>สารอโศก


ปัสสาวะหลวงพ่อ สาทิส อินทรกำแหง

ฉบับนี้ผู้เขียนได้รับข้อมูลมาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งให้ไว้หลายปีดีดักแล้ว แต่ดิฉันเพิ่งจะหยิบ ขึ้นมาอ่าน อ่านแล้ว ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ค่ะ ก็แหมระดับ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในหลายๆ ด้าน ช่วงหนึ่ง ท่านก็ยังเคยใช้ปัสสาวะ รักษาโรคเลย ดังนั้น ฉบับนี้ ลองมาฟัง ประสบการณ์จริง ของท่านดู นะคะ


ท่านผู้อ่านคงจะรู้จัก "หลวงพ่อชา" หรือ ท่านอาจารย์ชา สุภัทโท กันดีนะครับ งานพระราชทาน เพลิงศพของท่าน เสร็จสิ้นไปเมื่อ วันที่ ๑๖ มกราคมปีนี้ (๒๕๓๖)

งานศพของท่านยิ่งใหญ่ปานใด คนไทยทั่วประเทศก็คงจะเห็นแล้วจากโทรทัศน์ วิทยุ และ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แต่ถ้าหากคุณจะบอกว่า "เอ๊ะ ! ฉันไม่รู้จักท่านนี่ ท่านเป็นใคร ฉันไม่เห็นรู้เลย" ก็ช่างคุณเถอะ คุณจะรู้จักหรือไม่รู้จัก ผมไม่สนใจ เพราะผม อยากจะเขียน ถึงท่าน เล่าถึงท่าน และจารึกบุญคุณเหนือหัวที่ท่านมีต่อผมไว้สักเรื่องหนึ่ง ก่อนที่หลายๆคน จะลืมท่านไป

นอกเหนือไปจากความเป็นบรมครู มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลก (แน่ละ ถ้าคุณไม่รู้จักท่าน คุณก็จะหาว่า ผมโม้ แต่ถ้าคุณเป็นลูกศิษยฺ์ท่าน คุณก็จะรู้ว่า ผมพูดไม่ถึงครึ่ง ของความจริง ด้วยซ้ำ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อยังมี "นอกโลก" ไปอีก วัดที่เป็นสาขา ของหลวงพ่อ ทั้งในประเทศ และ นอกประเทศ มีถึง ๑๔๓ แห่ง) คงมีน้อยคนที่จะทราบว่า หลวงพ่อ ท่านเป็นหมอยา ตามแนวธรรมชาติ ที่ผมได้ยึดเป็นแนวปฏิบัติอยู่ในขณะนี้

หมอยา เป็นภาษาอีสาน คือหมอที่เป็นหมอจริงๆ ตั้งแต่โบร่ำโบราณมา หมอยา คือนักบุญ ที่ช่วยชีวิต คนไข้ มามากต่อมากแล้ว โดยไม่เคยเอาสตางค์คนไข้


หลวงพ่อเป็นหมอยาแนวธรรมชาติ เพราะท่านได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพร และเรื่องยา จากธรรมชาติ ท่านออกธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไม้ และอยู่ตามวัด ซึ่งแม้จะเป็นวัด แต่ในสมัยก่อน ก็มีสภาพเหมือนป่าจริงๆ แม้แต่วัดหนองป่าพง และวัดสาขาอื่นๆ ของท่าน ท่านก็จะ รักษาป่า และดำรงความเป็นป่าไว้ ให้มากที่สุดที่จะมากได้ ท่านอยู่กับป่า และ ธรรมชาติ มาตลอดชีวิตของท่าน

ป่าและธรรมชาติเช่นนี้แหละ ที่เป็นครูทั้งในด้านธรรมะ และความเป็น "หมอยา" ของท่าน

ประมาณ ๑๘ ปีที่แล้วมา ผมไปอยู่กับหลวงพ่อที่วัดหนองป่าพง ทุกเช้า เวลาที่ท่าน ออกบิณฑบาต ผมจะตามท่านออกไป และเป็นคนสะพายบาตรให้ท่าน ระหว่างทาง ก็จะเป็นโอกาส ดีที่สุด ที่จะเรียนธรรมะ และเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติจากท่าน

ท่านรู้ว่าผมสนใจเรื่องต้นไม้และสมุนไพร ท่านก็จะถือโอกาส สอนผม เรื่องต้นไม้ และ ธรรมชาติ พร้อมกันไป ท่านรู้จักต้นไม้ทุกต้น รู้จักความสวยงาม และคุณภาพ ในทางยา ของต้นไม้ และดอกไม้ ท่านรู้แม้แต่กระทั่งว่า ขี้นกบางชนิด ที่ขี้ออกมา ถูกเปลือกไม้ จนแข็ง เกือบจะเหมือนหินนั้น แคะเอาออกไปทำยาได้ มดบางชนิด ตัวขนาดมดแดง แต่เป็นสีดำ ทำรัง อยู่บนยอดไม้ รังของมัน ทำด้วยดิน เหมือนรังปลวก นั่นก็ใช้ทำยาได้ แต่ต้องเป็น รังร้างนะ ถ้ามดมันยังอยู่ เอารังมาไม่ได้ บาปกรรม

หลวงพ่อสอนผมหลายอย่าง ได้ทั้งธรรมะ และสัจธรรมจากธรรมชาติ และนั่น เป็นช่วง ที่รุ่งโรจน์ ที่สุด และสุขสงบที่สุด ในชีวิตแห่งการแสวงหา สัจธรรมของผม

ผมไม่เคยลืมอากาศหนาวเย็น แต่สดชื่นในยามเช้า ความสงบเงียบ ซึ่งแม้จะมี เสียงปะปน แต่ก็เป็น เสียงร่ำร้อง จากธรรมชาติ ทำให้ความสงบเยือกเย็นนั้น ยิ่งสงบลึกซึ้ง ขึ้นไปอีก เสียงน้ำค้าง หล่นเปาะแปะ กระทบใบไม้ ซึ่งเมื่อหล่นพร้อมกัน ในป่าใหญ่ ก็เกือบจะเหมือน เสียงฝนพรำ เสียงนกร้องเบาๆจางๆ เหมือนกลัวป่าจะตื่น ผสมกับเสียงช้าๆ เนิบๆ แต่แจ่มใส ของหลวงพ่อ ผมบอกไม่ถูกเลยว่า เสียงเหล่านั้น และบรรยากาศ เช่นนั้น มีความหมาย สูงสุด เพียงไร สำหรับชีวิต อันแสนจะหดหู่ และห่อเหี่ยว ของผมขณะนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ต้องระหกระเหินไปจากเมืองไทย ผมไม่ได้อยู่เมืองไทย เสียหลายปี ในช่วงต้นๆ ที่อยู่ต่างประเทศ เป็นช่วงที่ทนทุกข์ทรมานมาก เพราะเป็นระยะเวลา ที่ผมเริ่ม จะป่วยหนัก เป็นระยะอาการเริ่มต้นของโรคร้าย ซึ่งจะตามมาภายหลัง และ ตอนนั้นเอง ผมก็ได้มีโอกาส มาเยี่ยมบ้าน เมื่อมาถึงเมืองไทย ผมก็ตรงดิ่ง ไปหาหลวงพ่อ ตอนนั้น หลวงพ่อ ท่านก็ไม่ค่อยสบายเหมือนกัน ท่านไปพักรักษาตัว ที่วัดถ้ำแสงเพชร ซึ่งเป็นวัดสาขา แห่งหนึ่ง ของหลวงพ่อ

วัดถ้ำแสงเพชรอยู่บนเขา และสภาพวัดตอนนั้นเป็นป่าจริงๆ อากาศดีมาก แต่ค่อนข้างหนาว กลางคืน เงียบวังเวงดีเหลือเกิน

กุฏิหลวงพ่อท่านอยู่บนลานกว้างพอประมาณเหนือหน้าผา มองดูเหมือนกระท่อม ของเซียน บนก้อนเมฆ

