เ
- ฝั่งฟ้าฝัน -
จากชีวิตในวัยเด็กที่ใฝ่ศึกษาทางด้านพุทธศาสนา
ข้าพเจ้าจึงได้บวชเรียนศึกษาพระอภิธรรม เพื่อจะเป็น
นักธรรมเอก ด้วยหัวใจ ที่มุ่งมั่น เพื่อเข้าให้ถึงพระธรรม คำสั่งสอน ขององค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะเป็นบุญวาสนาหรือโชคชะตาก็แล้วแต่เถิด
ข้าพเจ้าสอบนักธรรมเอกไม่ผ่าน และ เพื่อนของข้าพเจ้า มาชวนไป ยังที่ที่หนึ่ง
เพื่อไปศึกษาแนวทางปฏิบัติของท่าน ซึ่งแปลกดี เพื่อนข้าพเจ้าก็คือ ท่านกระบี่บุญ
มนาโป ข้าพเจ้า ก็ไปกับเพื่อน เพื่อศึกษา และพิสูจน์ ซึ่งเพื่อนบอกว่า
พระดี ดีอย่างไร ดี ที่ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ฉันเนื้อสัตว์
ไม่ใส่รองเท้า ไม่นอนกลางวัน และฉันอาหาร ๑ มื้อต่อวัน
ข้าพเจ้าได้พิสูจน์และได้เห็นจริง
สถานที่ที่พวกเราเดินทางไปพิสูจน์คือ แดนอโศก
ก้าวแรก ที่เข้าไป ข้าพเจ้า มีความรู้สึก ขนลุก คล้ายๆ มีวิญญาณ สัมผัสได้
ยิ่งได้เห็นกุฏิ หลังเล็กๆ ยิ่งซาบซึ้ง ประทับใจ และ ศรัทธามาก เพราะจากประสบการณ์ของข้าพเจ้า
ที่บวชเรียนมา ตั้งแต่เด็ก กุฏิที่เคยพบเห็นมา ไม่ได้หลังเล็กๆ แบบนี้เลย
ข้าพเจ้าอุทานในใจ
"เราเจอแล้วในสิ่งที่เราต้องการ" เพราะข้าพเจ้าใฝ่ฝัน อยากเป็นพระธุดงค์
เป็นพระ ที่ศีลเคร่ง พอมาได้เจอผู้นำที่ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจ ที่จะเดินตามทิศทาง
ที่พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ พาทำ พาเป็น พาไป
"ตายเป็นตาย" จึงตัดสินใจ จำพรรษา ที่แดนอโศก
ชีวิตข้าพเจ้าได้บวชศึกษาธรรมทางด้านเถรสมาคมมาแล้ว
นักธรรมก็เรียนมา แต่ยังไม่ได้ลงมือ ปฏิบัติจริง เงินยังใช้อยู่ ไปไหน ยังใส่รองเท้า
และ นอนกลางวัน ฉันสองมื้อ และ ไม่ใช่มังสวิรัติ ภาคปฏิบัติ ข้าพเจ้า ยังไม่ได้เริ่มต้น
เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นชีวิตจริงๆ ของข้าพเจ้า จึงเริ่มต้นกับ พ่อท่านนี่เอง
ได้เป็นนักบวชที่สมบูรณ์ทางภาคปฏิบัติมากขึ้น
เริ่มลดละเลิก ทานเนื้อสัตว์ ไม่ใช้เงินทอง ไม่ใส่รองเท้า เวลาเดินทาง ก็โบกรถ
ขออาศัยไป ปฏิบัตินานวันเข้า
ข้าพเจ้ายิ่งมั่นใจยิ่งขึ้น ในเส้นทาง พรหมจรรย์นี้ ศรัทธาผู้นำ ในกิจวัตรของท่าน
ที่มักน้อยสันโดษ คำสอนของท่าน แตกฉานลึกซึ้ง ยิ่งฟัง ก็เหมือนว่า ข้าพเจ้า
จะบรรลุตาม กระนั้น
การฝึกปฏิบัติทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง
ได้อดทนมากขึ้น อดกลั้นได้มากยิ่งขึ้น มีปีติในสิ่งที่ ปฏิบัติได้ ข้าพเจ้า
เคยเป็นคนติดหลับ มาก่อน จึงต้องฝึกฝืน เป็นพิเศษ
เพราะเป็นสักกายะ ของข้าพเจ้าเอง ตั้งแต่สมัย เรียนอภิธรรม ต้องนอนกลางวัน
แล้วค่อย มาเรียนหนังสือ ก็เลยสั่งสม ติดการนอนกลางวันมา พอมาปฏิบัติ
ตามแนวทาง ชาวอโศก จึงต้องฝืนอย่างมาก เวลาอ่านหนังสือทีไร หนังสือก็อ่าน
ข้าพเจ้าทุกที
บางครั้งญาติโยมมาบอก
"เห็นท่านง่วง โยมทุกข์แทน"
ข้าพเจ้าก็คิดว่า ข้าพเจ้าทุกข์คนเดียว
โยมเขาก็ทุกข์ตามหรือนี่ จึงต้องเร่งหาตบะธรรม หาวิธีการ เพื่อที่จะหลุดพ้น
สักกายะ ตัวนี้ให้ได้
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจขอลาพ่อท่านไปถ้ำ
พ่อท่านก็แย้งว่า "ไปทำไมถ้ำ มันมีอะไร สงสัยอะไร?"
ข้าพเจ้าตอบ อยากไปพิสูจน์
พอไปแล้วข้าพเจ้าอยากเอาชนะเรื่องง่วง
จึงไปนั่งอยู่ในถ้ำ ไปนั่งบำเพ็ญ ไม่ฉันอะไร ตั้งแต่ ๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. ตรงที่ไปนั่งนั้น
ข้างหน้า ก็เป็นเหว ข้างหลัง ก็เป็นเหว ถ้าง่วง ก็คือร่วงลงเหว สถานเดียว
ในที่สุด ก็ง่วง ไม่ลงเลย
จากนั้นก็เพียรปฏิบัติมาเรื่อยๆ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะต้องเพียรพยายาม ให้กิเลส
เบาบาง จนในที่สุด ให้หลุดพ้นให้ได้ ต่อมาได้มีโอกาส มาประจำที่
ศีรษะอโศก ก็ฝึกปฏิบัติ แบบที่เรียกว่า อุกฤษฏ์ คือนอนไม่เอาหลังแตะพื้น
ใช้วิธีการนั่งสมาธิแทน พอเที่ยงคืน ออกมาเดินจงกรม จากนั้น ไปนั่งสมาธิต่อ
จนเวลา ๐๓.๐๐ น. ก็มาวัตรเช้า ฝึกอย่างนี้อยู่ ๓ เดือน
นี่เป็นบทปฏิบัติ ที่ข้าพเจ้าต่อสู้มา ในเรื่อง ของความง่วง
การฝึกทำให้ข้าพเจ้าได้พลัง
และสามารถนำมาใช้กับการทำงานในปัจจุบันได้มาก ได้ดีพอสมควร เพราะเวลา มีงานเข้ามามาก
ก็จะมีพลัง ในการต่อสู้กับปัญหา ที่มากับงานเพิ่มขึ้น
ข้าพเจ้า ก็ได้นำพลัง ที่เคยได้ฝึกมา นั่นแหละ มาใช้กับการแก้ปัญหา ทำให้ข้าพเจ้า
ไม่เครียด และไม่หวั่นไหว ไปกับ เหตุการณ์ ต่างๆ มันเป็นผลดี ที่ได้กับตัวข้าพเจ้าเอง
ไม่ว่าเป็นกาม พยาบาท อาฆาต ถีนมิทธะ เมื่อมาอยู่กับ มรรคมีองค์ ๘ อยู่กับปัญหาสารพัด
จากที่ฝึกฝนมา ทำให้ทนได้ ต่อสภาพ หรือ สถานการณ์ต่างๆ ได้ดี
เมื่อเคี่ยวเข้มกับตัวเองมามากกว่า
๑๐ พรรษา ก็พร้อมที่จะเปิดตัวเองด้วยการรับภาระหน้าที่ ข้าพเจ้า จึงรับหน้าที่
เป็นสมภาร ซึ่งสมัยนั้นข้าพเจ้าก็เทศน์ไม่เก่ง เคยทำแต่เจ้าใบ้เสียงดัง คือจะพิมพ์
หนังสือ ธรรมะ ให้ท่วมโลก คิดเพียงว่า เป็นส่วนหนึ่ง ของไม้ของมือ พ่อท่าน
ก็พอแล้ว แต่พอออกจาก งานพิมพ์ ก็มารับผิดชอบ งานบุคคล บริหารบุคคล คือรับภาระหน้าที่
เป็นสมภาร ทำให้ข้าพเจ้า ได้เรียนรู้ว่า การทำงาน กับวัตถุ และการทำงานกับคน
มันต่างกันอย่างไร
ทำงานกับวัตถุมันแผนกเดียว
แต่ทำงานกับบุคคล มันหลายแผนก ครอบคลุมทั้งองค์กร
มีหลายบุคคล มาเกี่ยวข้อง ทำให้ใจกว้างขึ้น มีเมตตา ต่อบุคคลมากขึ้น ทำให้ต้องใจเย็น
มากขึ้น พัฒนาตัวเอง คนอื่น ก็จะได้ประโยชน์ จากข้าพเจ้า มากขึ้น
การที่มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับชาวอโศก
ได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมาย อย่างกรณี สันติอโศก ข้าพเจ้า ก็พร้อม ที่จะตาย
พร้อมที่จะติดคุก จิตของข้าพเจ้า ไม่ไปไหนอยู่แล้ว ตายเป็นตาย ไม่ว่าอโศก
จะเป็นอย่างไร พร้อมร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วย ไม่มีอะไร ที่จะทำให้หวั่นไหว
หวาดกลัว ในใจข้าพเจ้า กลับสงสาร คนที่มา เบียดเบียน ชาวอโศก แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้
เพราะเขายังไม่เข้าใจ ก็ต้องอาศัยเวลา พิสูจน์สัจจะ พิสูจน์ สิ่งที่เกิดขึ้น
ทองแท้ ต้องรอการพิสูจน์ได้
ปัจจุบัน งานของชาวอโศกขยายมากขึ้น
ผู้คนมากขึ้น ปัญหามากขึ้น คนจะมารับประโยชน์ จากชาวอโศก ก็มากขึ้น ตามลำดับ
ชาวเราก็ต้องเปิดตัวมากขึ้น ด้วยการรับภาระมากขึ้น ถ้าหากข้าพเจ้า ไม่ได้ฝึก
ไม่ได้หล่อหลอมมา การที่จะมารับภาระ ในปัจจุบัน ก็คงต้องลำบากมาก
การฝึกตัวเองเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุด
ส่วนการที่จะรับภาระในกิจการงานที่เพิ่มขึ้น ของชาวอโศก
แต่ละคน ต้องฝึก เคี่ยวตัวเองให้มาก ทนฝืนอดกลั้นให้มาก แล้วจะสามารถแยกแยะ
และทำจิตใจ ได้เก่งมากขึ้น
ยุคนี้เป็นยุคปัญญา คนที่จะมารับประโยชน์ก็มากขึ้น
การที่จะหาเวลาอยู่กับตัวเอง เพื่อฝึกปฏิบัติ ก็จะน้อยลง ฉะนั้น
ต้องอาศัยงาน เป็นกสิณ อาศัยหมู่มิตร สังคมสิ่งแวดล้อม เป็นตัวหล่อหลอม ให้เราได้
เข้มแข็ง ตบะที่ควรตั้ง ก็อยู่ในงาน ที่รับผิดชอบ นั่นเอง
-
สมณะผืนฟ้า อนุตตโร -
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๕๘ มีนาคม ๒๕๔๖)
|