บันทึกธรรม สัมมาสิกขา
อาทิตย์ที่ ๑๐ กันยายน
๒๕๔๓
"ทรัพย์แท้ๆของมนุษย์คือ......?"
ในวันนี้พ่อท่านได้มาพูดที่ศีรษะอโศกในหัวข้อ"แนวทางพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง"
ผมเห็นอากัปกิริยา อันสง่างาม องอาจ ในการแสดงธรรม ฉายาของพ่อท่านคือ
"ขวานจักตอก" ผมซาบซึ้งในคำสอน ซาบซึ้ง ในรสพระธรรม ดูและสังเกตพ่อท่านมีใบหน้าที่อบอุ่น
อิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม แจ่มใส และ พ่อท่าน ก็ได้พูดถึง.... "ทรัพย์แท้ๆ
ของมนุษย์" คือ
๑. สมรรถนะความสามารถ
๒. ความขยัน
๓. ความเสียสละ
เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องพยายามฝึกฝนตนเอง
ให้เป็นคนที่มีสมรรถนะให้มีความสามารถ ยิ่งมีมาก เท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น
ต่อจากนั้นต้องมีความขยัน ทำให้เต็มที่ มีความสามารถเท่าไหร่ สร้างสรรให้เต็มที่
อย่าขี้เกียจ เด็ดขาด
เมื่อเรามีความสามารถมาก
เราก็จะช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือสังคมได้มากเท่านั้น เมื่อเราขยัน
เราก็มีทรัพย์ สมบัติมาก ก็เราขยันสร้างมันขึ้นมานี่ มันจึงเกิดวัตถุขึ้นมา
แล้วจงเสียสละให้กับคนอื่น ให้กับสังคม นี่ต่างหาก ที่เรียกว่า ทรัพย์แท้ๆของมนุษย์
โจรก็ขโมยไม่ได้ ใครจะเอาอะไรมาล้างก็ไม่ออก
ผมเข้าใจด้วยปัญญา
ทำให้ผมเกิดจิตที่จะฝึกฝนตน ให้เป็นคนมีความสามารถ ให้เป็นคนมีสมรรถนะ
มากๆ ลดกิเลส ได้มากๆ ขัดเกลาตนให้มากๆ มันคงจะวิเศษมากนะ
ในเมื่อเรามีสมรรถนะ
จงขยัน! ขยัน! ขยัน! สร้างสรรให้เกิดประโยชน์ เกิดคุณค่าเกิดทรัพย์ขึ้นมา
แล้วก็ แจกจ่าย เสียสละให้กับคนอื่น โอ้! ทำไมมันน่ามี น่าเป็น น่าฝึกฝนเสียจริงๆ
เมื่อเรามีความสามารถ มีความขยัน และเสียสละ มันก็เป็นบุญ เป็นกุศลแก่ตัวเราจริงๆ
เป็นบุญ! เป็นบุญ! เป็นบุญ! ใครขโมย ก็ไม่ได้ เป็นกรรมของเราจริงๆ
แล้วบุญกรรมอันนี้ ความเสียสละอันนี้ จะติดข้ามภพ ข้ามชาติ ทุกๆชาติไป
อังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๓
"บอกตนเองไว้เสมอว่าฝึกตนต้องเอาจริง"
คำพูดประโยคนี้ผมพูดเตือนตัวเองทุกวัน โดยเฉพาะเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
กิเลสมันขึ้น ผมก็จะบอกตัวเอง เสมอว่า "ฝึกตนต้องเอาจริง"
แต่เอาจริงในที่นี้มิใช่ดุ่ยๆลุยๆโง่ๆไป มันต้องควบคุมอารมณ์ ควบคู่ปัญญา
มีการพิจารณา ที่ละเอียดลออ
ตามจิต-ตัวจิตตัวนี้สำคัญมาก
อย่าปล่อยให้จิตล่องลอยฟุ้งซ่าน เตลิดขึ้น เตลิดลง ราคะคือไฟนรก อันร้อน
ซึ่งใคร เอามาสุมในจิตใจ มันก็จะมีแต่ร้อนกับร้อน และร้อน เผาไหม้ตัวเองให้ทุกข์ทรมาน
ฉะนั้น ผู้ที่มี ปัญญา มิควรเข้าไปคลุกคลี แต่ต้องเหมือนที่มือของเราไปโดนไฟ