ตอนเย็นผมชอบไปอยู่กับท่านที่กุฏิ ตอนนั้นพระฝรั่งองค์หนึ่งคือ ท่านปภากโร เป็นผู้ดูแล ปรนนิบัติท่าน เวลาผมไปหาหลวงพ่อ ท่านปภากโรก็จะหลบไป ปล่อยให้ผม อยู่คุยกับ หลวงพ่อตามสบาย

ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่กำลังกราบถามปัญหาต่างๆกับหลวงพ่ออย่างสนุกสนาน (สนุกสนานจริงๆ เพราะหลวงพ่อท่าน จะคุยจะสอน ด้วยความเบิกบาน และมีอารมณ์ขัน เหลือเกิน) ร่างกายผม ก็เกิดทรยศขึ้นมา ผมล้มลงตัวงอ ดิ้นกระแด่วๆ หายใจไม่ออก อย่างที่บอก แล้วนะครับว่า ตอนนั้น เป็นระยะ ที่ผมกำลังจะป่วยหนัก เป็นระยะอาการเริ่มต้น ของโรคร้าย โรคร้ายอะไร และร้ายขนาดไหน และหายได้อย่างไรนั้น ผมยังไม่เล่าหรอก ถ้าเกิด มีคนสนใจจริงๆ ผมก็จะเล่า ให้ฟังทีหลัง

ตอนที่เริ่มจะป่วยหนักนั้น มีอาการต่างๆผสมกันหลายอย่าง เป็นต้นว่าหน้าบวม ขาบวม เท้าบวม ปวดไปหมดทั้งตัว ไอบ่อยๆ อ่อนเพลีย ออกแรงนิดหน่อย ก็หายใจไม่ออก จะเป็นลม

ที่ร้ายที่สุดก็คือ การเป็นหืด เป็นๆหายๆ เวลาเป็นก็เป็นมาก มีอาการที่เรียกว่า แอ๊ทแท็ค (Attack) ติดๆกันตลอดวัน หัวเราะก็ไม่ได้ หัวเราะเข้านิดเดียว เสียงหัวเราะ จะกลายเป็น เสียงฟี้ดๆ แล้วหายใจไม่ออก หน้าเขียว เป็นลมไปเลย

ตอนที่กำลังคุยกับหลวงพ่อ ผมก็เจอแอ๊ทแท็คอย่างนี้แหละ ตอนแรก ผมก็หัวเราะ เสียงแหลม เหมือนปี่ชวา แล้วก็กลายเป็นเสียงลูกโป่ง กำลังปล่อยลมฟืดๆ แล้วก็เงียบเสียง เพราะหายใจ ไม่ออก

หน้าผมตอนนั้น คงเหมือนลิงแยกเขี้ยว ตอนต้นอ้าปากหัวเราะเต็มที่ ต่อมาปากแคบ ลิ้นปลิ้น ตาเหลือก เพราะหายใจไม่ออก ทรมานมาก เวลาหายใจไม่ออก ต้องเอามือไขว่คว้า ตะกุย ตะกาย เหมือนกับว่า มือมันจะโกยอากาศ เข้าไปได้ อย่างนั้นแหละ

หลวงพ่อท่านไม่ได้ตกใจ ท่านมองดูผมแล้วก็พูดช้าๆเนิบๆว่า "อย่าไปเกร็งมันโยม หายใจ ออกจากท้อง ช้าๆก่อน พอออกได้แล้ว ก็หายใจเข้าช้าๆ อย่าเกร็ง"

ผมเริ่ม ได้สติ หายใจตามที่หลวงพ่อบอก สักพักหนึ่ง ก็หายใจเข้าได้มากขึ้น

พอหน้าหายเป็นลิงแยกเขี้ยว ผมก็รวบรวมกำลังลุกขึ้นนั่ง บังคับกล้ามเนื้อที่หน้า ให้เป็นปกติ แล้วก็ฝืนยิ้ม อย่างเหยเก ให้หลวงพ่อท่านดู

