- ฝั่งฟ้าฝัน -
อภัยคือหัวใจ
ที่แท้จริง
ชื่อเสียง
ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้พระขีณาสพ
ข้าพเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในโลกของการมอมเมา
ด้วยชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ เพียงแต่ว่า จะฝ่ากำแพง ของอันตราย
ที่หอมหวาน ชวนหลงใหลนี้ได้อย่างไร?
สมัยอดีตที่เป็นฆราวาส
ก็ครุ่นคิดถามตัวเองหลายครั้งว่า เราจะกอบโกยลาภ
ยศ ทรัพย์สมบัติ หรือจะละทิ้ง สิ่งทั้งปวง แล้วออกบวชเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ท่านทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวเราเอง ก็ไม่ใช่ฐานะ
เท่าพระพุทธเจ้า แล้วจะหอบหวงสมบัติไปทำไม เดี๋ยวอาจเกิดการทะเลาะ
แย่งสมบัติ กับพี่ๆน้องๆ
ข้าพเจ้าก็ครุ่นคิดและพอจะรู้ว่า
มันน่าจะมีทางออกสำหรับชีวิต มันต้องมีทิศทางที่ดีกว่าเป็นอยู่อย่างนี้
แต่ทิศทาง ที่จะไป ใครคือผู้นำที่ดีที่สุด เพื่อจะศึกษาและปฏิบัติตัวเอง
เพราะว่าในช่วงเวลานั้น
ข้าพเจ้า ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย
ชื่อของผู้จัดรายการทางทีวีและทางวิทยุ
"รัก รักพงษ์" ก็ติดหูมาตลอด
รู้ว่าท่านเป็นดารา และเป็นคน มีชื่อเสียง แล้วตัวท่านก็หายเงียบไปนาน
พอข้าพเจ้าเริ่มสนใจธรรมะอย่างจริงจัง ก็ได้ยินข่าวว่า "รัก
รักพงษ์" ตอนนี้ ท่านบวชแล้ว จากเพื่อนของข้าพเจ้า ซึ่งทำงานที่กรมไปรษณีย์ด้วยกัน
และปัจจุบัน เพื่อนของข้าพเจ้า ก็คือ "ท่านพิสุทธิ์ พิสุทโธ"
ด้วยความสงสัยว่า
คนมีชื่อเสียง เป็นถึงดาราที่ใครๆรู้จักทางทีวี แล้วสละทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น
มาออกบวช แสดงว่า ท่านก็แน่พอสมควร ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสนใจ
จึงไปฟังเทศน์ที่ วัดมหาธาตุกับเพื่อน
ด้วยลีลาการเทศน์เหมือนควงง้าว
ควงหลาว ควงทวน ท่ามกลางสมรภูมิรบ ไม่กลัวใคร ข้าพเจ้า ซึ่งศึกษา ธรรมะมาบ้าง
ก็ชอบลักษณะนี้เช่นกัน ต้องอย่างนี้สิ สมเป็นผู้นำ เป็นผู้เอาจริงเอาจัง
และ เพื่อนข้าพเจ้า ซึ่งติดตามข่าวของสมณะโพธิรักษ์มาตลอด
เล่าให้ฟังอีกว่า ท่านฉันอาหารมื้อเดียว
นอนตะแคงขวา ยิ่งเพิ่ม ความน่าสนใจ ให้กับข้าพเจ้า เป็นอย่างยิ่ง
จึงเริ่มติดตามฟังธรรม ของท่านมาตลอด
เมื่อมีการเทศน์ที่ไหน
ก็เดินทางติดตามไปฟังทุกนัด ยิ่งติดตามฟังบ่อยขึ้นมากขึ้น มันยิ่งชัดเจนมากขึ้น
กับเส้นทาง หรือทิศทางที่ท่านทำอยู่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตัวเองตามไปเรื่อยๆ
เลิกอบายมุขทุกอย่าง เลิกเที่ยวเตร่ เลิกกิน จุบจิบ แล้วลองเริ่มกินอาหารมื้อเดียว
ทั้งๆที่เรียนด้วยทำงานด้วย ต้องใช้พลังงานมาก แต่ก็มั่นใจ ในมื้อเดียว
จนเพื่อนๆ หาว่าข้าพเจ้าเพี้ยน-บ้าไปซะแล้ว
