หน้าแรก>สารอโศก

เดินตามรอยพ่อ- ฝั่งฟ้าฝัน -

*** เสาะแสวง..สู่พรหมจรรย์
ข้าพเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งบนโลกกลมๆใบนี้ ที่แสวงหาในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับชีวิต

ย้อนอดีตไปเมื่อปี ๒๕๒๑ ข้าพเจ้าชอบเป็นนักแสวงหาความรู้ และการแสวงหาของข้าพเจ้าได้เป็นไปดังคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านตรัสสอนไว้ว่า มนุษย์มีการแสวงหาอยู่ ๓ อย่างคือ
๑. แสวงหากาม
๒. แสวงหาภพ
๓. แสวงหาพรหมจรรย์

ข้าพเจ้าเองก็เป็นดั่งบุคคลทั่วไป สมัยวัยรุ่นใครว่าที่ไหนทำผมให้หล่อได้ ข้าพเจ้าก็ติดตามไปที่นั่น ซึ่งก็คือการแสวงหากาม ตอนเด็กๆ แม่จะพาข้าพเจ้าไปวัดเสมอๆ และคุณแม่ก็พูดให้ฟังว่า "แม่อยากไปเมืองแก้วพระนิพพาน" ข้าพเจ้าก็ตั้งภพพระนิพพาน ตามประสาเด็ก ในความคิดคือ ตายไปแล้วจึงไปหาพระนิพพาน

แต่พอโตขึ้นมาได้ฟังรายการเรื่องกฎแห่งกรรม และศึกษาธรรมะต่างๆ จึงได้เข้าใจชัดว่า พระนิพพานต้องรู้จักและสัมผัสได้ ตั้งแต่ตอน ยังมีชีวิตอยู่โดยมีคนมาบอกข้าพเจ้าว่า มีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเดินตามแนวทางของพระพุทธเจ้าคือ สมณะโพธิรักษ์ ข้าพเจ้าฟังแล้ว ก็เกิดสนใจ จึงเสาะแสวงหาจนรู้ว่าท่านอยู่ที่สันติอโศก แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสันติอโศกอยู่ที่ตรงไหน จุดใดของกรุงเทพมหานคร

มีอยู่วันหนึ่งได้ฟังรายการวิทยุคลื่น ๐๑ ภาคพิเศษคุณอาคม ธนิเทศน์ เขาประกาศว่าที่สันติอโศกมีรายการปาฐกถา "เพราะเหตุใดพุทธศาสนา จึงไม่สนับสนุนให้คนแต่งงาน" ข้าพเจ้าฟังแล้วสะดุดใจ สาเหตุเนื่องจากเด็กๆแม่พาไปวัดแถวๆปากน้ำ แล้วพระท่านก็บอกว่า "มีครอบครัวแล้วพ่อแม่ก็หมดห่วง" ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าพระท่านสนับสนุนให้คนแต่งงาน แต่พอได้ฟังที่สันติอโศก จัดรายการ เพราะเหตุใดพุทธศาสนาจึงไม่สนับสนุนให้คนแต่งงาน จึงอยากจะมาฟัง เป็นการมาครั้งแรก ก็เลยมาไม่ถูก นั่งรถเมล์สาย ๒๗ สุดสาย และเดินตามหาก็ไม่เจอ

จากนั้นก็ฟังคลื่น ๐๑ ภาคพิเศษอีก เขาได้โฆษณาว่า สมณะโพธิรักษ์จะไปแสดงธรรมที่วัดพระแก้ว ข้าพเจ้ารู้ว่าวัดพระแก้วอยู่ที่ไหน พอดีเป็นวันอาทิตย์วันหยุดงานของข้าพเจ้า ในช่วงเช้าจึงไปฟังท่านปัญญานันทภิกขุเทศน์ที่วัดชลประทาน และช่วงบ่ายวันเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ชวนเถ้าแก่(ซึ่งเป็นเพื่อนหลวงพ่อชัดแจ้ง) ไปฟังการแสดงธรรมของสมณะโพธิรักษ์ที่วัดพระแก้ว

ข้าพเจ้าได้เห็นและสัมผัสพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ แล้ว มีความรู้สึกว่าท่านเหมือนพระป่าพระธุดงค์ คือเป็นคนเอาจริงเอาจังและเป็นผู้ทรงศีล ยิ่งพอข้าพเจ้าได้ฟังแล้วยิ่งประทับใจ เข้าใจธรรมะมากยิ่งขึ้น ท่านแสดงธรรมว่า คนมีแต่ขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง และลีลาการแสดงธรรม ของพ่อท่านสมัยโน้นอาจหาญสง่างามมาก

ข้าพเจ้าประทับใจกับการแสดงธรรมของท่าน จึงได้ติดตามฟังเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าสันติอโศกอยู่ที่ใด กระทั่งบังเอิญข้าพเจ้าได้มีโอกาส ไปร่วมงานที่สวนลุมพินีวัน ได้เห็นสิกขมาตุ(นักบวชหญิงถือศีล ๑๐) มองดูด้วยความสงสัยว่า เอ๊ะ!จะเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ จึงเข้าไปสอบถาม และนั่งฟังท่านเสวนา ฟังแล้วมันตรงสัจจะ เรียนถามว่าท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าอยู่สันติอโศก ข้าพเจ้าดีใจ จึงถามว่าไปสันติอโศกอย่างไร ท่านจึงแนะนำนั่งรถเมล์สาย ๙๖ ซึ่งข้าพเจ้าทำงานอยู่แถวๆสะพานควาย (สิกขมาตุรูปที่ข้าพเจ้านั่งฟังและซักถาม ท่านก็คือ สิกขมาตุฝนเย็น)

ช่วงเช้าวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าก็ไปที่วัดชลประทาน พอช่วงบ่ายก็มาที่สันติอโศก สมัยนั้นยังเป็นเรือนทรงไทย ข้าพเจ้าฟังการบรรยายธรรมตั้งแต่ ๑๓.๐๐-๑๗.๐๐ น. พอเดินกลับบ้านมันหนักอึ้งเลย(แปลก) แต่ข้าพเจ้าก็มาฟังบ่อยขึ้น โดยที่ไม่ทราบว่าที่นี่เขากินมังสวิรัติกัน เพราะข้าพเจ้ามาช่วงบ่าย

เมื่อมาทราบว่าสันติอโศกเขาเป็นนักมังสวิรัติกัน ก็ที่งานจัดโรงบุญท้องสนามหลวง จึงได้รู้ว่า การที่จะปฏิบัติให้ตรงตามทางแห่ง พระพุทธองค์ ต้องเริ่มจากอาหารมังสวิรัติ ข้าพเจ้าจึงเริ่มปฏิบัติการกินอาหารมังสวิรัติทันที ในช่วงที่ตัดสินใจว่าต้องเป็นนักมังสวิรัติ จิตใจมันเบาว่างลอยในอากาศ เป็นสภาพที่โปร่งโล่งสบายใจมาก

พอจะเอาจริงก็ย่อมมีมารผจญ ข้าพเจ้าได้รับอุบัติเหตุทำให้แขนหักไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค ได้เริ่มมังสวิรัติมื้อแรกด้วยผักกาดขาวผัดกับน้ำมันพืช ตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรม ลด ละ เลิกอบายมุข

สมัยก่อนข้าพเจ้าชอบเล่นการพนัน ชอบซื้อหวย เมื่อปฏิบัติแบบเคร่งครัดจึงละเลิกในการซื้อหวย ในการเล่นการพนัน ข้าพเจ้าเป็นคนติดการเล่นหวยมาก ทั้งหวยเบอร์ หวยใต้ดิน ส่วนเหล้าบุหรี่ก็ติดมากเช่นกัน ก็ต้องลดละเลิกให้ได้ตามแนวทางของชาวอโศก

เมื่อคบคุ้นและปฏิบัติตามแนวทางอโศก ข้าพเจ้าก็เริ่มที่จะเข้ามาหาหมู่กลุ่มทำงานที่เสียสละ โดยไปช่วยอยู่เวรกลางคืนให้ร้านอาหารมังสวิรัติ(อตก.) มีประชุมก็เข้าร่วมประชุมกับทางร้าน ข้าพเจ้าช่วยงานที่ร้านอาหารมังสวิรัติประมาณ ๒-๓ ปี

การกินอาหารมังสวิรัติมื้อเดียวของข้าพเจ้าก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้าง คือหนึ่งมื้อเป็นส่วนใหญ่ สองมื้อเป็นครั้งคราว.... จนข้าพเจ้า ต้องตั้งใจเอาจริง ให้ได้ ต้องกินมังสวิรัติมื้อเดียวให้ได้ จะไม่ให้ล้มอีกเลย นับตั้งแต่ปี๒๕๒๔ เป็นต้นมา จนปัจจุบันก็ไม่เคยล้มเลย

ข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ในปี ๒๕๒๔ ที่ศีรษะอโศก สภาวะจิตของข้าพเจ้ามันสงบนิ่ง จึงตัดสินใจว่า "เราน่าจะออกบวชได้แล้ว" ได้ตัดสินใจโกนผมในร่างฆราวาส และอยู่จนครบจำนวนวันที่จัดงานคือ ๗ วันเต็ม ในงานปลุกเสกฯ นี้ข้าพเจ้าถือกลดไปกางที่เมรุเผาศพ ชาวบ้านเห็น เขาก็พูดว่าระวังผีดุนะ ข้าพเจ้าก็เฉยๆ พอตกกลางคืนก็เข้าไปนอนในกลด นั่งสมาธิและนึกถึงศีลอยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตเบาว่างโล่งอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อตัดสินแน่นอนแล้วว่าต้องลาบวช จึงเขียนจดหมายไปที่บ้าน(ดำเนินสะดวก) บอกวัตถุประสงค์ของข้าพเจ้า แล้วได้รับจดหมา ตอบกลับมาว่า ต้นไม้ที่บ้านยังไม่โต ยังต้องการการดูแล.... ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจ แต่ทางครอบครัวยังไม่อนุญาต จึงคิดว่าไม่เป็นไร? บวชกายไม่ได้ก็บวชใจก่อนก็แล้วกัน ตั้งใจปฏิบัติเคร่งในศีลและทำงานไปเรื่อยๆ

วบจนปี ๒๕๓๐ แม่ของข้าพเจ้าเสียชีวิต ข้าพเจ้าและน้องสาวนั่งรถเพื่อจะไปงานศพ ขณะที่รถกำลังเลี้ยวโค้ง มีรถคันหนึ่งพุ่ง ชนตรง ที่ข้าพเจ้านั่ง! เดชะบุญข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร... แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้าเกิดมรณสติ ว่า ถ้าข้าพเจ้า ยังทำงาน อยู่ทางโลก ไม่ตัดสินใจเข้ามาทำงานเสียสละทางธรรมกับชาวอโศก คงตายเปล่าแน่......

หลังจากเสร็จงานศพแม่ ข้าพเจ้าจึงลาออกจากงานในวันที่ ๑ พ.ค. ๒๕๓๐ มาช่วยงานที่ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย ข้าพเจ้ามีความสุขในการทำงานเสียสละที่นี่มาก แต่ในส่วนลึกของข้าพเจ้าตั้งใจว่า ถ้าร้านชมรมมังสวิรัติย้ายไปสถานที่ใหม่ เมื่อนั้นคือการขอบวชของข้าพเจ้า แต่เมื่อย้ายจริงข้าพเจ้าก็ถูกขอร้องให้ช่วยทางร้านให้ลงตัวก่อนสักระยะหนึ่ง.... เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสมัครบวช จำได้ว่าเป็นพ.ศ.๒๕๓๘ เริ่มตั้งแต่เป็นคนวัด อารามิก สามเณร และได้บวชเป็นสมณะชาวอโศกในปีพ.ศ.๒๕๓๙

กว่าจะมาถึงจุดนี้ การปฏิบัติต้องพรากห่างออกจากสิ่งที่เรายึด เราติด เราหลง เราคลั่งไคล้ มันยาก เพราะว่าเราสั่งสมเกาะติดมันมา เมื่อจะพรากแม้ว่ามันจะเป็นวัตถุก็ตาม มันต้องทำใจให้เห็นว่า สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้เป็นเจ้าชีวิตเรา ทั้งการเล่นหวย ทั้งการพนัน บุหรี่ เหล้า สิ่งเหล่านี้มันคือ...อบายมุข...หัวหน้านรกที่มันคอยบั่นทอนให้ตัวเราห่างไกลคำสอนของพระพุทธเจ้า

ส่วนการกินอาหารมังสวิรัติ สำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมากนัก เพราะปกติพอช่วงเทศกาลกินเจ ข้าพเจ้าและครอบครัว ก็ถือศีลกินเจกันทุกปี พอมาศึกษาแนวทางชาวอโศกแล้วกินมังสวิรัติ ข้าพเจ้าก็เลิกเนื้อสัตว์ได้ไม่ยากไม่ลำบากใดๆ

ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า คนเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว เพราะสิ่งที่ตัวเราลดละเลิกได้ง่าย นั่นคือการสั่งสมบารมีของตัวเรามาเก่าก่อน ส่วนสิ่งที่ตัวเราลดละเลิกได้ยาก นั่นคือยังไม่ได้มีบารมีเก่ามามากพอ

ทุกชีวิตเกิดมาย่อมมีอุปสรรค มีการกระทบกระทั่งกับบุคคล สิ่งของ ซึ่งเรียกกันว่าผัสสะ สำหรับตัวข้าพเจ้าจะคิดในแง่บวก เมื่อมีสิ่งใดมากระทบทำให้ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ข้าพเจ้าก็จะคิดว่า "ดี จะทำให้ตัวเราได้บำเพ็ญบารมี สร้างบารมี" และอีกอย่างข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า อย่าไปสร้างภพหรือตั้งภพ(ตั้งความหวังและคาดหวัง) เพราะการที่เราตั้งภพแล้วยึด ก็จะทำให้ตัวเราหงุดหงิด

การที่จะล้างความหงุดหงิด คือต้องเอาประโยชน์ให้ได้ทุกเรื่องทุกผัสสะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือสิ่งมีชีวิต เวลาเจอผัสสะควรนำมาพิจารณาว่า เพราะอะไร? หาสาเหตุมาจากอะไร? เราไปติดไปยึดอะไร? ไม่ว่าจะเป็นอาการชอบ
ชัง เกลียด โกรธ หาสาเหตุได้ก็มาล้าง เพื่อให้จิตของเราเป็นอาการกลางๆ

ถ้าตามกิเลสหาสาเหตุอย่างนี้ทุกขณะ ก็จะทำให้ตัวเราไม่ออกอาการทั้งทางกาย ทางวาจา หรือแม้แต่สายตาที่จะแสดงออกมา ส่วนอาการทางจิตใจ เราก็พยายามควบคุมจิตให้ได้ นี่คือการมองผัสสะในแง่บวก(POSITIVE THINKING)

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามองผัสสะที่มากระทบในแง่ลบ ทุกเรื่องทุกขณะเวลา เราก็จะทุกข์ทรมาน หงุดหงิด ฉุนเฉียว โมโหร้าย โมโหง่าย กิเลสก็โตวันโตคืน จนสุดท้ายร่างกายก็รับกับเชื้อร้ายๆ เกิดเป็นโรคกระเพาะ โรคมะเร็งตามมา

ได้เป็นสมณะแล้ว ข้าพเจ้าติดตามอุปัชฌาย์คือ สมณะบินบน ถิรจิตโต ประโยคหนึ่งที่ท่านเคยพูดว่า "เราอย่าเป็นนักบิด" คือบิดเบือนความจริง ควรรู้ให้ได้ในความเป็นจริง เพราะทุกคนตั้งใจมาดี เขาเป็นเช่นนั้นก็ควรเข้าใจเขา ไม่ใช่บิดเบือนความจริงของเขาหรือของเรา จงเห็นให้ได้ด้วยปัญญา....

ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์พาทำคือ ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานให้ถูกตรงชัด นั่นคือเวลามีผัสสะมากระทบ ต้องดูจิตดูใจที่ตัวเรา ปฏิบัติลดละเลิกที่ตัวเรา ไม่ใช่มองออกนอกตัว เช่น เจอคนโน้นทำแบบนั้นไม่ดี ต้องกลับมามองที่ตัวเราว่า ทำไมตัวเราต้องไปถือสา ต้องแก้ที่เราไม่ใช่คนอื่น

เพราะฉะนั้นข้อสำคัญคือ เราต้องตรวจสอบที่ตัวเรา ว่ามีผัสสะมากระทบแล้ว ทำไมเราถึงไม่ชอบใจ แล้วให้คิดว่าต้องแก้ที่ไหน? แก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา ถ้าจะพ้นทุกข์มันต้องแก้ที่เรา ถึงจะหายพ้นทุกข์ได้ เมื่อเราพ้นทุกข์ได้ก็จะเบิกบานแจ่มใส คนที่เข้ามาใกล้ๆ เขาก็จะได้รับกระแสแห่งความเบิกบานแจ่มใสด้วย นี่คือการมีสัมมาทิฏฐิ

ข้าพเจ้าจึงยึดสัมมาทิฏฐิเป็นตัวตั้ง มีการงาน การงานต้องให้ได้ทั้งประโยชน์ตน โดยแก้ไขที่ตัวเรา แล้วประโยชน์ท่านก็จะได้มาเอง หัวใจสำคัญของสัมมาทิฏฐิคือ "ปรโตโฆษะและโยนิโสมนสิการ" รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพราะคนอื่นคือกระจกเงาส่องสะท้อนตัวเรา ข้าพเจ้าจะหมั่นถามอาวุโสและอุปัชฌาย์สม่ำเสมอ เมื่อท่านสะท้อนให้ข้าพเจ้าเห็น ก็จะนำมาปรับแก้ เพราะสิ่งที่คิดว่าเราคิดดีทำดีแล้ว แต่มันยังไม่ดีที่สุด ถ้าเราบกพร่องจริงก็นำมาปรับ คนอื่นก็จะเกิดจิตอนุโมทนา....

หมั่นสำรวจตัวเราเองว่า มีข้อบกพร่องอะไร เราก็จะได้ไม่หลงตัวเราเองว่า เราดีพร้อมสมบูรณ์ เราก็จะไม่เป็นคนที่ไปว่ากล่าวให้ร้ายหรือถือสาคนอื่น แต่ถ้าเห็นข้อบกพร่องก็เข้าไปบอก ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและเมตตา ก็จะเป็นความรักความสามัคคี เข้าหลักสาราณียธรรม ๖ และ
เกิดสาธารณโภคี.... จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง สัมมาทิฏฐิจึงคือประธานของการพัฒนาตัวเราเอง

จิตวิญญาณเป็นประธานสรรพสิ่ง
จะหยุดนิ่ง เคลื่อนไหว หรือใส่ร้าย
จะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นเภทภัย
จิตสั่งได้ด้วยสัมมาทิฏฐิตรง.
...
- สมณะโพธิสิทธิ์ -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๖๐ พฤษภาคม ๒๕๔๖)