ตอน... ฝ่า...หายนะ!!!...ทุนนิยม
ด้วย...ชาตินิยม...แบบ...พุทธ
มีนาคม ๒๕๔๖
ประชาชนพบนายกฯ (๓ มี.ค.)
เป็นชื่อรายการวิทยุ AM 1179 KHz. ผู้ดำเนินรายการถามพ่อท่านมีอะไรจะฝากไปถึงนายกฯ.....ไม่ไปที่สังเวชนียสถาน
๔ ในอินเดียบ้างหรือ...พ่อท่านมีอะไรฝากถึงยอร์จ บุช หรือ ซัดดัม หรือ
ถึงชาวโลก ทำอย่างไรจะรักษาสันติภาพกันได้.... เหล่านี้เป็นตัวอย่างคำถาม
บางส่วนในรายการ แล้วพ่อท่านจะตอบอย่างไร?
หัวใจรั่ว-ทางเดินหายใจมีปัญหา?
(๖, ๗, ๒๔ มี.ค.) อาการไอที่มีปัญหาอยู่เรื่อย
แพทย์ผู้ เชี่ยวชาญทั้งสองเห็นอย่างไร? นอกจากนี้อาการหัวใจรั่วของพ่อท่านเป็นอย่างไร
ในความเห็นแพทย์ น่าเป็นห่วงแค่ไหน?
ให้ค่าแรงเด็ก...จะเสียวัฒนธรรม
(๙ มี.ค.) การที่โรงเรียนปิดเทอมเด็กก็อยากมีรายได้ ทางหน่วยผลิตก็ต้องการแรงงานเพิ่ม
แทนที่จะไปจ้างคนนอก ก็สู้เอาเงินนั้นมาให้เป็นค่าแรงงานไม่ดีกว่าหรือ
แต่พ่อท่านไม่เห็นด้วย พ่อท่านมีเหตุผลอย่างไร? น่าสนใจนะ
ประชุมสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ
(๑๐ มี.ค.) มีองค์กรจากภายนอกทั้งภาครัฐและเอก ชนมาร่วมประชุมด้วยกว่า
๒๐ องค์กร พ่อท่านให้โอวาทเปิด-ปิดประชุมมีอะไรน่าสนใจ
จากพิธี"มอบกลด"...ไปถึงสงกรานต์
(๑๕ มี.ค.) พ่อท่านพูดถึงพิธีกรรมที่มีผลแล้วโยง
ไปถึงงานสงกรานต์ที่เลว ทั้งเลอะเทอะและลามก ที่ชาวอโศกไม่ควรกระทำ
แล้วพ่อท่านฝากอะไรเด็กที่จบใหม่ๆ
รักความเป็นไทย
(๒๕, ๒๘ มี.ค.) เป็นชื่อรายการวิทยุ AM 1107 KHz. ....การที่เศรษฐ
กิจของประเทศใช้ระบบทุนนิยม แล้วก็ล่มสลายถูกยึดโดยต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร
โรงกลั่นน้ำมัน ปูนซีเมนต์ ฯลฯ ขณะที่เศรษฐกิจทางฝ่ายสันติอโศก นอกจากไม่ถูกยึดแล้วกลับเติบโตขึ้นอย่างผิดสังเกต
อันนี้เป็นเรื่องแปลก พ่อท่านวางยุทธศาสตร์อย่างไรครับ? แล้วป้ายที่สันติอโศกว่า
ถ้าไม่มีชาตินิยมประเทศชาติจะล่มสลาย พ่อท่านมีคำอธิบายอย่างไร? นับเป็นคำถามบาง
ส่วนที่น่าสนใจ
เรื่องที่บ้าน"นิติภูมิ"
กับความสัมพันธ์เวียดนาม-ไทย (๒๓ มี.ค.) รวมถึงรายการ"เอื้อไออุ่น"
(๒๔ มี.ค.) ที่สันติอโศก เพื่อหาข้อมูลในการจัดรายการ"แฟนเพลงพันธุ์แท้ของงานเพลงครูรัก
รักพงษ์" และการ ประชุมขององค์กรใหม่ๆ เช่น สื่อสารบุญนิยม(๒๖
มี.ค.) และองค์การพัฒนาคุณภาพสินค้าชาวอโศก(๒๙ มี.ค.) ตลอดถึงเรื่องอื่นๆ
ข้าพเจ้าขอข้าม ผ่านเพื่อให้บันทึกนี้ลงพิมพ์ได้ในเล่มเดียว
ปิดท้ายบันทึกฯด้วยโอวาทปิดประชุมพาณิชย์บุญนิยม
พ่อท่านแนะรากฐานหลักและเป้า หมายของเราคืออะไร? แม้คนน้อย แต่อนาคตก็ยังหวังได้ด้วยเหตุใด?
สุดท้ายพวกเราควรภาคภูมิและมั่นใจในทิศทางใด? น่าสนใจ(อีกแล้ว)
ประชาชนพบนายกฯ
๓ มี.ค. ๔๖ ที่ปฐมอโศก เวลาค่ำได้รับการติดต่อจากคุณสมาน
ศรีงาม ผู้จัดรายการ "ประชาชนพบนายกฯ" วิทยุคลื่น
AM 1179 KHz. จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้
คุณสมาน กล่าวนำรายการ เริ่มจากชื่อรายการ
เนื่องมาจากที่กรมประชาสัมพันธ์ มีราย การ "นายกฯพบประชาชน"
เพื่อเติมให้เต็มร้อย จึงหารือกัน น่าจะมีรายการ"ประชาชนพบนายกฯ"บ้าง
จากนั้นก็พูด ไปถึงปัญหาสังคม เรื่องการวิสามัญฆ่าตัดตอนขบวนการยาเสพติด
แล้วก็มาสู่การแนะนำก่อนสัมภาษณ์ทาง โทรศัพท์ "......พ่อท่านโพธิรักษ์นะครับ
ซึ่งเป็นสมณะที่มีการต่อสู้ทางศาสนา ตามพระธรรมวินัย อย่างเคร่งครัด
มากว่าสามสิบปี จนถึงวันนี้ความจริงก็ได้ปรากฏแล้วว่า ท่านได้ต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนา
รายการประชาชนพบนายกฯ ก็เลยเลือกสรรนิมนต์ท่าน นะครับมาเป็นผู้เปิดรายการวันแรก
เพราะว่าท่านได้แสดงถึงการต่อสู้อย่างแหลมคม. ..ก็อยากให้ท่าน ได้ช่วยเทศนากัณฑ์พิ
เศษถึงนายกฯ เป็นสิริมงคลด้วยนะครับ กราบนิมนต์ท่านครับ"
"แหม..ดูยิ่งใหญ่เหลือเกินนะ
อาตมาคงไม่ถึงขั้นอย่างที่คุณยกย่องยกยอนั้น ก็คงพูดไป ตามประสาอาตมานะ
าตมาก็มีแนวคิดของอาตมา ท่านนายกฯ ท่านก็มีแนวคิดของท่าน ซึ่งท่านก็ทำงานเอาจริงเอาจัง
ทุกคนก็เห็นๆอยู่ อาตมาก็อนุโมทนาด้วยอยู่เหมือนกัน เรื่องนี้ก็ต้อง
ให้กำลังใจกัน แต่ว่าลึกๆแนวคิดอะไรต่างๆนานา มันอาจจะมีแตกต่างกันบ้าง
ในฐานะอาตมาเป็นประชาชนคนหนึ่ง ก็หวังดีต่อประชาชน
ชีวิตอาตมาก็ทำงานเพื่อ ประชาชนนั่นแหละ พูดอย่างนี้ใครๆก็พูดกันได้โก้ๆ
แต่โดยความเป็นจริงนั้น มันก็เป็นเรื่องของความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม
มันไม่ใช่แค่ ปรัชญา แต่มันเป็นความจริงที่อาตมาคิดว่า อาตมา มีความจริง
ก็เป็นแต่เพียงบอกความจริงกันไป เช่น เรามามักน้อย เรามาสัน โดษ เรามาเสียสละอะไรพวกนี้
ถ้าพูดมันดีทั้งนั้นแหละ ทุกคนก็ว่าเสียสละเพื่อประเทศชาติ แต่ความจริงแล้วมันเสียสละหรือว่ามันมีวิธีการซับ
ซ้อนที่เอามาให้แก่ตนมากกว่าที่จะเสีย เท่าที่อาตมาทำงานตามที่อาตมาเห็น
คนเขาก็ว่าสุดโต่งบ้าง ขวางโลกบ้าง ซึ่งอาตมา ก็เข้าใจเขา ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เรื่องที่อยากจะฝากก็คือ
น่าจะได้พยายามเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ต้องเป็นธรรมะ ที่มีภาคปฏิบัติเป็นไปได้และเป็น
ภาคปฏิบัติ โลกุตระ อันนี้แหละที่จะนำพาการพัฒนามนุษยชาติไปได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งจะสามารถแก้วิกฤติโลกโลกีย์ ที่เป็นมิติของโลกีย์ธรรมดา แต่เมืองไทย
ที่เป็นชาวพุทธแท้ๆก็ยังไม่เชื่อมั่นว่า โลกุตระนี่สามารถนำมาปฏิบัติได้แม้ยุคนี้
เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้นั้นหนึ่ง ีกอย่างหนึ่งนั้น เขาก็เข้าใจคุณลักษณะของโลกุตระผิดไปว่า
