ครูเป็นอาชีพที่จะต้องเสียสละทั้งแรงกายแรงใจอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าชีวิตจะสิ้นสุด.......
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีอาชีพเป็นครู
สอนอยู่ที่โรงเรียนมหิศราธิบดี จังหวัดนครราชสีมา
ดิฉันไม่เคยคิดหรอกว่า ชีวิตจะต้อง มาเป็นอยู่อย่างนี้ แต่ว่า...ดิฉันชอบ
ชอบการเป็นนักบวช แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นอย่างนี้
สมัยก่อนโน้น ที่ดิฉันสอนอยู่ที่นครราชสีมา
ได้มีโอกาสพบชาวอโศกไปทําบุญที่ป่าช้าจีน ได้ฟังเทศน์ และ ได้หนังสือ
มาหนึ่งเล่ม ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยได้อ่านหนังสือที่แทงใจได้ขนาดนี้เลย
นั่นคือหนังสือแสงสูญ และ
สัจจะแห่งชีวิต
ดิฉันจึงพยายามอ่านทีละนิดทีละนิดเกรงว่ามันจะจบเร็ว
ดิฉันเริ่มปฏิบัติตาม อย่างที่ชาวอโศกสอน คือเริ่มต้น ด้วยการทานอาหาร
ที่ปราศจากชีวิต และเลือดเนื้อ ของเพื่อนร่วมโลก นั่นคือ อาหารมังสวิรัติ
มันง่าย สําหรับดิฉัน ในการเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะใฝ่ในทิศทางนี้อยู่แล้ว
เพียงแค่ดิฉันละเนื้อสัตว์ การปฏิบัติอย่างอื่นๆจึงง่ายขึ้น
เริ่มปฏิบัติเคร่งครัด เรื่องของการแต่งตัว เสื้อผ้า สวยๆ ที่เราชอบ
เราหลง เราติด เรายึด ก็เริ่มที่จะให้คนอื่นไป หันมาแต่งตัวเป็นแบบไทยแท้
คือใส่ผ้าถุง ใส่เสื้อ สีหมองๆ ไม่ฉูดฉาด
ชีวิตของดิฉันเหมือนมีแสงสว่างที่ดิฉันจะต้องเดินตามแสงสว่างนั้น....ดิฉันเป็นคนบ้างาน
ปิดเทอม เปิดเทอม ดิฉันก็ยังทํางานตามปกติ ๒ ขั้น ๓ ขั้น ดิฉันไม่รู้จัก
รู้จักอย่างเดียว คือทํางานที่รับผิดชอบ ให้เต็มที่ เกินเวลา
พอมีโครงการปฐมอโศกเกิดขึ้นที่พุทธสถานปฐมอโศก
ดิฉันจึงทําเรื่องขอย้าย ไปสอนที่ จังหวัดนครปฐม และ ไปปลูกบ้านใน
โครงการปฐมอโศก (ปัจจุบันคือชุมชนปฐมอโศก) ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ
แต่เพื่อนๆหนีหายไปหมด เหลือดิฉัน คนเดียว........
อยู่ในโครงการก็เทียวไปเทียวมา ไปสอนหนังสือในตัวจังหวัดนครปฐม
พอวันหยุด ก็ช่วยงานทางปฐมอโศก ทําอยู่เช่นนี้ เป็นเวลา ๔ ปี จึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู
เพราะจากการปฏิบัติตามแนวทางของชาวอโศก ทําให้หายสงสัยแล้วว่า
ชีวิตนี้ไม่มีอะไร ที่จะต้องแสวงหา วัตถุข้าวของอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ควรแสวงหา
คือ ธรรมะ เพื่อเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตัวเรา
พอลาออกรู้สึกภูมิใจมากๆเลย เพราะชีวิตจะเรียบง่ายมากขึ้น
มีเวลาช่วยงานส่วนกลาง มากขึ้น ชีวิตอิสระ ไม่มีภาระผูกพัน ทําให้เหมือนกับว่าตัวเราเป็นอนาคาริก
ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆที่เป็นวัตถุข้าวของ
ขั้นต้นในการปฏิบัติลดละเลิกตามแนวทางของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ตัวที่ลําบากมากๆคือ อาการของ นามธรรม ตัวที่ยึดดี
ยิ่งเรายึดมากยิ่งทําให้เราทุกข์มาก จิตใจเศร้าหมองกังวล กับการไม่ได้ดั่งใจ
ยิ่งทุกข์หนัก เข้าไปอีก ซึ่งตัวเราไม่รู้และย่อยอาการเหล่านี้ไม่เป็น
มันเหมือนอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ!
พอฟังธรรมนานๆเข้า ทําให้เราเข้าใจมากขึ้น
ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่ฟังลําบากเหลือเกิน พอปัจุบัน
ยิ่งฟังมาก ยิ่งเข้าใจ และนําไปปฏิบัติให้ได้ ให้เป็น จนถึงจุด
ที่เราจะร่อนผัสสะ (สิ่งเร้า)ที่มากระทบ ให้สามารถ ย่อยได้ง่าย กลืนได้ง่าย
และมีความทุกข์น้อย พยายามทําจิตใจให้เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน ที่กระทบ
กับสิ่งใด ก็ยังรักษาสภาพ ของตัวเองไว้ได้ (จิตใจ)
ดิฉันเองมาถึงจุดนี้ ก็เพราะต้องปฏิบัติแบบเก็บรายละเอียดของจิต
ตามรู้ตามเห็นมัน (กิเลส) เก็บหาง มันให้เรียบร้อย เก็บรายละเอียดมาทําให้มันสั้นลงแม้อาการของความยึดดีก็ต้องตัด
ต้องเจียน ไม่ให้ยึด เพราะไม่งั้น เราก็ทุกข์ จิตใจไม่ผ่องใส
การทํางานย่อมเจอผัสสะ(สิ่งเร้าที่มากระทบ)เมื่อเจอผัสสะเราต้องมาอ่านอารมณ์
อ่านอาการของตัวเราเอง ว่าเกิดอะไรขึ้น รัก
โลภ โกรธ หลง อาฆาต พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา ให้รู้อาการของตัวเอง
ว่ามันหนัก มันเบาอย่างไร ถ้าผัสสะมาในรูปของของการผลัก(โกรธ เกลียด)
เราต้องรู้ให้เท่าทัน
เพราะฉะนั้นอะไรที่มันมากระทบแล้วมันไม่ดี
เราจะเซ็งไม่ได้ ถ้าเจอภาวะการเซ็ง ต้องรีบออกจาก ภาวะนั้นๆ ไม่งั้นเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม
แล้วเราก็จะไม่ได้ไปทําตัวอื่น
คนที่คิดจะให้ ให้ และให้ ไม่มีวันเอามาสนองตน จึงเป็นคน ที่ไม่มีอาการเซ็ง
ไม่มีอาการเครียด ดูตัวอย่างได้จากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มันไม่ใช่ของเรา
แม้แต่อาการทางนามธรรม มันยังไม่ใช่ของเรา ทุกวันนี้ดิฉันพอแล้ว มีความสุข
(ความทุกข์น้อยลง) ดิฉันมีที่พึ่งแล้ว คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา
จะเป็นอะไรในอนาคตไม่ห่วงแล้ว เพราะมีธรรมะ เป็นที่พึ่งที่อาศัย
พอดิฉันเริ่มเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเอง
โอ้โห... มันทุกข์มาก ทําไปแบกโลกไป ทําไปยึดดี ยึดความถูกต้องไป ซึ่งใน
ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่เลย....ไม่ใช่ที่ดิฉันเข้าใจ จึงต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า
ทําอะไรสิ่งไหน ลงไปแล้ว ควรปล่อย ควรวาง ว่าเป็นผลงาน ของตัวเอง ทําตัวเราเหมือนว่าเราไม่ได้ทําสิ่งที่ได้ทํา(ฟังยากนะ)
ทั้งทางกาย และที่สําคัญ คืออาการทางใจ(จิต)
สิ่งที่สําคัญอย่างยิ่งคือ "ต้องฟังเทศน์ฟังธรรม"
ต้องติดตามฟังข่าวความเคลื่อนไหว ขององค์กรเรา ต้องรอบรู้ ทุกจุดของเพื่อนๆ
ต้องพร้อมที่จะปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าใช้สํานวนจีนก็คือ
ต้องพร้อม เคลื่อนกาย ย้ายจุด ว่าอะไรจะทําก่อนทําหลัง ไม่ใช่ไปยึดว่า
งานของฉันสําคัญเสมอและสําคัญที่สุด แบบนี้ ผิดทาง
เมื่อดิฉันเข้าใจในสภาวะเช่นนี้แล้ว
ทุกวันนี้ดิฉันก็วิ่งรอกทํางานได้ ตั้งแต่หัววัดจรดท้ายวัด เมื่อดิฉันเข้าใจ
ก็ลงมือทํา ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก แล้วไม่ต้องกังวลในสิ่งที่เราคั่งค้าง
เพราะทุกอย่าง ถ้าเราเคลื่อนกาย ย้ายจุด มันจะสะสางงานของตัวเราเอง
ให้ลงตัวไปโดยปริยาย ซึ่งก็เรียกได้ว่า "ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน"
เมื่อทุกสิ่งลงมือทํา จะรู้ได้ด้วยตนไม่มีคําอธิบาย
ยิ่งฟังพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เทศน์ ซึ่งการเทศน์ แต่ละครั้งคือ เทศน์ให้ทั้งสมณะ
และฆราวาสฟังพร้อมๆกัน ดิฉันคิดว่า ดิฉันมีบุญมากๆในชาตินี้ จึงต้องเร่ง
พากเพียร ปฏิบัติตามแนวทาง ของพ่อท่าน ให้มากที่สุด เท่าที่พละอินทรีย์ยังมีอยู่
สําหรับผู้ที่เริ่มเข้ามาปฏิบัติตามแนวทางชาวอโศก
ซึ่งกระแสทุกวันนี้สังคมภายนอก ยอมรับมากขึ้น แต่... ต้องเข้าใจว่า
ทุกหน ทุกแห่ง ทุกที่ จะมีคนหลากหลาย หลายฐานะ หลายอาชีพ หลายการศึกษา
ถ้ามาแล้ว ได้เจอผัสสะ ที่ทําให้ไม่พออกพอใจ นั่นคือ การเริ่มปฏิบัติธรรมแล้ว
บางคนบารมีที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน
คนใหม่มาปฏิบัติเพียง ๑๐ วัน ๒๐ วัน ก็ทําได้มากกว่า คนที่มาอยู่ ๑๐
ปี ๒๐ ปี ก็มี แต่ละคนบําเพ็ญมาต่างกัน จริตของแต่ละคนก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น
ตัวเราอย่าไปเอา รูปแบบ ภายนอก ของใครๆ มาเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ
ของตัวเรา พยายามมองให้ออกตามความเป็นจริงว่า เขาก็คือเขา ไม่เกี่ยวไม่ข้องกับเรา
เราจะไปเปื้อนกับเขาทําไม.... ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเอง....เท่านั้น......
ทั่วทุกถิ่นเร่งเร้า
รุนแรง
โหมกระหนํ่าทิ่มแทง แดดิ้น
เงินตราอํานาจแฝง ล่อให้ เข่นฆ่า
โลกาพินาศสิ้น เหลือชีพ...ใดเฮย
น้อมเคารพบูชายิ่ง
ปะเพียงแก้ว อโศกตระกูล
ปฐมอโศก
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๖๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖)