คนขายคน
เรื่องของภัยสังคมทุกวันนี้
มีแอบแฝงอยู่กับสังคมเราแทบจะทุกรูปแบบ แล้วแต่โอกาส จะอำนวย ให้คนชั่วได้กระทำเลว
สาเหตุใหญ่ ใจความ เพราะคนเราเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ขาดเมตตาธรรม และที่สำคัญที่สุด
เพราะคนขาดศีลธรรม ดั่งคำสอน ของหลวงปู่พุทธทาส สอนเอาไว้ว่า
"หากศีลธรรม ไม่กลับคืนมา โลกาจะวินาศ"
ดั่งเรื่องของ คุณกุนนา
บัวใหญ่รักษา อายุ ๒๙ ปี ที่อยู่ ๑๓๔ บ้านโคกกุง หมู่ที่ ๙
ต.ศรีสุข อ.ศรีชมภู จ.ขอนแก่น เขาได้ไปประสบมากับชีวิตของตัวเขาเอง
คุณกุนนาได้เล่าเรื่องของภัยสังคม
ในรูปแบบของสำนักงานจัดหางานในเมืองหลวง ให้กับ ผู้เขียน ฟังว่า เมื่อต้นปีที่แล้ว
เขาได้ไปทำงาน อยู่จังหวัดอุดรธานี วันหนึ่ง เขาได้ชมข่าว จากโทรทัศน์
ได้เห็นกรุงเทพฯ อันสวยงามในข่าวนั้น จึงอยากจะมา เที่ยวชมกรุงเทพฯ
ให้เห็นกับตา
พอมาถึงกลางปี ๒๕๔๕
เขาจึงชักชวนเพื่อนๆที่อยู่จังหวัดอุดรธานี เพื่อที่จะลงไปทำงาน ในกรุงเทพฯ
ปะเหมาะอาจจะโชคดี ได้งานทำดี ได้เงินได้ทอง กลับไปอวด เพื่อนบ้าน
เหมือนอย่าง คนอื่นเขาบ้าง
เขาได้ชักชวนเพื่อนๆรุ่นน้อง
รวมทั้งตัวเขาด้วยทั้งหมด ๗ คน แล้วก็พากันนั่งรถไฟ โดยสารจาก จังหวัดอุดรธานี
ไปลงปลายทาง ที่สถานีหัวลำโพง กรุงเทพฯ
พอไปถึงกรุงเทพฯแล้ว
ก็ได้พากันเดินชมความงามของกรุงเทพฯ และก็ถามหางานทำ ไปเรื่อยๆ จนมาถึงสนามหลวง
ก็ได้มานั่งพักเหนื่อย และชมความงาม ของวัดพระแก้ว อีกด้วย
พอพักหายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป
เดินจนมาข้ามสะพานแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็เดินมา จนถึงวงเวียนใหญ่ ธนบุรี
ก็ได้พบกับ สำนักงานจัดหางาน ตั้งเรียงรายกัน
อยู่แถวๆนั้น ส่วนมาก จะมีแต่คนอีสาน ที่เป็นคนชักชวน ให้เข้าไปในสำนักงาน
เพราะสังเกต จากสำเนียงพูด จะออกไปทาง คนอีสาน พวกเขาจะพากันมายื้อยุด
ฉุดเอามือ พวกผม ให้ไปยัง สำนักงาน ของเขา เขากะจะแยกพวกผม ให้ไปสำนักงาน
ละคนสองคน
แต่พวกผมทั้งหมดก็พูดว่า
พวกผมมาด้วยกัน จะไม่ขอแยกจากกัน โดยถือคติที่ว่า เพื่อนคือเพื่อน
เป็นไรเราขอเป็นด้วยกัน ถ้าตาย เราจะขอตายด้วยกัน จะไม่ขอแยก จากกัน
เป็นอันขาด
จากนั้นสำนักงานหนึ่ง
ก็มีพนักงานของเขามาฉุดเอามือของพวกผมทั้งหมด ให้เข้าไปใน สำนักงาน
ของเขา พอพวกผมนั่งลง เรียบร้อยแล้ว เขาก็ถามว่า ต้องการทำงานอะไร
พวกผมเลยตอบว่า
ต้องการทำงานก่อสร้างครับ
เขาบอกว่า งานก่อสร้างมันไม่ค่อยมีหรอกเขาเลยแนะนำพวกผมต่อไปว่า
เอาอย่างนี้ไหม ทางสำนักงาน ของเรา มีตำแหน่งงานว่างอยู่ คือเรือที่เขาออกหาปลา
ทางทะเล ต้องการคนงาน จำนวนมาก เพื่อไปทำงาน อยู่กับเรือหาปลานั้น