"เออ.....ใช้ยาหลายอย่างแล้วมันก็ไม่หายเนาะ จะลองยาธรรมชาติดูไหมล่ะ"

หลวงพ่อท่านว่า ถ้าคุณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ก็ค่อนข้างจะใกล้ชิด กับท่านอยู่บ้าง คุณจะไม่ ประหลาดใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อ ท่านถึงพูดกับคุณ เหมือนกับท่านรู้ว่า คุณกำลัง คิดอะไร และ ถ้าได้ศึกษา และ ปฏิบัติตามคำสอน ของหลวงพ่อ อย่างจริงจัง คุณก็จะเข้าใจ ได้ดีว่า "เรื่อง" แบบนี้ เป็นกลไกตามธรรมชาติ และเป็นเรื่อง "ธรรมดา" เหลือเกิน

ตอนนั้นผมก็กำลังนึกทุเรศตัวเองอยู่จริงๆ ยาสเปรย์สำหรับพ่นเข้าปาก ลำคอ ซึ่งในสมัยนั้น ยังไม่รู้จักกันดี ผมก็มีใช้ แต่ผมก็ไม่อยากใช้ เพราะใช้แล้วมันก็เท่านั้น ค่อยยังชั่ว ได้ชั่วคราว เสร็จแล้ว ก็กลับเป็นมากขึ้น กำลังนึกประชดตัวเองว่า เมื่อยาอะไรๆมันก็ไม่หาย ก็ไม่รักษามันละ มันเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป ก็พอดีหลวงพ่อ ท่านบอกให้ลองยาธรรมชาติ

ผมถามท่านว่า ยาธรรมชาติของท่านคืออะไร หลวงพ่อท่านบอกว่า "ใช้ปัสสาวะ ของโยม นั่นแหละ" ตอนแรกผมก็ตกใจ แต่พอผมมองหน้าหลวงพ่อ เห็นยิ้มที่เต็มไปด้วย ความเมตตา กรุณา ของท่าน ผมก็ขนลุกซู่ เกิดความเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที

ในระหว่างที่หลวงพ่อเดินธุดงค์ และอยู่ประจำวัดป่าเป็นเวลาหลายสิบปีนั้น ท่านเจ็บหนัก หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่สอง ท่านป่วยมากขนาดเดินไม่ได้ ท้องด้านซ้ายบวม และปวด และ โรคประจำตัว ของท่าน คือโรคหืดก็ซ้ำเติมท่านอย่างรุนแรง

ครั้งนั้นท่านตัดสินใจที่จะรักษาด้วยการ"ไม่รักษา" นั่นก็คือการอดอาหาร ไม่ฉันอะไรเลย นอกจากน้ำ ในขณะเดียวกัน ก็ใช้การนั่งสมาธิ ซึ่งท่านเรียกว่า "ธรรมโอสถ" ช่วยในการรักษา และท่านก็หาย จากการป่วยหนักครั้งนั้น ได้อย่างน่าอัศจรรย์

การอดอาหาร เพื่อเป็นการรักษาโรคนั้น ก็ไปตรงกับการรักษาแบบโฮลิสติก (Holistic-เป็นการรักษาแบบองค์รวม ที่ให้การดูแลผู้จ็บป่วย ไปทั้งระบบ ไม่แยกส่วน เช่น แผนปัจจุบัน ที่ใช้การรักษา ตามความเชี่ยวชาญ เฉพาะส่วน ของแพทย์ผู้รักษา เช่น หูตาคอจมูก กระดูก และ ศัลยกรรม ประสาท สมอง จิตเวช ฯลฯ) ตามแบบการแพทย์แนวผสม

ผสานในอเมริกา และยุโรปเข้าอย่างน่าอัศจรรย์เหมือนกัน สำหรับความคิด ของหลวงพ่อนั้น ท่านบอกว่า เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะท่านสังเกตเห็นว่า เวลาสัตว์ต่างๆป่วย โดยเฉพาะ สัตว์ป่า มันจะไปนอนพัก อยู่เงียบๆ ไม่กินอาหารอะไรเลย นั่นคือ การรักษา แบบธรรมชาติ อย่างหนึ่ง

ส่วนความคิดในเรื่องการอดอาหารของการแพทย์แนวผสมผสานของยุโรป และอเมริกานั้น ได้มีการค้นคว้า และทดลอง ถูกต้อง ตามหลักวิชาการว่า การอดอาหารทำให้ตับได้พัก และ ชะล้างตัวเอง (Detoxification) และยังช่วยให้เกิดการหลั่ง ของโกร๊ธฮอร์โมน (G.H.) ด้วย โกร๊ธฮอร์โมนนี้ เป็นตัวสำคัญอย่างยิ่ง ในการรักษาซ่อมแซม ร่างกายด้วยตนเอง

สำหรับเรื่องปัสสาวะนั้น หลวงพ่อเคยทดลองมาหลายวิธี วิธีหนึ่ง ก็คือ ทดลองว่า จะใช้เป็น น้ำดื่ม ได้หรือไม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๑ ซึ่งเป็นปีพรรษาที่สิบของหลวงพ่อ ท่านตั้งใจ จะธุดงค์ ขึ้นไป อยู่บนยอดเขา และจะไม่ลงมาบิณฑบาตเป็นเวลา ๗-๑๕ วัน นั่นคือ การอดอาหาร เป็นเวลา ๗-๑๕ วันด้วย แต่ปัญหาสำคัญ ของการอยู่ บนยอดเขา ก็คือ ไม่มีน้ำจะดื่ม ท่านคิดว่า ถ้าดื่มน้ำปัสสาวะแทน น่าจะอยู่ได้ เพราะท่านเคยเห็นกบ เวลาจำศีล อยู่ในรู กบแช่ น้ำปัสสาวะ ของมันเอง มันก็ยังอยู่ได้ ท่านจึงทดลองดู

ขั้นแรก ท่านดื่มน้ำบริสุทธิ์จนเต็มอิ่ม อยู่ได้ ๓ ชั่วโมง รู้สึกปวดปัสสาวะ ถ่ายออกมา เอาแก้ว รองไว้เสร็จ แล้วเทหน้าฝา ออกนิดหนึ่ง ยกขึ้นดื่ม รู้สึกมีรสเค็ม

อยู่ได้สองชั่วโมง ปวดปัสสาวะอีก ท่านเอาแก้วมารอง แล้วดื่มเข้าไป ครั้งนี้อยู่ได้ ประมาณ หนึ่งชั่วโมง ท่านถ่ายออกมา เอาแก้วมารอง แล้วก็ดื่มเข้าไปอีก อยู่ได้ ประมาณ ๒๐ นาที ถ่ายออกมา ท่านก็ดื่มเข้าไปอีก คราวนี้อยู่ได้ ประมาณ ๑๕ นาที

ต่อมาท่านดื่มเข้าไปอีก ก็อยู่ได้เพียงห้านาที และพอลองดื่มต่อไป ปรากฏว่า ครั้งต่อๆไป พอตก ถึงกระเพาะ ก็ถ่ายออกมาทันที และ ปัสสาวะ จะเป็นสีขาวๆ ท่านจึงรู้ว่า น้ำปัสสาวะ เป็นเศษของน้ำ ซึ่งจะใช้ดื่ม แทนน้ำไม่ได้

แต่ท่านก็ได้ทดลองเรื่องปัสสาวะต่อไปอีก เพราะท่านคิดว่า ปัสสาวะก็มีคุณสมบัติ เป็นยา แต่จะเป็นยาได้ ต้องใช้ให้ถูกแบบ ถูกวิธี ท่านได้ทดลองวิธีต่างๆ ในการใช้ปัสสาวะ จนกระทั่ง สามารถรักษา ตัวท่านเอง ให้หายจากโรคหืดได้

ผมจึงถามท่านว่า วิธีใช้ปัสสาวะรักษาหืดนั้นทำอย่างไร ท่านจึงอธิบาย วิธีใช้ ให้ผมฟัง โดยละเอียด

