พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ
ศาลาดุสิตาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่
๑๑ ส.ค. ๒๕๔๖
.....เมื่อตุลาคมปีที่แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสได้รับเชิญไปที่สหรัฐอเมริกา
และประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปรับ รางวัลที่สหรัฐอเมริกาด้านมนุษยธรรม
ที่ฝรั่งเศสในด้านในฐานะ ที่เป็นผู้สนับสนุน ดูแล พิทักษ์รักษา ศิลปะต่างๆของประเทศไทย
แล้วก็ของโลกให้ดำรงอยู่กับโลก ซึ่งข้าพเจ้า ภาคภูมิใจ มากที่สุด
แล้วก่อน จะไป บังเอิญเรือใบทองคำที่เป็นฝีมือของชาวศิลปาชีพสำเร็จมา
ข้าพเจ้าก็อดไม่ได้ ในความปลื้มปีตินี้ เพราะว่าเป็นฝีมือของเด็กๆที่ยากจน
๗๓ คน สมาชิกของมูลนิธิส่งเสริม ศิลปาชีพ สร้างขึ้น เป็นการแสดง
ฝีมือ การทำทองคำทุกๆชนิด.... การสลักเอาเส้นทองคำลงไปในเหล็ก แล้วก็มีการลงยา
แล้วก็ถมทอง ฝีมือต่างๆ ที่เกี่ยวกับ การทำทองคำเรือใบลำนี้ เป็นเรือใบ
ในรูปแบบของเรือใบ สมัยโบราณในเรื่อง พระมหาชนก
เมื่อมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพทำเสร็จขึ้นมา ก่อนที่ข้าพเจ้าต้องไปต่างประเทศเพียงวันเดียว....
ไปที่สหรัฐ อเมริกา ก็เอาไปตั้งแสดงไว้ตลอดวันที่เชิญเลี้ยงตอบของผู้ที่เลี้ยงดูข้าพเจ้า
เพื่อนชาวอเมริกัน ทั้งหลายทุกคนก็ตะลึงงันกันทั้งนั้น ฝีมือทำทองต่างๆเขาก็บอกว่า
ฝีมือ คนที่ทำเนี่ย จบจากมหาวิทยาลัย ทางด้านศิลปะหรือเปล่า ข้าพเจ้าบอกว่าเปล่าเลย
เป็นลูก ชาวนา ชาวไร่ที่ยากจน เขาบอกว่าอะไรกัน ลูกชาวนาหรือทำอย่างนี้ได้
เพราะสวยเสียเหลือเกิน สวยระดับโลก สวยมาก ข้าพเจ้าบอก เป็นลูกชาวนา
ชาวไร่จริงๆ สิ่งนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้า
ภาคภูมิใจ ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้เกิดมาในบวรพุทธศาสนา และก็ได้เกิดมา
อยู่ในตำแหน่ง ที่จะรับใช้ชาติบ้านเมือง รับใช้ประชาชนคนไทยทั้งหลาย
อย่างน้อย ให้เขาได้รับ ความสุขโดยทั่วไป
ข้าพเจ้าเองได้ไปเห็นชาวบ้านต่างๆ
แล้วก็เห็นว่าเขาทำงานหนักมาก แต่ก็ไม่เคยทราบเลยว่า คนไทยเนี่ย สามารถจะเป็นศิลปินแห่งชาติได้
จนกระทั่งศิลปาชีพเจริญขึ้นมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะลูกหลาน ของชาวไร่
ชาวนา ได้บอกชาวต่างประเทศ ไม่มีนักเรียนมหาวิทยาลัย
ทางศิลปะ ทางอะไรเลย เนี่ยคือชาวบ้านจริงๆ เขาไม่อยากจะเชื่อ
บอกสวยเหลือเกิน มายืนดู โอโห!ใหญ่ เบียดกันแน่นเลย ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่า
อันนี้เป็น ความสำเร็จ อย่างใหญ่หลวง ของมูลนิธิ ส่งเสริมศิลปาชีพ....
แล้วก็ข้าพเจ้าซาบซึ้งในท่านนายก-รัฐมนตรีและคณะรัฐบาล
ที่ได้สนับสนุน มูลนิธิส่งเสริม ศิลปาชีพ มาตลอด ก็เท่ากับให้ชีวิต
ให้โอกาสแก่คนไทยเป็นจำนวนมาก ได้มีโอกาส แสดงความสามารถ ของเขา ให้แก่ประเทศชาติ
เป็นกำลังของประเทศชาติ....
บัดนี้ท่านก็ได้เห็นฝีมือของเพื่อนคนไทยเราด้วยกัน
ศิลปาชีพขณะนี้มีสมาชิกทั่วประเทศ ประมาณ แสนห้าหมื่นกว่าคน......
เวลาที่ไปทางภาคเหนือ ก็พวกที่มาขอความช่วยเหลือก็คือ
ชาวเขาเผ่าต่างๆ เขาบอกว่า เขานี่ ไม่อยาก ปลูกฝิ่น แต่ขอให้พ่อหลวงแม่หลวงคิดหาทางทำมาหากินให้เขาหน่อยเถอะ
เพราะว่า เกิดมาพ่อแม่เขา ก็ปลูกแต่ฝิ่น เขาก็ไม่รู้จะทำอะไร
เมื่อหยุดปลูกฝิ่นแล้ว ก็ไม่รู้ จะหากิน อย่างไร....
ข้าพเจ้าก็เลยสัญญากับเขาว่า ตกลงจะลองพยายามหาฟื้นฟูอาชีพต่างๆให้เขา
ถ้าเผื่อเขา สัญญาว่า จะเลิก ปลูกฝิ่นก็ช่วยเขา ตกลงก็ช่วยกันคิด ก็คิดว่าจะทำเกี่ยวกับอาหาร
ก็อ่าน ตามไทม์ ตามนิวส์วีค แล้วก็ ฟาร์อิสเทิร์น อีโคโนมิคฯ เขาก็เป็นห่วงกันว่า
คนในโลกเกิดมา แต่ว่าการผลิตอาหารนี่ มันยังไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น
ช่วยกันผลิตอาหาร คล้ายๆทำ ธนาคารอาหาร ขึ้นในประเทศไทย ที่ทำได้ก็ให้ทำขึ้น
ข้าพเจ้าก็เลยไปกราบบังคมทูลปรึกษา
ก็ไปซื้อที่ต่างๆทำโครงการฟาร์มตัวอย่างถึง ๘ แห่ง ตอนนี้ ๘
แห่ง ทั่วประเทศไทย อย่างบนเขาก็ซื้อฟาร์มตัวอย่าง แล้วก็เลี้ยงอะไรสารพัดต่างๆ
แล้วก็จ้าง ชาวเขาทุกเผ่า จ้างชาวบ้าน มาทำงานในโครงการฟาร์มตัวอย่าง....
อย่างที่สองก็คือ ต้องการให้ทุกๆคนที่ข้าพเจ้าพบปะ
ได้มีอาชีพ ได้มีทางทำมาหากิน คือรับเขา เข้ามา และ ก็จ่ายเงินให้เขาเป็นลูกจ้างในฟาร์มตัวอย่าง
ในเวลาเดียวกันเขาก็เห็นวิธีเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงแกะ เลี้ยงอะไร
ทั้งหลายแหล่ ชาวบ้านก็ได้เห็น แล้วก็ได้เงินทุกวัน เพราะได้ ค่าจ้าง
ทุกวัน ข้าพเจ้าก็บอกว่า ต้องการ คนงานมากๆ เพราะเพื่อให้ชาวเขาเหล่านี้ได้มีงานทำ
ได้เลิก ปลูกฝิ่นเด็ดขาด มาทำงาน ในฟาร์มตัวอย่าง....
ชาวบ้านเขาเห็นข้าพเจ้าเป็นพระราชินี
เขาก็ไม่มีอะไรปกปิด เขาก็มาเล่าว่า แหมฉันนี่นะ บุกป่า หมายถึง ป่าสงวน
บุกป่าเข้าไป เดี๋ยวนี้มีที่ดิน ๕๐ ไร่ แต่บุกป่า ฉันก็ดูในประวัติของเขา
ข้าพเจ้า ดูในประวัติ เห็นเขา ทำไร่ทำนาเพียง
๕ ไร่ แต่เขามี ๕๐ ไร่ เขาบอกเขาบุกเข้าไปได้ ๕๐ ไร่ แต่เขาทำได้ ๕
ไร่ ก็ถามบอกว่า อ้าว! บุกเข้าไปตั้ง ๕๐ ไร่ ทำไมทำแค่ ๕ ไร่
เขาบอกมัน ไม่มีน้ำสิคุณแม่ มันไม่มีน้ำ ถึงได้ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่
๕ ไร่ ข้าพเจ้าก็เลคเชอร์ไป บอกว่า เนี่ยขืนบุกป่า ต่อไปมากๆ น้ำก็จะน้อยเข้าๆ
ทำอะไรไม่ได้เลย เข้าใจไหม ยิ่งบุกป่า ทำลายป่า
เข้าไปเท่าไรนี่ น้ำใต้ดินน้ำฝนอะไรก็จะลดน้อยลงไป ข้าพเจ้าดุเขา
เขาก็บอก อ้าว! ไม่รู้นี่คุณแม่ ไม่รู้ว่า มันเป็นอย่างนั้นนี่ เขาอยากได้ที่เขาก็บุกป่า
เขาสารภาพมาเล่าให้ฟังอย่างเบิกบาน
บอกว่าทีหลังให้รู้ไว้นะว่า การที่ทางการเขา สงวนป่า เอาไว้ ก็เพื่อ
ความสมดุลของธรรมชาติ เพราะว่าทุกๆครั้งที่มีพายุมีฝนอะไรมาเนี่ย
ต้นไม้ต่างๆ ก็จะดูดน้ำ เข้าไว้ที่ลำต้น และก็ใต้ดิน แล้วก็จะกลายเป็นน้ำบาดาล
เป็นประโยชน์แก่ พวกเราเอง นี่ถ้าเผื่อเรา ตัดป่าเพื่อจะเอาที่ดิน
และนี่ก็ข้อพิสูจน์ตัดป่า ๕๐ ไร่ แต่ว่าไม่มีน้ำ ทำได้แค่ ๕ ไร่ ก็มีแค่
๕ ไร่นี่เอง เขาก็บอก อ้อ! ถ้าพูดอย่างนี้ ก็เข้าใจสิคุณแม่ ไม่ได้บอกอะไรนี่
ก็นึก เอ๊ะ! เรายากจน เราบุกก็บุกให้มันเยอะๆไปเลย ชาวบ้านเขาก็ซื่อๆ
น่ารัก ก็บอกเขา ทีนี้ เขาก็เลยฟิตกัน มีเป็นสมาชิกรักษาพันธุ์ไม้ทั้งป่าชายเลน
ทั้งป่าต่างๆ ชาวบ้าน ตั้งขึ้นเอง เข้มแข็งมาก เขาก็ช่วยกันตรวจ ช่วยกันดูแล
เพราะเขาทราบแล้วว่าป่าเนี่ยคือแหล่งน้ำ....
อย่างลาวนี่พยายามรักษาป่าไว้ เพราะว่าห่วงเรื่องน้ำใต้ดิน
และก็ฝนฟ้าที่จะตก ต้องตาม ฤดูกาล ก็พยายาม รักษาป่า และคนไทยก็ยังข้ามไปที่ฝั่งลาว
จะไปตัดป่าลาวอีก
อันนี้คนสำคัญลาวเขาฟ้องข้าพเจ้า
บอกทำไมดอกเตอร์ต่างๆไม่อธิบายให้คนเขาทราบ
ว่าป่านี่ มันสำคัญ อย่างไร ข้าพเจ้าบอกเขาก็คงอธิบายแล้ว แต่ว่าที่จะให้ประชากรจำนวนมาก
เข้าใจหมด ต้องใช้เวลาหน่อย ก็อธิบาย ให้ท่านฟัง เป็นภริยาประธานาธิบดีถามเอง
บอกคนไทย นี่แปลก นึกว่าแหมการศึกษาสูง โค่นป่า
ของตัวเสียเตียนหมดเลย....
(จาก น.ส.พ.เดลินิวส์ วันพุธที่
๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๖ หน้า ๓๔)
(สารอโศก
อันดับทื่ ๒๖๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖)
|