เงินดี มีข้าวปลาอาหาร มีที่พักพา อาศัยให้พร้อม พวกคุณ ต้องชอบแน่ๆเลย
พวกผมเห็นว่า งานอะไรก็ได้ที่ได้เงิน
และมีข้าวกิน เลยตอบตกลงกับเขาไป
เขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะโทรฯบอกเจ้าของเรือ
มารับเอาพวกคุณไปทำงาน แต่คืนนี้ พวกคุณนอนพัก ที่สำนักงาน ของผมก็ได้นะ
คืนนั้นพวกผมต้องนอนพัก
รอเถ้าแก่เรือมารับที่สำนักงานแห่งนั้น จนเวลา ประมาณ ๘ โมงเช้า เถ้าแก่เรือก็ได้นำเอารถมารับพวกผม
ก่อนจะไป เห็นเถ้าแก่เรือ เข้าไปพูดคุย อยู่กับคนจัดหางาน ตั้งนานสองนาน
โดยให้พวกผม นั่งรออยู่ในรถ
หลังจากนั้น
เถ้าแก่เรือก็ได้ขับรถพาพวกผมจากกรุงเทพฯ มุ่งตรงไปยัง จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
พอไปถึง เถ้าแก่เรือก็พาไปหาซื้อเสื้อผ้า ชุดทำงาน บนเรือ คนละ
๒ ชุด พร้อมเครื่องใช้ ที่จำเป็น จำพวกสบู่ ยาสีฟัน พอเสร็จ เขาก็พาพวกผม
กลับไปบ้านของเถ้าแก่
บ้านเถ้าแก่หลังใหญ่มาก
อยู่ไม่นานเขาก็พาไปที่เรือหาปลา เรือลำใหญ่มาก มีทั้งหมด ๔ ชั้น มีคนงาน
อยู่บนเรือลำนั้น รวมทั้งพวกผมด้วย ๓๐๗ คนพอดี
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
พวกผมก็ได้ลงมือทำงานอยู่บนเรือลำนั้น เขาจัดให้เราทั้ง ๗ คน เป็นพนักงาน
คัดปลา ที่เขาไม่ให้พวกผมไปทำงานลากอวนหาปลา เขาบอกว่า กลัวพวกผม จะตก
น้ำทะเลตาย เขาเลยให้ทำงาน คัดปลาอย่างเดียว
สำหรับการทำงาน เขาจะเริ่มให้ทำงานตั้งแต่ ๗
โมงเช้าของทุกๆวัน ทำมาจนถึงเที่ยงวัน จึงจะได้มีโอกาส หยุดทำงาน เพื่อกินข้าวกินน้ำกัน
เขาจะให้พวกคนงานกินข้าวได้คนละหนึ่งจานเต็มๆ
สำหรับกับข้าว ส่วนมากจะมีแต่ ทอดปลาหมึก จำพวกน้ำพริก หรือ แกงเนื้อแกงปลา
ไม่มีเลย น้ำเขาก็ให้กิน วันละขวด ข้าวกับน้ำ
เขาให้พวกผม กินวันละครั้งเดียว เท่านั้น
พอกินข้าวเสร็จ
ก็ให้เราไปทำงานต่อ แล้วก็ทำงานคัดปลาไปเรื่อยๆ กลางคืน เขาก็ไม่ให้หลับ
ให้นอนกันเลย แม้จะเหน็ดเหนื่อย แสนเหนื่อย เขาก็ไม่ให้เราพัก เรียกว่า
เขาคุมพวกผม อยู่ตลอดเวลา ทำงานทั้งวันทั้งคืน จนมาถึง ๖ โมงเช้า จึงให้พวกผม
หยุดนอนเอาแรง เพียงหนึ่งชั่วโมง เท่านั้น คือจาก ๖ โมงเช้าถึง ๗ โมงเช้า
พอนอนกำลังอร่อยๆ
ก็จะมีแม่ครัวมาปลุกไปทำงานต่อ เป็นอยู่อย่างนี้ทุกๆวัน เสมอมา
เรือที่พวกผมไปหาปลาลำนี้
จะตระเวนลากอวนหาปลาไปเรื่อยๆ จนถึงแดนเขมรโน้น ปลาที่หามาได้ ก็จะเอาน้ำแข็ง
โป๊ะหน้าเอาไว้ หาปลาอยู่ ประมาณหนึ่งเดือน ก็จะมีเรือ มารับเอาปลา
จากเรือไปขึ้นฝั่ง เพื่อขาย
พอมารับเอาปลาไปแล้ว เรือที่พวกผมอยู่ก็จะออกตระเวนหาปลาไปเรื่อยๆ
จนครบ อีกหนึ่งเดือน ต่อมาเขาค่อยพาเรือขึ้นฝั่ง กลับมาบ้านเถ้าแก่