ผู้ที่จะไปนิพพานคือผู้ที่เอาตัวเองหนีหลุดพ้น ไปจากโลกียะ หนีไปเลย
เข้าป่า เข้าเขา เข้าถ้ำ ไม่รับรู้อะไร โลกจะเป็นจะตายยังไงก็ช่างโลก
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาด เป็นสิ่งที่เข้า ใจศาสนาพุทธผิดไป
อาตมาขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของมนุษยชาติ
ผู้ที่ได้มรรคผลของศาสนาแล้วจะเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อสังคมคือพหุชนหิตายะ
จะเป็นผู้ที่อนุเคราะห์มวลมนุษยชาติ จะช่วยเหลือเกื้อกูลโลกอย่างแท้จริง
หรือว่าจะมี พหุชนสุขายะ จะพามนุษย์ไปสู่ความสุขที่แท้จริง พหุชนแปลว่าหมู่มวลมนุษยชาติ
สิ่งเหล่านี้แหละเป็นหลักฐานยืนยัน และอาตมาก็ว่า อาตมาพยายามทำอยู่
ก็ได้ผลอยู่ แต่ว่ามันยาก ที่ยากก็เพราะว่ามันทวนกระแสกับกระแสหลัก
คือผู้รู้ในสังคม ผู้รู้ทางศาสนาในสังคม ไทยนี่แหละ หาว่าอาตมาทำธรรมวินัยให้วิปริต
มันจึงยากมาก แต่ถึงยากอย่างไรอาตมาก็ไม่มีปัญหาหรอก
อย่างที่เขาจะตั้งคาสิโนขึ้นมาในไทย
ทั้งๆที่แค่หวยรัฐบาลอย่างเดียวนี่ ประชาชนก็ย่ำ แย่แล้ว
อาตมาว่าถ้าศึกษาธรรมะดีๆแล้ว แนวลึกมันจะมองเห็นความลึกของศาสนาว่า
มันกินถึง วิญญาณ มันไม่ได้มีแค่รูปธรรม หรือว่าเปลือกนอกๆเท่านั้น
รายการนี้ ถ้าจะมีทางด้านศาสนาหรือมีทางด้านธรรมะ
เข้ามาผสมผสานขึ้นมาให้มากๆ บ้างก็ดี สังคมทุกวันนี้
อาตมาว่ามันไม่ขาดอะไรหรอก มันขาดธรรมะ มันขาดคุณธรรมที่แท้จริง โดยเฉพาะเรา
เป็นเมืองพุทธ มันขาดพุทธธรรมที่เป็นโลกุตระ ที่มนุษย์สามารถปฏิบัติได้
ทั้งฆราวาสและทั้งที่เป็นภิกษุหรือสมณะ ปฏิบัติแล้วมีมรรคผล เพราะกิเลสลดจริง
สิ่งนี้แหละจะช่วยอุ้มชูช่วยประเทศชาติขึ้นไปได้ อาตมาก็ขอฝากไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ"
"...ท่านพ่อโพธิรักษ์นี่ปฏิบัติธรรมก็นับว่าเคร่งครัดและก็เป็นตัวอย่างที่สำคัญ
หลายสิบปีที เดียว ไม่ไปที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ในอินเดียบ้างหรือ...."
เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ผู้จัดรายการถาม
"เรื่องจะไปสังเวชนียสถาน พวกนี้อาตมาไม่ได้ติดใจ
ไม่มีปัญหา เพราะทุกอย่างอาตมา ซาบซึ้ง และก็ประทับอยู่ในใจของอาตมา
มีโอกาสมันจะเป็นของมันเอง จะได้ไปหรือไม่ได้ไป อาตมาไม่ติดใจ อาตมาไม่ได้พยายาม
และก็ไม่ได้ปฏิเสธ ตามแต่ที่มันจะเป็น ใครที่จะไปได้พระพุทธเจ้าท่านก็สรรเสริญ
ผู้ที่ได้ไปกราบสังเวชนียสถาน ๔ นี้ก็เป็นกุศล ที่แท้จริง ใครสามารถไปได้ก็เชิญ
อาตมาก็ส่งเสริม..." พ่อท่านตอบ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้จัดรายการถามเป็นปัจจุบันถึงสภาวะโลกอย่างน่าสนใจ
"....พอดีมีเรื่อง สงครามครับ ในทรรศนะของพ่อท่านนี่
มีอะไรฝากถึงยอร์จ บุช หรือมีอะไรฝากซัดดัม หรือมีอะไรฝากถึงชาวโลกไหมครับว่า
จะ ทำอย่างไรจึงจะรักษาสันติภาพกันได้ครับ"
"พูดไปก็ไม่มีผลอะไรหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมาเป็นคนน้อยๆเล็กๆ
คิดว่าไม่เสียเวลา หรือว่าไม่ลงทุนในเรื่องนี้แม้เล็กน้อย มันยิ่งกว่าเอาสำลีไปเช็ดหนังแรด
อาตมามีเรี่ยวแรง มีเวลาเท่าไหร่อาตมาจะเอามาสร้าง แกนแก่น สร้างเนื้อแท้ของศาสนาพุทธนี้ไปก่อน
อาตมาจะไม่คิดฟุ้งซ่านคิดเฟ้อ หลงใหญ่หลงกว้างหลงอะไรเกินฐานะของตัวเอง
อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่บังอาจ ที่จะไปฝากอะไร ไปถึงบุชไปถึงซัดดัม
อาตมาไม่บังอาจ เด็ดขาดเลย สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากความเป็นจริงของสัจธรรม
จะต้องเกิดต้องเป็น อาตมาเข้าใจ ถึงวัฏสงสาร นี้พอสมควร ดังนั้นอาตมาคิดว่า
อันนี้ไม่ใช่อยู่ในหน้าที่ หรืออยู่ในฐานะที่อาตมาจะกระทำอะไรได้เลย"
ตรวจระบบทางเดินหายใจ-หัวใจ
ข้อมูลเรื่องสุขภาพทั้งหมดต่อไปนี้ ได้รับการอนุเคราะห์จากคุณเพ็ญเพียรธรรม
พยาบาลผู้ดูแลสุขภาพ ที่ได้บันทึกมาให้อย่างละเอียดลออมาก
๖ มี.ค. ๔๖
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาพ่อท่านมีอาการไอมากกว่าปกติ คณะดูแลสุขภาพจึงนิมนต์พ่อท่าน
ไปรับการตรวจระบบทางเดินหายใจ ส่วนล่างกับ น.พ.สิทธิเทพ ธนกิจจารุ
ที่ร.พ.พญาไท ๒ ไม่พบความผิดปกติใดๆที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอาการไอในครั้งนี้
มีการ เอ็กซเรย์ปอด และไซนัสประกอบการวินิจฉัยและเปรียบเทียบกับฟิล์มเก่า
ปี ๒๕๔๔ ด้วย อีกทั้งมีการพูดคุยกันระหว่าง น.พ.พจน์ บุญศรี กับ น.พ.สิทธิเทพ
ถึง ประวัติความเจ็บป่วยในอดีตที่เกี่ยวกับระบบหายใจ ได้ข้อสรุปว่า
ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่า อาการไอมากกว่าเคยของพ่อ ท่านในครั้งนี้
มีเหตุจากอะไรกันแน่
๗ มี.ค. ๔๖
คณะดูแลสุขภาพนิมนต์พ่อท่านตรวจระบบทางเดินหายใจส่วนบนกับน.พ.ประพจน์
คล่องสู้ศึก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหู-คอ-จมูก
ของร.พ.วิชัยยุทธ คุณหมอประพจน์ได้ตรวจโดยละเอียดแล้วอธิบายสรุปได้ว่า
จมูกไม่พบ สิ่งผิดปกติ คอตรวจไม่พบ
สิ่งผิดปกติรุนแรง อะไร มีเพียงร่องรอยของการใช้งานมาก หูข้างขวาพบว่ามีรอยห้อเลือดอยู่ในช่องหู
พ่อท่านบอกว่าเคยใช้ไม้พันสำลีเข้าไป ซับน้ำ รู้สึกเจ็บจึงไม่ค่อยได้ทำอีก
หมอประพจน์ ได้ให้คำแนะนำว่าไม่ควรใช้ไม้พันสำลีเข้าไปในช่องหู ด้วยเกรงว่าจะทำให้เลือดออกง่าย
หูข้างซ้ายพบว่าช่องหูแคบกว่าข้างขวา จึงควรระวังอย่า ให้น้ำเข้าหูข้างนี้เพราะจะออกยาก
ส่วนเยื่อแก้วหูทั้งสองข้างเป็นปกติดี