แล้วรีบกระตุกคืนทันที
สักกายะ(ตัวตนใหญ่)ของผมคือ
ราคะ โทสะ ถีนมิทธะ เรื่องราคะผมต้องสู้กับกิเลสอย่างหนัก เพราะที่แล้วมา
ผมปล่อยให้กิเลสมันพอกพูนหนาเตอะ ก็พึ่งจะมีปัญญาก็ตอนนี้แหละครับ
ก็ฝืน ก็ข่ม ก็กดเก็บ สู้กับกิเลสชนิดเอาจริง เอาใจสู้ใจ เอาจิตสู้จิต
ความดำริต้องระวังให้มาก
ให้หนัก เพราะไอ้ตัวนี้แหละที่พาเราลงนรกอเวจี ฉะนั้นอันดับแรก เราต้องฆ่า
ความคิด ลามก ออกจากจิตให้ได้ ต้องตามรู้กิเลสว่าเป็นเช่นไร มีสติคุม
จับจิตตลอด จึงทำให้ผมรู้ว่า เออ! ตอนนี้ กิเลสกำลังผุดขึ้นนะ อย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นสิ
ต้องฆ่ามัน!!! ที่สำคัญตามจิตของตัวเองให้ทัน มิฉะนั้น ก็จะแพ้กิเลสตลอดไป
ฆ่าความดำริลามก ออกไปจากจิตเรา
พุธที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๓
"เห็ดฟางเพื่อนรัก"
เมื่อวานผมได้เดินทางมาที่บ้านราชฯ เพื่อมาศึกษาการทำเห็ดฟางแบบโรงเรือน
กับหลวงพ่อ พันเมือง ภทันโต ก็ได้รับการต้อนรับ จากพี่น้องชาวบ้านราชฯ
เป็นอย่างดี งานนี้ผมตั้งใจเต็มที่ เพื่อมาเจาะ รายละเอียด ทุกอย่าง
ในการทำเห็ดฟางแบบโรงเรือน และคิดว่า จะอยู่นานพอสมควร
ผมพึ่งมาอยู่ได้แค่
๒ วันก็รู้สึกปวดเมื่อย มีอาการไข้ขึ้น ตัวร้อน คิดว่าเป็นเพราะอากาศที่เปลี่ยนไป
เปลี่ยนมา เดี๋ยวก็แดด เดี๋ยวก็ฝน ร้อนๆหนาวๆ
ตามจิต-วันนี้ไม่สำรวมอินทรีย์เลย
ดำริกามอยู่เรื่อยๆ โดนกิเลสมันจูงจมูกให้ไปกับราคะ เหมือนจูงควาย
ไปกินหญ้าอ่อนๆ อร่อยๆ ควายมันก็วิ่งไปสิ เพราะมันชอบนี่ ผมก็เช่นกัน
ยังมีความยินดี ในกามารมณ์ อย่างปุถุชนธรรมดา ซึ่งผมต้องตามจิต ตามกิเลสให้ได้
ให้ทัน แล้วจับมันให้อยู่ มีหลายครั้ง ที่จับได้ พยายามฆ่า แต่ก็ฆ่าไม่ได้
ไม่เป็นไร พยายามเข้าไปอีก เอาจริงเข้าไป
ศุกร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๓
"ลุยงาน"
เมื่อวานเอารถตู้ตี้ไปขนเห็ดที่ศีรษะอโศกได้กลับวัดอีกครั้ง ได้เห็นพี่ๆน้องๆรู้สึกอบอุ่นใจ
บางคน เขาก็แซว ผมว่า คนบ้านราชฯมาแล้ว
อยู่บ้านราชฯก็สุขทั้งกายและใจ
มีอาการเจ็บคอเป็นไข้ก็หลายครั้ง ผมสู้งานหนักพอสมควร อาการล่อแล่
ทำงาน ทั้งวันครับ มีเวลาพักก็เที่ยงแค่กินข้าวเช้า (ช่วงเข้าพรรษาผมตั้งตบะกินข้าวมื้อเดียว)
ตื่น ๖ โมงเช้า
กินข้าว ๑๐.๓๐ น. จากนั้นก็ทำงานตลอด ลุยแดด ลุยฝน ไม่ถอย ไม่กลัว
ลุยตลอด ทั้งวัน แดดแรงลุย! ตากฝนลุย! ตัวดำ หน้าแดง ก็สู้ครับ
อังคารที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๓
"สำรวมอินทรีย์"
งานดูแลเห็ดฟางเป็นงานที่มีรายละเอียดพอสมควร และต้องดูแลเอาใจใส่ให้มาก
ช่วงนี้ใกล้เทศกาลกินเจ
กิจวัตรในแต่ละวันตื่นตี ๔.๓๐ น. เก็บเห็ด แล้วก็รดน้ำเห็ดทั้งข้างในโรง
และ นอกโรง จนถึง ๑๑.๐๐-๑๒.๐๐ น. จึงได้ทานข้าวเช้า บ่าย ๑๔.๐๐-๑๕.๐๐
น. ก็รดน้ำ เพื่อปรับ อุณหภูมิ อีกครั้ง เห็ดต้องการอุณหภูมิประมาณ
๓๒-๓๕ องศา ถ้าเกิน ๓๕ องศา ต้องรีบรดน้ำปรับความร้อน เพราะถ้าร้อนเกินไป
ดอกเห็ดจะฝ่อหมด
ทำทั้งหมด ๖ โรง
เห็ดก็ออกพอใช้ได้ องค์ประกอบไม่พร้อมหลายอย่าง หมักปุ๋ยก็ไม่เปียก
ลืมใส่ปูนขาว จึงทำให้มีตัวไรเยอะแยะ ทำงานทั้งวัน ตากแดดจนตัวดำ แต่ก็สุขใจครับ
ขณะที่ทำงาน ผมก็พยายามควบคุมกิเลสราคะ
โทสะต่างๆ แต่ก็ทำได้น้อย คือรู้เท่าทัน แต่ฆ่าไม่ได้ ตัดไม่ขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิเลสกาม
พอดำริขึ้นมาฆ่าได้ยากจริงๆ ผมพยายามไม่ดำริ แต่มันก็แพ้ใจตัวเองทุกที
เพราะมันยังโมหะ คิดว่ามันเป็นอารมณ์ที่วิเศษ สงสัยเหลือเกินไอ้ของพันธุ์นี้มันไม่เข้าท่าเลยครับ
พยายามที่จะตัด ฆ่า ถีบ เตะมันออกจากจิตใจ มันก็ยังเสียดายอารมณ์นี้อยู่
ไอ้อารมณ์ตัวนี้แหละที่ทำให้เราตกต่ำย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน มันช่างร้ายจริงๆไอ้กิเลส!
ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ ต้องสำรวมเอาไว้ เพราะกิเลสมันเข้ามาทางนี้แหละ ไอ้ตัวกิเลสมันร้ายสุดๆ
พอได้ เผาไหม้ใคร ตายเรียบ ผมก็เช่นกันที่ตกเป็นทาสกิเลส มันเหยียบย่ำผมแทบโงหัวไม่ขึ้น
มันเจ็บลึกๆ ในหัวใจ กิเลสมันเดือดมันร้อน
ฉะนั้นผู้มีปัญญาไม่พึงเข้าใกล้เลย
สำรวมอินทรีย์เข้าไว้เถิด
พุธที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๓
"นั่งอมยิ้ม"
กิเลสคือไฟนรกที่คอยแผดเผาจิตใจของเราให้ทุกข์โศก ผู้ที่มีปัญญาพึงเอาน้ำสวรรค์ราดรดไฟนั้นให้มอดเสีย
น้ำสวรรค์ก็คือศีลของเรา ศีลจะนำสุขมาให้ถ้าเราปฏิบัติได้จริง มีมรรคผลจริง
ลดละกิเลสได้จริงๆจิตใจจะสงบ ร่มเย็น ไม่เดือด ไม่ร้อน ไม่ทุกข์ สบายๆ
แต่กิเลสนั้นใช่ฆ่ากันได้ง่ายๆ
แต่ก็สามารถลดละได้จริง ผมก็เชื่อเช่นนั้นครับ ผมจึงพยายามที่จะลดละกิเลส
ตามจับ ตามขุด ตามขัด ตามเกลา ตามเตะ ตามถีบ ตามตบ ตามขยี้กิเลสของตนเอง
คอยตามจิตของตัวเองอยู่ตลอด แพ้บ้าง ชนะบ้าง เศร้าบ้าง โศกบ้าง ทุกข์บ้าง
แต่ก็มีบางครั้งที่สุขใจ นั่งยิ้มกับตัวเอง เพราะเราสามารถตามจับกิเลสได้ทันและ
รู้ทัน ฆ่ามันได้ทัน เราจะสุขนั่งยิ้มอย่างสบายใจ มันเป็นความสุขที่ยิ่งกว่าสุขมันเป็นรสที่อร่อยเหนือรสใดๆในโลกนี้
รสพระธรรมช่างสุขใจยิ่ง ฉะนั้นเราต้องลดกิเลสให้ได้มากๆนะ
พฤหัสที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๓
"ระวังขาดทุน"
ผมรู้สึกสนุกกับงานที่ทำอยู่แต่ก็รู้สึกเหนื่อยในบางครั้ง เพราะทำงานตลอดทั้งวัน
ตื่นขึ้นมาตี ๔ ถึงตี ๕ เก็บเห็ด รดน้ำเห็ด รดน้ำผัก กว่าจะได้ทานข้าวเช้าก็
๑๐.๐๐-๑๑.๐๐ น. กินข้าวเช้าเสร็จไม่ได้พัก ก็ลุยงาน ต่ออีก มีงานทำจนล้นมือ
ทำไม่ทัน ตากแดดจนหน้าดำ แขนดำ ใจไม่ดำ แต่ก็เกือบดำ เกือบไหม้ ไปหลายที
การทำงานย่อมมีอุปสรรค
มีผัสสะเบาบ้าง แรงบ้าง ผมพยายามบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า เวลาทำงาน
อย่าลืม ดูกิเลสไปด้วย เพราะเราอาจจะหงุดหงิดหรือไม่พอใจกับคนรอบข้าง
จึงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้จิตใจ เศร้าหมอง ฉะนั้นจงระวัง เพราะบางคนมุ่งแต่งาน!
งาน! และก็งาน! จนลืมลดละกิเลส ถึงงานจะได้มาก มีประสิทธิภาพ มีรายได้เป็นแสนเป็นล้าน
แต่ถ้าไม่ลดละกิเลสก็เท่ากับขาดทุน ประเมินค่าไม่ได้ ระวัง จะขาดทุนเด้อ!
ผมเตือนตนเองครับ
ศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๓
"ยิ้มขจัดทุกข์"
โทสะคือไฟเผาตัวเองทำให้ร้อนอกร้อนใจหน้าบูดเหมือน....เพราะกิเลสพาไปลงไฟนรก
หงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจก็ไม่พอใจ ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ นี่แหละคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมมันก็จะทุกข์บวกทุกข์คูณทุกข์ยกกำลังทุกข์ไม่รู้จบ
จิตใจก็หนักอึ้งเหมือนเอาก้อนหินใหญ่มาทับ มันไม่สบายเลย ถ้าเป็นอย่างนี้จิตใจก็ร้อนเร่า
เพราะไปติดไปยึดมากเกินไป ก็จะยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ไม่อยากพูดไม่อยากเห็นหน้าใคร
เพราะเห็นแล้วมันเหม็นไปหมด จึงลงภู ปิดถ้ำขังตัวเอง ลงภพใต้ดินชั้นพิภพบาดาลไปเลย
จิตใจก็ห่อเหี่ยวอย่างนี้ทุกข์ใจตาย
ทั้งๆที่ผมก็รู้
อ่านอารมณ์ตนเองออก แต่ก็ยังปล่อยกิเลสโทสะเผาไหม้ตัวเอง เพราะไปติดยึด
อยากให้ได้ ดั่งใจ แต่มันก็ไม่ได้ มันจึงทุกข์ ผมจึงรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ใหม่
ยิ้มให้กับตัวเอง แล้วบอก กับตัวเองว่า "ปฏิบัติธรรมหน่อย"
ฆ่ากิเลสให้ตายซะ แล้วเราจะสุข โล่ง สงบ เย็นใจ ไม่เดือดไม่ร้อนใจ
พุธที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๓
"อย่าหลงราคะ"
แย่จริงๆ ไม่สำรวมอินทรีย์จึงปล่อยให้กิเลสครอบงำจิตใจ พาลทำให้เศร้าหมอง
ทุกข์ขุ่นมัว เพราะโง่ หลงราคะ ว่ามันดี มันมีรสอร่อย จึงโดนจูงจมูกลงนรกแห่งความเร่าร้อน
ย้อนคิดดูอาทิตย์นี้ผมโง่จริงๆ
ที่ตามจิต ตามกิเลสของตัวเองไม่ทัน ปล่อยให้กิเลสพาไปเปื้อน เพราะตามจิต
ไม่ทัน จับไม่ทัน ไล่ไม่ทัน จึงโดนมันจูงจมูกลงกองขี้ รู้สึกเจ็บใจจริงๆที่เสียรู้มัน
รู้สึกว่า ตัวเองอ่อนแอ ที่แพ้ใจตัวเอง แพ้กิเลสตัวเอง จึงทำให้จิตใจหม่นหมอง
ขุ่นมัว มืดมน
แต่ตอนนี้ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
พยายามควบคุมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว และสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง
เพื่อที่จะมีกำลัง สู้กับกิเลส ผมได้ทบทวนและตอกย้ำบอกกับตัวเองว่า
การฝึกตน ต้องเอาจริงนั้น ถูกต้องแล้ว และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย
ผมจะพยายามมีสติตามให้ทันกิเลสแล้วฆ่ามัน
พฤหัสที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๓
"ไม่ดีตัด ไม่ดีตัดๆๆ"
การลดละกิเลสถ้าไม่เอาจริงกับจิตใจของตัวเอง ก็จะไม่มีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้
ฉะนั้นการเอาชนะจิตใจที่ชั่วร้าย หรือที่เราเรียกว่ากิเลส จึงเอาชนะได้ยากมากๆ
แต่ถ้าเราสามารถ มีสติ ตามรู้ เท่าทันกิเลส และมีปัญญาคอยพิจารณาว่า
จิตใจในขณะนี้มีอาการอย่างไร รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำ ต้องอ่านมันให้ออกและให้ทันว่ากิเลสของเรามันมีอาการเช่นไร
เมื่อมีสติ ควบคู่กับปัญญารู้ว่า นี่คือ กิเลส ไม่ดีต้องตัดๆตัดๆ สิ่งไหนที่ดีรีบขวนขวายทำ
สิ่งไหนไม่ดีตัดๆ ต้องมีปัญญา ให้ชัดว่า นี่คือ กิเลส คือความชั่ว
คือความไม่ดี คือขี้ คือทุกข์
หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่ก็ลดละไม่ได้ซักที
มีบางคราที่เอาจริงก็สามารถตัดได้จริง ผมจึงได้ข้อสรุป ที่เป็นสัจธรรมว่า
การลด ละ กิเลส นอกจากเอาจริงแล้วต้องมีเจโต และปัญญาด้วย
ศุกร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๓
"ตื่น!ตื่น!ตื่น!"
จงมีปัญญารู้เท่าทันกิเลส อย่าให้มันมาครอบงำจิตใจของเรา เพราะทำให้เราทุกข์
หน้าตาก็เศร้าหมอง จิตใจ ก็หม่นหมอง หนักอึ้ง และเร่าร้อน ซึ่งอาการเหล่านี้ตัวผมเองทรมานเหลือเกิน
มันเป็นสภาพ ที่ทรมาน ที่สุด ผมจึงไม่อยากที่จะอยู่ในวังวนเช่นนี้เลย
มันทุกข์จริงๆครับ
เพราะการที่จะตื่นคือมีปัญญารู้เท่าทันกิเลสนั้นแสนยาก
และจะรักษาความต่อเนื่องยิ่งยากมากๆ แต่จะให้กิเลส จูงจมูกนั้น ก็แสนทุกข์
แสนทรมาน ครั้นจะตัดก็โอ๋กิเลสอีก ช่างโง่จริงๆ เมื่อเลือกจะเอา รสพระธรรม
ก็ต้องกล้าตัด ฝืนบ้าง กดบ้าง ข่มบ้าง แม้ต้องทรมานใจตนเอง อันคือทรมานกิเลส
ก็ต้องอดทน แล้วจะมีจิตใจที่ตื่นจากกิเลส เบิกบานตลอดเวลา ผมต้องฝึกตนให้มากขึ้นกว่านี้ครับ
เพื่อเข้าถึง ความเป็นพุทธะให้มากที่สุด รู้ ตื่น เบิกบาน ให้นานที่สุด
ให้ถึงที่สุด คือความหลุดพ้นครับ แม้เป็นแค่ ความฝัน ผมก็ตั้งใจฝันเช่นนั้นครับ
ถ้าผมยังพากเพียรอยู่ สักชาติหนึ่งฝันนั้นคงเป็นจริง
-
ศราวุธ เครือบุตร -
นักเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก ชั้นม. ๖
สารอโศก อันดับ ๒๖๑
มิถุนายน ๒๕๔๖