แล้วก็มาพักผ่อน อยู่ที่บ้าน เถ้าแก่เรือนั้น
ระหว่างที่พวกผมพักอยู่ เขาห้ามไม่ให้ออกไปเที่ยวที่ไหน
เพราะเขากลัวพวกผมจะหลบหนี พักผ่อนอยู่ ๔-๕ วัน เขาก็จะพากันออกทะเลหาปลาอีก
พวกผมทำงานอยู่กับเรือหาปลาลำนี้
ได้ขึ้นฝั่งพักอยู่ ๓ ครั้ง ก็ ๖ เดือน แต่เงินเดือน
ไม่เห็น มีใคร ได้สักคน พวกผมทั้ง ๗ เลยพากันไปถามถึง เรื่องเงินค่าแรง
ที่พวกผมทำงานมา เถ้าแก่ ก็พูดบ่ายเบี่ยง อ้ำๆอึ้งๆ
เมื่อพวกผมตื๊อหนักเข้า เถ้าแก่ก็พูดว่า สำหรับเงินค่าแรงของพวกลื้อ
อั๊วจ่ายให้ทาง สำนักงาน จัดหางาน เขาไปหมดแล้ว
พวกผมเลยถามต่อไปว่า
เถ้าแก่จ่ายไปเท่าไหร่
เถ้าแก่ตอบว่า จ่ายให้เขาไปคนละ
๓,๐๐๐ บาท รวมแล้วก็ ๒๑,๐๐๐ บาท
เถ้าแก่ทำไมจ่ายให้เขาไปมากมายอย่างนั้น
จ่ายให้ค่าตัวพวกลื้อไงละ
ถ้าอย่างนั้น ทางสำนักงานจัดหางาน
เขาก็ขายพวกผมให้เถ้าแก่น่ะซิ
ใช่ซิ เขาขายพวกลื้อให้อั๊วมา
ถึงแม้ว่าพวกผมจะรู้ว่า
เขาขายพวกผมให้เถ้าแก่เรือ แต่ว่าพวกผม ก็อยากจะได้ ค่าแรงงาน ที่อุตส่าห์
ทำงาน อยู่ท่ามกลางทะเล และความเหน็ดเหนื่อย ที่เสียไป พวกผมก็พยายามตื๊อ
เพื่อขอค่าแรงงาน สุดท้าย เถ้าแก่เรือ เลยหลบหนีพวกผมไป
เมื่อทำงานไม่ได้เงิน
พวกผมเลยมาปรึกษากัน นึกเสียว่าทำบุญให้ทานให้เขาไปซะ
ชาติก่อน เราคงเคยทำกรรม กับเขาเอาไว้แบบนี้ มาชาตินี้ พวกเราจึงมาทำงาน
ใช้กรรมกับเขาไป
แล้วพวกผมก็เดินคอตกออกจากบ้านเถ้าแก่เรือนั้น
พอดีได้โดยสารรถบรรทุกสิบล้อ จากจังหวัด ประจวบฯ มาลงที่กรุงเทพฯ พอมาถึงกรุงเทพฯ
ก็พากันเดินจากกรุงเทพฯ จนถึง อำเภอ มวกเหล็ก จ.สระบุรี ขอโดยสาร รถสิบล้อ
ไปลงที่จ.ขอนแก่น
พอถึงตัวเมืองขอนแก่น
พวกผมเลยขอให้ตำรวจส่งขึ้นรถโดยสาร ที่สถานีรถ บขส. ขอนแก่น เพื่อนๆ
ที่อยู่อุดรฯ ตำรวจก็ส่งขึ้น รถสายอุดรฯ ส่วนผมก็ส่งขึ้นรถสายขอนแก่น
ศรีบุญเรือง
แต่พอรถวิ่งออกจากสถานีขนส่งสักพัก
พนักงานก็มาบอกให้ผมลงจากรถ ที่หน้าค่ายทหาร ร. ๘ ตรงข้าม บ้านหัวทุ่ง
แล้วผมก็เดินตามถนนมะลิวรรณ สายขอนแก่น-ชุมแพ พอมาถึงหลัก กม.ที่ ๙
ตรงบ้านเป็ด ก็มาพบคุณพ่อ (ผู้เขียน)
นี้ละ คุณกุนนา กล่าวกับผู้เขียน ในที่สุด
ผู้เขียนหาข้าวหาน้ำให้กับคุณกุนนากินอิ่มเรียบร้อยแล้ว
ก็ได้จัดเงิน จำนวนหนึ่ง ให้เป็นค่ารถ เพื่อกลับบ้าน ผู้เขียนเห็นว่า
เรื่องนี้พอจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจ สำหรับคนที่คิด
จะไปหางานทำ ในกรุงเทพฯ หากไม่มีคนที่รู้จักกัน พอที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้ละก็
ผู้เขียนก็ขอบอกว่า อย่าไปเลย บางกอก สู้ทำนา
ทำสวน ปลูกผัก ทำไร่อยู่กับบ้านเราจะดีกว่า
-
ก่อแก่น -
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖) |