถะ ก็ไม่ทน พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง บุคคล ๔ ประเภท

ประเภท ๑ เป็นบุคคลผู้ได้เจโตสมถะ แต่ไม่ได้โลกุตระ เก่งทางสมาธิ หรือทางเจโตสมถะ แต่ไม่มีโลกุตระ

ประเภท ๒ มีโลกุตระ แต่ไม่มีเจโตสมถะ นั่งสมาธิเจโตสมถะไม่เป็น ได้แต่โลกุตระ คือได้อาริยธรรม ได้พุทธธรรม ซึ่งเป็นอนุศาสนีปาฏิหาริย์

ประเภท ๓ ได้ทั้งเจโตสมถะ ได้ทั้งโลกุตระ

ส่วนประเภท ๔ nothing บ่มิไก๊ ไม่ได้อะไรเลยจโตสมถะก็ไม่เป็นไม่มี โลกุตระ ก็ไม่รู้เรื่อง บุคคลที่ ๔ นี่ใครหว่า?

อยากเป็นบุคคลไหนล่ะ? (เสียงหลายคนตอบ...บุคคลที่ ๓ ? แล้วเจโตสมถะไม่ค่อยฝึกกัน แล้วจะได้ ยังไงล่ะ พวกเราเนี่ยฝึกเน้นแต่บุคคลที่ ๒ ทำแต่โลกุตระกันมาก ไม่เน้นประเภทที่ ๑ แล้วอยากได้ ประเภทที่ ๓ แหม! จะอยากได้โดยไม่ดูตัวเอง มันไม่ได้ มันต้องฝึกทั้งสองอย่าง แต่เรื่องของโลกุตระนั้นเป็นเอก เป็นอนุศาสนีปาฏิหาริย์ หรือ ปาฏิหาริย์แห่งคำสอน คือพ้นทุกข์ รู้จักโลกุตรธรรม รู้จักอาริยคุณ ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านยืนยันนี้ เป็นอาริยะ เดิมท่านใช้อริยะ แต่อาตมาไม่เอา เพราะอริยะทุกวันนี้ เอาไปใช้ ฝั้นเฝือ เลอะเทอะ ไปหมดแล้ว เอาไปใช้เรียกคนที่เก่งเดรัจฉานวิชา คนเก่งอิทธิปาฏิหาริย์ คนเก่ง อาเทสนา ปาฏิหาริย์ ไปโน่น แต่อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ไม่มีเลย ไม่รู้เรื่อง ที่จริง "อริยะ" นี่เรียกผู้บรรลุ อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ไปเรียกแบบของ ฤาษีคันธารี เก่งอิทธิปาฏิหาริย์ หรือว่าฤาษี มาณิกา เก่งอาเทสนา ปาฏิหาริย์ อาตมาจึงไม่ใช้เลย เอาคำว่า "อาริยะ" ของสันสกฤต ซึ่งแปลเหมือนกัน......"


INTERNATIONAL PEACE FOUNDATION
มูลนิธิสันติภาพสากล ทาบทามพ่อท่านไปร่วมประชุม

๑๐ ต.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก Uwe Morawetz (chairman of the International Peace Foundation) ได้มาสนทนา กับพ่อท่านเป็นเวลาเกือบ ๑.๓๐ ชั่วโมง แต่เป็นที่น่าเสียดายมาก เครื่องบันทึกเสียง MD (minidisc) บันทึกเสียงไม่ได้เลย การสนทนา เท่าที่ข้าพเจ้า พอจะจดจำได้ มีดังนี้

คุณ Uwe : เริ่มคำถามจากความแตกต่างระหว่างสันติอโศกกับสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นอย่างไร? แล้วก็ถามเกี่ยวกับนิพพานอย่างที่พ่อท่านเข้าใจ เป็นอย่างไร? ในเมืองไทย คนสนใจสันติอโศก ก็เยอะ ทำไมรัฐบาล ยังไม่ยอมรับว่าเป็นศาสนา? (ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ผู้แปลได้แปลตามสำนวนภาษา ของผู้ถาม) สันติอโศก มีความสัมพันธ์อย่างไร กับรัฐบาล? ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า พ่อท่านตอบประเด็นเหล่านี้อย่างไร? ด้วยวางใจว่า บันทึกเสียงเอาไว้แล้ว จึงฟังแบบผ่านๆ ไม่ได้กำหนดเป็นสำคัญ

เมื่อ Uwe พูดทาบทามให้พ่อท่านร่วมกิจกรรมกับองค์กรฯเกี่ยวกับสันติภาพของโลก ดูพ่อท่าน ตอบแบบตัดๆ และ ถ่อมตนอยู่ในทีว่า เราเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ และงานในกลุ่มของเรา ก็มากอยู่แล้ว.....

