สารอโศก

กว่าจะถึงอรหันต์

จิตรักสวยติดรักงาม
ปัญญาทรามกามกัดกิน
สิ้นชีวิตสิ้นทรัพย์สิน

คาวราคินเปี่ยมโทษภัย


พระราชทัตตเถระ
ในยุคสมัยแห่งพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมนั้นเอง มีบุตรพ่อค้าคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี แคว้นโกศล บิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า ราชทัตตะ เขาได้นำเอาเกวียน ๕๐๐ เล่มบรรทุกสินค้า นำไปค้าขาย ยังกรุงราชคฤห์แคว้นมคธ

ณ กรุงราชคฤห์ในเวลานั้น มีหญิงงามเมือง(โสเภณี)นางหนึ่ง ขึ้นชื่อลือชาว่าสวยงามนัก เป็นหญิงแพศยา ผู้เลอโฉมอย่างยิ่ง ยากที่จะหาหญิงนางใดมาทัดเทียมได้ หากใครจะร่วมอภิรมย์หลับนอนกับนาง จะต้องจ่ายทรัพย์วันละ ๑,๐๐๐ ทีเดียว

ราชทัตตมาณพ เมื่อมาถึงกรุงราชคฤห์แล้ว ก็ไปหานางทุกๆ วัน หลงใหลอยู่กับกามคุณ ต้องเสียทรัพย์ไป คราวละ ๑,๐๐๐ ไม่นานนักในที่สุดทรัพย์ที่นำมาทั้งหมดก็สูญสิ้นไปกับการได้ร่วมเสพสม กับนาง จนเขาต้องกลายเป็น คนยากจนทุกข์เข็ญ ขาดแคลนแม้อาหารและเครื่องนุ่งห่ม เที่ยวขอจากผู้อื่น ประทังชีวิตไปวันๆ

กระทั่งวันหนึ่ง เขาได้ไปยังเวฬุวันมหาวิหาร ป่าไผ่ที่รื่นรมย์สงบเงียบ ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ที่พระเจ้าพิมพิสาร ถวายเป็นสังฆาราม ในวันนั้นพระพุทธองค์แวดล้อมด้วยพุทธบริษัทจำนวนมาก ทรงแสดงธรรมอยู่ ราชทัตตมาณพได้นั่งฟังธรรมที่ท้ายบริษัท เขาฟังธรรมแล้วบังเกิดความศรัทธายิ่งนัก จึงขอบวชเป็นภิกษุรูปหนึ่ง ในพระพุทธศาสนา

ภิกษุราชทัตตะมุ่งบำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะเรื่องของกิเลสกามตัณหาที่เคยหลงติด จึงได้สมาทาน(ถือปฏิบัติ)ธุดงค์(ข้อปฏิบัติกำจัดกิเลส) ด้วยการอยู่ในป่าช้า

ในช่วงเวลานั้น ได้มีบุตรพ่อค้าร่ำรวยคนหนึ่ง เที่ยวแสวงหาความสำราญในเมือง เขาจ่ายทรัพย์ ๑,๐๐๐ ร่วมหลับนอน กับหญิงแพศยานางนั้น นางได้พบเห็นของมีค่าที่เขาพกติดตัวมา บังเกิดความโลภ ปรารถนาเป็นเจ้าของเสียเอง จึงจ้างพวกนักเลงให้ฆ่าบุตรพ่อค้าจนตาย แล้วนำของมีค่านั้นมาเป็นของตน

ความลับนี้รั่วไหล มีบางคนรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาต้องการได้ของมีค่านั้นเช่นกัน จึงลักลอ บเข้าสู่ที่อยู่ ของหญิงงามเมืองนั้นในยามราตรี บังคับนางให้บอกที่ซ่อน พอได้ของมีค่าแล้ว ก็ฆ่านางปิดปากเสีย โดยไม่ให้ผิวหนังร่างกายของนางมีรอยถลอกขีดข่วนใดๆ เลย แล้วเอาศพไปทิ้งไว้ในป่าช้า

ภิกษุราชทัตตะที่พักอาศัยอยู่ตามป่าช้า เพื่อฝึกฝนอสุภนิมิต (พิจารณาให้เห็นความสกปรก ไม่งามของร่างกาย) พอได้พบเห็นศพของนางงามเมืองนั้นก็จำได้ ความทรงจำเก่าๆ ปรากฏขึ้นพิจารณา จับอารมณ์จิตใจได้ว่า

"ธรรมดาของคนที่ชอบสวยชอบงาม หากได้เห็นซากศพมีร่างกายอันหมู่หนอนกัดกินอยู่ ย่อมรังเกียจ ไม่ชอบใจ เห็นเป็นของปฏิกูล(สกปรก) เพราะใจติดอยู่ในความยินดีของสวยของงาม แม้เราได้พบเห็นซากศพ ที่มีผิวพรรณงามตานี้ ก็ยังจะเกิดจิตกำหนัดรักใคร่ยินดีอีกหรือ ช่างเหมือนคนตาบอดเสียจริง ที่มองไม่เห็นของสกปรก ไหลออกจากทวารทั้ง ๙ ของร่างกายเรา"

จับได้ถึงอารมณ์กามราคะที่เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งใจอบรมจิตของตนให้เจริญกว่าเดิม โดยหลีกออกไปจากป่าช้านั้นทันที

สักครู่ใหญ่ภายในเวลาชั่วข้าวสุก ก็หาที่สงบสงัดอันเหมาะควรได้แห่งหนึ่ง ตั้งสติสัมปชัญญะให้ดี กระทำใจไว้ให้แยบคาย ทำฌาน(สภาวะจิตสงบอันประณีตยิ่ง)ให้เกิดขึ้น แล้ววิปัสสนา (อบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง) อสุภนิมิตนั้น

"โทษภัยของความรักสวยรักงามปรากฏแก่เราชัดแจ้ง ความสลดเหนื่อยหน่ายหายไปหมดสิ้น มีแต่จิต ที่ตั้งมั่น แจ่มใสเบิกบานอยู่ จิตของเราหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงได้แล้ว
จงดูความที่ธรรม เป็นธรรมดีเลิศเถิด เราได้บรรลุธรรมแล้ว ได้ทำกิจของพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว"

พระราชทัตตะเถระ ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ที่ประกอบด้วยวิชชา ๓ (๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ = รู้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ = รู้การเกิดและดับของสัตว์โลกได้ ๓. อาสวักขยญาณ = รู้ความหมดสิ้นไป ของกิเลสได้) แล้วในโลกนี้

- ณวมพุทธ -
พุธ ๕ มี.ค.๒๕๔๖
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๓๓๕, อรรถกถาแแปลเล่ม ๕๒ หน้า ๖๖)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)