ตอน...
จุดยืน...บนเส้นทางธรรม
ท่ามกลาง...วิสามัญฆาตกรรม วงการยาบ้า
และความคุกรุ่นของกลิ่นอายสงคราม อเมริกา บุก อิรัก
มกราคม -
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
พระไต้หวันจากมหาวิทยาลัยสงฆ์หนานผู่โถ
สนทนาซักถามเรื่องต่างๆตั้งแต่การทำ"ฌาน" จนถึงการบวช
ฝ่ายหญิง ของชาวอโศก... ทำไมจึงบวชได้ ทั้งๆที่ไม่มีฝ่ายภิกษุณี?
ดูเป็นคำถาม ที่เหมือนจะถูกรุก แล้วพ่อท่าน จะแก้ต่างอย่างไร?
น่าสนใจนะ
เพียงให้ข้อคิด..ไม่สั่งหรือบังคับ
เมื่อสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐปรึกษาเรื่อง
ที่นักศึกษา มหาวิทยาลัย รามคำแหง จะนิมนต์ให้ไปเทศน์ กรณีปัญหากับอาจารย์
ที่มีข่าวดังทางน.ส.พ. ซึ่งพ่อท่าน ก็ให้ข้อคิด คำแนะนำที่ดี
แล้วดีอย่างไร? คงต้องอ่านดูเองจึงจะรู้
ทัศนะสงฆ์ไทยต่อกรณีโทษประหารชีวิต
คุณสมศรี หาญอนันทสุข นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัย มหิดล ได้มาขอสัมภาษณ์
(๑๗ ม.ค.)...เหตุใดเราเป็นเมืองพุทธ แต่เรายังมีโทษประหารชีวิต
ในทางกฎหมาย ขณะที่ทั่วโลก๑๑๑ประเทศยกเลิกแล้ว... โทษจำคุกตลอดชีวิต
ไม่ถือว่า รุนแรงที่สุดหรือ?... ถ้าหลวงพ่อเป็นรัฐบาล จะยกเลิกโทษประหารไหม?...
ล่าสุดนายก ฯทักษิณ ให้ตำรวจ สามารถวิสามัญ ฆาตกรรมพวกยาบ้า?
คำถามต่างๆ เหล่านี้ ลองเดาก่อน พลิกไปอ่าน ดูซิว่า ที่พ่อท่านตอบ
กับที่เราคิด จะใกล้ไกลเพียงใด ถือเป็นการทำข้อสอบภูมิไปในตัวไง
การศึกษาไทยควรเป็นเช่นใด?
พ่อท่านตอบ คำถามอาจารย์จาก จุฬาฯท่านหนึ่ง ที่นำนักศึกษา มาศึกษา
ชุมชนสันติอโศก (๑๙ ม.ค.) แถมต่อด้วยประเด็นข้อหา อโศกใช้แรงงานเด็ก
ผิดจริงหรือ ?
ครั้งแรกที่สอนเทคนิคการถ่ายภาพการแสดง
(๒๑ ม.ค.๔๖) จากประสบการณ์ ที่พ่อท่านมี โดยไม่มี ในตำราที่ไหน?
ทั้งเด็กที่อยู่ในคณะทำงาน แสง-สี-เสียง และ ผู้ควบคุม การถ่ายภาพ
รวมถึง ผู้สังเกตการณ์ ได้ประโยชน์กันไปทั่วหน้า
สันติอโศก
ไม่มีวันดับ ข้อความพาดหัวข่าว ของ น.ส.พ.บางกอกทูเดย์
ที่ได้มาสัมภาษณ์ (๔ ก.พ.) ตัวอย่างคำถาม.... ท่านจะอธิบายให้
สังคมภายนอกรับรู้ชีวิตท่านอย่างไร?.... ท่านมุ่งหวังที่จะสร้างชุมชน
ให้มากกว่านี้หรือไม่?.... ท่านบอกได้ไหมว่า ชุมชนของท่านที่สร้างกันมานี่
ดีกว่าชุมชนภายนอก?... กล้าพูดได้ เต็มปากไหมว่า สภาพเศรษฐกิจแบบสังคมไทย
ในขณะนี้ การดำเนินวิถีชีวิตชุมชน แบบสันติอโศกนี่ น่าที่จะเหมาะสมที่สุด?....
ทำไมถึงต้องทำมาค้าขาย?.... แล้วทุนนิยม อย่างท่าน นายกรัฐมนตรีนี่
เป็นอย่างไร?...ท่านมีความเห็น ในเชิงหลักธรรม ในการปราบยาบ้านี้อย่างไร?
ลองเดาอีกทีซิ พ่อท่านจะตอบอย่างไร? ก่อนพลิกไปอ่าน
"ที่นี่เหมือนสวรรค์"
เป็นคำอุทานของ ดร.ลูกา และ ดร.มาเรนโน ชาวอิตาลี ที่หม่อมดุษฎี
บริพัตร ณ อยุธยา นำมาสนทนา ซักถามพ่อท่าน (๑๒ ก.พ.๔๖) เรื่องการศึกษา
และ ชุมชน มีอะไรที่น่าสนใจ ?
คัดค้านอเมริกาที่จะทำสงครามกับอิรัก
! พ่อท่านเห็นอย่างไร? เมื่อมีผู้ชักชวนให้ไปร่วม แสดงเจตนารมณ์
ในฐานะที่เป็นองค์กร ทางศาสนา เรื่องเดียวกัน แต่ถามสามกาละ
องค์ประกอบ เพราะเหตุใด พ่อท่าน จึงตอบต่างกัน เป็นความละเอียดอ่อน
ของท่าทีผู้นำ ทางศาสนา ที่น่าเรียนรู้
ที่น่าสนใจจากปิดท้ายบันทึกฯ.....ความหวังอันบรรเจิดเพริศแพร้วของพ่อท่านคืออะไร
?
เพื่อมิให้บันทึกฯนี้ยาวเกินที่จะพิมพ์ได้ในเล่มนี้
ข้าพเจ้าขอข้ามผ่านเหตุการณ์วันเด็ก (๑๒ ม.ค.) ที่สันติอโศก....
งานฉลองหนาว (๒๓-๒๖ ม.ค.).... ไปเชียงรายอโศก (๒๗-๒๘ ม.ค.)....
.ไปศรีโคตรบูรณ์อโศก (๓๑ ม.ค.-๑ก.พ.).. ไปสวนส่างฝัน (๙ ก.พ.)....
ให้โอวาทการประชุม สมณะมหาเถร (๑๔ ก.พ.).... งานพุทธาฯ (๑๖-๒๒
ก.พ.)....การไปพบพ.ญ.สุขุมา เพื่อตรวจตา (๓๐ ม.ค.) รวมถึง สุขภาพพ่อท่าน
ในสองเดือนนี้ อีกทั้งเกร็ดจากการประชุมต่างๆ
|
พบพระไต้หวันจากมหาวิทยาลัยสงฆ์หนานผู่โถ
๒ ม.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก พระไต้หวันจากมหาวิทยาลัยหนานผู่โถ ๑๑ รูป
ได้สนทนาธรรม และซักถาม ปัญหากับพ่อท่าน ข้าพเจ้าต้องขออภัย ที่จำต้องข้ามผ่าน
ประเด็นคำถามอื่นๆ เหลือเพียงประเด็นเดียวดังนี้
ถาม:
ได้ยินว่าทางอโศกนี่ มีการบวชสามเณรีด้วย มหายานเขาถือว่า การที่จะบวชเป็นสามเณรีได้นี่
จะต้องมีการบวช ทั้งจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือจากฝ่ายภิกษุณี แล้วก็ฝ่ายภิกษุสงฆ์
แต่ทางอโศก ไม่มีสงฆ์ฝ่ายหญิง แล้วทำไม จึงบวชเป็นสามเณรีได้ครับ
พ่อท่าน:
ต้องเข้าใจเป็น ๒ นัย ความรู้เชิงหนึ่งรู้มาแล้วก็ยึดถือกันมาว่า
จะต้องมีภิกษุณี เป็นผู้บวชให้ อีกอันหนึ่งก็คือ ไม่ใช่ภิกษุณีหรอก
เป็นภิกษุนี่แหละบวช โดยบวชตามหลัก ธรรมวินัย ที่จริงสามเณรีนี่ เขาเรียกสิกขมานา
ถือศีล ๖ ให้ได้ ๒ ปี เตรียมตัว ที่จะเข้ามาเป็นภิกษุณี ถ้าศีล ๖ นี่ขาดเมื่อไร
ก็นับหนึ่งใหม่ไปอีก ๒ ปี ถ้าศีลขาดอีก ก็นับเริ่มต้นใหม่อีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย
จนกว่า จะทำได้สมบูรณ์ การใช้ศีลปฏิบัตินี่แหละ โดยมีภิกษุให้ศีล เป็นการบวชเหมือนอย่าง
บวชไตรสรณาคมน์ สมัยพระสารีบุตรบวช แต่ทุกวันนี้ พระนี่รับเข้าหมู่เฉยๆ
ไม่ได้ให้ศีลกัน แต่อโศกนี่บวชให้ศีล โดยเอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
มาให้ศีลพระ เพราะถือว่าศีลนี้เป็นศีลธรรมนูญ
ถ้าพระไม่มีศีลเหล่านี้แล้วก็บรรลัย ทุกวันนี้ศาสนาถึงเสื่อมหมด ไม่เป็นพุทธ
ทีนี้บวชอย่างสามเณรีที่ว่าใช้ศีลนี่
เริ่มต้นก็ทำได้ ผมใช้ความเห็นอันนี้ ไม่ต้องใช้ ๒ ฝ่าย ไม่ต้องใช้
ทั้งภิกษุ และ ภิกษุณี จริงๆแล้ว ตีความคำสอนกัน คนละอย่าง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า
ต้องบวชโดย ภิกษุ กับ ภิกษุณี จึงจะได้ ไม่ใช่
เรื่องของเรื่องคือ ตอนแรกๆที่บวชมานั่น
ก็ภิกษุเท่านั้นแหละบวชมา เริ่มต้นไม่มีภิกษุณี แล้วจะเอา ภิกษุณีที่ไหน
มาบวชให้ภิกษุณีก่อน ทีนี้พอนานเข้า มีกรณีหลายอย่าง ที่จะซักถามเวลาบวช
นี่ต้องซักถาม กันจริงๆ ไม่ใช่มานั่งท่องบทบาลี ซักถามกันเป็นสูตรไป....นัตถิ
๕ อามะ ๘ อยู่แค่นั้น มันไม่ใช่ วิบัติ ๔ นี่ ต้องไม่วิบัติ ในคำตอบ
คำถาม ผู้ถามก็ต้องให้ถามอย่างชัดเจน ผู้ตอบก็ต้องเข้าใจคำตอบด้วย
แล้วก็ตอบ ให้ถูกต้อง ถึงจะเรียกว่าไม่วิบัติ นี่ไม่รู้เรื่องกันเลย
วิบัติมาตั้งแต่ เริ่มต้นบวชแล้ว มันโมฆะมา ตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าจะว่าไป
ทีนี้เรื่องของผู้หญิงนี่มันเยอะ
ภิกษุไปซักถามบางเรื่อง ไม่ไหวหรอก มันไม่น่าถามผู้หญิง ท่านก็เลย
ให้ภิกษุณี ซักถามกันมาก่อน คือผ่านคณะภิกษุณี มาก่อนชั้นหนึ่ง แล้วค่อยมาหาภิกษุ
ถึงจะถือว่า เป็นการจบ รับเข้าหมู่ ก็เป็นสงฆ์ไปเลย หมู่สงฆ์เป็นที่สุด
แต่ถ้าไม่มีภิกษุณีซักถาม ภิกษุถามก็ได้
ถามในอันตรายิกธรรมพอสมควร ก็ผ่านได้ ก็ไม่ถึงละลาบละล้วง บางสิ่ง
บางอย่าง แหม! บางทีถามไปถึงเรื่อง เมนส์หมดเมื่อไร ท้องหรือเปล่า
จะได้เสียกันมา กี่ปางกี่วันอะไร มันจะยุ่งกันใหญ่เลย พอมาบวชแล้ว
มีลูกติดมาไม่ได้ใช่ไหม หรือ เรื่องลับๆ สำหรับฝ่ายหญิงเขา อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น จึงเกิดกรณีว่า ให้ผ่านภิกษุณี ซักกันมาก่อน แล้วค่อยมาถึงภิกษุ
จึงไม่ใช่วินัย หรือ กฎตายตัวว่า หมายถึงการเข้าพิธีบวช ด้วยสงฆ์ ๒
ฝ่าย แต่ไปเข้าใจกันเอาเอง ก็เลยฟั่นเฝือ
แต่เราก็รู้ดีว่า เมืองไทยนี่รับภิกษุณีไม่ได้
แล้วเราจะดึงดันว่าเราจะบวชตามธรรมวินัยนี่แหละ จะรับเป็น ภิกษุณีเลย
มันก็ทำไม่ได้ หรือจะไปบวชเป็นสามเณรี หรือ เป็นสิกขมานาถือศีล ๖ อยู่
๒ ปีก็ตาม มันก็ไม่เข้าท่า สิกขมาตุที่นี่ ก็เลยเอาแค่แบบเณร ถือศีล
๑๐ แล้วก็ไม่ต้องไปเป็นภิกษุณี มีศีล ๓๑๑ อะไรไม่ต้อง เอาแค่นี้แล้วปฏิบัติไปเถอะ
สังวรสำรวมของเราเอง ศีลทั้งหลาย ใครจะสมาทานเอง ส่วนตัวอะไร ก็ว่าไป
เราก็เลยตั้งชื่อเสียใหม่ว่า สิกขมาตุ
หรือนักศึกษาหญิง ไม่ใช่สิกขมานา
แล้วก็ไม่ใช่เป็นสามเณรี แบบทางตรงทีเดียว เราก็เปลี่ยนมานิดหนึ่ง
เพราะประเทศไทย ไม่เคยมีภิกษุณีเลย ไม่เคยมีสามเณรีเลย เราก็เลยเอาแค่นี้
ส่วนตัวนั้น จะปฏิบัติให้ถึงนิพพาน ก็ปฏิบัติได้ ขณะที่เราได้รูปแค่นี้
มันภาวะจำยอม ได้แค่นี้ ก็เอาแค่นี้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ไปถกไปเถียง
เราไม่ไปแย่ง ไปชิง ตอนนี้มีผู้พยายาม จะเอาภิกษุณี เข้ามา ในประเทศไทยให้ได้
ไปบวชมาจากไต้หวันก็มี ไปบวชมาจากศรีลังกาก็มี เราก็ทั้งไม่เป็นแนวร่วม
ทั้งไม่ขัดแย้ง จะทำอย่างไร ก็ว่ากันไป เพราะขณะนี้เราก็ทำได้แล้ว
สำหรับนักบวชหญิง ที่จะเป็นประโยชน์ ในทางศาสนา เราสามารถ ทำให้นักบวชหญิง
ของเรานี่แข็งแรง เป็นผู้ที่มีศีลจริง ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา สามารถมีวิมุติ
อย่างเช่น ศีลข้อ ๑๐ เราไม่ต้องมีเงินมีทอง ผู้หญิงแท้ๆ ไม่ต้องมีเงินทอง
ส่วนตัวเลย ก็ทำอย่างบริสุทธิ์ บริบูรณ์ได้ จนกระทั่ง ผู้ชายก็กราบเคารพสบาย
เหมือนภิกษุณี เราไม่ไปติดใจในภาษา ในตำแหน่งนั้น
ไม่สั่ง...ไม่ห้าม...ไม่บังคับ...เพียงให้ข้อคิด
๖ ม.ค.๔๖ ที่สันติอโศก สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ
โทรศัพท์ฝากเรื่อง ให้ข้าพเจ้าช่วยเรียน ปรึกษาพ่อท่าน เนื่องจากมี
นักศึกษารามคำแหงกลุ่มหนึ่ง มานิมนต์ท่าน ให้ไปเทศน์ที่รามคำแหง
เกี่ยวกับกรณี อาจารย์รังสรรค์ แสงสุข
อธิการบดีหลายสมัย ที่กำลังเป็นข่าว โดย สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ
ได้ให้นักศึกษา ส่งโทรสารมาให้พ่อท่านดู ถึงการจัดกิจกรรมนี้ เพื่อจะให้พ่อท่าน
พิจารณาว่า สมควรตอบรับ การนิมนต์นี้หรือไม่ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก
หลังจากพ่อท่านได้อ่านเอกสารที่นิมนต์สมณะเพาะพุทธ
จันทเสฏโฐ ไปเทศน์ จากโทรสาร ที่ส่งมาแล้ว ให้ข้อคิดว่า
"๑. ท่านจันทร์ รู้ข้อมูลรายละเอียดของอาจารย์รังสรรค์
มากพอแล้วหรือ ?
๒. หากไปเทศน์มั่นใจอย่างไรว่า จะเป็นกลางได้
๓. เมื่อไปเทศน์ก็จะมีฝ่ายหนึ่งนั่งฟังเทศน์อยู่ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งมาเห็นเข้า
เขายังไม่ทันได้ฟังว่า ท่านจันทร์ เทศน์อะไร ? แต่เขาคิดไปได้แล้วว่า
ท่านจันทร์เป็นพวกเดียวกับ ฝ่ายที่นั่งฟังเทศน์....."
เมื่อพ่อท่านไม่พูดอะไรต่อ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
พ่อท่านเพียงให้ข้อคิด แล้วให้สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ตัดสินใจเอง
ไม่สั่ง....ไม่ห้าม....ไม่บังคับ นับเป็นการสอนที่ดี ถือได้ว่าเป็นวิธีการสอนของผู้ใหญ่
ที่สอนศิษย์ ที่มีชื่อเสียง เนื่องด้วยสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ เป็นสมณะผู้ใหญ่
ที่ได้รับการยอมรับ จากสังคมมาก เป็นการสอน ที่พ่อท่านให้เกียรติ ในเกียรติที่สมณะเพาะพุทธ
จันทเสฏโฐ ก็มีอยู่จริง
ข้าพเจ้าได้ซักถามเพิ่มเติมเพื่อต้องการคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เผื่อว่า สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ จะถาม ข้าพเจ้า ถามพ่อท่านว่า "ถ้าเป็นพ่อท่านเอง
ที่ได้รับนิมนต์ พ่อท่านจะไปไหม ?"
"ถ้าเป็นผม ผมไม่ไปหรอก"
พ่อท่านตอบ
คำตอบนี้ทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า
สิ่งที่ข้าพเจ้าคาดคิดไว้ข้างต้นนั้นถูกแล้ว ต่อมาข้าพเจ้าบอกเล่า
ความเห็นของพ่อท่าน ให้สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ทราบ โดยเว้นคำถามเผื่อ
ของข้าพเจ้าข้างต้นนี้ ซึ่งสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ก็ตอบรับว่า "ยินดีที่จะปฏิบัติเช่นเดียวกับที่พ่อท่านเห็น"
"แล้วท่านจะบอกเหตุผล กับทางโน้นว่าอย่างไร
?" ข้าพเจ้าถามต่อ
"ก็ตอบไปตามความจริง ว่าได้ปรึกษาผู้ใหญ่แล้ว
ผู้ใหญ่ก็บอกมาอย่างนี้ เรื่องการปฏิเสธ ผมไม่มีปัญหา อะไรครับ"
สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ตอบสุดท้าย อย่างนอบน้อม
ทัศนะสงฆ์ไทย ต่อกรณีโทษประหารชีวิต
๑๗ ม.ค.๔๖ ที่สันติอโศก คุณสมศรี หาญอนันทสุข
จากองค์กรสิทธิมนุษยชน Forum Asia และ กำลังศึกษา
ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขอสัมภาษณ์พ่อท่าน เพื่อประกอบ การทำวิทยานิพนธ์
เป็นภาษาอังกฤษ ในหัวข้อ "ทัศนะสงฆ์ไทย
ต่อกรณีโทษประหารชีวิต" โดยได้ไปสัมภาษณ์
หลวงพ่อนาน พระดุษฎี และ พระพยอม
มาก่อนแล้ว จากบางส่วน ของการสนทนา ที่น่าสนใจดังนี้......
ถาม เหตุใดเราเป็นเมืองพุทธ
แต่ยังมีโทษประหารชีวิตในทางกฎหมาย ขณะที่ทั่วโลก ยกเลิกโทษประหาร
ไปแล้ว ๑๑๑ ประเทศ
พ่อท่าน ศาสนาพุทธ นี่เป็นศาสนาที่เชื่อกรรม
เชื่อวิบาก แล้วก็เป็นศาสนา ที่วาง ปล่อย สุดท้ายแล้ว ทุกอย่าง ก็เป็นไปตามเหตุ
ปัจจัย หรือ เป็นไปตามสิ่งที่เป็นจริง ชั่วมาก ชั่วน้อย ดีมาก ดีน้อย
สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นสัจจะ ที่จะก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ ในมหาจักรวาลนี้
ไม่มีอะไรที่ไม่มีมาแต่เหตุ ศาสนาพระพุทธเจ้า
ทุกอย่างมาแต่เหตุ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะต้องได้รับวิบากกรรม
ที่รุนแรง ถึงขนาด จะต้องถูก ประหารชีวิต จะถูกฆ่า จะถูกทำร้าย หรือ
บางคนก็ไม่น่า ที่จะถูกฆ่าตาย ก็ยังถูกฆ่าตาย อย่างน่าสมเพชเวทนา ก็ยังมีด้วยซ้ำไป
ในความกว้างโลกวิทู หรือวิสัยทัศน์ของศาสนาพุทธนี่
คลุมรอบหมด ทั้งกรรมวิบาก จึงไม่ใช่เรื่อง ที่จะไปซีเรียส กับประเด็น
จะตายหรือไม่ตาย จะต้องประหารชีวิต หรือ ไม่ประหารชีวิต
ถ้าจะว่าไปแล้ว ยังมีความยุติธรรม
อยู่ในนั้นมากกว่า การถูกประหารชีวิต หรือ ถูกฆ่าตาย โดยวิบากกรรม
เจ้าหน้าที่ได้ ประหารชีวิตคน อย่างเหตุผลไม่สมควรเลย ก็มีออกถมถืดไป
ใช่ไหม
มันเป็นเรื่องของ สังสารวัฏ ซึ่งจะต้องมี
ยุคสมัยนี้ มันเป็นยุคที่เลวร้าย เราจะไปห้าม ความเลวร้าย หรือ จะไปหย่อนข้อ
ให้แก่ความเลวร้าย หรือ คนร้ายนี่นะ สังคมก็ยิ่งจะแย่ใหญ่เลย แต่จะบอกว่า
เราเข้าข้าง หรือไม่เข้าข้างนี่ จะพูดตีกรอบแคบๆแค่นั้น ไม่ได้หรอก
ถาม
คิดว่าน่าจะยังมีไว้ก่อน
พ่อท่าน
มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามสัจธรรม เป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งที่เกิดที่เป็น
ถาม
โทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ถือว่ารุนแรงที่สุดหรือคะ
พ่อท่าน
พูดอย่างนี้ก็มิได้หมายความว่า อาตมาเห็นด้วยกับการประหารชีวิตนะ แต่อาตมาพูดถึง
เหตุของกรรม ถ้าเขาถูก ประหารชีวิตทันที ไม่ต้องไปรอให้ตาย อยู่ในคุกตลอดชีวิต
มันรู้สึกว่า มีผลกระทบ ต่อจิตวิญญาณ ของคนรุนแรงกว่า ใช่ไหม ยิ่งการประหารชีวิต
ที่โหดเหี้ยม บางประเทศ เขาก็ยังทำอยู่เลย แขวนคอต่อหน้า ธารกำนันเลย
ประจานเพื่อที่จะให้เข็ด ให้หลาบ ให้กลัว อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่เราไม่ได้
ไปเอาอย่างเขา อาตมาเพียงบอกว่า พฤติกรรมที่เป็นอย่างนี้ มีผลต่อจิตวิทยา
มีผลต่อสังคม มีผลต่อ การบริหาร
ถาม จะถือว่าเป็นบาปไหมคะ
พ่อท่าน
อ๋อ บาปน่ะบาปแน่ แต่มันต้องเป็นไปตามกรรม อาตมานี่มีแนวคิดว่า
จะพยายามทำให้ สังคมนี้นี่ ไม่มีอาวุธเลย
ในประเทศนี้ และไม่ต้องไปมีทหารเลย ไม่ต้องไปฆ่าแกงใครเลย ปล่อยให้เขามาฆ่าเรา
ถ้าเขาจะฆ่า
ถาม
คือยึดหลักสันติวิธี
พ่อท่าน ใช่
เราจะทำอำนาจของกรรม อำนาจของสิ่งที่เป็นนามธรรมที่คนไม่รู้
แต่มันมีผล มีฤทธิ์จริงๆเลยว่า ทำดีจนกระทั่ง
บ้านเมืองนี้ ไม่ไประรานใคร ไม่ไปทำร้ายใคร ถ้าเขาหยาบ จะมาทำร้ายเรา
เราก็ยอม เรามีแต่ จะทำดีกับเขา มีแต่จะเกื้อกูลเขา ดูสิว่าประเทศเรานี่
จะมีใครมาฆ่าได้ลงคอ
ถาม
ทีนี้ถ้าเรามีข้อกำหนดบางอย่าง หรือวิธีการอีกแบบหนึ่งในการที่จะดัดสันดานคน
โดยที่ไม่ประหาร ไม่ยอม ให้มีการฆ่ากัน อย่างนี้ไม่เป็นทางเลือกที่ดีกว่าหรือ
ในทัศนะของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นผู้นำ ทางศาสนานี่ เห็นอย่างไร ?
พ่อท่าน
ความคิดของคุณก็ดี ความเห็นของเขาในแง่ของเขาก็ดี มันมีผลดีคนละอย่างกัน
แต่ถ้าจะเอา ความคิดเห็น ของอาตมา ที่อาตมาทำอยู่นี่ไม่มีการฆ่ากันเลย
แม้แต่มดเรายังไม่ฆ่าเลย อยู่ดีๆ มันก็มากัดเรา เรานอนอยู่เฉยๆ แท้ๆ
มันยังมารุมเราเลย เราก็ไม่ฆ่ามัน เพราะฉะนั้น การฆ่าแกงกัน เราไม่เห็นด้วยจริงๆ
แต่เรามองไป ในรอบกว้างว่า ทุกอย่างไม่ได้มีเราคนเดียว คนเลว คนร้ายอะไรต่างๆ
นานา มันก็มีอยู่อีกทั่วไป แล้วก็จะต้องมีวิธีการ ที่จะใช้กับสังคม
อันนี้เราก็ไม่ใช่ ไปเห็นด้วย แต่เราก็ต้องเข้าใจเขา
ถาม
ทีนี้ถ้าหลวงพ่อเป็นรัฐบาล คิดจะยกเลิกโทษประหารไหมคะ ?
พ่อท่าน
อ๋อ ในยุคนี้ให้อาตมาไปเป็นรัฐบาล อาตมาไม่ไปเป็น
อาตมาเป็นไม่ได้ อาตมา ไม่อำมหิตพอ อาตมา ไม่เลวร้าย แรงพอที่จะทำกับสังคมปัจจุบันนี้
อาตมาจะทำงานนี้เท่านั้น เราได้แต่สร้าง สิ่งที่ดีไปตามวิธีการ ของเราเท่านั้น
ให้อาตมาไปเป็นรัฐบาล ไม่เอาแน่นอน หรือ ให้อาตมา ไปเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์นี่
ไม่ทำ หรือ ให้ไปเป็นผู้พิพากษา ที่จะต้องตัดสินนี่ ไม่ทำเด็ดขาดเลย
ถาม พระพุทธเจ้าพูดไว้อย่างไรคะ
ในเรื่องของการลงโทษประหาร
พ่อท่าน
ท่านไม่เคยตรัส แล้วท่านก็ไม่เคยไปออกความเห็น และ ก็ไม่เคยไปห้าม
เช่นท่านพูดกับเกสี ที่เป็นคน ฝึกม้าพยศ ท่านก็ถามเขาว่า เขาฝึกอย่างไร
? เกสีก็ตอบว่า ก็พยายามที่จะทำด้วยละมุนละม่อมบ้าง ด้วยรุนแรงบ้าง
สุดท้าย ถ้ามันสอนไม่ได้เลย เขาก็ฆ่าทิ้ง ท่านก็ไม่บอกว่า เออๆ ท่านไม่ฆ่า
ท่านก็ไม่ห้าม ไม่พูด ท่านก็ไม่ออกความเห็น ในเรื่องนี้ เกสีก็ถามท่านกลับว่า
แล้วพระองค์จะทำอย่างไร ? ท่านก็บอกว่า ท่านก็สอน แนวเดียวกันนี่แหละ
สุดท้าย ถ้าสอนไม่ได้ หรือว่า สุดท้ายเลวร้ายมาก
ท่านก็ฆ่าทิ้งเหมือนกัน เกสียังตกใจเลย บอก เอ้า ! ท่านจะฆ่าได้อย่างไร
? ท่านบอก ท่านไม่ได้ฆ่าร่างกาย แต่ท่านฆ่าโดย
อาริยวินัย คือ ท่านไม่สอน ไม่ยุ่งเกี่ยวเลย สำหรับคนนี้ นี่คือการฆ่าของทางธรรม
แต่ท่านก็ยังใช้ศัพท์นี้ แล้วท่าน ก็ไม่เคยไปท้วงติงว่า เกสีทำไมต้องฆ่า
ไม่เคยไปว่าอะไร เพราะว่าท่านก็รู้ว่า ตามฐานานุฐานะ ของมนุษยชาติ
มันมีขีดขั้น มีชั้นมีตอน ของมันอยู่เยอะแยะ
ถาม อย่างประเทศที่เขายกเลิกไป
สังคมก็ไม่ได้ล่มสลายอะไรนี่คะ ก็ไม่ได้มียาบ้ามากเท่าไร เขาก็บอก
ปัญหาที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ การประหารแล้วจะช่วยได้ เพราะว่าสหประชาชาติ
ก็ทำวิจัยมาแล้วว่า การที่อาชญากร เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นน่ะ ไม่ได้อยู่ที่โทษประหาร
เพราะเวลาคนจะทำ ไม่ได้คิดเรื่องประหาร การแก้ปัญหาตรงนี้ เขามองว่า
มันไม่ใช่การแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุ ศาสนาพุทธไม่ให้ไปฆ่าคน อันนี้เป็นเหตุผล
ของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพราะจะยิ่งสร้างความรุนแรง จะเป็นวัฏจักรไม่จบสิ้น
อีกอย่าง ประเทศจนๆ ที่ยกเลิก โทษประหารไปแล้ว หรือว่ามีไว้แต่ไม่ได้ปฏิบัติ
๑๑๑ ประเทศ ซึ่งประเทศก็ไม่ได้ล่มสลาย แต่ไทย ที่มียาบ้ามากขึ้น ทั้งที่เรามีโทษประหาร
มาตลอด สถิติกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โทษประหาร จึงไม่สามารถ ทำให้มันลดลง
พ่อท่าน
เอานะอาตมาจะฟันธง อาจจะเป็นการยกตนข่มท่าน อาจจะฟังแล้วน่าหมั่นไส้
ก็ขออภัย พระพุทธเจ้า สอนเรา ให้มากำราบ ให้ฆ่ากิเลส
ฆ่าสิ่งที่ไม่ดี จากตัวเรา นี่เป็นหลักการ สำคัญที่สุด ศาสนาพุทธ เพ่งทุกข์
ทุกข์คือ ความเลวร้าย ความไม่ดี แล้วก็มาหาเหตุ แห่งความเลวร้าย ของแต่ละคนๆ
แล้วอย่าไป อนุโลมมัน ต้องรุนแรงกับมันเลย เหตุแห่งความไม่ดีนี่ แล้วจัดการ
เมื่อจัดการ อันนี้แล้วเสร็จ คนก็จะไม่เลวร้าย เมื่อคนไม่เลวร้าย ก็จะเกิดกลุ่มคน
ที่ไม่เลวร้าย เมื่อกลุ่มคนที่เกิดความไม่เลวร้าย ก็จะเกิดวิถี การดำเนินชีวิต
ที่เป็นวิถีชีวิตที่ไม่มีความรุนแรงและเลวร้าย สังคมนี้ ก็จะทวีไปเรื่อย
นี่คืออาตมายืนหยัดอยู่ข้อนี้ และทำอย่างนี้ ทุกวันนี้ประเทศไทย
ไม่เป็นไปได้ ก็เพราะไม่ทำตาม หลักเกณฑ์ของ พระพุทธเจ้า ที่จะต้องเพ่งทุกข์
ดูเหตุแห่งทุกข์ หรือ เพ่งความเลวร้ายของตน แล้วก็ฆ่ากิเลส เหตุเลวร้ายนั้น
ให้มันตายไปจริงๆ
ถาม
ถ้าอย่างนั้นนายกรัฐมนตรีท่านทำถูกต้องแล้วใช่ไหมคะ
พ่อท่าน
อาตมาไม่ขอออกความเห็นอันนี้ แต่อาตมาก็ว่า ในส่วนรวมแล้ว คุณทักษิณ
กำลังทำสิ่งที่ดีงาม มากกว่า จุดบกพร่องอยู่ เท่าที่เห็น
ถาม
ล่าสุดท่านนายกทักษิณ ออกมาบอกว่าจะให้ตำรวจ สามารถวิสามัญฆาตกรรม
พวกยาบ้า
พ่อท่าน
อาตมาไม่ออกความเห็น อาตมาจะไม่ไปร่วมบาปด้วย คุณอย่ามาหาบาป ให้อาตมาเลย
อาตมา ตอบรวมๆ ไปเท่านั้น ก็พอแล้ว สรุปแล้ว คุณทักษิณทำหลายๆ อย่างดี
ส่วนที่อาตมาไม่เห็นด้วย มันอาจจะดี ก็ได้นะ เพราะอาตมาใช้วินิจฉัย
ของอาตมาเอง ต่างคนก็ต่างคิด
ในสังคมไม่จำเป็นต้องไปคิดว่า คนอื่นจะต้องเห็นอย่างเรา
คุณมีความเห็นอย่างไร ก็แสดง ออกไปบ้าง ก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง อยู่ในสังคม
เป็นข้อมูลหนึ่ง สังคมเขาก็เก็บเอาข้อมูลนี้ ไปบวก ลบ คูณ หาร ของเขาเอง
ส่วนมันจะเกิด ผลอะไร ที่จะเป็นมติ หรือไปเป็นหลักการ ของสังคม มันก็เป็นไปตามธรรมดา
ธรรมชาติ อยู่ที่ว่า เราจะเลือกเอาขอบเขตขนาดไหน อย่างเช่นอาตมา ทำขนาดนี้
แล้วเมื่อกี้นี้ที่พูดว่า ถ้าอาตมา พูดไปแล้ว จะยกตนข่มท่าน อาตมายังพูดไม่ครบ
อาตมาจะพูดต่อ ฟังดีๆ นะตรงนี้ ศาสนาพุทธ ไม่มีคุณธรรม
หรือ ไม่มีฤทธิ์ของศาสนา เอามากๆแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ทำตามธรรม ของพระพุทธเจ้า
มันไปหาทาง แย่งลาภ แย่งยศกัน ศาสนาพุทธนี่ เป็นโลกุตระ ซึ่งมามองตน
ซึ่งมาทำลาย เหตุแห่งทุกข์ มามักน้อยสันโดษ มาปฏิบัติลดละ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านั้น
ไม่ได้ออกป่า ออกเขาออกถ้ำ แต่ปฏิบัติ อยู่ในสังคม แล้วเราก็จะทำตัวเราเอง
หลุดพ้นจากเลวๆร้ายๆ แล้วก็ช่วยคนเขา อยู่ในสังคมนี้ ตลอดไป
ที่คุณถามว่า ประเทศไทยทำไมไม่อย่างโน้น
อย่างนี้ๆๆ ก็นี่แหละคือเหตุ มันไม่ถูกพุทธ
อย่าเพิ่งอ้วกนะ ต้องมาทำ อย่างอาตมา รัฐบาลหรือแม้แต่ คณะสงฆ์มหาเถรสมาคม
มาทำอย่างอาตมาซี แล้วจะเห็นผล ทันที ทุกวันนี้ อาตมาทำไปเรื่อยๆ ตามลำดับๆ
ถาม เขาไม่ได้ทำตามหลวงพ่อนี่คะ
พ่อท่าน ใช่
เพราะเขาไม่เชื่อ ทั้งๆที่อาตมาพาพิสูจน์แล้ว ในสังคมของอาตมาขณะนี้
มันก็เกิดกลุ่ม ไปแล้วเรื่อย มีชุมชนแล้ว ไม่ใช่ชุมชนเดียวนะ มีหลายๆๆชุมชน
เป็นชุมชนที่มีศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ตามหลักของ พระพุทธเจ้าหมดเลย
ถาม
ไม่มีความรุนแรง
พ่อท่าน
ใช่ ไม่มีความรุนแรง เพราะฉะนั้น อย่าไปพูดถึงเรื่อง จะต้องประหารชีวิต
หรือไม่ประหารชีวิต ไม่ต้อง แม้แต่สัตว์ ก็ไม่ฆ่า มันจะตายด้วยเหตุสุดวิสัย
ก็อีกเรื่องหนึ่ง แม้แต่อาชญากรรมต่างๆ ลักทรัพย์ ผิดในกาม อะไรต่างๆ
ที่รุนแรง แม้แต่โกหก เครื่องดองของเมา อบายมุขไม่มีเลย อย่างนี้เป็นต้น
แล้วไม่ใช่ เป็นเฉพาะบุคคล เป็นหย่อมๆๆ ไม่ใช่ เป็นกลุ่มสังคม มีวิถีการดำเนินชีวิตแล้ว
นี่คือ พุทธบริษัท
การศึกษาไทยควรเป็นเช่นใด ?
๑๙ ม.ค. ๔๖ ที่สันติอโศก พ่อท่านแสดงธรรมก่อนฉัน โดยมีนิสิต ปริญญาเอก
ซึ่งเป็นครู ลาราชการ มาศึกษาต่อ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มาเรียนรู้ ชุมชนสันติอโศก เพื่อเป็นข้อมูล ส่วนหนึ่ง ของโครงการวิจัย
และพัฒนา การสร้างเสริมสุขภาพ ในมิติของจิตวิญญาณ ของสำนักงาน กองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งมี ผศ.ดร.จุมพล
พูลภัทรชีวิน เป็นหัวหน้าโครงการ พ่อท่านกล่าวนำ ด้วยการอธิบาย
ถึงหลัก ๗ อ. (อิทธิบาท, อารมณ์, อาหาร, อากาศ, ออกกำลังกาย, เอนกาย,
เอาพิษออก) ที่ทำให้ มีอายุยืนยาว ช่วงท้ายเปิดโอกาส ให้สนทนาซักถามได้
นิสิตผู้นั้น กล่าวชมพ่อท่านว่า สามารถ ทำให้คน มาอยู่ทำงาน ร่วมกันได้
โดยที่ทุกคนทำงาน ให้ส่วนกลาง ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว ในขณะที่สังคม
ทุกวันนี้ มีแต่ทำอะไร เพื่อส่วนตัวทั้งนั้น
พ่อท่านเสริม "การที่คนต่างจริต
ต่างฐานะอาชีพการงาน ต่างวัย ต่างความรู้ มาอยู่ร่วมกันได้ แล้วต่าง
ก็ทำงาน เพื่อส่วนรวม แสดงว่าคนเหล่านี้ ลดกิเลสโลภ โกรธ หลง ได้จริงๆ
เราอยู่ร่วมกันมา ๒๐-๓๐ ปี โดยที่ไม่มีคดีตีกัน หัวร้างข้างแตก...."
"การศึกษาไทยควรเป็นอย่างไร
?" นิสิตผู้นั้นทิ้งประเด็นคำถามกว้างๆให้พ่อท่านตอบ
"ควรเป็นอย่าง
ที่อาตมาทำ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา สอนอย่างธรรมชาติ ให้เด็กได้เรียนรู้
จากชุมชน ภูมิปัญญาชาวบ้าน เรียนรู้จาก วิถีชีวิตจริง มิใช่เรียนจากตำราอย่างเดียว
ในห้องเรียน....." จากบางส่วน ที่พ่อท่านตอบ
ประเด็นที่พ่อท่านชี้ชัดในวันนี้เกี่ยวกับค่านิยมของสังคมที่มองเด็กอาชีวะ
มีความสำคัญ ต่อสังคม น้อยกว่า เด็กสายสามัญ หรือเด็กที่เรียนในมหาวิทยาลัย
แต่พ่อท่านกลับเห็นว่า เด็กเรียนสายอาชีวะ มีความสำคัญ ต่อสังคม มากกว่าเด็กเรียนสายสามัญ
เพราะสายอาชีวะ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ทำการงานต่างๆ เป็นผู้ผลิตปัจจัย
๔ ที่แท้จริงกว่า สายสามัญ.....
ในช่วงบ่ายขณะประชุม ๕ องค์กร พ่อท่านได้บอกเล่า
ข้อท้วงติงของอาจารย์ ท่านหนึ่ง ในกลุ่มการศึกษา ทางเลือก ที่มองว่า
อโศกใช้แรงงานเด็กมาก ระวัง! จะผิดกฎหมาย ซึ่งพ่อท่าน ได้อธิบาย เป็นการให้ความรู้ว่า...
"เขามองว่าเด็กของเราทำงานหนัก
ดูซิ ไม่ได้เข้าห้องเรียน เอาแต่ให้ทำงาน เอ่อ ! เขาก็มองออกแต่เท่านี้
อาตมาตั้งใจ ให้เด็กทำงานจริงๆ มีปรัชญาการศึกษาไว้
ศีลเด่น ๔๐% เป็นงาน ๓๕% ให้เด็กทำงาน เป็นจริงๆ ไม่ใช่ สักแต่ว่าทำงาน
ไม่ใช่จบวิศวฯออกมา ขันน็อต แข่งกับตี๋ในร้านซ่อมได้หรือเปล่า สู้ไม่ได้หรอก
เรียน ๔ ปีเท่ากัน รับรองตี๋เก่งกว่า วิศวะสู้ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น
เรื่องเป็นงาน มันไม่เป็นหรอก มหาวิทยาลัยที่ไหน ก็ไม่เป็น เราสอนเน้นเป็นงาน
๓๕% วิชาการแค่ ๒๕% ต่างกันตั้ง ๑๐%
การจะให้เป็นงานนี่ ไม่ใช่คุณฝึกชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเข้าชั่วโมงห้อง
Lab แล้วเป็นงาน มันไม่เป็นหรอก ครูฝึกเด็ก เด็กก็ขี้เกียจ ไม่ได้เอาใจใส่อะไรนักหนา
ต้องเข็นต้องเคี่ยว สมัยโบราณ สอง-สามร้อยปีมา โอ้โฮ! ลูกศิษย์อาจารย์นี่
สอนกันแนะนำกัน ยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ ตายแทนก็ได้ มันถึงจะเป็นงานจริงๆ
การเป็นงาน เราให้เด็กทำงานจริง
คุณมาดูเมื่อไหร่ เราก็ให้เด็กทำงาน แล้วทำงานจริง ไม่ใช่ทำงานเล่น
ทำจน ออกเป็นผลงาน ออกไปค้าไปขาย เอาไปทำใช้ในสังคม เป็นของจริง เป็นแรงงานแท้
จะว่าแรงงานกรรมกร ก็ใช่ กรรมกรตัวผลิตจริงด้วย
ขอยืนยันว่าเด็กพวกนี้จบออกไปแล้ว
แกก็ไปทำงาน แล้วก็ไปหากิน เลี้ยงตัวเลี้ยงชีพได้จริงๆ เพราะฉะนั้น
เด็กพวกนี้ จะเป็นงาน ไม่ใช่แค่รู้งาน เมื่อเราจะฝึกให้เด็กเป็นงาน
เราจึงต้องเอาจริง เอาจังอย่างนี้ นั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่าง ที่เขามองว่า
ให้เด็กทำแต่งาน ก็ไม่ได้เข้าห้องเรียน โถ ! แค่เข้าห้องเรียน ประเภทเรียน
เอาแต่ท่องๆๆๆ อะไรก็ไม่รู้ เอามาเรียนใส่หัวเด็กหมดเลย ไม่ได้รู้จักการเรียนว่า
การศึกษานี่ คืออยู่ใน ภูมิประเทศ อยู่ในสังคมแวดล้อม หรือ สิ่งที่เขาจะต้องรับรู้
อะไรต่ออะไร แล้วเขาก็จะรู้พวกนี้แล้ว ทำงานพวกนี้เป็น ไม่ใช่ว่า ไปรู้รอบโลก
ไปรู้นอกโลก ไปรู้ที่ไหนๆหมด เสร็จแล้ว เรียนจบออกมา ๑๐๐% ใช้ประโยชน์จริงๆ
๑๐% ๒๐% อย่างมาก เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียทุนรอน ของรัฐของอะไรๆ
มากมายมหาศาล การเรียนแบบนี้ เราเลยไม่เอา เราให้เรียนในภูมิประเทศนี่แหละ
อยู่ในสังคม ของเราอย่างนี้แหละ แล้วในสังคมของเรา แกก็รู้หมด ไม่ใช่อยู่ในห้อง
กักอยู่ในกล่อง ไม่รู้สิ่งแวดล้อม ของสังคม ที่แกอยู่ตามจริง การเรียนของเรา
จะอยู่กับชีวิตสิ่งแวดล้อม ที่เป็นสังคม ภูมิประเทศ และ กิจการงานจริง
แกจะรับรู้ว่านี่คือใคร พี่ ป้า น้า อา น้อง ญาติมิตรสหาย เอ้า!อยู่กับอันนี้
ทำกับอันนี้ กินกับอันนี้ ใช้กับอันนี้ สร้างสรรอันนี้ อันนี้ควรพัฒนา
แกรู้จักของจริงหมดร่วมกัน นี่คือ การศึกษา ของเรา ไม่ใช่ศึกษา ยัดเข้ากล่อง
ตื่นเช้า ก็ยัดเข้ากล่อง ขี่รถยนต์ ไปถึงที่ทำงานยัดเข้ากล่องโรงเรียน
จากนั้น ก็รับจากกล่องโรงเรียน เอาเข้ารถยนต์ จากรถยนต์กลับมาเข้ากล่องที่บ้าน
จบ เด็กพวกนี้ มาบริหารประเทศ ในอนาคตต่อมา อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้
คือเด็กเหล่านี้เก่ง จบด็อกเตอร์กันมาเยอะแยะเลย การศึกษา อย่างนี้ไปไม่รอด
ของเรานี่การศึกษาเป็นธรรมชาติ การศึกษาเป็นความจริง
สัมผัสรู้ทุกอย่างของสังคม ของสิ่งแวดล้อม ของความเป็นอยู่ และ ของสิ่งที่จะประกอบกับชีวิตทุกอย่าง
มีคนมองว่า เรากินแรงงานเด็ก เราไม่ได้กินแรงงานเด็ก
เด็กเขาทำงานแรงๆ เขาทำงานหนักๆจริง แต่เราไม่ได้ กินแรงเขา เขาทำออกมาเป็นผลงาน
ผลผลิตออกมา ก็มาเลี้ยงพวกเขาเองด้วย และ เราก็ไม่ได้ขาย อย่างทุนนิยม
ที่จะเลี้ยงนายทุนคนไหน เป็นคนได้รับประโยชน์ แม้แต่มูลนิธิได้รับประโยชน์อะไร
มาจาก แรงงานของเด็ก จนกระทั่งร่ำรวยหรือ? มูลนิธิรวยหรือ? หรือมีนายทุนซ้อนอยู่
ในมูลนิธิ นายทุนโพธิรักษ์ ? นายทุนครูใหญ่ ? นายทุนประธานมูลนิธิ
? วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง ใคร ? ใครเป็นคนรวย ? ใครเป็นคนได้
? ใครเป็นคนกินแรง ? ไม่มี มีแต่ได้มา แล้วมาสะพัดออก เป็นแบบบุญนิยม
ไปให้แก่ประชาชน เป็นผู้ได้ เด็กก็ได้บุญ เพราะเด็กเขาเป็นคนสร้าง
เด็กเขาเป็นคนช่วยเสียสละ ถ้ามันจะมีอะไรเหลือ มีอะไรเกิน มีสิ่งที่สร้างสรรเกิน
มีผลผลิต มีรายได้มีอะไร มันก็ออกไปสู่สังคม ที่นี่ไม่ได้ มาสะสมกักตุน
แบบทุนนิยม ไม่ได้มีนายทุน ที่จะกินแรงใคร เพราะฉะนั้น ความจริงในรายละเอียดเหล่านี้
เป็นตัวอธิบายได้ ไม่เชื่อก็มาพิสูจน์......"
ครั้งแรกที่สอนเทคนิคการถ่ายภาพการแสดง
๒๑ ม.ค. ๔๖ ที่ปฐมอโศก เป็นครั้งแรกที่พ่อท่านได้สอนเทคนิคการถ่ายทำภาพการแสดง
ให้กับคณะ แสงสีเสียง จากพุทธสถานต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นเด็กนักเรียนและศิษย์เก่าสัมมาสิกขาของอโศก
เนื่องจากงานปีใหม่ ที่ผ่านมา มีข้อผิดพลาดมาก ทำให้พ่อท่านเห็นว่า
ถึงเวลาที่จะต้องบอกสอน ให้เป็นกิจจะลักษณะแล้ว ด้วยหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่พวกเราเริ่มมีการถ่ายทำภาพการแสดงต่างๆ
พ่อท่านยังไม่คิด จะบอกสอนอะไร ในเรื่องนี้ เพราะเห็นว่า ความรู้อย่างนี้
มีอยู่ดาษดื่น พวกเราคงขวนขวาย เรียนรู้กันเองได้ เช่นเดียวกับ เรื่องเพลง
การแต่งกลอน-กาพย์ หรือการแสดงต่างๆ พ่อท่านก็ไม่ได้ บอกสอนอะไรเลย
แต่พวกเราก็ทำกันมาได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ พ่อท่านมีความรู้ และ ประสบการณ์จริง
มานานแล้ว โดยเฉพาะ การกำกับรายการ การถ่ายทำภาพการแสดงต่างๆ ที่พ่อท่านผ่านมากับมือ
คือเป็นมืออาชีพจริงๆ จากการทำงานโทรทัศน์มากว่า ๑๐ ปี นับตั้งแต่บวชมา
๓๓ ปี พ่อท่านยังไม่เคย บอกสอนอะไร อย่างวันนี้ แม้จะไม่มีในตำรา แต่ก็เป็นประสบการณ์จริง
"....ผู้ถ่ายต้องมีความรู้จุดสนใจของการนำเสนอภาพ
เช่น ในองค์ประกอบภาพ จะต้องมีความรวมกัน เป็นเอกภาพ ไม่ใช่ขัดแย้งกัน
เช่น ภาพ หรือสีที่ขัดแย้ง ทั้งเส้น แสง เงา สี หรือตัวตนบุคคล จะต้อง
ดูกลมกลืน เช่น สีแดงกับสีเขียวขัดกันเลย เราจะทำอย่างไร ให้สิ่งที่ขัดแย้งกัน
ดูกลมกลืน บางครั้ง สิ่งที่ขัดแย้งกันนั่นแหละ แต่ใส่ไปรวมกันบ้าง
ก็ทำให้ดูดี...."
"...ที่ผ่านมาอธิบายถึงพื้นฐานของภาพที่ควรรู้
ต่อไปนี้จะพูดถึงการถ่ายทำภาพ
๑) ช่างภาพ ๒) ผู้กำกับเวที ๓) ผู้กำกับรายการ
ผู้กำกับรายการจะเป็นผู้สั่งช่างภาพ
ให้ถ่ายในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งต้องมีรหัสของการถ่ายภาพ เช่นเวทีแบ่งเป็น
๔ ส่วน
แล้วแบ่งส่วนเป็นจุดๆ เช่น
A บน |
B บน |
C บน |
D บน |
A ล่าง |
B ล่าง |
C ล่าง |
D ล่าง |
ผู้กำกับรายการจะสั่งเป็นรหัส ให้ช่างภาพถ่ายภาพที่บริเวณ
A บน หรือ C ล่าง ซึ่งเป็นความเข้าใจร่วมกัน ที่ทำให้งานถ่ายทำ ไปได้เร็ว
ตามเรื่องราว ตามภาพเหตุการณ์ ได้ทัน
ผู้กำกับเวที ต้องประสานกับผู้กำกับรายการ
แต่ที่ผ่านมา เรายังไม่มีการประสานในจุดนี้...."
"....มนุษย์ที่อยู่รวมกัน เหมือนภาพๆหนึ่ง
ที่จะต้องมีความกลมกลืนกัน ไม่ใช่ขัดแย้งทะเลาะกัน หรือ จะขัดแย้งกัน
ก็ต้องมีความสามารถ ที่จะทำให้เกิด การประสานกันได้...."
ข้างต้นนี้เป็นตัวอย่างบางส่วน ที่พ่อท่านบอกสอนอย่างตั้งใจ
จริงจัง เสียงดัง แม้จะมีเครื่องขยายเสียง ช่วยแล้วก็ตาม มันกลายเป็นบุคลิก
หรือ เอกลักษณ์ของพ่อท่านไปแล้ว ไม่ว่าจะพูดที่ไหน ก็จะมีเสียงดัง
เป็นปกติ ยิ่งอยู่ในบทบาทของการสอน ที่เป็นกิจจะลักษณะอย่างนี้ ก็ยิ่งดังเป็นธรรมดา
มือถือชอล์ก แถมมี กระดานให้เขียน ประกอบคำอธิบาย องค์ประกอบอย่างนี้
เห็นแล้วก็ยิ่งใช่ วิญญาณครู ยิ่งทวีมาก
สมณะร่มเมือง ยุทธวโร ถามเสริมขึ้นมาว่า
"ทำไมพ่อท่านจะทำอะไร? จึงมีวิญญาณของความเอาใจใส่ รับผิดชอบไปหมด"
"มันต้องมีอิทธิบาท
เห็นสิ่งที่จะทำว่ามีประโยชน์คุณค่า หากไม่ทำมันจะเสียหายอย่างไร
เราจะต้องรู้ สิ่งที่จะทำ ถ้าทำมันก็ต้องทำจริงๆ
ทำเต็มๆ มันถึงจะออกมาจริงออกมามีผลดี ถ้าทำเล่นๆ ไม่เสียเวลาหรือ
แล้วทำไปทำไม อย่างนั้น ถ้าจะทำก็ทำ หรือ ถ้าจะเล่นก็เล่นสิ
ก็ต้องรู้ว่านั่นเล่น ก็ทำอย่างเล่นๆ แต่นี่ มันงานจริงๆ มันก็ต้องทำจริงๆ
ไม่งั้นมันก็เสียแรง เสียเวลา ไม่คุ้ม"
สันติอโศก
ไม่มีวันดับ
๔ ก.พ.๔๖ ที่สันติอโศก คุณนพคุณ ศิลาเณร ผู้สื่อข่าว
น.ส.พ. บางกอกทูเดย์ ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน แล้วนำไปตีพิมพ์วันที่
๑๐ ก.พ. ๔๖ พาดหัวข่าวตัวใหญ่ "สันติอโศก ไม่มีวันดับ" โดยมีคำบรรยายนำว่า
'คอมมูนบุญนิยม' เติบกล้าในสังคมไทยมานานกว่า ๓๐ ปี ด้วยน้ำมือ แรงกาย
และมันสมองของ 'ท่านโพธิรักษ์' เจ้าสำนักสันติอโศก อันลือชื่อ แห่งย่านบึงกุ่ม....
จากนั้นเป็นการกล่าวถึง ประวัติการเข้าสู่ ร่มพระธรรม แล้วมีข้อความ
ที่เน้นตัวหนาเข้มว่า....กรมการศาสนาอาจเป็นผู้ชนะ สั่งถอดจีวรออกจากกาย
พระโพธิรักษ์ได้ แต่มิอาจมาสั่งถอด"ธรรมะ" ออกจากใจของท่านโพธิรักษ์ได้.....
ต่อมามีอีก ๔ หัวข้อ ที่เน้นตัวหนา เพื่อบอกประเด็น ที่น่าสนใจ ของการรายงานข่าว
ดังนี้.....ชีวิตในคอมมูนฯ.... ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย....สาธารณโภคีวิถีที่เรียบง่าย...ธุรกิจบุญนิยม.
ข้าพเจ้าขอตัดข้ามผ่าน ในรายละเอียด ที่ผู้สื่อข่าว เรียบเรียงไว้
เพื่อนำเอาคำถามคำตอบจริง ที่น่าสนใจ มานำเสนอดังนี้....
ถาม ท่านจะอธิบายให้สังคมภายนอกรับรู้ชีวิตท่านอย่างไร?
ในปัจจุบันนี้
พ่อท่าน
ก็ไม่เจตนา จะต้องไปอธิบายอะไร ของตัวเองให้โลกเขาฟังมากนัก นอกจากคนที่สนใจ
แล้วอยากรู้จริงๆ เพื่อเสริมความเชื่อมั่น หรือ เสริมความรู้ แต่คนที่ไม่ศรัทธา
ก็เสียเวลาเปล่าๆ พูดไปแล้ว ยิ่งน่าหมั่นไส้ ยิ่งสงสัยอะไรต่างๆ จึงไม่ควรพูด
ถ้าจะพูด ก็พูดแต่งานดีกว่า อาตมาทำงานทางศาสนาเป็นหลัก
ไม่ใช่ทำงานศาสนาแล้วนี่ ไม่ได้ทำงาน กับสังคม ไม่ใช่ อาตมาเห็นแย้งกับ
นักการศาสนามากมาย ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้หนีออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ
ไปนั่งสะกดจิต หลับตาอย่างฤๅษี อาฬารดาบส อุทกดาบส อย่างนั้นไม่ใช่
อันนั้น เป็นทางผิด ทางพระพุทธเจ้า น่ะมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติอยู่ในขณะนี้
สังกัปปะ นึกคิดอะไรก็รู้ แล้วก็รู้กิเลส วิจัยกิเลส มีธรรมวิจัย มีตีรณปริญญา
ปหานปริญญา กำจัดกิเลสให้ได้จริงๆ
ถาม
มุ่งหวังที่จะสร้างชุมชนให้มากกว่านี้หรือไม่
พ่อท่าน
อาตมา ไม่ได้มุ่งหวังอะไรเลย ในชีวิต อาตมาเป็นแต่ เพียงมาช่วยคน
ถ้าจะใช้คำสวยๆ ใหญ่ๆ หน่อยก็คือ "มาสร้างคน"
ให้เป็นคนอย่าง ที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น คือเป็น "อาริยะ"
ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้านี้ ก็จะมีมรรคผลของศาสนาคือ โสดาบัน
สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อย่างนี้ นี่สร้างคน ให้เป็นอาริยะ อย่างนี้ขึ้นมา
ถาม
ท่านบอกได้ไหมว่า ชุมชนของท่านที่สร้างกันมานี่ดีกว่าชุมชนภายนอก
พ่อท่าน
อาตมาพูดก็ต้องว่าดีกว่าสิ ไม่อย่างนั้น อาตมาจะมาทำ
ให้มันเหน็ดเหนื่อยทำไม แล้วก็มั่นใจ อย่างมากด้วย ว่าดีกว่าแน่ๆ เพราะเราเป็นไปโดยถูกต้อง
ตามที่พระพุทธเจ้า พาให้มาสร้างคน ให้เป็นชนิดนี้ ซึ่งเอาหลักธรรม
ของพระพุทธเจ้า มาจับได้หมดเลย จะเอาวรรณะ ๙ มาจับก็ได้ เอากถาวัตถุ
๑๐ มาจับก็ได้ หรือ จะเอาลักษณะ ตัดสินธรรมวินัย ๘ มาจับก็ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า
เป็นคนเรียบง่าย อยู่ง่าย เลี้ยงง่าย เป็นคนพาเจริญง่าย ไม่มีกิเลสหนานั่นเอง
ถาม กล้าพูดได้เต็มปากไหมว่า
สภาพเศรษฐกิจแบบสังคมไทยในขณะนี้ การดำเนินวิถีชุมชน แบบสันติอโศกนี่
น่าที่จะเหมาะสมที่สุด
พ่อท่าน ไม่ใช่เหมาะสมหรอก
อาตมาว่าดีที่สุด โลกก็ควรมาเอาอย่างนี้
แต่มันยาก เพราะว่า ต้องเรียนจริง และ ฝึกฝนจริง ได้ก็ได้คนจำนวนหนึ่ง
คนไม่มีบารมี คนไม่มีอินทรีย์พละจริงๆ แม้รู้ก็ปฏิบัติไม่ได้ผล
ถาม
ปฏิบัติธรรมแล้วทำไมถึงต้องทำมาค้าขาย
พ่อท่าน ที่ต้องทำมาค้าขายก็เพราะว่าเราอยู่ในระยะก่อร่างสร้างตัว
แล้วเราก็ยังไม่แข็งแรง หรือ ยังไม่อุดม สมบูรณ์ จนเหลือเฟือ ถึงจะเหลือเฟืออย่างไร
ก็ต้องมีการค้าขายบ้าง แต่การค้าขาย ในระดับของเรานี่ ก็เป็นการค้าขาย
ที่น่าทึ่งแล้ว เพราะว่าบริษัทของเรานี่จะต้องขาดทุนอย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งตอนนี้ เราพูดกับสรรพากร ยังไม่รู้เรื่อง ทำไมต้องขาดทุน เพราะเราต้องให้แก่ประชาชน
เราไม่ได้มากอบโกย เอาจากประชาชน แนวคิดของทุนนิยม นี่เป็นแนวคิด ที่ขูดรีดประชาชน
ทุนเท่านี้ เวลาคุณขาย คุณต้อง เอาเกินทุน เกินทุนมากเท่าไร คุณว่าเศรษฐกิจเจริญ
คุณได้ไป คุณเป็นพ่อค้านายทุน แต่ประชาชน ผู้บริโภค หรือว่าผู้ซื้อนี่
ถูกขูดรีดหมดเลย ฉะนั้น คุณไม่ได้ให้แก่สังคมเลยนะ
ถาม
แล้วทุนนิยมอย่างท่านนายกรัฐมนตรีนี่เป็นอย่างไรครับ
พ่อท่าน
ท่านเอง ท่านก็ทำอย่างโลกๆ แต่ท่านก็มีเจตนาดีแบบโลกีย์ ก็รู้อยู่ว่า
ท่านพยายามหาทาง จะช่วยมนุษย์ ก็ให้ท่านทำให้เต็มที่เถอะ ดูท่านก็ทำมีฝีมือใช้ได้นะ
ทุกวันนี้
ถาม
ในขณะที่เขากำลังปราบยาบ้าอยู่นี่ ท่านมีความเห็น ในการปราบยาบ้านี้อย่างไร
?
พ่อท่าน
เรื่องยาบ้านี้มันปลายเหตุ เป็นอบายมุขที่หยาบมากแล้ว ที่จริงเรานี่สอนคนดี
ก็ยังยากแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่หยาบถึงขนาดนั้น เราก็สุดวิสัย ที่จะเอื้อมไปช่วยได้
ให้คนที่เขาหยาบด้วยกัน เขาแรงด้วยกัน เราเองเราทำร้าย ทำแรงไม่ได้แล้ว
เราได้แต่คนดีที่พูดกันอย่างดีๆ สอนกันอย่างดีๆ แล้วก็เต็มใจ ที่จะมาให้สอน
ให้แนะนำ แล้วปฏิบัติกัน ก็ยังยากแล้ว เพราะฉะนั้น จะให้เราไปสอนหยาบๆ
ไปทำกับคนหยาบๆนั่น เราทำหยาบไม่ได้
ถาม ฆ่าทิ้งเหมาะไหมครับอย่างที่เป็นข่าวนี่
พ่อท่าน
เราไม่ออกความเห็นหรอกอย่างนี้ เพราะมันเกินขอบเขตของเรา เพราะเราไม่ทำ
แต่เราจะไป ห้ามเขาทำ เขาก็มีความจำเป็น เราก็ไม่รู้ว่า จะไปว่าเขาอย่างไร
เราก็ไม่สนับสนุน และ ไม่ส่งเสริมแน่นอน แต่เราก็ไม่รู้จะให้ทำอย่างไร
มันไม่มีคำตอบ
ถาม
ไม่ห้าม ไม่ส่งเสริม นั่นหมายความว่านิ่งเฉย
พ่อท่าน เราก็ต้องวาง
ถาม แล้วก็ไม่เดือดร้อนกับชีวิตที่ถูกกระทำไปอย่างใดอย่างหนึ่ง
พ่อท่าน
ก็เราเข้าใจกรรม เข้าใจวิบากไง เขาทำกรรมเช่นนั้น เขาก็ต้องรับของเขา
ถาม นั่นคือมรดกกรรม
พ่อท่าน
มรดกกรรมของเขา เราไปละเมิดไม่ได้หรอก ใครจะไปยิ่งใหญ่กว่าวิบากของใครต่อใคร
ขนาด พระพุทธเจ้าเอง ยังฝืนวิบาก เก่งกว่าวิบากของตน ไม่ได้ พระพุทธเจ้ายังถูกพระเทวทัต
กลิ้งหินทับ พระบาทห้อเลือด ต้องถูกเขามอมเหล้าช้าง ให้ช้างนาฬาคีรีไล่ชนไล่แทง
วิบากของท่าน ใครไปฝืน ไม่ได้หรอก
ถาม
ถ้าเผื่อว่าท่านนายกเข้ามาหาท่านว่า ช่วยบำบัดพวกยาเสพติดหน่อยสิ
พ่อท่าน บอกท่านทันทีว่า
ช่วยไม่ได้
ถาม เพราะอะไร
พ่อท่าน มันเกินมือ
เกินวิสัย เราอยู่ในวิสัยอยู่ในฐานะอย่างหนึ่ง เหมือนเราเองเป็นมีดโกน
จะให้เรา เอามีดโกน นี่ไปฟันเหล็ก ไปฟันต้นไม้ใหญ่ ไปฟันหินอย่างนี้เหมือนขวาน
โอ๊ย! มีดโกนเราไปทำ ไม่ได้หรอก เรามันไม่ได้หยาบ อย่างนั้น เราทำไม่ได้จริงๆนะ
เราทำขนาดนี้ ยังยากเลย แล้วงานที่เราทำ ก็เต็มมืออยู่แล้ว เราช่วยคน
ในระดับที่จะช่วยคนไปเป็นหัว ช่วยคนไปบริหาร ช่วยคนไปช่วยคนอื่นต่อ
คนที่จะช่วยตัวเองได้รอด แล้วก็ไปช่วย คนอื่นต่อนี่ เราช่วยคนระดับนี้
คนที่จะช่วยตัวเอง ก็ยังยากนี่ มันไกล เพราะฉะนั้น ก็ต้องแบ่งกัน เราไม่อ้าขา
ผวาปีกหรอก โอ้โฮ! เราช่วยได้หมดทั้งโลก เราไม่ได้เก่งขนาดนั้นแน่นอน
ที่นี่เหมือนสวรรค์
๑๒ ก.พ. ๔๖ ที่สันติอโศก หม่อมดุษฎี
บริพัตร ณ อยุธยา ได้นำ ดร.ลูกา
และ ดร.มาเรนโน
และคุณเมอริชชิโอสเดกา
ชาวอิตาลี ซึ่งสนใจเรื่องการศึกษา มาดูการจัดการเรียนการสอน
และ ชมชุมชนสันติอโศก ซึ่งทั้งหมด ก็ได้สนทนากับพ่อท่านด้วย
"....เขาก็อยากมาช่วยทางการศึกษาเรา
เขาช่วยเราทางเงินทองอะไรต่างๆมานานแล้วค่ะ ก็เลยคิดว่า น่าจะได้มาดูที่นี่บ้าง
เพื่อที่อาจจะทำงานร่วมกันได้ เขาเองเขาก็มีปัญหา เรื่องเยาวชนเหมือนกัน..."
หม่อมดุษฎี กล่าวแนะนำ
"....เด็กที่จบ ม. ๖
แล้วเมื่อเขาต้องออกไป เขาจะทนได้หรือกับสิ่งแวดล้อมภายนอก..."
ดร.มาเรนโนถาม
พ่อท่านตอบ "เราต้องเข้าใจถึงคุณสมบัติของคนที่ฝึกทางพุทธศาสนาที่ถูกต้อง
เป็นสัมมาทิฐิจริงแล้วนี่ จิตจะไม่มีกิเลสกับโลกภายนอก ศาสนาพุทธมีโลกวิทู
เป็นศาสนาที่รู้เท่าทันโลก รู้จักโลกข้างนอก แล้วฝึกจิตของเรา ให้อยู่กับโลกข้างนอกได้อย่างไม่มีกิเลส
ผู้ที่ฝึกได้ถึงขนาดแล้วจะมีโลกุตระ อยู่เหนือมัน อย่างสบายๆ สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันพอเพียง
แต่คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันพอเขาก็จะอยู่ไม่ได้ จริงๆเมื่ออยู่ไม่ได้
เขาก็จะวิ่งกลับเข้ามา...."
"....คนภายนอกมีผลกระทบ
ทำให้คนที่นี่ต้องเปลี่ยนไปตามเขาบ้างหรือเปล่า...." เป็นอีกคำถามหนึ่ง
"....ไม่มากนัก คือคนที่นี่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
เข้าใจ รู้กระแสของข้างนอก แล้วก็รู้เป้าหมาย ของข้างใน เพราะฉะนั้น
ผลกระทบก็ไม่แปลก เขาก็รู้แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าใจแล้ว
ก็เลยไม่แปลก ผลกระทบ จากข้างนอกสู่ข้างใน จึงไม่มากนัก แล้วผลของข้างใน
ที่เราเผยแพร่ออกไป ก็เหมือนกัน เขาก็รับ ไม่ค่อยได้มากนัก...."
พ่อท่านตอบ
"....มาที่นี่เหมือนสวรรค์
แต่สิ่งที่พบข้างนอกเหมือนนรก แล้วเป็นหน้าที่ของพวกเราหรือเปล่า
ที่จะต้องทำ ให้ข้างนอก เหมือนกับที่เราทำอยู่นี้....." เป็นคำกล่าวชมและถาม
"....จริงๆแล้ว เราก็ต้องการอย่างนั้นนะ
แต่เราไม่มีจิตไปควบคุมบังคับเขา เราเพียงประกาศความจริง ออกไปเท่านั้น
แต่ถ้าจะให้เราต้องการ เราก็อยากให้เขา เป็นอย่างเรานะ แต่เราก็ ไม่มีสิทธิ์
ที่จะไปบังคับ หรือกดขี่ และ มันมีความลึกซึ้ง อยู่อย่างหนึ่งก็คือ
เราเผยแพร่ บอกความจริงออกไป แก่สังคม แต่เราไม่โฆษณา ชวนเชื่อตัวเรา
เราไม่ทำ เราทำอยู่ในขีดว่า เราบอกความจริงแก่สังคม ให้รู้ว่า เราเป็นเช่นนี้นะ
จบ เขายินดี เขามา ถ้าเขาไม่ยินดีก็แล้วไป อิสระเสรีภาพ อันนี้สำคัญ
แล้วการสร้างคน นี่ยากนะ สอน แนะนำ ต้องปรับเปลี่ยนจิตใจ ปรับเปลี่ยนความเห็น
ปรับเปลี่ยน ชีวิตของเขา ให้เขาเข้าใจว่า นี่คือคุณค่า นี่คือสิ่งที่ดีจริงๆ
แล้วเขาต้องเป็นไปได้ ถ้าเขาไม่เป็นไปได้ เขาก็เป็นอย่างเก่า ถ้าคนนอกอย่างนี้
กรูเกรียวกันมามากๆ เราตายเลยนะ เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า สิ่งนี้ เป็นสิ่งดี
แล้วคนทั่วไป ก็แสวงหาสิ่งดี ถ้าเราประกาศ โฆษณาสิ่งดี ตูมออกไป คนกรูเกรียวมา
เหยียบย่ำเราตาย หรือ มาแล้ว เราช่วยเขาไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ
ที่ต้องระมัดระวัง..." พ่อท่านบอกนัย ที่ลึกซึ้ง
การสนทนาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ต่อมาพวกเราที่ต้อนรับได้นำ
ดร.มาเรนโน และคณะ ไปเดินชม กิจกรรมต่างๆ ของชุมชน และ โรงเรียน ขณะที่หม่อมดุษฎี
ยังคงอยู่สนทนากับพ่อท่านต่อ...
"....ที่นี่ดิฉันก็เปิดดูอย่างคร่าวๆ
หลักสูตร แผนการสอน เมื่อกี้นี้ข้างบน ก็รู้สึกว่า ให้เด็กใช้ประโยชน์
ในชีวิตจริง ของเขาได้ แล้วมีครูบาอาจารย์ มาช่วยหลายคนไหมคะ ?"
เป็นคำถามหนึ่ง ที่หม่อมดุษฎีถาม
พ่อท่าน "มีพอใช้ได้ไม่ถึงกับขาด
เรามีปรัชญาการสอนอยู่ว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา
ศีลเด่น หมายความว่า เราจะเน้นให้ทุกคน ต้องเรียนรู้ ในเรื่องของศาสนา
หรือ เรื่องของธรรมะ เราให้ ๔๐% สำหรับ ศีลเด่น
เป็นงาน คือให้เด็กมีทักษะ ให้เด็กสร้างเป็น ทำเป็น ไม่ใช่ว่า
เรียนแต่ทฤษฎีแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องอะไร เด็กที่นี่จบ ม. ๖ แล้วทำงานเป็น
พึ่งตนเองได้ ไม่ต้องไปต่อมหาวิทยาลัย ก็เลี้ยงตนเองรอด"
"....ทีนี้ในเรื่องของบทบาทในความเป็นพ่อเป็นแม่ล่ะคะ
ที่นี่ได้ให้อย่างไรคะ" เป็นอีกคำถามหนึ่ง
พ่อท่าน
"....เราให้เรียนอย่างธรรมชาติ อยู่กันเป็นพี่เป็นน้อง อยู่กับทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่
ทุกคนเหมือนพี่ เหมือนน้อง เหมือนพ่อ เหมือนแม่หมดเลย เพราะที่นี่เลี้ยงเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่...."
หม่อมดุษฎี ได้บอกเล่า หลายสิ่งหลายอย่าง ที่เป็นประสบการณ์ความรู้และชีวิตให้ฟัง
แต่พื้นที่บันทึกนี้ มีไม่มากพอ จึงจำต้องหยุดเรื่องนี้เพียงเท่านี้
คัดค้านอเมริกาที่จะก่อสงครามกับอิรัก
๑๔ ก.พ. ๔๖ ที่โรงพยาบาลท่าตะโก ขณะพ่อท่านกำลังอยู่ในห้องทำฟัน เนื่องด้วยวัสดุ
ที่อุดฟัน มาจากกทม.หลุด ทำให้มีอาการเสียวฟัน เวลาเคี้ยว คุณแซมดินโทรศัพท์มา
ฝากเรียนปรึกษา พ่อท่านว่า คุณศิริลักษณ์ ติดต่อมาชวนให้ไปร่วมคัดค้านอเมริกา
ที่จะก่อสงครามกับอิรัก โดยมีกลุ่มองค์กรศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม
เขาจะเคลื่อนไหว ต่อต้านด้วย ซึ่งก็เพียงแค่ไปยื่นหนังสือคัดค้าน ที่สถานทูตอเมริกา
เท่านั้น ไม่ได้ประท้วงรุนแรงอะไร เรื่องนี้พ่อท่านเห็นอย่างไร ?
ข้าพเจ้าบอกเล่าให้คุณแซมดินฟังว่า
คุณร้อยแจ้งเคยฝากเรียนปรึกษาแล้วว่า เราเป็นกลุ่มองค์กร ทางศาสนา
ที่รักสันติภาพ น่าจะมีส่วนในการเคลื่อนไหว คัดค้านการก่อสงคราม ของอเมริกา
เพราะกลุ่มองค์กรอื่น ที่ไม่ใช่ศาสนาเขา ก็ยังเคลื่อนไหวคัดค้านกัน
ซึ่งพ่อท่านได้ปฏิเสธว่า ".....มันเป็นเรื่องดาษดื่นที่เขาทำกัน
เสียเวลาเปล่า มันเหมือนนิทานหมาป่ากับลูกแกะ ยังไง้ ยังไง หมาป่า
ก็จะหาเรื่อง พาลกินลูกแกะ อยู่ดี ไม่ต่างจากเหตุการณ์ ที่พวกเราถูกสงฆ์ฝ่ายปกครอง
ใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบธรรม มากระทำกับพวกเรา ถ้าตอนนั้น เราไม่โอนอ่อนผ่อนตาม
แข็งขืนสู้แล้ว พวกเราคงถูก เล่นงาน หนักมากกว่านี้...." แต่ครั้งนี้
พ่อท่านจะมีความเห็น เปลี่ยนไปหรือไม่ จะลองเรียนถามให้ เพราะครั้งนี้
มีกลุ่มองค์กร คริสต์ อิสลาม เขาจะทำอยู่แล้ว พวกเราเพียงแค่ไปร่วมเท่านั้น
เมื่อพ่อท่านออกมาจากห้องทำฟัน ข้าพเจ้าเรียนให้พ่อท่านทราบ
ถึงข้อปรึกษา ของคุณแซมดิน คำตอบของพ่อท่าน มันผิดจากที่ข้าพเจ้าคาด
ด้วยนิทานหมาป่ากับลูกแกะ ทำให้เข้าใจว่า พ่อท่าน คงจะเตือนลึกๆ ให้ระวัง!
ขืนเข้าไปเกี่ยว เดี๋ยวเราจะกลายเป็นลูกแกะอีกตัว ที่หมาป่า จะพาลมาขย้ำ
พ่อท่านตอบ
"....เมื่อมีคณะอื่นเขาทำ แล้วเราเพียงไปร่วมด้วย ก็ดูไม่กระไร
ไม่ใช่เราเป็นตัวเด่น ในการเคลื่อนไหวเอง ซึ่งถ้าจะไปร่วมจริงๆ ก็ต้องระมัดระวัง
อย่าไปทำเด่นอย่างที่ว่านี้...."
คุณแซมดินบอก "ถ้าพวกเราไปก็คงไม่มากครับ
เพราะส่วนใหญ่เดินทางมาร่วมงาน ที่ศาลีอโศกกันแล้ว" ข้าพเจ้ายังสงสัย
จึงทักถามพ่อท่านว่า.... คำตอบของพ่อท่านในวันนี้ ต่างจากคำตอบวันก่อน
ที่พ่อท่านว่า
เสียเวลาเปล่า เหมือนนิทานหมาป่ากับลูกแกะ
วันนั้นฟังแล้ว เหมือนพ่อท่านให้ตัด ไม่ให้ไปยุ่ง แต่มาวันนี้ ไม่ใช่แล้ว
พ่อท่านให้ไปร่วมได้ แต่ต้องระวัง อย่าทำเด่น มันจะต่างกันอย่างไร
กับวันนั้น ที่ก็มีกลุ่มอื่น เคลื่อนไหวคัดค้าน มากมายอยู่แล้ว กลุ่มเราเล็กๆ
ไปก็ไม่ได้เป็นตัวเด่นอะไรเลย.....
พ่อท่านไขข้อข้องใจของข้าพเจ้าว่า
"ข้อมูลวันก่อน ยังไม่มีกลุ่มทางศาสนา มาชวนอย่างนี้ หากเราทำไป
จะดูเป็นเรื่องของ กลุ่มองค์กรประชาชนอื่น ที่ประท้วงกันดาษดื่นอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ มีกลุ่มองค์กร ทางศาสนา คริสต์ อิสลาม ประสานมา ให้ไปร่วมประท้วง
ซึ่งคราวนี้ เป็นองค์กรทางศาสนาล้วนๆ คนทั่วไป ย่อมรู้กันแล้วว่า ปรารถนาสันติภาพ
มิใช่ทำเพื่อความเกลียดชังกลุ่มใด การที่เราจะไปร่วม ก็เพื่อประสาน
สัมพันธ์เป็นแนวร่วม กับศาสนาอื่น...."
ล่าสุด (เช้าวันที่ ๒๑ มี.ค.) ครูขวัญดิน
โทรศัพท์มาฝากเรียนปรึกษาพ่อท่านว่า หมอทศพล ได้โทรศัพท์ ถามว่า เรื่องอเมริกาจะทำสงครามกับอิรัก
ทางพรรคเพื่อฟ้าดิน น่าจะเคลื่อนไหวต่อต้าน มีบทบาทบ้าง แล้วพ่อท่านคิดอย่างไร?
มาถึงเวลานี้ เนื่องด้วยกระแสคัดค้าน มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วทุกมุมโลก
ขณะที่อเมริกา ประกาศเอาแน่
เมื่อข้าพเจ้าเรียนถามพ่อท่านตามที่ครูขวัญดินฝากถาม
คราวนี้พ่อท่านพูดโดยไม่ลังเล หยุดคิดอะไรเลย "อย่าเลย ก็ขนาดรัฐบาล
เขาเป็นพรรคใหญ่ หรือ แม้พรรคฝ่ายค้านก็ตาม เขายังไม่ทำอะไรเลย พรรคเพื่อฟ้าดิน
เป็นเพียงพรรคเล็กๆ จึงควรอยู่เฉยๆ อย่าไปเคลื่อนไหวอะไร...."
ข้าพเจ้าซักถามเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างว่า....หากไม่เคลื่อนไหว
ในฐานะพรรคการเมือง แล้วถ้าจะเคลื่อนไหว ในฐานะองค์กรทางศาสนา ที่รักสันติภาพ
ไม่นิยมความรุนแรงล่ะ....
พ่อท่าน
"ทางศาสนาก็ยิ่งต้องอย่าไปยุ่ง อย่าง..นิติภูมิ เขาก็เขียนบอกไว้เลยว่า
มันจะกลายเป็น สงครามศาสนาไปแล้ว เหมือนอย่างสงครามครูเสต เราอย่าไปยุ่งอะไรเลยดีกว่า...."
ข้าพเจ้าแสดงความเห็น....ผมมองว่า
เหมือนพวกเราจะมีโลกธรรมเกินไปหรือเปล่าว่า พวกเราอยู่ ในฝ่ายคุณธรรม
หากมีกรณีความรุนแรง มีการเอาเปรียบ ทำร้ายรังแกกันแล้ว ถ้าฝ่ายคุณธรรมอยู่เฉยๆ
จะทำให้ถูกว่าเอาได้ว่า ทำไมอยู่เฉยๆ ไม่ออกมาทำหน้าที่เคลื่อนไหว
ให้สมกับที่อยู่ฝ่ายคุณธรรม หรือเปล่า...
"....ก็ใช่ด้วย แล้วเราก็ไม่รู้ความจริงของเรื่องนี้ทั้งหมด
เมื่อยังไม่รู้ความจริง ในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หลักความเชื่อ
ของศาสนาพุทธ ให้มองในเรื่องของกรรมวิบาก...." พ่อท่านตอบ
ปิดท้ายบันทึกฯนี้ จากโอวาทปิดการประชุม
๘ พาณิชย์ (๒๐ ม.ค.) ที่สันติอโศก....
"ยิ่งทำงานก็ยิ่งได้ประสบการณ์
ได้ปัญญา และได้อะไรใหม่ๆที่เป็นความลึกซึ้ง ที่จะก่อเกิด ในสังคมมนุษยชาติ
ขึ้นมาได้ อาตมายิ่งรู้สึกว่า น่าจะอยู่ทำงานนี้ไปอีกนานๆ เพราะว่ามันยาก
กว่าจะรู้ต้องใช้เวลาพากเพียรอุตสาหะ
ตอนนี้ ก็พอเป็นไปได้บ้างในฐานรากหรือในลำดับที่
๑-๒-๓ ยังเหลือแต่ลำดับที่ ๔-๕-๖ ก็กำลัง จะเจริญ ต่อไปข้างหน้า ซึ่งดูดี
ขอให้พวกเราได้พยายามใส่ใจศึกษา เพราะคนเพิ่มขึ้นยาก ก็ให้ถือว่าเป็นบุญ
ที่จะได้งัดเอาพลังพิเศษ ออกมาใช้สร้างสรร มีบุคคลอื่นมาร่วมไม้ร่วมมือเพิ่ม
เราก็ไม่ขี้เหนียวบุญ ไม่ขี้เหนียว สิ่งที่จะเจริญงอกงาม
อาตมายังรู้สึกเลยว่า มันเป็นความหวังอันบรรเจิด
เป็นความหวังอันเพริศแพร้ว เป็นความหวัง อันแสนสุข ที่มันน่าหวัง และมันก็น่าจะสมหวังอยู่
ซึ่งก็หวังจากพวกคุณ นั่นแหละ ถ้าพวกคุณไม่ช่วย อาตมาทำงาน คนเดียวไม่ได้
ต้องทำงานร่วมกัน
คนที่จะเข้ามาหาเรามี ๒ พวกใหญ่ๆคือ
พวกสบาย หรือ พวกรวย
และอีกพวกหนึ่งคือ พวกไม่สบาย
หรือ พวกจน เราจะได้ผลทั้ง ๒
พวกคือ พวกที่รวย เขามีสิ่งที่จะกระจาย ออกมาเป็นทุนรอน เป็นเงินเป็นทองอะไร
หรือ อำนาจ อิทธิพลทางสังคม ถ้าพวกเขามาร่วมมือ เราก็จะได้สิ่งนี้มาจากเขา
เราก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน และยาก พวกนี้แหละ เขาก็อยู่กันสบาย อยู่เหมือนกัน
พวกนี้ยากกว่า พวกจน หรือลำบาก....."
-
อนุจร. -
๒๕ มีนาคม ๒๕๔๖
|