"แต่ต้องระวัง อย่ากินยาอะไรเข้าไปก่อนใช้ปัสสาวะนะ มิฉะนั้น ปัสสาวะ จะไม่บริสุทธิ์ ใช้ทำยา ไม่ได้" ท่านกำชับ

ผมฟังท่านจนเข้าใจแล้ว รุ่งขึ้นเช้า ผมก็เริ่มใช้ปัสสาวะตามวิธีของท่าน

ตลอดวันนั้นทั้งวัน โรคลิงแยกเขี้ยวของผมไม่มาเยี่ยมกรายเลย พอตกตอนเย็น ผมก็ใช้ วิธีของ หลวงพ่ออีก และต่อจากนั้น ผมก็ใช้ทุกวัน จนกระทั่ง ผมกลับอเมริกา โรคลิงแยกเขี้ยว ไม่เคย กลับมาอีกเลย ผมหายเด็ดขาด

พอผมกลับอเมริกา ผมก็เริ่มค้นคว้าเรื่องปัสสาวะเป็นการใหญ่ ได้หลักฐาน การค้นคว้า มากพอสมควร แต่ยังศึกษาไม่ได้ครบถ้วน ก็พอดีผมป่วยเป็นโรคร้าย เสียก่อน ต้องหยุดชะงัก การงาน หลายอย่าง รวมทั้ง การค้นคว้า เรื่องปัสสาวะด้วย แต่ก็ได้หลักฐาน การใช้ปัสสาวะ มาบ้างพอสมควร

ตำรายาไทยของเรา ใช้ปัสสาวะของเด็กอ่อนเป็นน้ำกระสาย แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน แก้ไอ และ แก้หอบหืด

ยาสำคัญอย่างหนึ่งของพระกรรมฐาน หรือพระวัดป่าต่างๆ ก็คือยาดองน้ำมูต ซึ่งใช้ลูกสมอ หรือ มะขามป้อม ดองน้ำปัสสาวะ ผมเคยลองกินดูแล้ว สมอและมะขามป้อม อร่อยมาก ชุ่มคอ ไม่มีกลิ่นปัสสาวะเลย

ตำราจีนก็ใช้ปัสสาวะผสมกับตัวยาอื่นๆหลายอย่างเหมือนกัน

ตำราอินเดียยิ่งน่าสนใจมาก ใช้ปัสสาวะเป็นเรื่องใหญ่ในตำรายาหลายตำรา

เมื่อประมาณ ๕-๖ ปีมาแล้ว ท่านคงจะเคยได้ยินข่าวใหญ่ประกาศทั่วโลก โดยนายก รัฐมนตรี ของอินเดีย ชื่อ เดซาย

ท่านประกาศว่า ท่านดื่มน้ำปัสสาวะทุกวัน ท่านแข็งแรงกระชุ่มกระชวยไม่แก่ เพราะดื่ม น้ำปัสสาวะ

และเมื่อเร็วๆนี้เอง ประมาณสักสองเดือนมาแล้ว นายแพทย์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ประกาศว่า ได้ค้นพบ ยาแก้มะเร็ง ซึ่งสกัดจากปัสสาวะ (ต้องขอประทานโทษ ที่ให้รายละเอียดไม่ได้ เพราะผม เขียนเรื่องนี้ จากความจำ) และในปัสสาวะ ซึ่งสกัดออกมานี้ สารที่สำคัญที่สุด สำหรับ การรักษามะเร็ง ซึ่งสกัดได้คือ อินเตอร์เฟอรอน (Interferon)