คุณ Uwe : พูดแบบถ่อมตนว่า ....เขามาเรียนศาสนาพุทธที่แท้ เพื่อเอาไปใช้ ในเรื่องสันติภาพของโลก.... แล้ววกมา ทาบทามพ่อท่านอีก.... ยังไม่เคยมีพระไทยอย่างพ่อท่าน เข้าไปนำเสนอในที่ประชุม

พ่อท่าน : พยายามให้ความรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงคนอย่างที่พวกเราทำได้ผลนั้น มิใช่แค่พูดๆ Lecture ๆๆ มันไม่พอ เราให้คนมาอบรมที่นี่ จะได้มาเห็นความจริงทั้งหมด สิ่งแวดล้อม การงาน และชีวิตจริง ไม่ใช่สร้างฉาก และมันจะมีสิ่งซึมซับ อย่างที่เราบอกไม่ได้ ด้วยภาษา

คุณ Uwe : ยังคงแสดงบทบาทของนักเจรจาประสานสัมพันธ์ ว่าที่เขาอบรม ก็เป็นเช่นเดียวกับ ที่พ่อท่านกล่าว คือ มีการเรียนรู้กันและกัน ทุกคนเป็นครูและนักเรียนในตัว

พ่อท่าน : ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงการอบรมของพวกเราว่า....ทุกคนต้องมาเห็นความจริงว่า ความจน ดีกว่าความรวย มาเป็นคนจนที่ขยัน มีสมรรถนะ สร้างแล้ว"ให้" เป็นการเกื้อกูล เพราะฉะนั้น คนนี้จะจน แต่เขามีคุณค่า ต่อสังคม แล้วต้องเห็นความจริงอันนี้ นี่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ว่า เราสร้าง เราสละ เราเป็นคน มีคุณค่า ทุกคนจึงเต็มใจสร้าง เต็มใจสละอย่างมีความสุข คนมีทรัพย์ อยู่ที่ความขยัน ทรัพย์ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ข้าวของเพชรนิลจินดา แต่"ทรัพย์แท้ๆของคน" คือ สมรรถนะ และ ความขยัน.... อยู่ที่เรา มีไม่รู้จักหมด ยิ่งใช้ ยิ่งทำ ยิ่งมีมาก

คุณ Uwe : ยังคงพยายามทาบทามอีกว่า...องค์กรสันติภาพสากล ได้เชิญใครต่อใคร มาพูดเยอะแล้ว แต่ยังไม่เคย เชิญพระไทยเลย ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะเชิญพ่อท่าน

พ่อท่าน : ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธทันที แต่ก็บอกเป็นข้อมูลให้คุณ Uwe ได้รู้ว่าการอธิบาย หลักธรรม คำสอน ของสันติอโศก มีความแตกต่าง จากคนอื่นๆ "....มีส่วนคล้ายในคุณธรรมความดี แต่ไม่คล้าย ในแนวลึก...."

คุณ Uwe : บอกเล่าถึงตัวของเขาว่า....ขณะนี้กำลังศึกษาวัฒนธรรมไทย โดยไปมาหลายที่ ทั้งเชียงราย และ อุบลฯ และอีกหลายๆที่ สนใจอยากจะศึกษาศาสนาพุทธ เพื่อจะเอาไปใช้

พ่อท่าน : ต่อเรื่อง....เราก็มีทั้งที่เชียงรายและอุบลฯ จะไปเรียนรู้ก็ได้ แต่ตอนนี้ที่อุบลฯ น้ำท่วม ไม่มี แผ่นดินเลย....

คุณไฟงานช่วยนำภาพน้ำท่วมที่บ้านราชฯ มีภาพบ้านต่างๆที่ถูกน้ำท่วม และเรือต่างๆ ที่พวกเราใช้ ให้คุณUwe ดู หลังจากเห็นภาพ คุณUwe รีบหยิบภาพจากหนังสือเอกสาร ของเขา ที่มีภาพเรือลำใหญ่ ให้พ่อท่านดูบ้าง แล้วอธิบายว่า .... นี่คือเรือพิฆาต ที่ประธานาธิบดีคลินตันให้มา ทางเราได้เปลี่ยน เป็นห้องเรียนรู้ เป็นที่อบรม จะเอาไปใช้ที่อุบลฯ ได้ไหม?

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคำพูดประโยคหลัง เพื่อสมานสัมพันธ์มากกว่าจริงจัง ด้วยดูจากภาพ เป็นเรือที่ใหญ่โตมาก กินน้ำลึก เหมาะกับการใช้ ในทะเล แค่ความกว้างของลำเรือ ก็คงจะคับแม่น้ำมูลแล้ว อีกทั้งคุณ Uwe คงพาซื่อ ไม่รู้ว่าไม่มีทางเอาเรือทะเล เข้ามาในแม่น้ำมูลได้ หรือไม่ก็คุณ Uwe ต้องการบอก ความยิ่งใหญ่ ขององค์กร สันติภาพสากล ที่ได้รับการยอมรับ (มีเครดิตดี)

คุณ Uwe : ยังคงบอกเล่าถึงงานที่เขาทำต่อ..... งานที่ทำ มีคนจากทุกหน่วยงาน ทุกสาขาอาชีพ มิใช่ นักการเมืองอย่างเดียว หรือนักธุรกิจอย่างเดียว โดยจะมีทั้งนักการศาสนา พ่อค้า ข้าราชการ กลุ่มองค์กร เอกชน NGO ต่างมาร่วมมือกัน มาคุยกัน ซึ่งทุกครั้งที่มีการประชุมแล้วจะมีรายงาน คุณUwe หยิบเอาหนังสือ ที่เตรียมมาให้ดู รายงานการประชุมเขาจัดทำเป็นรูปเล่มสีเขียวเข้มสวยงาม ดูเอกสารอื่นๆ ของเขาก็จะมี สีเขียวเข้มเช่นกัน เหมือนเป็นสีประจำขององค์กรฯ หรือเป็นสีที่แสดงบอก ถึงสันติภาพ หรือเปล่า ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ

พ่อท่าน : แสดงความเห็นต่อ "...ข้อสำคัญไม่ใช่อยู่ที่คนไม่เข้าใจปัญหา แต่สำคัญอยู่ที่ คนไม่เข้าใจชีวิต ต้องมาศึกษาชีวิต ว่าชีวิตจริงๆ ไม่ยุ่งยาก ถ้ามาศึกษาแล้ว เราจะไม่เป็นปัญหา อย่างที่เขาเป็นปัญหา แล้วคนนี้ จะไปช่วยปัญหาต่างๆ ในสังคมได้ ถึงยังไง ปัญหาต่างๆในโลก ก็ไม่มีวันหมด แถมมันยังเปลี่ยนรูป ปรุงร่าง ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แก้ไม่จบหรอก ซึ่งเราก็ต้องพัฒนาตัวเอง ไม่ให้ทุกข์ไปกับ ปัญหาเหล่านั้น และเป็นคน พ้นจากวงจร ของปัญหาเหล่านั้น"

คุณ Uwe : ยังไม่ละเว้นความพยายามทาบทาม...นี่ก็เป็นเหตุผลที่มาที่นี่ คนที่จะมีความคิด ความเห็น อย่างท่าน มีไม่มากนัก จึงอยากให้มีคนอย่างท่านเยอะๆ จึงอยากจะเชิญท่านไปให้ความรู้

พ่อท่าน : "อาตมาก็พยายามทำอยู่ ให้คนมาเป็นอย่างนี้" พ่อท่านตอบสั้นๆ แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธ หรือ ตอบรับ ทันที เข้าใจว่าคงดูข้อมูลดูท่าทีกันไปเรื่อยๆก่อน

คุณ Uwe : มีความสัมพันธ์กับพระพยอม และแม่ชีศันสนีย์หรือไม่

พ่อท่าน : น้อย เพราะว่าเขาทำในระดับสงเคราะห์คน ช่วยคน แต่อาตมาสร้างคน เราไม่ได้ทำ อย่างเช่นว่า คนไม่มีกิน แล้วเราก็ช่วยเอาอาหารไปให้เขามีกิน ที่เราทำคือช่วยให้เขาสร้างอาหารเป็น เขาก็มีของตน แล้วทำขึ้น ให้พัฒนาให้มาก ก็เผื่อแผ่ผู้อื่นต่อไปได้ และช่วยสร้างคนอื่นต่อไปด้วย งานไม่เหมือนกันทีเดียว จึงไม่ค่อย ได้ร่วมกันเท่าไหร่ แต่ที่เขาทำก็ดี เราทำกันคนละลักษณะ เมื่อเราสร้างคน คนไม่เห็นแก่ตัว คนนั้น ก็ช่วยสังคมไปในตัว เหมือนเหรียญสองด้าน

คุณ Uwe : ผมเป็นคนใหม่สำหรับไทย อยากให้ท่านแนะนำใครที่จะมาร่วมงานอย่างนี้ได้

พ่อท่าน : อาตมาไม่ใช่คนกว้างขวาง และยังรู้จักคนในสังคมก็เพียงผู้เข้าใจเรา และยินดี สัมพันธ์กับเรา อาตมา จึงเป็นคนแคบๆ ทำแคบๆเล็กๆ ไม่ได้ทำงานกว้างๆ ซึ่งคนที่ทำงานกว้างๆมีเยอะ แต่จะทำ อย่างที่อาตมาทำอยู่ ยังไม่มี ดูเหมือนจะมี พวกเรากลุ่มเดียว เพราะที่อาตมาทำอยู่มันยาก และหนัก แต่อาตมา ก็ยังเต็มใจทำ

คุณ Uwe : อยากจะเชิญคนที่ได้รางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพมาคุยกับท่าน ที่มาวันนี้ ก็อยากมา แนะนำ ตัวเอง ในการทำงานองค์กรสันติภาพสากลนี้ และจะอยู่เมืองไทยประมาณ ๓ ปี ถ้าจะมีกิจกรรม ร่วมกัน โดยอาจจะเชิญ คนมาพูดที่นี่ จะได้ไหม

พ่อท่าน : ได้

คุณ Uwe : ขอที่อยู่และเว็บไซท์ อีเมล เพื่อการติดต่อกันทางอินเทอร์เน็ต แล้วพูดถึงความคิด ของตนต่อ อยากจะจัด คอนเสิร์ตในไทย สำหรับคนรุ่นใหม่ จะเป็นคอนเสิร์ต เพื่อสันติภาพ โดยเงินรายได้ จากการขาย CD จะเอาไปช่วย สลัมคลองเตย ฯลฯ ที่ติดต่ออยู่ ก็จะมีศิลปินของค่าย RS และแกรมมี่ ซึ่งจะแสดงร่วมกับ ศิลปิน จากตะวันตก


ฉลองน้ำ '๔๕
งานฉลองน้ำปีนี้ลดเวลาเหลือเพียง ๗ วัน (๑๗-๒๓ ต.ค.) พ่อท่านนำเทศน์ทำวัตรเช้าทุกวัน ชุมชนอื่นๆ มาร่วมงาน ไม่คึกคัก เหมือนปีก่อนๆ อีกทั้งการส่งสิ่งของพืชผล มาช่วยเหลือ ก็ไม่มาก เหมือน ปีก่อนๆ เช่นกัน แม้แต่กีฬาทางน้ำ การแสดงภาคค่ำผ่อนคลายบันเทิง ก็ดูจะจืดๆ โดยเฉพาะกีฬาทางน้ำ แทบจะไม่มีอะไร ตื่นเต้นสนุกสนาน จะหาคนแข่งก็ยาก จะหาคนมาดูก็ยาก พ่อท่านเอง ต้องวางงาน มานั่งดู ให้กำลังใจในวันแรก จึงค่อยมีคนตามๆกันมาดูบ้าง แม้ในวันสุดท้าย ที่เป็นธรรมเนียม ของงาน ฉลองน้ำ ไปแล้วว่า จะต้องไปเลี้ยงอาหารและมีรายการบันเทิงเล็กๆ ร้องรำ เพื่อขอบคุณน้ำใจ ของชาว หมู่บ้านคำกลาง ที่พวกเราไปอาศัยใช้เป็นท่าเรือในการเดินทางเข้าออกบ้านราชฯ ซึ่งพวกเรา ได้รับ ความเอื้อเฟื้อ ด้วยดีเสมอมา ทั้งจากผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน แทบจะทั้งหมู่บ้าน เขานับถือ ศาสนาคริสต์ พ่อท่าน ก็ยังมีน้ำใจ อุตสาหะ พายเรือ ทั้งไปและกลับ เพื่อไปร่วมงานเลี้ยง ตอบแทนความเอื้อเฟื้อ ของเขา (๒๓ ต.ค.) ทั้งๆที่งานอย่างนี้ พ่อท่านไม่จำเป็น ต้องไปเลยก็ได้ กินก็ไม่ได้กินด้วย ..สนุกก็ไม่ได้สนุกอะไร.. จะว่าไปคุมงาน ก็ไม่ใช่อีก เพราะงานอย่างนี้ ไม่มีพ่อท่าน พวกเราก็ทำกันมาได้อยู่แล้ว แต่มันคงเป็นอะไร ที่ลึกซึ้งมากกว่าแค่ "ขวัญ" และ "กำลังใจ" ....เป็นเรื่องวิญญาณสัมพันธ์.... เป็นเรื่องภาวะของผู้นำ ที่ต้องแสดง ต้องทำให้ดู เป็นตัวอย่าง ให้เห็นเป็น สิ่งสำคัญ ที่ควรใส่ใจ ตามกาละ ที่สมควรอย่างนี้ หรือ อาจมีอะไร ที่มากกว่า สติปัญญา ของข้าพเจ้า จะคิดออกได้ตอนนี้

รายละเอียดของงานนี้ ข่าวอโศกรายปักษ์ และสารอโศกได้ทำหน้าที่รายงานกันไปแล้ว จึงขอข้ามผ่าน

ข้าพเจ้าขอนำบางส่วนจากคำเทศนาทำวัตรเช้า ในช่วงงานฉลองน้ำนี้ มาถ่ายทอดเฉพาะ ส่วนตามภูมิ ของข้าพเจ้า ที่เห็นว่าพ่อท่าน ได้บอกถึงภาวะ ของชาวอโศก ผสมการวิเคราะห์เหตุการณ์ในสังคม ดังนี้

".....เมื่อวานตอนกินข้าวที่แพ อาตมายังพูดกับพวกเราว่า ที่อื่นเขาน้ำท่วม มีแต่คนจะขอเข้าแถว เอาถุงยังชีพ แต่ของเรา มีแต่ทำอาหาร เลี้ยงแขกที่มา เราอยู่กันอย่างสังคมที่อบอุ่น มีวัฒนธรรม มีความเกื้อกูลกัน....." (ทำวัตรเช้า ๑๙ ต.ค. ๔๕)

"....ปีนี้น้ำท่วม ๖๐ จังหวัด เดือดร้อนไปทั่ว แต่มีชุมชนหนึ่ง น้ำท่วมแล้วไม่ได้เศร้าเสียใจ เหมือนหมู่บ้านอื่นๆ คือ หมู่บ้านราชธานีอโศก กลับเบิกบานร่าเริงสนุกสนาน เพราะขบวนการกลุ่มของเรา มีเครือข่าย ที่ช่วยเหลือ กันและกัน ยามประสบภัย....." (แสดงธรรมก่อนฉัน ๒๗ ต.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก) "....สาธารณโภคี ของคน ทั้งประเทศนั้น จะไม่ใช่การมีส่วนกลางแห่งเดียว แต่จะมีเครือข่าย แล้วสานกันไปเอง เช่นที่พวกเรา กำลังทำกันอยู่นี้ เพียงแต่พวกเรา ยังเป็นกลุ่มคนเล็กๆ......" (ทำวัตรเช้า ๑๙ ต.ค.)

"....พวกเรามีระบบเงินหนุนและเงินเกื้อ เงินหนุนก็คือเงินหนี้ ที่ไม่มีดอกเบี้ย ส่วนเงินเกื้อ คือเงินให้กู้ ที่กู้โดย ไม่มีดอกเบี้ย ให้ยืม เป็นเงินช่วยเหลือกัน ทั้งเงินหนุน และ เงินเกื้อ จะไม่มีดอกเบี้ยใดๆ ถ้าใช้คำว่า เงินกู้ หรือ หนี้ ต้องหมายถึง เงินยืมที่มีดอกเบี้ย ถ้าเรียกเงินเกื้อหรือหนุน ก็หมายถึง เงินยืมที่ไม่มีดอกเบี้ย เราจึงต้อง เรียกศัพท์ใหม่ จะได้ไม่ซ้ำกับ ที่เขาทำกัน อย่างมีดอกเบี้ย..." (ทำวัตรเช้า ๑๙ ต.ค.)

วันนี้เป็นวันออกพรรษา (๒๑ ต.ค.) ที่จริงไม่มีออกหรอก มีแต่การเปล่งวาจา ขอจำพรรษา ออกพรรษา ไม่มีพิธีการ มีแต่การปวารณากันไป แม้แต่ฆราวาสของพวกเรา ก็มีศีล ๕ กันเป็นอย่างน้อย ศีลข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่โหดร้ายรุนแรง ก็เป็นไปได้ด้วยดีพอสมควร แต่ศีลข้อ ๒ ก็โลภกันน้อยลงล่ะ แต่ก็ยังมียึกยัก ยังมีทุจริตในฐานะเจตนาขโมย เจตนาเอาของเขาที่ไม่ใช่ของเรา อย่างนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง ศีลข้อ ๓ เรื่องของ ราคะ อย่างผู้ที่มีผัวมีเมียอยู่แล้ว ในกลุ่มพวกเรานี่แหละ แต่ก็ไม่ได้ชิดในหรอกนะ ถ้าชิดในก็ไม่กล้าแล้วล่ะ ในชาวอโศกนี่มีคู่อยู่ก็ยังไปมีคนที่สาม ก็มีอยู่บ้าง ขอให้อดทนพากเพียร อย่าให้มีสิ่งเหล่านี้เลย ในเรื่องของ อบายมุข พวกเราก็ดูดี ยังไม่กระไรนัก จะมีร้องรำทำเพลงกันอยู่บ้าง ก็เป็นศิลปะ ที่เป็นมงคล อันอุดม เราไม่ได้ทำ เป็นอาชีพ ไม่ใช่ร้องรำทำเพลงอย่างที่เป็นข้าศึกแก่กุศล

ประเทศไทยมีพลเมือง ๖๒ ล้านคน ถ้า ๕๐ ล้านคนเป็นคนมีศีล ๕ คุณคิดดูซิประเทศไทย จะเป็นยังไง ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจทางบุญ ไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางบู๊ อย่างจอร์จ บุช กำลังจะไปเที่ยว ทำสงคราม กับเขา จะไปข่มเหง จะไปฆ่าแกงเขา จะไม่แสดงออกอย่างนี้เลย จะไม่มีลีลาไปข่มเหง รังแก ไปถล่มทลาย เอาปืนไปยิงเขาเลย เอาลูกระเบิดไปทิ้งใส่เขาเลย จะไม่ทำอย่างนี้หรอก หยาบคาย จะน่าอาย น่าเกลียด คิดดูซิในคนพวกเรามีศีล ๕ ขนาดประมาณ อย่างนี้ พวกเราไม่มี กรรมกิริยาอะไร ที่จะไป ทำร้ายอะไร คนข้างนอกเขา ใครเขาจะมาเบียดเบียนเรา เขามาเผาร้านน้ำใจ พวกเราก็ไม่ได้ กระเหี้ยน กระหือรืออะไรเขา ช่างมันเถอะ บาปใครบาปมัน เป็นหน้าที่ของตำรวจเขา ที่จะหาตัวมา แต่อาตมา ไม่คิดว่า จะเห็น จะได้ตัว ไม่ใช่ดูถูกตำรวจหรอกนะ

ถ้าคนไทยมีศีล ๕ ชนิดมีศีลสัมปทากันอย่างพวกเรานี่จริงๆ สัก ๒๐ ล้านคน สังคมไทยจะดีขึ้น กว่านี้แยะ ถ้าเป็นอย่างนั้น แวดล้อมเหล่านี้จะพูดกันรู้เรื่องเลย ไม่ต้องมานั่งพูดกันให้รำคาญใจว่า อย่ามาจับปลาที่นี่ คนในละแวกนี้ มีศีล ๕ ก็จะไม่ทะเลาะเบาะแว้ง จะไม่แย่งชิง

อาตมานั่งดูพวกเราพายเรือไปมา ไม้พายก็ไปเคาะถูกหัวไอ้ปูไอ้ปลามันมั่ง มันก็ไม่กลัว มันก็มาว่อนแว่นๆ มาว่ายเล่น อยู่กับเรานั่นแหละ มีอะไรให้มันกิน มันก็กิน มันก็เหมือนเด็กๆ มีขนมล่ออ่ะนะ มันก็มาเล่น มันเห็นเป็น มิตรสหาย แม้แต่สัตว์ก็ไว้ใจคนได้ สังคมจะเป็นสุขขนาดไหน ถ้าสังคมของพวกเรา มีศีลเคร่ง มีอธิศีลกัน จนมีรูปร่างของมวลมนุษยชาติ เป็นสังคมสันติ ไม่ใช่สังคมสงคราม เราจะสร้างสังคมสันติ แต่ทั้งโลก เขากำลังทำ สังคมสงคราม และเป็นสงคราม ที่ซับซ้อนด้วย มิใช่แค่เอาปืนไปยิง แต่ทุกวันนี้ มันเป็นสงคราม ทางวัฒนธรรม สงครามเศรษฐกิจ เป็นสงครามทางสังคม สงครามคือ การเอาชนะ อีกฝ่ายหนึ่ง มันเป็นสงครามเย็น ลักษณะอะไร ก็แล้วแต่ ที่ฝึกหัดฝึกฝน เพื่อเอาชนะ อีกฝ่ายหนึ่ง ก็เป็นเรื่อง ที่จัดอยู่ในสงคราม ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น การไปแข่งขันกีฬา เพื่อเอาชนะคะคานกัน ในจิตวิทยาพวกนี้ ถือเป็นเรื่องของ การก่อให้เกิดสงคราม เขามองไปในแง่ของ การรู้จักอภัย ได้สัมพันธ์กัน เราก็สัมพันธ์ได้ด้วย การรู้จักให้ การเกื้อกูล ไม่ใช่เพื่อไปเอาชนะ คะคานกัน หรือหาเล่ห์หาเหลี่ยม เอาเปรียบเอารัดกัน เพื่อชนะ เล่ห์เหลี่ยมทั้งนั้นแหละ กีฬาเนี่ย จริง ใช้ความสามารถด้วยบ้าง แต่ก็มีเล่ห์เหลี่ยมประกอบ จิตวิทยา ลึกๆแล้ว มันเป็นเรื่องเสื่อม สั่งสมเล่ห์เหลี่ยม ที่จะเอาชนะคะคาน เพื่อประสงค์ สิ่งที่เราจะได้ แม้จะสร้าง ความสามารถ ก็สร้างเพื่อข่ม เพื่อเอาชนะเขาทั้งนั้น ไม่มีสร้างเพื่อยอม เพื่อสละ เพื่อแพ้เลย แถมมีเครื่องล่อ เพื่อเอาอีกเยอะ เอาเงินมาล่อ เป็นต้น เอายศชั้นมาล่อ เอ็งเก่งๆ เอ็งเป็นแชมเปี้ยนโลก เอ็งดัง ดังแล้ว ก็ประกอบไปด้วยโลกีย์ เป็นบริโภคนิยม เป็นทุนนิยม ยิ่งประกอบไปใช้ ในการดูด มาให้แก่ตน หนักหนา สาหัสขึ้น มันเป็นเรื่องความโลภ ก่อความเห็นแก่ตัวใส่จิต มันซ้อนกลายเป็นเรื่องรุนแรง มันเกี่ยวเนื่องกัน เรื่องของโลภะ กับโทสะ หนักเข้า ก็จะสนับสนุนกัน ทำให้โลภะก็จัด โทสะก็จัด แทนที่มันจะช่วยกันล้าง จางคลาย มันไม่ ยิ่งทำให้จัดจ้าน รุนแรง ซับซ้อนขึ้นไปอีก...." (ทำวัตรเช้า ๒๑ ต.ค.๔๕)

"....อย่างที่เป็นข่าวหน้าหนึ่ง นักเทนนิสของไทย เข้ารอบ ๘ คนสุดท้าย ตีเทนนิส เขากำลังเห่อ เป็นข่าวกัน เก่งอะไร้ ! ไปตีลูกเทนนิส เอาเรี่ยวเอาแรง มาตำส้มตำ ให้เรากินยังจะดีกว่า...." (ทำวัตรเช้า ๒๐ ต.ค. ๔๕) นับเป็นอารมณ์ขันเล็กๆ กับกระแสสังคม ที่กำลังชื่นชมยินดี กับชัยชนะ ของนักเทนนิสไทย

นอกจากนี้มีประเด็นที่พ่อท่าน นำเอาข้อเขียนของพระรูปหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับการยอมรับ จากสังคมว่า เป็นนักวิชาการ ทางศาสนาพุทธ ที่ดีที่สุดของไทย มากล่าวถึง ที่ท่านได้เขียนวิจารณ์ หลักปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นการบอก ให้รู้เฉยๆ ไม่ได้บอกวิธีปฏิบัติ ซึ่งแสดงว่า ท่านองค์นี้ เข้าใจความเป็น ปฏิจจสมุปบาท อย่างนั้นจริงๆ ทำให้พ่อท่านเห็นว่า พระรูปนั้น ไม่มีวิธีปฏิบัติ จากปฏิจจสมุปบาทจริงๆ นะหรือ แล้วพ่อท่าน ก็ได้อธิบาย การปฏิบัติ ปฏิจจสมุปบาท ให้พวกเราได้ฟัง ในช่วงทำวัตรเช้า ๒๐ ต.ค. ๔๕ ท่านที่สนใจ ศึกษารายละเอียด ติดต่อเอาเท็ป ไปฟังได้ ในบันทึกนี้ ข้าพเจ้าขอทิ้งประเด็นไว้ เพียงนี้