สำหรับอาการไอ หมอประพจน์ว่าน่าจะมาจากการแพ้ฝุ่น-ละออง-ผง-เชื้อราหรือไรตัว
เล็กๆ หรืออื่นๆที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่พ่อท่านสัมผัสอยู่ ไม่ว่าจะโดยการสูดดม
การอยู่ใกล้ หรือสัมผัสโดยตรง เมื่อได้รับการกระตุ้นร่างกายจะ มีปฏิกิริยาตอบรับเร็วกับสิ่งที่มากระตุ้นด้วยการไอ
หรือจาม หรือมีน้ำมูกใสๆ หมอประพจน์ได้แนะนำยาที่ต้องใช้เมื่อจำเป็นสามารถใช้ได้
ต่อเนื่องในระยะยาวได้ ส่วนการแก้ปัญหาที่ต้นเหต ุก็สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่แพ้
ด้วยการ สังเกตว่ามักจะมีอาการอย่างนี้ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร? พ่อท่านจึงควรอย
ู่ในที่โล่งๆ อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีฝุ่นละอองมาก อาการที่พ่อท่าน
เป็นอยู่นี้คล้ายๆเป็นอาการเริ่มต้นของหอบหืด หากเป็นมากขึ้นอาจ มีเสียงหายใจวี๊ซซๆ
ซึ่งครั้งนี้ยังไม่มีอาการขนาดนั้น
๒๔ มี.ค. ๔๖
คณะดูแลสุขภาพนิมนต์พ่อท่านพบ น.พ.ภากร จันทนมัฏฐะ แพทย์ผู้เชี่ยว
ชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ร.พ.พร้อมมิตร อันเนื่องมาจากอาการ "หายใจโหยๆ"
ที่พ่อท่านบอกเล่าให้ฟังขณะเทศน์ทำวัตรเช้า ๒๒ มี.ค. ๔๖ ที่สันติอโศก
และคืนวันอาทิตย์ที่ ๒๓ มี.ค. ๔๖ หลังกลับจากงานบ้านคุณนิติภูมิ นวรัตน์
พ่อท่านมีชีพจรเต้นผิดจังหวะรวมถึงยังมีอาการ หายใจโหยๆขณะนอนพัก รู้สึกเหมือนร่างกายขาดอากาศจึงกระตุ้นให้กลไกร่างกายต้องถอนหายใจยาวๆโดยอัต
โนมัติ
น.พ.ภากร ถามอาการจากพ่อท่าน ในเรื่องต่างๆที่วิถีชีวิตประจำวันดำเนินอยู่
แล้วตรวจ ร่างกายโดยเฉพาะที่หัวใจ จากนั้นก็ติดอิเลคโทรด (Electrode)ที่บริเวณหน้าอก
เพื่อตรวจดูกล้ามเนื้อหัวใจด้วย เครื่อง Echocardiogram หลังจากที่พ่อท่านเคยตรวจคลื่นไฟฟ้า
หัวใจขณะเดินเร็วบนสายพานตามอัตราเร็วที่เครื่อง กำหนด(Exercise Stress
Test) เมื่อ ๖ ธ.ค. ๔๔ ที่ผ่านมาผลคือปกติ
ขณะตรวจคุณหมอภากรอธิบายภาพบนจอ
ถึงกายวิภาค(Anatomy)ของหัวใจแต่ละห้อง ในมิติต่างๆ เป็นภาพเคลื่อนไหวขณะที่หัวใจ
ทำงานไปตามจังหวะของมันอย่างต่อเนื่อง เครื่องสามารถวัดขนาด ความหนาของผนังกล้ามเนื้อหัวใจแต่ละห้องบอกความยาว
ความกว้างของลิ้นหัวใจ และภาพแสดงการทำงานของหัวใจห้องต่างๆ ขณะเคลื่อนไหวมีสีแดง-สีน้ำเงิน
สื่อบอกทิศทางการไหลเวียน ของกระแสเลือดดำ-แดง ขณะหัวใจรับและสูบฉีดเลือดไปปอดและอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย
เสียงหัวใจเต้นเป็น จังหวะ เหมือนม้าวิ่ง คุณหมอแสดงภาพเคลื่อนไหวช้า(Delay)ให้ดูชัดๆที่บริเวณต่างๆที่คุณหมอต้องการ
ตรวจ โดยเฉพาะที่ลิ้นหัวใจซีกซ้ายและขวา ที่กั้นห้องหัวใจ ระหว่างห้องข้างบนกับห้องข้างล่าง
ขณะที่หัวใจบีบตัวตามจังหวะ พบว่าลิ้นหัวใจชื่อ ไมตรัล(Mitral Valve)ที่กั้นระหว่าง
หัวใจ ห้องบน-ล่างซ้าย และลิ้นหัวใจที่ชื่อว่าไตรคัสปิด(Tricuspid
Valve)ที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบน-ล่างขวามีความอ่อนตัวกว่าปกติ เล็กน้อยทำให้เกิดภาวะเลือดไหลกลับสวนกระแส
ปกติ(Regurgitation)ที่ลิ้นหัวใจทั้งสองเรียกตามศัพย์แพทย์ว่า Mitral
regurgitation คือเลือดไหลกลับสวนกระแสปกติจากหัวใจห้องล่างซ้ายสู่ห้อง
บนซ้าย และ Tricuspid regurgitation คือเลือดไหลกลับสวนกระแสปกติ จากหัวใจห้องล่างขวาสู่ห้องบนขวา
คุณหมอวัดดูจาก เครื่องพบว่า ข้างขวาวัดได้เท่ากับค่าสูงสุดของค่าปกติ
ส่วนข้างซ้ายเป็นน้อยกว่า
สิ่งที่ตรวจพบนี้คุณหมอภากรคิดว่า
ไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติใดๆในขณะนี้ แต่หาก ถ้าเป็นมากขึ้นจะทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
ส่วนสาเหตุนั้นน่าจะเป็นมาแต่กำเนิดแล้ว
หลังตรวจคุณหมอภากรสรุปให้ฟังว่า
รู้สึกสบายใจที่ไม่พบความผิดปกติใดๆที่น่า เป็นห่วง เพียงแต่คุณหมอให้ความรู้ว่า
การออกกำลังกาย ท่าวิดพื้นเป็นท่า ที่ไม่เป็นผลดีกับหัวใจ เพราะไปเพิ่มการสูบฉีด
เลือดที่เพิ่มงานหนักให้หัวใจโดยตรง อีกทั้งผนังกล้ามเนื้อหัวใจจะหนาตัวขึ้น
ทำให้ความจุปริมาณเลือดในห้องหัวใจลด ลงอีก คุณหมอแนะนำการออกกำลังกายที่เป็นผลดีกับหัวใจและเหมาะสมกับร่างกายทุก
ส่วนคือ การเดินเร็ว การปั่นจักรยาน และการทำโยคะ ซึ่งพ่อท่านก็ออกกำลังกายด้วยการยืดคลายเส้นท่าต่างๆทุกเช้าอยู่แล้วในปัจจุบัน
สำหรับอาการหายใจโหยๆ ที่พ่อท่านรู้สึกไม่ปกติ
น่าจะมาจากภาวะการใช้พลังงาน เกินกำลังติดต่อกันยาวนาน ขณะที่พ่อท่านเขียนหนังสือ
รวมถึงเรื่องแทรกคั่นรายการต่างๆ แล้วก็ต้องมาเร่งงานเขียนให้ทันกำหนดเวลา
บ่อยๆ
นอกจากนี้คุณหมอได้ให้คำแนะนำว่าทุกครั้งที่พ่อท่านจะต้องทำใน
๓ เรื่องต่อไป นี้คือ
๑) ทำการวินิจฉัยหรือรักษาใดๆที่ช่องปากที่ทำให้มีเลือดออก
๒) ส่องกล้องเข้าไปในร่างกายเพื่อตรวจวินิจฉัยหรือรักษา
๓) ผ่าตัด
ขอให้บอกแพทย์ผู้ทำทราบด้วยว่า พ่อท่านมีภาวะลิ้นหัวใจอ่อนตัวกว่าปกติ(Regurgitation
of Mitral and Tricuspid Valves) เพื่อว่าหมออาจจะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะก่อน
เพื่อป้องกันการเกิดภาวะติดเชื้อที่ ผนังกล้ามเนื้อหัวใจ(Endocarditis)
ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการติดเชื้อทั้งระบบไหลเวียนเลือดได้ นี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่
ควรมองข้าม
ให้ค่าแรงเด็ก....จะทำให้เสียวัฒนธรรม
๙ มี.ค. ๔๖ ที่สันติอโศก ได้รับโทรศัพท์จากทางราชธานีอโศก
ปรึกษาว่ามีพวกเราที่ บ้านราชฯไปรับปากกับทางสีมาอโศกว่า จะหาเด็ก
มารับจ้างช่วยงานที่โรงขวดในช่วงปิดเทอม แทนที่ทางโรงขวดสีมาอโศก จะว่าจ้างชาวบ้านมา
ก็จ้างเด็กของเรา ที่ต้องการหารายได้ อยู่แล้วแทน อีกอย่างเด็กกลับไปอยู่ที่บ้านบางที
อาจจะศีลด่างพร้อย การที่ให้เด็กมาทำงานในชุมชนของเรา จะเป็นผลดีต่อตัวเด็ก
มากกว่าให้เขาอยู่ที่บ้าน หรือต้องไปทำงานหารายได้กับบริษัท ร้านค้าทั่วๆไป
เรื่องนี้พ่อท่านจะเห็นอย่างไร? เพราะเคยมีกรณีที่ปฐมอโศก ผู้รับเหมาก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียต้องการจ้างแรงงาน
ในช่วงปิดเทอมของสส.ฐ.พอดี ตอนนั้นก็คิดนัยคล้ายๆอย่างนี้ แทนที่จะจ้างคนนอก
ก็จ่ายค่าแรงให้กับเด็กนักเรียน ของเราดีกว่า เด็กเองก็ยังได้อยู่ในสายหูสายตาของเราไม่ต้องกลับไปเสี่ยงเสียหายด่างพร้อยที่อื่น
ซึ่งตอนนั้น พ่อท่านก็ไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลว่าจะทำให้เสียระบบ เสียวัฒนธรรม
ที่สำ คัญเด็กจะกลายเป็นคนอกตัญญู ต่อสถานที่ไป เพราะเรียนฟรี กินนอนอยู่ก็ฟรี
แต่ทำงานจะเอาเงิน แม้จะมีข้อแย้งว่าผู้รับเหมาเป็นผู้จ่ายไม่ใช่ทาง
ชุมชนจ่ายก็ตาม ซึ่งโดยความจริง แล้วผู้รับเหมาก็เอาเงินจากชุมชนนั่นแหละจะว่าไปแล้ว
ขณะที่เรา พยายามพร่ำสอนอย่าไปให้ความสำคัญกับเงิน สอนให้มาหัดจน อย่าไปสะสมกอบโกย
ถ้าเด็กเองยังไม่แข็งแรงพอ เขาจะหลงกับ การ ทำงานแล้วได้เงินตอบแทน
แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน ตรงที่เป็นเด็กต่างพุทธสถานต่างชุมชนมาทำงาน
ตอนแรก พ่อท่านเห็นว่า "ก็พอถูไถเพราะมันเป็นต่างถิ่นที่อยู่
แต่ก็ให้จ้างหรือจ่ายค่าตอบแทนแรงงานให้ถูกมากๆ เช่น ถ้าจ้างปกติวันละ
๑๐๐ บาท ก็ให้ลดลงมาเหลือเพียง ๒๐-๓๐ บาท จ่ายเพียงเป็น สินน้ำใจ เท่านั้น
อย่าจ่ายให้มากเพื่อเด็กจะได้ไม่ไปเหลิงกับรายได้ ไม่เช่นนั้น มันจะเสียวัฒนธรรม
เสียระบบของเรา"
ครู่ต่อมาเปลี่ยนกลับใหม่ว่า "ยกเลิกเลยดีกว่า
ไม่ว่าจะต่างพุทธสถานก็ตาม ให้ปฏิบัติ เหมือนกันคือไม่จ้าง ถ้าเด็กอยากจะหาราย
ได้ให้ออกไป หาที่อื่น ไม่เช่นนั้นมันเสียระบบเสียวัฒนธรรมของ เราหมด
มันจะลักลั่นเกิดการเปรียบเทียบ เด็กที่สีมาอโศกทำงานเหมือน กันไม่มีรายได้
แล้วเด็กบ้านราชฯไปทำมีรายได้มันจะ ยังไง"
สภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ
๑๐ มี.ค. ๔๖ ที่สันติอโศก มีการประชุมสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติครั้งที่
๔ โดยมีองค์ กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุมกว่า ๒๐ องค์กร
การประชุมครั้งนี้คึกคักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งคณะทำงานชั่วคราว
เพื่อรอการเลือกตั้งคณะทำงานถาวร ในโอกาสต่อไป และครั้งนี้ก็สามารถร่างธรรมนูญของสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ
นับเป็นนิมิตดีๆที่องค์กรภายนอก เข้ามาร่วมมือกันทำงาน กับองค์กรของชาวอโศก
เพื่อช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาในด้านต่างๆให้เข้มแข็งพึ่งตนเองได้ อย่างน้อยๆก็ให้ปลอด
พ้นจากการพึ่งพาปุ๋ยเคมี และหาวิธีผลิตปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนให้ได้เพียงพอก่อน
พ่อท่านไม่ได้ร่วมประชุมด้วย เพียงให้โอวาทเปิดและปิดการประชุม
จากบางส่วนของ โอวาทเปิดประชุมดังนี้
"นักกสิกรรมต้องเสียสละ
เพราะทำพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มนุษย์เลี้ยงชีวิต และต้องทำให้ ได้ของดี
และต้องราคาถูก ให้ถูกเท่าไหร่ ได้นั้นประเสริฐ เพราะถ้าขายของกินของใช้ในราคาแพง
คนจนตาย คนรวยเขาไม่เดือดร้อนหรอก
คนจน เป็นฐานของสังคม คนจนมีมาก เพราะฉะนั้นของกินของใช้จะราคาแพงไม่ได้
ต้องถูก ในหลักของศีลธรรม หลักของธรรมะ ยิ่งขายถูก ยิ่งประเสริฐ เพราะได้เสียสละ
ถ้าขายแพง ก็ขูดรีดเขามา ยิ่งขูดรีด ก็ยิ่งไม่มีคุณค่าประโยชน์ เป็นคนเห็นแก่ได้
เห็นแก่ตัว เป็นบาป สรุปในทางธรรม ก็คือบาป แนวคิดทุนนิยมคือแนว คิดบาป
แนวคิดเสียสละเป็นแนวคิดบุญ
เราเสียสละให้สังคม เราก็เป็นคนมีประโยชน์ในสังคม
แต่เราไปแลกเปลี่ยนในอัตราทุนนิยม เอากำไรมามากๆ กอบโกยมามากๆ เราขูดรีดสังคม
เราเป็นประโยชน์อะไรแก่สังคม
ทุนหนึ่งพัน เอามาพันห้า เกินมูลค่าตั้งห้าร้อย
แล้วบอกว่าตัวเองมีประโยชน์ต่อสังคม มีประโยชน์ไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคน
ทำมา ค้าขาย เอากำไรเกินทุนตามระบบทุนนิยมที่ร่ำรวยอยู่ในสังคม ทุกวันนี้
ไม่มีคุณค่าเลยต่อสังคม เพียงแค่เป็นผู้ได้มูลค่ามากเท่านั้นเอง กอบโกยมูลค่ามาไว้ที่ตัวเอง
เป็นทรัพย์ศฤงคาร เป็นวัตถุ แต่เป็นผู้ทำลายคุณค่าของตัวเอง และเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ในสังคม
การขายสินค้ากสิกรรมต้องถูก ทำอย่างไร
เราจะขายถูกได้ ขายถูกได้ก็เพราะเรามัธยัสถ์ หรือว่าเราไม่เปลืองผลาญ
สำคัญที่ตัวเรา จะขายถูกได้ ก็เพราะตัวเรากินน้อยใช้น้อย เราไม่ถูกโลกมอมเมา
ไม่โง่ตามโฆษณา รู้จักสาระชีวิต มีชีวิตถูกๆ ไม่แพง แต่มีสาระ ไม่ได้ทรมานตนเอง
แข็งแรงสมบูรณ์ แล้วก็ไม่มีโรคภัยอะไร
เมื่อเรารู้จักจัดชีวิตอย่างนี้แล้ว
สร้างสรรขึ้นมา เป็นผลผลิตที่ไม่มีโทษไม่มีภัย ไม่มีสารพิษ แล้วเราก็สามารถขายราคาถูกได้
สิ่งเหล่านี้ อาตมาพยายามพูดนำมาตั้งหลายสิบปีแล้ว อาตมา ตั้งภาษาขึ้นว่า
"สามอาชีพกู้ชาติ" ได้แก่
กสิกรรมไร้สารพิษ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา ตอนแรกๆก็รู้สึกกระดากเวลาจะพูด
แม้อาตมาจะไม่เป็นนักกสิกรรม ไม่ได้เป็นนักชีววิทยา อะไรก็แล้วแต่