พิสูจน์มาแล้วยิ่งมั่นใจว่า
เพียงแค่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามเพียงเท่านี้ ยังเห็นผลได้ขนาดนี้ แล้วถ้าทิ้งไปหมด
จะได้มากยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก จึงตัดสินใจไม่เอาอะไรแล้ว เรียนไปก็แค่นั้น
ทำงานไป ได้เงินมา เดี๋ยวก็มีลูก มีเมีย ก็ต้องหาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอีก
มีครอบครัวก็เป็นภาระ เห็นมาหลายครอบครัวแล้ว ไม่เห็นดีขึ้น ตรงไหน
มีแต่ทะเลาะ เบาะแว้งกัน ซึ่งข้าพเจ้าก็เบื่อ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่ยังไม่มีทางออก
พอเห็นทิศทางของชาวอโศก
เห็นหมู่เห็นกลุ่มซึ่งแต่ละคนก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก บางคน จบปริญญาตรี
โท บางคนจบ เมืองนอกเมืองนา เขายังสละมาบวชได้ ข้าพเจ้าเองมีเพียงแค่นี้
จะทิ้งไม่ได้เลยหรือ ? ! พอได้เห็น หมู่กลุ่ม เห็นผู้นำ ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจ
จึงตัดสินใจ "ลาออก" ทั้งจากการงานและการเรียน
ด้วยความมั่นใจ และไม่เสียดาย
ลาออกมาแล้วคอยติดตามพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
มาช่วยงานด้านหนังสือ และอัดเท็ป รูปแบบการทำงาน เป็นลักษณะ เหมือนเป็นเท็ปแขวนเอวพ่อท่านมาตลอด
ไปไหนๆ ก็ตามอัดเท็ปพ่อท่าน ซึ่งขณะนั้น ข้าพเจ้าปฏิบัติ เพื่อให้พ่อแม่เข้าใจให้ได้ก่อน
เพื่ออนุญาตให้บวช พอท่านเห็นข้าพเจ้ามุ่งมั่นจริงในเส้นทางนี้ ท่านก็ใจอ่อน
ยอมให้ข้าพเจ้าบวช วิธีที่จะให้พ่อแม่เห็นพ้องด้วย
คือ ปฏิบัติที่ตัวเราเอง เคร่งครัด เอาจริง แล้วทุกอย่าง ก็จะดีขึ้น
หรือคลี่คลายไปเอง
สมัยแดนอโศก ซึ่งช่วงนั้นชาวอโศกยังไม่มีงานมากเหมือนปัจจุบัน
พ่อท่านจะมีเวลาพูดคุยกับลูกๆมาก ซักถามปัญหากัน คุยกัน และพ่อท่านก็ตอบปัญหาอย่างลึกซึ้ง
แหลมคม ให้ลูกๆ ได้รู้อย่างชัดเจน ชัดแจ้ง เช่น เรื่องพระพุทธรูป
ทำไมไม่เห็นด้วยกับการมีพระพุทธรูปไว้ในพุทธสถาน ? เนื่องจาก พระพุทธรูป
ทุกวันนี้เฟ้อแล้ว เมื่อเรามีพุทธะในใจ พุทธะข้างนอกจึงไม่จำเป็นเท่าไหร่
ควรที่จะให้มีพุทธะ ในใจให้มากๆ จะดีกว่า
ยิ่งพ่อท่านอธิบายให้ฟังชัดเจนมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งมั่นใจมากยิ่งขึ้น ศรัทธายิ่งขึ้น ถ้าไม่มีศรัทธา
ไม่มีแก่นสาร กับตัวเราเอง จะทำให้ตัวเราเปลี่ยนแปลงได้ไม่ง่าย แต่ถ้าได้เนื้อได้แก่น
ที่เราประพฤติปฏิบัติได้ จะทำให้เรา มั่นคง แม้จะมีอุปสรรคขวากหนาม
หนักหนาสาหัสขนาดไหน เท่าใดก็สามารถฝ่าฟันไปได้ ถ้าได้เนื้อ ได้แก่น
จากพ่อท่านเพียงพอ
นี่เป็นเรื่องสำคัญของความศรัทธา
ท่านสอนแล้วตัวเราปฏิบัติได้ ได้มรรคหรือได้ผล สิ่งนี้แหละ จะเป็น
ความเชื่อมั่น ศรัทธาแน่นในการเดินถูกทิศถูกทาง สิ่งนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าอยู่ปฏิบัติมาจน
๒๐ กว่าปี ไม่เคยคิดถอย แม้แต่ก้าวเดียว
ปัจจุบันกิจการงานของชาวอโศกเพิ่มมากขึ้น
ขยายมากขึ้น การทำงานแต่ละอย่างก็ต้องประมาณมากขึ้น ต้องรู้พละอินทรีย์ของตัวเราเอง
ว่าขณะที่ตัวเราทำงานไป เราได้อ่านตัวเองไปด้วยไหม สังเกตสภาวะเราว่า
เหมือนเดิม หรือเสื่อมไป ถ้าทำแล้วได้งานนอก แต่งานในล้มเหลว โกรธก็มากขึ้น
โลภหลงก็ยังมากขึ้น ยิ่งต้องระวัง ควรจะหลีกงานนอกให้มากก่อน แต่ถ้าทำไปแล้ว
ได้ฝึก ได้หัด ได้ลด ได้ละ รู้จัก ปล่อยวางจิตเป็น ลดความถือสา ลดมานะอัตตา
เพราะการทำงานคือการลดมานะอัตตา ถ้าทำงานแล้ว กิเลสเพิ่ม ก็ขาดทุน
เป็นการล้มเหลว ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ผัสสะ กับการทำงานเยอะมาก ยิ่งทำงานมาก
ยิ่งปัญหามาก จึงได้นำสิ่งที่เราเคยฝึก มาใช้กับการแก้ปัญหา
และข้อสำคัญคือแก้ที่ตัวเรา ที่สำคัญ
อย่าไปเต้น ตามคลื่น ตื่นตามลม คนเป็นผู้นำ ต้องใจกว้าง หนักแน่น อดทน
ซึ่งสูตรก็คือ เชื่อมั่น อดทน รอคอย
อภัย......
อย่างกรณีสันติอโศกที่เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตื่นเต้น ตกใจอะไร เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็นเรื่อง
ธรรมดา เกิดมาแล้วหลายๆครั้ง เช่น ครูบาศรีวิชัยก็โดนจับกุม
มหาตมคานธี ก็โดนยิง พระเยซู
ก็ถูกตรึง กางเขน เรื่องราวเหล่านี้ มันเป็นมาทุกยุค คนดีทำดีขึ้นมาแล้วต้องเจอมาร
เจอมรสุม พระพุทธเจ้าก็ยังเจอ
ข้อสำคัญคือเรามั่นใจหรือไม่
ว่าเราทำถูกปฏิบัติถูก คนผิดที่เห็นคนถูกทำถูก
ก็เป็นเรื่องดี แต่คนผิด ที่จะเห็นคนถูก เป็นคนถูก นี่ค่อนข้างยาก
ก็ต้องเห็นว่าเป็นสิ่งผิด จะไปถือสาอะไรล่ะ ก็ปล่อยไป
เดี๋ยวกาลเวลา ก็พิสูจน์เองไปในตัว
กรณีสันติอโศกที่เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะกลองดี ถ้าไม่ตีมันก็ไม่ดัง พอมีคนมาช่วยตี
มันก็ดังขึ้นมา เป็นธรรมดา คนก็ต้องหันมาสนใจว่า เอ๊ะ....เป็นอย่างไรกันแน่
จึงทำให้ดังไปทั่วบ้าน ทั่วเมือง ใหม่ๆ อาจจะลังเล สงสัย พอดังขึ้นมา
ก็แล้วแต่คนเขา จะมองในแง่ไหน คนชอบก็ว่าดี คนไม่ชอบก็ว่าชั่ว ไม่มีอะไรตัดสินได้
จึงต้องรอเวลา เป็นเครื่องตัดสิน ถึงสภาพที่ยืนยัน มั่นคง
จึงต้องทนเป็นด่านๆ
เรื่องอย่างนี้มักจะเกิดขึ้นทุกศาสนา ข้าพเจ้าเข้าใจในเรื่องเช่นนี้มาก
ไม่เคยติดอก ติดใจสงสัย และเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะ ความไม่รู้ของคนคิดตรงข้าม
เพราะเขาไม่เคยศึกษา ฝ่ายทางเรารู้ แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ เกี่ยวกับ
ชาวอโศกเรา เพราะฉะนั้น เราจะไปถือคนไม่รู้ไม่ได้
ถ้าไปถือคนไม่รู้ ถือคนโง่ ตัวเราก็ยิ่งบ้า ยิ่งโง่กว่าเขา
การทำงาน แม้ว่าข้าพเจ้ามีงานมากขึ้น
ปัญหาก็มักมากตามมาด้วย จนบางครั้ง ต้องถูกเข้าใจผิด ถูกให้ร้าย จากคนที่ไม่รู้
ข้าพเจ้า จึงต้องใจเย็นๆ สำหรับคนที่เขาไม่เข้าใจ ถ้ามีเวลา มีโอกาส
ก็ไปอธิบายบ้าง เรื่องการ เข้าใจผิด มักมีบ่อย
เพราะความไม่เข้าใจกันทั้งฝ่ายที่มอง และฝ่ายที่ทำงาน แต่ข้าพเจ้า
มั่นใจว่า ทำถูก จึงไม่เกรงกลัว กับการต้องโดนให้ร้าย จึงยินดีที่จะชี้แจง
ถ้ามีโอกาส ถ้าโอกาสไม่มี ก็ปล่อยไปก่อน ถือซะว่า เขาไม่เข้าใจ และอาจเป็นความผิดของเรา
ที่ไม่อาจทำให้เขาเข้าใจได้ ไม่อาจทำ ให้คนเขา ไม่เพ่งโทษ ไม่ถล่มเราได้
แต่อย่างไร ก็ต้องปรับปรุงที่ตัวเราเองก่อน เป็นอันดับแรก ไม่งั้น
เราจะเป็นทุกข์ ว่าเราก็ทำดี แล้วยังมาใส่สี ตีไข่ ใส่เราอีก เราก็เหนื่อยแทบตาย
แล้วความคิด มันก็จะคิดต่อว่า ไอ้คนที่ว่า คนอื่น ทำมั่งรึป่าว ? ทำก็ไม่ทำ
มีแต่ตัดกำลัง เพื่อนฝูง นี่เป็นมานะอัตตาของเรา
มันขึ้นมา มันจะพาคิดไป ร้อยแปดพันเก้าต่างๆ นานา
ความคิดเหล่านี้ มันไม่เกิดประโยชน์
มันเป็นมานะอัตตาเรา และก่อให้เกิดทุกข์ด้วย เกิดความไม่พอใจ ข้าพเจ้า
ก็ใช้วิธีคิดหักมุม คือคิดในแง่บวก คนอื่นเขาอาจหวังดี กลัวผิดพลาด
แล้วก็ต้องขยัน ในการชี้แจง อธิบายบ่อยๆ จะทำให้ตัวเราชำนาญชิน
เก่งขึ้นในการแก้ปัญหา ถ้าทำงานมากขึ้น ก็จะเจอปัญหา แบบนี้มากขึ้น
สรุปก็คือ
การปฏิบัติธรรม ต้องสอนตัวเองเป็นหลัก ปรับจิตของตัวเราเองให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ
อย่าให้มันขาดทุน แล้วมันก็จะไปได้อย่างราบรื่น และต้องมั่นใจในสิ่งที่เราทำ
ว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้ไปทำ ผิดศีลผิดธรรม
การที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูภูมิปัญญาไทย
ไม่ใช่ถือว่าเป็นเกียรติอะไรของอาตมา แต่มันเป็นเครื่องแสดง
อย่างหนึ่งว่า สังคมก็ยังเห็นคุณงามความดีของสมณะชาวอโศก ซึ่งสมัยก่อน
สังคมไม่ยอมรับเลย รางวัลที่ อาตมาได้รับมา
เป็นของสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรางวัลระดับประเทศ การที่ได้รับเลือก
จึงเปรียบเหมือน สังคมภายนอก ให้การยอมรับว่า สมณะชาวอโศก ไม่เถื่อนนะ
เพราะรางวัลนี้ มีคณะกรรมการ ถึง ๖ พันคน คัดเลือกกันให้มา
อาตมาเองก็ไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก
เขาเรียกไปประชุมก็ไม่เคยไปหลายครั้ง เขาให้ส่งประวัติ ก็ไม่ได้ส่ง
ทำงาน เพื่อมวลชน ตรงจุดนี้ ก็ไม่ได้หวังรางวัลอะไร
เพราะในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรทางด้านวัตถุ ให้หวังได้หรอก แต่สิ่งที่
อาตมาหวังคือ ความหลุดพ้น จากกิเลสทั้งปวง
-
สมณะเสียงศีล ชาตวโร -
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖) |