๘๘
นี่แหละตัวฉัน
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น
มีพ่อ-แม่พี่น้องรวมทั้งหมด
๑๑ ชีวิต ฉันเป็นลูกคนที่ ๗ มีพี่ชาย ๔ คน พี่สาว ๒ คน น้องชาย ๑ คน
และน้องสาวอีก ๑ คน แม่ฉันเป็นคนใจบุญ ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็เห็น
ท่านทำบุญ ใส่บาตรทุกวัน คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ฉันอายุได้ ๑๒ ปี ครอบครัวฉันมีฐานะปานกลาง
วัยเด็ก
พ่อ-แม่รักฉันมาก เพราะฉันเป็นเด็กฉลาด เรียนหนังสือเก่ง ไม่เคยทำให้พ่อ-แม่ต้องทุกข์ใจเลย
ฉันไม่เคย
รู้เลยว่า ความทุกข์เป็นเช่นไร เพราะชีวิตฉันวันๆหนึ่งตื่นขึ้นมาก็มีข้าวให้กิน
งานบ้าน ก็ไม่เคย ต้องทำ อะไรเลย เพราะมีพี่สาวรับหน้าที่ทำงานบ้านแทนแม่ทั้งหมด
ไปโรงเรียน คุณครูและเพื่อนๆ ก็รักฉัน ทุกคน เพราะฉันเรียนเก่งและเป็นนักกีฬาโรงเรียน
ชีวิตวันหนึ่งๆ ของฉัน จึงหมดไปกับ การเรียน และ การเล่น ฉันไม่เคยจะต้องมารับรู้หรือรับผิดชอบงานใดๆ
จนกระทั่งขึ้นชั้น
ม.๑ ฉันย้ายโรงเรียนมาเข้าที่ร.ร.ปากช่อง ชีวิตก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
ยังคงเป็น เด็กเรียนเก่ง และเป็นนักกีฬาโรงเรียน ฉันไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ผู้ปกครอง
ยังคงเป็นที่รัก ของอาจารย์ และ เพื่อนๆ ฉันเริ่มเรียนรู้การคบเพื่อน
ในชีวิตฉันมีเพื่อนสนิทเพียง ๓ คน ฉันเป็นคนที่เลือกคบ
เพื่อนมาก เพราะฉัน เป็นเด็กฉลาด จึงเลือกที่จะคบแต่กับคนดีๆ และเข้ากับฉันได้
ชีวิตดำเนินมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งอยู่ม.๕ ฉันเริ่มได้รู้จักกับสันติอโศก
จากการแนะนำของเพื่อน เพื่อนฉัน คนนี้ ทำให้ ชีวิตฉัน เริ่มเปลี่ยนแปลง
เธอมักจะชวนฉันไปฟังเทศน์สั่งสอนเป็นประจำ ฉันเริ่มได้รับหนังสือ แสงสูญ,
สารอโศก, ดอกหญ้า, น้ำใจ และอื่นๆ ที่พระท่านให้บ้าง เพื่อนเอามาให้บ้าง
ฉันชอบ อ่านหนังสือ พวกนี้มาก
ชีวิตฉันเริ่มเรียนรู้ถึงคุณค่าของชีวิตจากหนังสือของสันติอโศก
จนกระทั่งขึ้นชั้นม.๖ ฉันเริ่มได้รู้แล้วว่า แม่ฉัน มีหนี้สินมาก แต่ท่านก็ไม่เคยบอกอะไรแก่ฉัน
ฉันจะไปสอบไปเรียนต่อที่ไหน ท่านก็จะไป หากู้เงิน มาเก็บไว้ ให้ฉันได้ไปเรียนไปสอบ
ท่านไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว หวังเพียงอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ
ฉันก็เข้าใจท่านดี จึงได้พยายามไปหาสอบ จนติดเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ที่วิทยาลัยโคราช
ช่วงนั้นครอบครัวฉันเริ่มมีปัญหา
เมื่อก่อนที่บ้านฉันจะขายรองเท้า กระเป๋า เมื่อมีปัญหา เรื่องหนี้สิน
ก็เลย เปลี่ยนมา ขายข้าวแกง ชีวิตฉันช่วงนี้เริ่มตกต่ำมาก
จากคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยรับผิดชอบ สิ่งใดๆ ต้องมา แบกรับภาระ
หนี้สินทั้งหมด ต้องมาทำกับข้าวขาย ต้องมายืนคอยขายข้าวแกง
อยู่หน้าบ้าน ตี ๒ - ตี ๓ ก็ต้องรีบตื่นขึ้นมา ทำกับข้าวขาย ต้องปรับตัว
ปรับใจอย่างมาก ไม่เคยคิดเลยว่า ฉันจะต้อง มาทุกข์กาย ทุกข์ใจมากขนาดนี้
บางวันขายเสร็จ แทบไม่พอใช้หนี้ ฉันไม่รู้ว่า จะทำอย่างไรดี กลางคืนนอน
ก็นอน ไม่ค่อยหลับ คอยแต่จะสะดุ้งผวา อยู่เป็นประจำ เหมือนคนเป็นโรคประสาท
จากคนที่เคย เป็นคน ร่าเริง แจ่มใส กลับกลายมาเป็นคนไม่พูดไม่ยิ้ม
ชอบเก็บตัว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร
เหมือนกับเคราะห์กรรมซ้ำเติม
วันหนึ่งเจ้าของบ้านที่แม่ฉันเช่าอยู่มากว่า ๒๐ ปี มาบอกว่า จะขายบ้าน
ที่ฉันอยู่ ฉันยิ่งคิดมาก ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เพราะฉัน จะต้องตัดสินใจ
ครั้งใหญ่ ในชีวิตเลยว่า จะเลือก ครอบครัว หรือตัวเอง เพราะตอนนั้น
พวกพี่ๆ ก็มีครอบครัวกันแล้ว ฉันจึงเสมือน ผู้นำครอบครัว ถ้าฉัน เลือกเรียน
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตัวฉันเองก็สบาย ไม่ต้องมารับรู้ ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไร
ใครจะเป็น ยังไงก็ช่าง แต่ฉันก็หันกลับมาถามตัวเองว่า จะปล่อยให้แม่ฉัน
ต้องมาแบกรับภาระ และ ปัญหาต่างๆ คนเดียวไหวหรือ ท่านก็แก่แล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง
ด้วยเหตุนี้
ฉันจึงตัดสินใจสละสิทธิ์เรียนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อเลือกครอบครัว
แต่ความที่ฉัน รักการเรียนมาก จึงขอแม่ว่า ขอเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอนนั้น เงินก็ไม่มี พี่สะใภ้ เลยให้แหวนทอง ไปขาย ฉันจึงมีเงิน ไปลงทะเบียนเรียน
ชีวิตฉันมาเริ่มต้นใหม่ที่ชุมแพ
เริ่มมาทำแกงขายตลาดเช้า มาทำขายใหม่ๆ ก็ขายไม่ค่อยดี สู้เจ้าประจำ
เค้าไม่ได้ แต่ก็ใช้ความอดทน สู้ทำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มมีลูกค้าประจำ
แกงก็เริ่มขายดีขึ้นมาเรื่อยๆ ช่วงนี้ ฉันเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
แต่ฉันก็ต้องมาทุกข์ใจมากยิ่งกว่าเก่าอีก เพราะพี่-น้องเริ่มมีปัญหา
ฉันเริ่ม ถามตัวเองว่า ทำไมนะ ที่ผ่านมา ฉันยังทุกข์ไม่พออีกหรือ ฉันรู้สึกเหนื่อย
และท้อแท้มาก บางครั้ง อยากหนีปัญหา เหลือเกิน ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
ฉันรับไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้ว่า ทำไมฉัน ต้องมาทน แบกรับ ภาระ และปัญหาอะไรมากมายขนาดนี้
ฉันคิดมา กจนผอมลงไปมาก
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ฉันต้องไปสอบที่ ม.รามคำแหง จะให้ฉันสอบผ่านได้อย่างไร เรียนก็ไม่มีเวลาไปเรียน
จะไปสอบที สารพันปัญหา รุมเร้าใจ หนังสือก็ไม่ค่อยมีเวลาอ่าน จะไปสอบแต่ละที
ปัญหา และ อุปสรรค มากเหลือเกิน ฉันยังจะมีสมอง ไปจดจำอะไรได้ แต่ฉันก็ไป
เมื่อไปถึง ฉันไปขอพัก อยู่กับเพื่อน ซึ่งมีบ้าน อยู่หน้า พุทธสถานสันติอโศก
ณ ที่นี่เพื่อนพาฉันไปกราบพ่อท่าน
ฉันได้สมัครเป็นสมาชิกหนังสือ เพื่อขอรับหนังสือทางบ้าน ฉันได้เห็น
วัตรปฏิบัติ ของพ่อท่าน สมณะ ญาติธรรม และได้เห็นความจริง หลายๆ สิ่ง
หลายๆอย่าง ทำให้จิตใจฉัน เริ่มรับรู้ สิ่งใหม่ๆ ทำให้ฉันได้รู้ว่า
ชีวิตคืออะไร ฉันอยู่ที่นี่ ประมาณครึ่งเดือน จิตใจสงบขึ้นมาก ตั้งใจอ่าน
หนังสือ เพื่อไปสอบ แม้ว่าจะอ่านได้ไม่มาก แต่เมื่อได้เสียเวลา มาสอบแล้ว
ต้องทำให้ดีที่สุด นี่เป็น ความคิดของฉัน
ที่นี่ทำให้ฉันได้รู้ว่า
ฉันตัดสินใจไม่ผิดเลย ที่เลือกครอบครัว ฉันพร้อมแล้ว ที่จะกลับมาเผชิญ
กับปัญหา และ อุปสรรค ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ฉันกลับบ้านมาด้วยกำลังใจที่มุ่งมั่นและตั้งใจ
บอกตัวเองว่า ต่อแต่นี้ไป ฉันจะไม่กลัว ความลำบาก จะไม่คิดหนีปัญหาอีกต่อไปแล้ว
จะต้องกล้า ที่จะอยู่กับความจริง เพราะความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย
ฉันได้ประจักษ์ ถึงความจริงแล้วว่า คนเรานั้น เกิดมาแล้ว ต้องตายทุกคน
สิ่งที่จะคงเหลือไว้ อยู่ในโลกมนุษย์ก็คือ คุณงามความดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ
ฉันไม่รู้ว่า ฉันจะตายที่ไหน เมื่อไร เวลาใด
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเริ่มขอบคุณเบื้องบน
ที่ทดสอบฉันอย่างหนัก จนทำให้ฉันได้เห็นสัจธรรมที่แท้จริง ของชีวิต
ฉันจึงคิดว่า จะใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้คุ้มค่า ให้สมกับที่ฉันได้เกิดมาเป็นคน
ได้รับกายสังขารนี้มา ฉันอยาก จะบอก ให้ทุกคนได้รู้ว่า ทุกวันนี้ฉันภูมิใจในตัวเองมาก
ที่ได้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ จนสามารถ ฟันฝ่า ปัญหา และ อุปสรรคทั้งหลายมา
จนกระทั่ง สามารถยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ฉันสู้อดทน หนักเอาเบาสู้ ล้มแล้วรีบลุก ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย
คิดแต่ว่า ฉันจะทำ อย่างไร ให้แม่มีความสุขความสบายใจ จะทำอย่างไรให้พี่-น้องเป็นคนดี
มีอนาคตที่ดี ฉันเปรียบเสมือน
ผู้นำครอบครัว ฉันตระหนักในภาระหน้าที่นี้ดี จึงยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจ
ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้กระทั่ง ความสุข ของตัวเองเพื่อครอบครัว
ฉันคิดว่า เมื่อได้ทำภาระหน้าที่นี้สมบูรณ์แล้ว
ฉันยังมีงานรออยู่อีกมาก จะใช้กายสังขาร ความรู้ ความสามารถ ทั้งหมด
ทุ่มเทให้กับเพื่อนร่วมโลกให้ลุกขึ้นมาสู้ ตื่นขึ้นมาอยู่กับความจริง
ไม่มีใครหรอก ที่ไม่เคยทุกข์ ไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยท้อแท้ ไม่เคยสิ้นหวัง
มันสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อเราล้มลงแล้ว เราสามารถ ที่จะลุกขึ้น ได้เร็วแค่ไหน
และลุกขึ้นได้อย่างไร
ฉันขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังมีความทุกข์
ที่กำลังมีปัญหา ท่านลุกขึ้นมาเถอะ หนทาง ข้างหน้า ยังมีงาน ให้เราทำอีกมากนัก
ที่สุดของชีวิตก็คือความตาย ยังมีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือ!
-
ดุจดัง -
(สารอโศก
อันดับ ๒๖๐ พฤภาคม๒๕๔๖)
|