ก็อาศัยพวกคุณทั้งหลาย ที่มีความรู้เกี่ยวกับกสิกรรม เรื่องชีววิทยา
และสิ่งอื่นๆ ที่จะต้องใช้ พัฒนาสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ
มาจนถึงวันนี้แล้ว ก็เห็นผลว่า ทุกอย่างดูมีรูปธรรมขึ้นมา สู่สังคม
สู่มนุษยชาติ อาตมาก็มั่น ใจว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศ
เหนือชั้น กว่าประเทศแถบตะวันตก ทางอเมริกา เพราะเราสามารถทำกสิกรรมได้ตลอดปี
ตลอดชาติ มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่สามารถผลิต ออกมาเพื่อเอาไปเลี้ยงโลกได้มากกว่าเขาเยอะแยะ
อันนี้เป็น"ต้นทุนทางธรรมชาติ"ที่เรามี เราน่าจะได้พยายามพัฒนา
สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเป็นประโยชน์ ถ้ายิ่งเข้าใจระบบบุญนิยม พัฒนา เป็นระบบบุญนิยม
ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์คุณค่าแก่โลก
อาตมาตั้ง"บุญนิยม"ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบกับ"ทุนนิยม"
เพื่อให้เห็นเด่นชัดว่ามันคนละตระกูล แต่บุญนิยม ไม่ได้เป็นศัตรูกับทุนนิยม
เพราะทุนนิยมมีอุดมการณ์ "เอา" เอามากๆรวยๆ ส่วนบุญนิยมนี้
เอาน้อยๆ หรือไม่เอา อุดม การณ์คือ "ให้" เพราะอุดมการณ์คนละทิศ
แต่คนที่เอา กับคนที่ให้ มันอยู่ด้วยกันได้ คนหนึ่งเอา คนหนึ่งให้
มันอยู่ด้วยกันได้ คนหนึ่งเอา คนหนึ่งให้ ก็ไม่รบกันแล้ว แต่พวกทุนนิยม
เองนั่นสิ ต่างคนต่างก็มุ่ง"เอา" เขาจึงแย่งกันรบกันอยู่ทุกวันนี้
ใครได้เปรียบมากเท่าไรก็ยิ่งเยี่ยม และ เขาก็คิดว่าประสบผลสำเร็จ ที่ทำอย่างนี้ได้
เพราะฉะนั้นชีวิตนี้เกิดมาทำไม ถ้าเกิดมาทำแบบทุนนิยม ชีวิตนี้ล้มเหลวบรรลัย
ตนเองบรรลัย สังคมก็บรรลัย เกิดมาเป็นคนนั้นมันก็ไปสู่ตาย ในขณะที่ยังไม่ตาย
ก็น่าจะมาเป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ ช่วยกันทำ ทำสิ่งที่เป็นบุญ เป็นประ
โยชน์ต่อตนเองและมนุษยชาติ อาตมาดีใจที่พวกเราพยายามรวมกลุ่มกันเข้ามา
เพื่อที่จะมาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ เพื่อที่จะ เกิดกิจการต่าง ๆ ที่มันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ถ้ายิ่งผู้ใดรู้จักโลกุตรธรรมแล้ว ก็ขอให้พยายามใส่ใจปฏิบัติตนให้ได้ผลประโยชน์
บรรลุธรรม เป็นคนมักน้อย สันโดษ มีศีลธรรม อยู่ในโลกอย่างเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าของโลกอย่างแท้จริง"
จากพิธี มอบ"กลด"....ไปถึงสงกรานต์
๑๕ มี.ค. ๔๖ ที่ปฐมอโศก พ่อท่านแสดงธรรมทำวัตรเช้า
โดยมีชาวชุมชนและนักเรียนที่จบ ม.๖ จากโรงเรียนสัมมาสิกขาหลายโรงเรียนเป็นมวลหลัก
มีนักเรียนชั้นอื่นๆของนักเรียน ปฐมอโศกและนักเรียนสันติอโศกมาร่วม
ผู้ปกครองและคุรุบางส่วนจากโรงเรียนสัมมาสิกขาต่างๆมีมาบ้าง เนื้อหาหลักที่พ่อท่าน
เทศน์ครั้งนี้ก็คือหลักปฏิบัติ จรณะ ๑๕ แถมด้วยศรัทธา ๑๐ แทรกผสม "....ไม่ว่าพวกเราจะไปไหนๆ
ก็ขอให้กินมังสวิรัติและกำหนดมื้อให้ดีๆ อย่าจุบจิบ แค่สังวรกินมังสวิรัติ
ก็จะได้ปฏิบัติจรณะ ๑๕ แล้ว....." พ่อท่านกล่าวเหมือนเป็นของฝากนักเรียนที่จบ
ม. ๖ และนักเรียนชั้นอื่นๆที่ กำลังจะปิดเทอมให้สังวร
เสร็จจากทำวัตรเช้ามีผู้เสนอให้พ่อท่านช่วยเซ็นชื่อลงในหนังสือความรัก
๑๐ มิติ ที่จะแจกนักเรียนที่จบ ม. ๖ ซึ่ง
พ่อท่านก็รับเซ็นให้ ปกติพ่อท่านจะไม่เซ็นชื่อให้ใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาขอให้เซ็น
ในรูปภาพ หรือในสมุดบันทึกส่วนตัว หรือเซ็นในหนังสือของใคร พ่อท่านจะปฏิเสธแข็งๆว่า
"ไม่เอา ไม่เซ็นให้ใคร ขืนเซ็นให้เดี๋ยวใครต่อใครก็จะ เอาอะไรๆมาให้อาตมาเซ็นเรื่อย
พอดีอาตมาไม่ต้องเป็นอันได้ทำอะไรเลย" การที่พ่อท่านเอื้อเซ็นให้ในครั้งนี้ถือ
เป็นกรณีพิเศษที่นักเรียนที่จบ ม. ๖ รวมไปถึงนักเรียนชั้นอื่นๆที่หมายมั่นปั้นมือที่จะจบ
ม. ๖ น่าจะถือเป็นความภาค ภูมิหนึ่งของชีวิตที่ได้รับความเมตตาจากพ่อท่านชนิดที่ผู้
ใหญ่หลายคนไม่มีโอกาสได้รับอย่างนี้
ก่อนเข้าสู่พิธีกรรมมอบ"กลด"
พ่อท่านแสดงธรรมจากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้
"...สิ่งที่ประกอบเป็นยิฏฐังเป็นพิธีกรรม
หรือเป็นองค์ประกอบของสิ่งที่มนุษย์คิด ได้แล้วก็กระทำขึ้นมาให้มันเกิดผลทางการเป็นอยู่
สิ่งที่เกิดจากพิธีกรรมนี่มันจะช่วยในทางจิตวิญญาณ ถ้าเผื่อว่ามันเป็นคุณค่าที่ดี
มากๆ ลงทุนมากๆก็ต้องลงทุน อย่างรัฐพิธีใหญ่ๆ รัฐพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างนี้
ปีๆหนึ่งรัฐจะต้องลงทุนเป็นพันๆล้าน อย่างที่ เห็นนี่อลังการต้องมีอะไรก็ต้องมี
เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณที่เป็นประโยชน์ หรือเป็นพิธีกรรมของศาสนา
หรืออย่างพิธีกรรมทางสังคมหลายๆพิธีกรรม อย่างงานบายศรีสู่ขวัญ งานรดน้ำดำหัวเป็นต้น
แต่ทุกวันนี้งานรดน้ำก็เพี้ยนกลาย เป็นงานสาดน้ำเลอะเทอะเล่นสงกรานต์กันไปแล้ว
ซึ่งเป็นความผิดพลาดมหันต์ จำไว้ทุกคนอย่าไปเล่นสงกรานต์เลอะเทอะอย่างนั้น
จนทำให้สงกรานต์กลายเป็นประเพณีที่เลว จะเห็นได้มันเลวลงๆ ที่ถนนข้าวสารเห็นว่าจะปิดกันแล้วนั่นแหละความเลวที่ชัดเจน
ที่สุด สงกรานต์ที่เชียงใหม่ก็ตาม จะเห็นได้เลยมันเลวแล้ว เลวชัดๆ
เลวแหลกลาญเลย มันเกิดอะไรต่ออะไรขึ้น มันไม่เข้าเรื่องเข้าราวมันเป็น
การเล่น นอกจากเล่นแล้วก็ลาม ลามแล้วก็เลอะ เลอะแล้วก็ลามก
เพราะฉะนั้นมันก็เหลวไหลจริงๆ แล้วมันผิดพลาดตั้งแต่หน้าร้อนเดือนห้า
เป็นหน้า แล้ง น้ำหายาก ฟังให้ดีนะ เมื่อน้ำหายาก ใครมีน้ำอาบ ใครได้รดน้ำ
ก็ชุ่มเย็น ก็เลยเห็นน้ำนี่มีค่า วิธีการของผู้ฉลาดที่คิดออกมาได้
เป็นว่า มีน้ำก็นำไปรดให้กับผู้ที่ควรจะได้น้ำเย็นๆกาย จึงใช้หลักการเฉลี่ย
ใครมีน้ำก็แบ่งมา คนละจอกคนละขัน แล้วเอาน้ำนั้นไปรวมกันรด ให้แก่ผู้ที่เคารพบูชาหรือผู้ควรเชิดชูยกย่อง
เป็นการแสดงความเคารพและน้ำใจ เรียกว่า รดน้ำดำหัว
ผู้ใดที่เป็นผู้ใหญ่หรือเป็นผู้มีคุณวุฒิ
มีวัยวุฒิ เป็นคนที่จะต้องเชิดชูบูชากตัญญูกตเวที ผู้ใดผู้หนึ่งหรือหลายคนที่ควรจะรดน้ำ
เราไม่มีน้ำ ก็เลยให้หาน้ำไปคนละจอก คนละขัน เป็นการแชร์ เป็นการแบ่งกัน
ไม่ใช่มาเปลือง เอาน้ำมาสาดกันทิ้งเทกันทิ้ง โอ้โฮ!ผิดเรื่องเลย น้ำยิ่งหายาก
แล้วเอามาสาดเล่นทิ้งขว้าง มันก็ไม่เป็นความเจริญอะไรทั้งทางจิตวิญญาณและ
ทางวัตถุธรรม
เพราะฉะนั้นผู้ที่ควรจะได้น้ำมากๆนั้น
ต้องเป็นคนที่สมควร เป็นคนที่มีค่าพอ ที่จะได้รับ การรดน้ำให้ความเย็น
จึงไม่เปลือง แต่ละคนแชร์น้ำกันออกมาเหมือนกับใส่บาตร ใส่คนละช้อนคนละทัพพี
ให้แก่ผู้ควรให้ ก็ไม่เดือดร้อนคนหนึ่งคนใดผู้เดียว ก็อุ้มชูผู้ควรอุ้มได้แล้ว
ดังนี้
น้ำคนละจอก คนละขัน นำมาใส่อ่าง
เสร็จแล้วเอาน้ำมาราดมารดให้แก่ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่ ควรจะได้รับการรดน้ำนั้น
ก็เป็นทั้งพิธีการที่เชิดชูทางจิตวิญญาณ เป็นการแสดงถึงการมีสัมมาคารวะ
เป็นสามัค คีธรรม เป็นความอบอุ่น เป็นเรื่องที่ดีงาม เป็นศิลปะวัฒนธรรมที่สวยงามมาก
แต่สงกรานต์ที่ถนนข้าวสารเป็นศิลปะวัฒนธรรมไหม
เป็นหายนะธรรมที่เลวเลอะเทอะ ลามกต่างหาก นายทุนก็หาเรื่องแทรกแซง
สร้างโน่นสร้างนี่มาขาย มายุ มาแหย่ หาเรื่องให้ฉิบหายวายป่วงเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้นถ้าใครหยุด เรื่องสงกรานต์ได้หยุดเลย ถ้าอยากทำก็ทำแต่เฉพาะไปรดน้ำดำหัวให้เป็นพิธีการ
ทำความเข้าใจดีๆแล้วก็ค่อยๆ ทำกันเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งพวกเราก็มีทำกันอยู่บ้าง
อย่าเอาน้ำไปสาดกันเล่นเลย มันผลาญพร่าทำลายอย่างไม่ฉลาด ขืนทำเช่นนั้นมันก็ตาย
น่ะสิ มันหน้าแล้งน้ำก็ยิ่งน้อย นี้เป็นความผิดพลาดที่เห็นชัดๆ
อาตมาก็อธิบายให้ฟังเป็นความรู้รอบตัว
ให้เข้าใจ ให้มีปัญญา ให้รู้ว่าอะไรคืออะไรในโลก ไปเล็กๆน้อยๆตามประสา
ซึ่งเป็นเรื่องของจารีตพิธี ซึ่งเรื่องของจารีตพิธีนั้น มันมีตั้งแต่ยิฏฐัง
พิธีกรรมเก่าๆแก่ๆ เริ่มต้นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ ์นึกกันไม่ออก สืบสาวกันไม่ได้
นี่อาตมาหยิบขึ้นมาเล่าให้ฟัง เพราะอาตมาก็มีดึกดำบรรพ์ของอาตมา เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่
เราต้องมาศึกษาสัจธรรม มาทำความเข้าใจในโลกวิทูต่างๆ
ในเรื่องของคนของสังคม ใน เรื่องของกรรมกริยา ในเรื่องของจารีตประเพณี
ในเรื่องของวัฒนธรรม
เรามาศึกษา แล้วเราก็จะรู้ว่า เป็นคนควรจะทำอะไร
เป็นคนควรจะมีประโยชน์มีคุณค่าอย่าง ไร มีสิ่งที่ดีงามอย่างไร ทั้งเวลาแรงงานของเรา
เราจะใช้ไปในส่วนที่เป็นกรรมกริยา มันควรจะเป็นกรรมกิริยาอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะ
ต้องเรียนรู้ จะต้องศึกษา สังคมทุกวันนี้มันย่ำแย่จริงๆ
รักความเป็นไทย
๒๕ มี.ค. ๔๖ คุณสมาน ศรีงาม ผู้จัดรายการวิทยุ
AM 1107 KHz. รายการ "รักความ เป็นไทย" ได้สนทนาสัมภาษณ์พ่อท่านทางโทรศัพท์
ผู้จัดรายการได้กล่าวนำว่า ได้มาสัมผัสชุมชนชาวอโศกในหลายๆที่ ได้เห็นถึงความเป็น
ไทย เห็นถึงความเป็นชาตินิยมแบบพุทธะ อย่างไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนเลย
น่าจะเป็นความหวังของประเทศไทย หรือของโลก ในการดำเนินการทางด้านเศรษฐกิจ
และด้านจิตวิญญาณ ต่อมาผู้จัดรายการเปิดประเด็นคำถามว่า... การที่สันติอโศกได้สร้างระบบเศรษฐกิจที่ไป
สัมพันธ์กับจิตวิญญาณ โดยเฉพาะการเสียสละของนักปฏิบัติธรรมหรือญาติธรรม
ท่ามกลางระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ที่มีความเห็นแก่ตัวสูง ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ พ่อท่านทำได้อย่างไรครับ?
จากบางส่วนที่พ่อท่านตอบ "...เป็นการพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้า
ที่อาตมาทำงานมานี่ อาตมาไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์บัณฑิต ไม่ได้จบรัฐศาสตร์
ไม่ได้จบสังคมศาสตร์ แต่อาตมาเอาแกนหลักที่อาตมาเชื่อว่า อาตมา รู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
และได้ธรรมของ พระพุทธเจ้ามา แล้วก็เอาความเข้าใจของเรานี่แหละเป็น
Concept เป็นแกนหลัก เราก็เอาอันนี้มาทำ โดยประกาศความจริงออกไป แล้วก็พยายามทำตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่อาตมาเข้า
ใจ เช่น โพธิปักขิยธรรม มรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ ฯลฯ มาขยายความ ให้พวกเราฟัง
โดยไม่หลอกล่อ ไม่เอาอะไรมาเป็นอามิส เช่นว่าเอาบุญมาล่อ มาที่นี่แล้วจะได้รวยลาภ
ยศ สรรเสริญ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นการพูดโกหก
ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนมาร่ำรวย
แต่กลับสอนให้คนมาละความร่ำรวย ให้ เสียสละ สอนให้คนมาลดความโลภ ลดความเห็นแก่ตัว
มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีมาก เรียกว่าอัปปิจฉะ คือมักน้อย หรือกล้าจนลงมา
คนที่ฟังแล้วรู้เรื่องก็โอ! มีความเข้าใจ
มีความเชื่อถือ เกิดอินทรีย์ในศรัทธา เรียกว่าศรัท ธินทรีย์ คือเกิดความกล้าหาญ
หรือเกิดอำนาจความเป็นใหญ่ในจิตวิญญาณ มีปัญญาเข้าใจ ไม่ใช่ไปบังคับ
ไม่ใช่ไปหลอก ล่อ คนไหนเข้าใจเขาก็มาทำตาม เกิดความเชื่อถือว่า โอ!