เรื่องการค้นพบอินเตอร์เฟอรอนจากปัสสาวะนี้ เป็นข่าวใหญ่ ที่น่าสนใจ เป็นอย่างยิ่ง ในวงการแพทย์ ผู้ค้นพบอินเตอร์เฟอรอน เป็นคนแรกในปี ค.ศ.๑๙๕๗ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านไวรัส จากอังกฤษ ชื่อ อลิคส์ ไอแซคส์ อินเตอร์เฟอรอน เป็นโปรตีน จากปลาสมา และ ปลาสมา ก็คือส่วนประกอบ ซึ่งเป็นของเหลว ของเลือดอลิคส์ ไอแซคส์ ค้นพบว่า โปรตีน ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดในปลาสมา ระหว่างที่เกิดการอักเสบ จากไวรัสนั้น สามารถ จะยับยั้ง การเจริญเติบโต ของไวรัสได้ พูดกันภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็คือ การเปรียบเทียบว่า ข้าศึก ซึ่งมาทำลาย บ้านเมืองเรานั้น จะมีไส้ศึก ซึ่งมาเป็นพวกของเรา และ ทำลายข้าศึก ซึ่งเป็น พวกเดียวกันเอง นอกไปจากนั้น ไส้ศึกนั้น ก็ยังช่วย มาสร้างความคุ้มกัน ให้แก่พลเมืองดี ของเราด้วย

จากอินเตอร์เฟอรอน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งนี้เอง ในวงการเภสัชกรรม ได้นำมา ค้นคว้า เพิ่มเติม จนกลายเป็นยา ที่นำมาใช้ในเคมีบำบัด เพื่อรักษามะเร็งในปัจจุบัน

ตัวยาในเคมีบำบัดหลายขนานปัจจุบันนี้ จะมีอินเตอร์เฟอรอนตัวนี้ รวมอยู่ด้วย

อินเตอร์เฟอรอนที่นายแพทย์ญี่ปุ่นกล่าวว่า สกัดได้จากปัสสาวะ หรือว่าปัสสาวะ มีอินเตอร์เฟอรอนนั้น เป็นไปได้หรือไม่

ตอบได้อย่างมั่นใจตรงนี้ว่า เป็นไปได้อย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะอินเตอร์เฟอรอน เป็นโปรตีน และ ถ้าคุณ เคยศึกษา เกี่ยวกับชีววิทยา ของร่างกายมาบ้าง คุณจะทราบว่า ปัสสาวะของมนุษย์ และ สัตว์นั้น มีสารหลายอย่าง จากร่างกายอยู่ในนั้น และในจำนวน หลายอย่างนั้น มีโปรตีน รวมอยู่ด้วย

ในเมื่ออินเตอร์เฟอรอนเป็นโปรตีนจากปัสสาวะ จึงเป็นไปได้ที่จะเป็น อินเตอร์เฟอรอน และ จะเป็นอินเตอร์เฟอรอน ที่สามารถ สร้างความต้านทาน ให้กับร่างกาย เพื่อสู้กับมะเร็งได้

กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ หลวงพ่อคงจะภูมิใจในลูกศิษย์คนนี้บ้าง ที่พยายาม จะบอก แก่ชาวโลก ให้ได้รับรู้ว่า แม้แต่เรื่องปัสสาวะ ของหลวงพ่อ ก็สามารถ จะพลิกโลก พลิกแผ่นดิน ให้กลับตาลปัตรได้

สำหรับคุณผู้อ่าน ตอนนี้ก็คงพยายามจะคาดคั้นให้ผมบอกให้ได้สิครับว่า "คุณกำลัง จะแนะนำ ให้ฉันกินเยี่ยว เป็นยาใช่ไหม"

ขออนุญาตไม่ตอบได้ไหมครับ ผมไม่กล้าที่จะให้เจ้าหน้าที่ กระทรวงสาธารณสุข มาเล่นงานผม ว่าตั้งตัวเป็น "หมอเถื่อน" แต่อยากจะขอแนะนำคุณว่า กรุณาย้อนกลับ ไปอ่านเรื่องนี้ใหม่ โดยละเอียด ตั้งแต่ต้น แล้วคุณจะตัดสินได้เองว่า คุณควรทำอย่างไร สำหรับ ตอนนี้ ขอให้ผมยุ่งกับเยี่ยวผมเอง คนเดียวดีกว่า อย่าให้ผมต้อง ไปยุ่งกับเยี่ยว ของคุณเลย นะครับ

(จากหนังสือลลนา ปักษ์หลัง ฉบับที่ ๔๘๗ เม.ย.๒๕๓๖)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)