วิพากษ์ บั้งไฟพญานาค และเปรียบจอร์จ บุช ดุจฤาษีป่า?
๒๔ ต.ค. ๔๕ เดินทางจากบ้านราชฯ โดยรถรามรักษ์ หลังออกพรรษา และเสร็จงาน ฉลองน้ำแล้ว พ่อท่าน จะอยู่ที่ สันติอโศก เป็นส่วนใหญ่ แวะค้างคืนที่ อ.วังน้ำเขียว นครราชสีมา ตามคำนิมนต์ของ คุณอำนาจ หมายยอดกลาง เพื่อให้พ่อท่านได้เทศน์กับ กสิกรที่มาอบรม ถึงวังน้ำเขียวก็ค่ำแล้ว คุณเอนก นาคะบุตร คุณไชยวัฒน์ สินสุวงค์ และอีกหลายๆคน มาพูดคุยกับพ่อท่าน ที่กุฏิเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไป ร่วมรายการค่ำ ทำให้พ่อท่าน ได้พักนอนแต่หัวค่ำ

๒๕ ต.ค. ๔๕ ที่วังน้ำเขียว พ่อท่านแสดงธรรมทั้งทำวัตรเช้าและก่อนฉัน กำลังยังดี เสียงก็ยังดี มีประเด็น ที่กำลัง เป็นข่าวฮือฮา เรื่องบั้งไฟพญานาค ที่แม่น้ำโขง พ่อท่านก็นำเอามาเป็น อุปกรณ์การสอนด้วย

"....ความหลงของคนในสังคมมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัตถุและสิ่งบันเทิงต่างๆ อย่างเรื่องบั้งไฟ พญานาค ปีนี้มีการพบ งูเหลือมใหญ่ ไปติดแห ติดอวน แล้วชาวบ้านเกิดเดือดร้อน ไม่เป็นสุข ก็เลยไปหา คนมาเข้าทรง ผู้เข้าทรงก็บอกว่า งูเหลือมนั้นคือพญานาค นี่ก็ปรุงแต่งกันไปอีก หากอีก ๑๐ ปี วิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถ อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ อีกหน่อยขลังแน่ คงจะมีพิธีบูชา หรือทำรูปพญานาค มาปั้นขายอีก แล้วผู้มาทำพิธีกรรมต่างๆนี้ คือใครรู้ไหม? คือ พระ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ชาวพุทธ ทำให้ศาสนาเพี้ยนไป เป็นเทวนิยม....."

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติธรรมสองขั้ว แม้พ่อท่านจะเคยพูดมาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ พ่อท่านยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ ที่เป็นรูปธรรม เป็นตัวบุคคล มีเรื่องราว ที่กำลังเป็นข่าวดัง ไปทั่วโลก ประกอบ การอธิบาย สภาวะธรรม สองขั้วนั้น ได้อย่างชัดเจน

"....ฤาษีป่า คือพวกแกนเจโต เข้าป่าเข้าถ้ำ นั่งสะกดจิตตน เรียกว่าทำสมาธิ ไม่สนใจสังคมอะไร เข้าใจว่านั่นคือ การปฏิบัติไปสู่ทางบรรลุ วิธีเช่นนี้ คือ ลัทธิฤาษีดาบส เช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น ซึ่งก็เรียนกันมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสแล้วว่า ไม่ใช่ทางสัมมาปฏิบัติ แต่ก็ยังหลงทางกันอยู่ ก็สะกดจิต ตัวเองไป ไม่รู้แจ้งในจิต....เจตสิก....รูป....นิพพาน ได้ถูกตัวถูกตนอะไร ตีขลุม กดข่ม ดับจิตไปเลย หรือ ไม่ก็ได้ผล ข้างเคียง ของเจโตสมาธิ มาเล่นฤทธิ์ เล่นเดช แล้วก็เอามาหลงกันต่อ

ส่วนฤาษีกรุง คือพวกที่เอาแต่เรียนปริยัติ เรียนบาลี เรียนนักธรรม แล้วเอาวุฒิบัตร ไปใช้หากิน ไม่ได้ปฏิบัติ ลดละกิเลสตนอะไรกันจริงจัง แต่ศึกษามีปัญญา คิดได้ไกล คิดได้ลึก ได้คาถา ได้ภาษา ที่เป็นปรัชญา จนตีความภาษามาเป็นปัญญา ทุกอย่างไม่มีตัว ไม่มีตน หลงความคิด หลงตรรกะ หลงปัญญา ของตน ไม่มีสภาวะธรรมจริง เป็นคาถาคลายทุกข์ได้ชั่วคราว ก็เป็นเพียงการรักษาโรค แบบรักษา ไปตามอาการ แก้ทุกข์ผิวเผิน ไม่ใช่ "มรรคอาริยสัจ" จึงไม่สามารถกำจัด "ต้นเหตุ" ได้แท้ แบบนี้ ทางแพทย์เรียกว่า symptomatic treatment ไม่ใช่ radical treatment ที่เป็นการรักษา แบบค้นหาต้นเหตุ แล้วบำบัด ถูกตัวต้นเหตุ"

การปราบกิเลสแบบฤาษีป่านั้นก็ เช่น จอร์จ บุช เหมือนฤาษีป่า จะปราบบินลาดินคนเดียว ก็ทิ้งระเบิด ทั้งอัฟกานิสถาน จนเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า บินลาดินตายหรือยัง แต่ดูเหมือนบุชชนะ ซึ่งวิธีปฏิบัติ เยี่ยงนี้แหละ คือการนั่งสมาธิ เพื่อดับกิเลส มันเป็นการกระทำ แบบใช้อำนาจกดข่ม กดขี่รวมๆไป มั่วๆ ไม่สุขุม ไม่กระจะกระจ่า งแบบใช้มรรคองค์ ๘ จึงไม่สามารถทำลาย ถูกต้นเหตุแท้ของโรค นี่คือ การรักษาโรคแบบ empiric treatment เหมือนพวกฤาษีป่า นั่งสะกดจิต ของตนเองเข้าไปๆๆ นั่นเอง จนสะกดได้สนิท ก็นึกว่า ได้ฆ่ากิเลสแล้ว ความจริงไม่รู้จัก "ตัวตน" ของกิเลส ที่เป็นอัตตา เป็นสักกายะ เป็นอาสวะ กันจริงๆเลย และแน่นอน กิเลสไม่ตาย จริงหรอก เพราะไม่มีญาณ ที่รู้แจ้งสักกายะ รู้แจ้งอาสวะ อย่างชัดแท้ แล้วรักษา ด้วยวิธีปฏิบัติ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ หรือ จรณะ ๑๕ อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่สามารถ เด็ดขั้วหัวใจ บินลาดิน สิ้นซาก"


สันติอโศก ในสายตาของเลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
๒๘ ต.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก คุณสมาน ศรีงาม เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ผอ. สถาบัน นักวิชาการกรรมกร ได้มาให้ความรู้ เกี่ยวกับกฎหมาย ๑๑ ฉบับ ที่รัฐทำสัญญา ขายรัฐวิสาหกิจ กับทุนต่างชาติ

คุณสมานได้แสดงความเห็นส่วนตัว จากการติดตามความเคลื่อนไหว ของสันติอโศก มานาน ตั้งแต่พ่อท่าน พูดธรรมะ ที่วัดมหาธาตุ จากบางส่วน ที่คุณสมาน มองสันติอโศก ดังนี้.......

"....ในขณะที่ศาสนากระแสหลัก สังคมกระแสหลักเสื่อมลงๆ สันติอโศกกลับเติบโตขยายขึ้น ในสัดส่วน เรขาคณิต คือ ถ้าสังคมและศาสนากระแสหลักเสื่อม ๑๐๐ สันติอโศกจะเติบโตขยายขึ้น ๒๐

ผมรู้จักพระโพธิรักษ์ ตั้งแต่ที่วัดมหาธาตุ สมัยพูดธรรมะร่วมกับคุณไสว แก้วสม แล้วต่อมา ก็เห็นท่าน เด็ดเดี่ยว ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการจนถึงทุกวันนี้ สันติอโศก อยู่ได้เพราะ ความเคร่งครัด ในการปฏิบัติ จุดเด่นของสันติอโศกอยู่ตรงที่สามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ รักษาคุณภาพที่ดีไว้ได้ ในขณะที่ กลุ่มศาสนาอื่นๆ นับวันจะเสื่อมถอยลง ที่เห็นเติบโตขึ้นบ้าง ก็ดูจะเป็นระบบการจัดสรรอย่างธุรกิจ ขยายอย่าง ทุนนิยม มีแต่มวลปริมาณเท่านั้น คุณภาพไม่สามารถควบคุมได้เลย.....

.....สันติอโศกมีจุดดีที่เข้มแข็งสองอย่าง หนึ่งมีผู้นำที่ดี คือ พ่อท่าน สองไม่ได้ใช้ มันนี่ (money) คือเงิน เป็นตัวตั้ง แต่ใช้มโน คือ จิตใจเป็นตัวตั้ง....."


ต้อกระจกที่ตา
๒๙ ต.ค. ๔๕ ที่คลินิกโฟเวีย สุขุมวิท พ่อท่านมาตรวจตาที่มีอาการมัวขึ้นเรื่อยๆหลังการตรวจ สภาพตา พ.ญ.สุขุมา วรศักดิ์ บอกตาขวาพ่อท่านมีอาการต้อกระจก ๓๐-๔๐ % ส่วนตาซ้ายประมาณ ๑๐-๒๐ % หากพ่อท่าน ตัดสินใจ จะลอกต้อกระจก เมื่อไหร่ ก็จะติดต่อจองห้องพิเศษ ที่โรงพยาบาลล่วงหน้าให้ สำหรับ อาการตาขวา ที่จอภาพเสื่อมนั้น การรักษาที่ผ่านมาได้ผล ทำให้ไม่มีเส้นเลือดฝอย ที่แตกออกมาอีก ส่วนแผล ที่ใช้เลเซอร์นั้น ก็เล็กลง ตาขวาไม่บอด เพียงแต่จุดกลางจะดำมืด ที่มองได้ก็คือด้านข้าง หากใช้ตาขวา อย่างเดียว จะไม่เห็นรายละเอียด ตาซ้ายจึงช่วยให้เห็น รายละเอียด ของภาพมากขึ้น


วิธีตีความพุทธศาสนา ของพระธรรมปิฎก
๓๐ ต.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก คุณ Martin Seeger จาก Hamburg University เยอรมนีและ เพื่อนคนไทย ที่เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยศรีปทุม อดีตบวชเรียนมาหลายปี มีวุฒิเปรียญธรรมพ่วงท้าย ทั้งสอง ได้มาขอสนทนา สัมภาษณ์พ่อท่าน

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)