สิ่งใดที่ใจเข้าไปยึดมั่นแล้ว
ไม่ทุกข์เป็นไม่มี...
ชะตาชีวิตผกผันได้เสมอ วันนี้เราโชคดี
พรุ่งนี้อาจโชคร้าย วันนี้ได้เลื่อนตำแหน่ง วันข้างหน้าอาจโดนปลด เขาชมเราได้
เขาก็ด่าเราได้ วันนี้เรามีสุข พรุ่งนี้อาจมีทุกข์
อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา นี้เป็นกฎหลักของสรรพสิ่งทั่วสากล
ที่ปราชญ์เอกของโลกบัญญัติไว้ให้เราได้ศึกษา นำพาชีวิตให้พ้นวังวนแห่งทุกข์
เรียกว่า กฎไตรลักษณ์
อนิจจัง
คือ สภาพการเปลี่ยนแปรของสรรพสิ่งตามกาลเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
ไม่มีสิ่งใดคงมั่นถาวร ทั้งที่เป็นวัตถุและอารมณ์ความรู้สึกสุข-ทุกข์
จะหาความเที่ยงแท้ในสิ่งเหล่านี้มิได้
เพราะโลกนี้เป็นอนิจจัง
เราจึงมิอาจยึดมั่นสิ่งใด ๆให้เที่ยงแท้
วัตถุสมบัติอลังการ แก้วแหวนเงินทอง บ้านหลังหรู รถหลายคัน ฯลฯ อีกทั้งอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป..... เป็นสัจจะธรรมดาที่เราต้องเผชิญกันทุกคน
ทุกข์ คือ
สภาพของความยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรารถนาให้เกิดการเสื่อมสูญ อดทนข่มฝืน
เศร้าโศกาที่ต้องพลัดพรากจากของรัก และเมื่อความหวังมาพังทลาย
เพราะโลกนี้มีความเสื่อมสูญเป็นที่สุด
แม้เรายังต้องตาย ร่างเสื่อมสลายคืนสู่ธรรมชาติ สรรพสิ่งไม่มีสิ่งใดคงมั่นเป็นนิรันดร์
แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์สักวันก็ต้องดับสูญ สัจจะแห่งความยิ่งใหญ่สุดท้ายคือ
อนัตตา
สรรพสิ่งตั้งอยู่เพียงชั่วขณะ แล้วเสื่อมสูญ....หากดวงใจเราเข้ายึดสิ่งใด
หมายให้เที่ยงแท้มิแปรผัน เป็นของรักที่ไม่ต้องการพลัดพราก ทุกข์จึงเกิดขึ้นกับเรา
ชีวิตมีการพลัดพรากจากของรักเป็นธรรมดา ห่วงหวงปานใดสุดท้ายก็ต้องจากกันไป
กาลเวลาเป็นเสมือนพระเจ้าผู้ให้ และเป็นทั้งซาตานผู้ทำลายเช่นกัน
สักวันเราต้องสูญเสียสมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์
เสื่อมเสียชื่อเสียง สูญเสียคนรัก ฯลฯ และเสี้ยววินาทีสุดท้ายเมื่อลมหายใจขาดสะบั้น
ทุกอย่างก็เสื่อมสูญ คงเหลือแต่จิตวิญญาณ ตราบยังไม่เข้าถึงซึ่งอนัตตาระดับสูงสุด
อนัตตา
คือ การปลด...เปลื้อง...ปล่อย วางความยึดมั่นออกจากใจได้สิ้นเกลี้ยง
ดวงจิตไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ทั้งที่เป็นโลกวัตถุ โลกธรรม โลกอัตตา
หลุดแล้วซึ่งพันธนาการทั้งปวง อันเป็นกิเลสตัณหาอวิชชา รัก โลภ โกรธ
หลง เข้าถึงสัจจะวิชชาอันสูงสุด รู้ว่าดีควรกระทำให้ยิ่ง
รู้ว่าชั่วควรละให้ขาด และทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชนโดยมิหวังผลตอบแทน
เสียสละด้วยใจว่างอย่างมีปัญญา มีอนัตตาอันจริงแท้
แม้เราจะทำดีเลิศประเสริฐสุดเพียงใด
หากยังยึดดีว่าเป็นเราเป็นอัตตา ทุกข์ก็เป็นสิ่งที่เรามิอาจเลี่ยงพ้น
เสมือนเงาของเราเอง แม้อารมณ์สุขสงบเบาว่างสักปานใด หากใจยึดสภาพเช่นนั้นไว้เท่ากับเรายังไม่พ้นทุกข์
วางทุกข์ วางสุขเสียได้เป็นอนัตตา
เราจะเข้าถึงสุขสงบอย่างอุเบกขา
เป็นสภาพประเสริฐสุดของชีวิต ที่เราทุกคนควรไปให้ถึง แล้วจะพบความสุขอันแท้จริงของชีวิตที่ปลายทางแห่งนั้น...
(สารอโศก อันดับที่
๒๖๐ พฤษภาคม ๒๕๔๖)