เราไม่ต้องไปร่ำรวยหรอก แต่เรามาแจกจ่ายเจือจานกัน มาขยัน หมั่นเพียร
สร้างสรรแล้วก็เสียสละ ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเกื้อกูล เรียกว่าสังคหะ
คือเป็นการบริจาค หรือจาคะ นี่เป็นคุณค่า ของบุคคล คนก็มาลองปฏิบัติตาม
พอปฏิบัติตามแล้วก็เห็นคุณค่าของตัวเอง เราได้ให้เขา เขาได้ให้เรา
เราได้สละให้เขา เขาก็เกื้อกูลเรา เป็นสังคมพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน
จะตรงกันข้ามกับเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม
ซึ่งเขาจะต่างแย่งต่างชิงเอามาเป็นของตัวให้ ได้มากๆ ถ้าเขาจะรวมหัวกัน
ก็รวมกันร่วมกันเพื่อสร้างพลังทำลายผู้อื่น แล้วก็เอาอำนาจทุน เอาอำนาจของสังคม
เอาอำนาจของสิ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นทฤษฎี เป็นหลักการอะไรก็แล้วแต่
ที่พากันทำจนแม้แต่วิธีการเงิน มีการเล่นหุ้น มีการเล่น ทรัสต์ อะไรก็แล้วแต่
มันเป็นวิธีการของนายทุนที่จะเอาเปรียบเอารัดจากผู้อื่นจากสังคม หรือจากผู้ที่ฉลาด
น้อยกว่า ทำให้จำนน แล้วก็ต้องยินยอมโดยมาเสียเปรียบ นี้เป็นเล่ห์กลของนายทุนที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ
จะไม่ใช่ช่วยสังคมอย่างเป็นสัจจะเลย
แต่ของพระพุทธเจ้านี่ ไม่ต้องไปหลอก
ไม่ต้องไปซับซ้อนด้วยวิธีเชิงฉลาดพวกนั้น พูด กัน ตรงๆว่าเราจะมาเสียสละ
ไม่ใช่มาเอาเปรียบ คนฉลาดนั้นน่ะมีเปรียบอยู่แล้วโดยความจริงที่เป็นคนฉลาด
หรือเป็นคนมีความสามารถ สร้างสรรได้มากนี่ ก็เป็นคนมีเปรียบโดยสัจจะอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงต้องเป็นคนเสียสละให้แก่ผู้ด้อยกว่า ต้องมาหัดเป็นคนกล้าเสียเปรียบหรือยิน
ดีเสีย เปรียบอย่างเต็มใจ และรู้ว่าควรเสียให้แก่ผู้สมควร
ศาสนาพุทธนี่สอนกรรม สอนวิบาก เป็นเรื่องจริง
เป็นสัจจะ คนที่ทำกรรมชั่วก็เป็นทรัพย์ ของเขา ทำกรรมดีก็เป็นทรัพย์ของเขา
เพราะฉะนั้นคนที่ไปโลภได้เงินได้ทองมานี่ เป็นกรรมที่เลว
เพราะไปเอาเปรียบนี่เป็นความเลว
ไปได้มามากๆมีร้อยล้าน พันล้าน แสนล้าน แล้วไม่ เสียสละ ไม่เกื้อกูล
เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมนี่เป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้านี่ท่านร่ำรวยท่านก็มาจน
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอานนท์ก็ตาม ก็เป็นลูกเจ้าร่ำรวยมาทั้งนั้น
แล้วท่านก็มาจน หรือแม้แต่อนาถปิณฑิกเศรษฐี ก็หัดจนลงไปจริงๆ ซึ่งเป็นการทวนกระแสคนทุกวันนี้
ชาวอโศกได้พยายามฝึก
แล้วก็พิสูจน์กันจนกระทั่งมีคนมาทำงานไม่ต้องมีเงินเดือน เคย ทำงานทางโลกอยู่ราชการบ้าง
อยู่บริษัทบ้าง ก็ลาออกมาทำงานที่ไม่ต้องมีรายได้มีเงินเดือน อยู่กันเป็นสังคมชุมชน
ที่รวมกันอยู่แล้วก็ มีสมบัติส่วนกลาง เรียกในภาษาของ พระพุทธเจ้าว่า
สาธารณโภคี คือมีสมบัติเป็นส่วนกลางสาธารณะ มากินมาใช้รวมกัน ใครทำงานอะไรก็ไม่
ต้องไปคิดค่าตัว ใครขยันเท่าไรก็เป็นสมบัติบุญของผู้นั้น ยิ่งเสียสละไปให้แก่ผู้อื่นนั่นแหละเป็นบุญ
เป็นคุณค่า
แต่แนวคิดของทุนนิยม ไม่ได้เสียสละ
ไม่ได้เกื้อกูลจริงๆ อาตมาจึงเห็นว่าเศรษฐศาสตร์ ทุนนิยมนี่แก้ปัญหาโลกไม่ได้
จะเกิดเศรษฐศาสตร์ ที่แย่ลง การแจกจ่ายเกื้อกูลจะน้อยลง การสะพัดก็เป็นเพียงการหมุน
มาสู่ผู้มีพลังดูด เพราะต่างคนต่างมีเล่ห์วิธีแย่งชิงเอาเปรียบ เกิดการเบียดเบียนถึงรบราฆ่าฟันกันตลอด
เวลา อาตมาว่าแนวคิดทางทุนนิยมนี่มันไปไม่รอดจริงๆ อาตมาว่าเศรษฐศาสตร์
เชิงพุทธ นี่แหละจะ แก้ปัญหาสังคมได้ อาตมาตั้งชื่อเศรษฐศาสตร์ของ
พระพุทธเจ้าให้มันล้อเลียนคำว่าทุนนิยม โดยเรียกว่าเศรษฐศาสตร์ บุญนิยม..."
อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อผู้จัดถามว่า....ปัญหาใหญ่ก็คือ
ประเทศไทยถูกรุกรานจากทุนนิยม ของโลกที่ได้เปรียบ เข้ามายึดเอาธนาคาร
ยึดเอาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทั้งปูนซีเมนต์ ทั้งปิโตรเลียม แม้กระทั่งร้านโชว์ห่วยนี่นะครับ
ต่างชาติก็มารุกเอาไปจนหมด ขณะนี้เศรษฐกิจของเราถือว่าสิ้นไร้เอกราชไปแล้วเกือบจะโดยพื้นฐาน
ทีนี้ผมได้ไปเห็นป้าย ที่สันติอโศกว่า ถ้าไม่มีชาตินิยมนะครับ ประเทศชาติมันก็ล่มสลาย
อันนี้พ่อท่านมีคำอธิบายอย่างไรบ้างครับ
พ่อท่านตอบ "โดยสัจธรรมกว้างๆ
ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่หมู่กลุ่ม ไม่เห็นแก่ประเทศชาติเรา เท่านั้นหรอก
แต่เราก็จะต้องรู้ว่า สิ่งสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ที่จะต้องใกล้ชิดตามสัจธรรมก่อน
เช่น ตั้งแต่ครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เราก็จะ ต้องดูแลในครอบครัวที่เล็กที่สุด
ให้อยู่ดี ให้แข็งแรง ให้พาตัวรอด แล้วเราก็จะเกื้อกูลคนอื่นสะพัดออกไปสู่มิตรสหาย
ไปสู่ประชากรโลกร่วมสังคม กระจายกว้างขึ้นเป็นความรัก ๑๐ มิติ ที่อาตมาได้เคยเขียนเอาไว้
ที่เรากำลังพูดถึงภาษาคำว่า "ชาตินิยม"นี่
จะบอกว่าเราเห็นแก่ชาติเรา ไม่เห็นแก่ชาติอื่น มัน ไม่ใช่ เราต้องดูตัวเราว่าเราเตี้ยอุ้มค่อมหรือไม่
เราช่วยตัวเรารอดหรือยัง เมื่อรอดแล้วเราจะเอื้อเฟื้อได้แค่ไหน ไปสู่ญาติ
ไปสู่มิตร ไปสู่ชาติ ไปสู่สากล คือไม่ได้เอื้อเฟื้อเจือจานแต่เฉพาะชาติเราเท่านั้น
แต่จะเอื้อเฟื้อชาติอื่นๆอีกซึ่งเป็นเพื่อนร่วม โลก
ในช่วงนี้อาตมาเห็นว่า ความเป็นจริงของจิตวิญญาณ
ของคนไทยนี่เรื่องชาตินิยมก็แพ้ชาติอื่นเขา ไม่ค่อยมีชาตินิยม ฟุ้งเฟ้อ
หลงระเริงของนอก ซึ่งชาติอื่นเขา แม้แต่เครื่องแต่งตัว การกินการใช้
เขายังรักษาวัฒนธรรม แม้แต่เรื่องบันเทิงเริงรมย์ การร้อง การรำ การเล่นอะไรนี่
เดี๋ยวนี้เพลงไทยเดิมไม่มีใครแลแล้ว เด็กๆนี่เขายี้ไปหมดเลย ความเป็นไทย
แม้แต่วัฒนธรรมต่างๆนานาพวกนี้ ของชาติไทยนี่ถูกปล้น ถูกรุกรานจนเกือบจะสิ้นแล้ว
นายกฯทักษิณพยายามที่จะดึงเอากลับ อย่าพยายามให้ถอดชุดสากลขึ้นมาเลย
พยายามเข้าไปหาไทยบ้าง ก็ดึงไม่ขึ้น พลเอกเปรมได้พยายามดำริมาก่อนก็ทำแล้วก็ไม่ขึ้น
ถ้าเราไม่เข้าใจทั้งศิลปะวัฒนธรรม
ไม่เข้าใจทั้งการเป็นอยู่ของชีวิต ที่จะต้องมีชาตินิยม แล้วก็ไม่มารณรงค์
ไม่มาตั้งใจ เพื่อที่จะกระทำให้ มันสอดคล้องกับหลักปรัชญาเหล่านี้
เพื่อที่จะได้สร้างสรรสังคมกลุ่ม ไม่ใช่เราเห็นแก่ตัว ประเทศชาติของเรามันเป็นอย่างไรล่ะ
มันจะย่ำแย่ มันจะไปไม่รอด ถ้าเราไม่พยายามที่จะมาช่วยกัน กระทำสิ่งเหล่านี้
มันก็ไม่เกิด อย่างอาตมาพยายามประกาศหรือเผยแพร่ออกไปว่า ถ้าเราไม่หันมาชาตินิยมจริงๆแล้ว
สังคมประเทศชาติจะล่มสลาย คนที่เขาสะดุดเห็น เออมันเป็นเรื่องที่ต้องมาฉุกคิด
แล้วก็พยายาม ปรับตัวเอง ปรับสังคมที่เราสามารถรวมกันเพื่อที่จะปรับท่าที
ผู้ใดที่เข้าใจ เขาก็มาตั้งใจทำ
ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ไปบังคับ
ข่มขี่ หรือว่าไปเที่ยวได้กดดันคนอื่นเขา เป็นศาสนาอิสระเสรีภาพ ใครมีปัญญา
ใครมีภูมิธรรม ที่รู้ว่า โอ้ ! ควรจะทำอย่างนี้ เราก็ต้องมาพยายามพัฒนาตนเอง
เสียสละ ลดละ ในทิศทางที่เป็นชาตินิยมขึ้นมาจริงๆ คนใดที่เข้าใจและตั้งใจ
คนนั้นก็มาช่วยกันทำ อย่างพวกเราพากันทำอยู่ ก็ไม่ไปรุกรานใคร ไม่ไปบีบบังคับใคร
เราเป็นแต่เพียงประกาศสัจจะ ประกาศเชิงคิด
ถ้าเราเองไม่พัฒนาตนเองก่อน แล้วเที่ยวได้ไปบังคับคนอื่นให้เขาทำแต่ตัวเองไม่ทำ
ยังฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอยู่อย่างนี้มันคงไปไม่รอด ชาติเรานี่ ถ้าไม่มีชาตินิยม
ไม่มาร่วมรวมใจที่จะรณรงค์ทำสิ่งเหล่านี้ให้มันเกิดขึ้นมา เช่นมาลดอย่างนั้น
อย่างนี้ ซึ่งขณะนี้ ทางอิสลามเขาต่อต้านอเมริกัน เขารวมหัวกัน ไม่กินน้ำอัดลมชนิดนั้นหรือสินค้าหลักๆของประเทศที่เป็นศัตรู
นี่ก็เป็นตัวอย่างหยาบๆ เป็นปัจจุบันธรรมที่เข้าใจได้ เราก็พยายามทำอย่างนี้
ซึ่งไม่ต้องรุนแรงก็ได้ นิ่มนวลก็ได้ ถ้าเราจะไม่รับก็ไม่รับ อย่างชาวอโศกไม่ไปดื่ม
ไม่ไปกินอะไรที่มันฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ลดละมาแล้วก็อ่านกิเลสของเราให้ลดลง
มันก็หมดกิเลส หรือหมดความชื่นชอบติดยึด มันจึงเป็นการปรับเศรษฐกิจ
หรือปรับชีวิตที่จะดำเนิน ให้มีความมักน้อยสันโดษลงมาได้เป็นจริง
ถ้าไม่ทำกันเป็นเรื่องราวจริงๆอย่างนี้
มันก็ช่วยไม่ได้ ชาติไทยเราเคยมีวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตของเรามาแต่ดั้งเดิม
ในเรื่องของสังคมศาสตร์ของเรามีเยอะแยะ ที่ให้ศึกษา สิ่งที่ดีๆ อันไหนที่เราคิดว่าดีมากๆชัดๆ
เราก็เอามาทำก่อน อะไรที่ยังกึ่งๆกลางๆ หรือเฟ้อไปตามโลก ก็เข้าใจ
ก็ค่อยๆลดลงมาให้มันมีตัวลดได้ก็แล้วกัน เพราะศาสนาพระพุทธเจ้านั้น
เรียนรู้เพื่อที่จะมาขัดเกลา ลดละ หน่ายคลายออกไปเป็นลำดับๆๆ ไม่ใช่ไปเพิ่ม
จะต้องไปสร้างให้คนรวย จะต้องไปสร้างให้คนสวย จะต้องไปสร้างให้คนใหญ่โตอะไรขึ้นมา
มันไม่ได้ ปรัชญาหลักของศาสนาพุทธนี่ เป็นไปเพื่อลดเหตุแห่งทุกข์ เพื่อมักน้อยสันโดษ
เพื่อละหน่ายคลายจาง
หรือลดเหตุที่มันจะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
มามักน้อยสันโดษเป็นหลัก ธรรมใดวินัยใด เป็นไปด้วยความมักใหญ่ มักมาก
ธรรมนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจน
ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากโอวาทปิดประชุม พาณิชย์บุญนิยม(๓ มี.ค.) ที่สันติอโศกดังนี้
"เราทำงานมาถึงทุกวันนี้
พวกเราทำกันอย่างเข้าใจและตั้งใจ มีการทำงานกันเป็นกลุ่ม แบ่งงานกันทำ
ค่อยๆเกิดเป็นองค์กรขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการดี ดีตรงที่มีรากฐานหลักคือ
บุญนิยม
เป้าหมายของเราคือ
๑) ลดกิเลส ๒) เป็นประโยชน์ที่เกื้อกูลต่อโลก การที่เราได้ลดกิเลสเกื้อกูลให้กับสังคม
จะมีผลผลิตในปริมาณที่เพิ่มขึ้น คุณภาพดีขึ้น มีการเผยแพร่กระจายแจกจ่าย
มีระบบวิธีที่ก้าวหน้ามากขึ้น เช่น ตลาดอาริยะนอกจากจะมีเฉพาะในงานปีใหม่
เรายังมีการขยาย กระจายเพิ่มขึ้น มีการไปออกร้านในงานต่างๆ แม้แต่
การค้าบุญนิยม ก็พัฒนาถึงขนาดสามารถแจกฟรีได้แล้ว เป็นความก้าวหน้า
เกิดการบูรณาการ การพัฒนา มาอย่างเป็นไปได้จริงๆ เพราะเรามีแนวคิดบนรากฐานของบุญนิยม
อนาคตคิดว่าความดีจริง
ความประเสริฐจริงของสิ่งที่ดี จะมีผลทำให้เกิดอัตราความก้าวหน้าทวี
ไปในอนาคตเรื่อยๆ เมื่อดีจริง ทำได้จริง อัตราความก้าวหน้าย่อมมีแน่
แม้ปริมาณคนจะน้อย ถ้าเราเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนอนาคตย่อมเป็นที่หวังได้
พวกเราควรมั่นใจ
ดีใจ ภาคภูมิใจ ในทิศทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งสุดยอดแล้ว
ไม่มีอะไรประเสริฐกว่านี้ มาจน ไม่มีสมบัติเป็นของตนเองเลย แต่ก็อยู่กับหมู่อย่างร่าเริง
มีความสุข มีสมรรถนะ มีคุณค่าประโยชน์ มีกุศลครบครัน
เดี๋ยวนี้มีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆขึ้นมา
ขอย้ำให้พวกเราได้รู้ว่า เรากำลังทำอะไร กำลังเกิดอะไรขึ้น ได้อะไร
หรือไม่ได้อะไร คิดว่าพวกเราคงสบายใจ และพยายามมีอิทธิบาทกันให้มากขึ้น"
-
อนุจร -
๒๙ เม.ย. ๔๖
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๖๐ พฤษภาคม ๒๕๔๖)
|