หน้าแรก>สารอโศก

กว่าจะถึงอรหันต์ โดย...ณวมพุทธ

หลบภัยไปบวชเรียนธรรม
ตรากตรำบำเพ็ญเคร่งครัด
ไม่กินไม่นอนเพียรหนัก
ด้วยรักปักจิตนิพพาน

พระมุทิตเถระ

พระมุทิตเถระได้เคยสั่งสมบุญเอาไว้แล้วในกาลก่อน คือในสมัยของพระพุทธเจ้าวิปัสสี เขาเกิดอยู่ ในตระกูล ผู้ดีมีทรัพย์ เมื่อเจริญวัยเติบโตเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ได้พบเห็น พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น บังเกิดความศรัทธาอย่างมาก ถึงกับติดตามไป แล้วนำเตียงๆหนึ่งอันประณีตยิ่ง ถวายแด่ พระพุทธองค์

ด้วยผลบุญนั้น จึงได้เวียนเกิดอยู่ในเทวโลก(โลกของคนใจสูง) และมนุษยโลก(โลกของคนใจประเสริฐ) กระทั่ง ชาติสุดท้าย จึงได้เกิดในสมัยของพระพุทธเจ้าสมณโคดม เขาเกิดอยู่ในตระกูลคฤหบดีแห่งโกศลรัฐ ได้นามว่า มุทิตะ

ครั้นเขาเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ช่วงนั้นตระกูลของเขาพัวพันกับพระราชาด้วยกิจบางอย่าง ซึ่งอาจจะเกิด เภทภัย ขึ้นได้ เขาบังเกิดความกลัวภัยอันมาจากอำนาจของพระราชา จึงหลบหนีเข้าไปสู่ป่าแห่งหนึ่ง

ณ ที่นั้นเอง เขาได้พบกับพระขีณาสพ(พระอรหันต์)องค์หนึ่ง ผู้ซึ่งหมดสิ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว จึงได้รับ การปลอบขวัญ ให้อย่ากลัวต่อภัยนั้นเลย เขาจึงถามว่า

"ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ทุกข์ภัยของกระผมนี้จะสงบระงับได้นั้น จะยาวนานสักเท่าใดกันเล่า"

"คงไม่นานนักหรอก สัก ๗-๘ เดือนน่าจะได้"

"หากนานปานนั้น กระผมรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย กระผมไม่สามารถวางใจได้จนถึงเวลานั้น กระผม จะบวช ดีกว่า ขอท่านช่วยบวช ให้กระผมด้วยเถิด"

เขาต้องการจะบวชเพื่อทำใจให้สงบระงับ และเพื่อรักษาชีวิตให้ปลอดภัย พระขีณาสพนั้นจึงบวชให้แก่เขา

ครั้นได้บวชแล้ว ภิกษุ มุทิตะได้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง แม้เหตุเภทภัยนั้น จะสงบเรียบร้อย ไปแล้ว ก็ยังคงมุ่งบำเพ็ญสมณธรรม(ธรรมของผู้สงบระงับ กิเลส)ต่อไป ร่ำเรียนกรรมฐาน (วิธีปฏิบัติ ลดละกิเลส อย่างเหมาะสมกับฐานะ) และวิปัสสนา(การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง) ด้วยความตั้งใจ หมายบรรลุธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ให้จงได้

วันหนึ่ง ขณะที่ตั้งความเพียรอย่างบากบั่นมั่นคง อยู่ภายในพระวิหารนั่นเอง ภิกษุมทิตะได้ตั้งจิตอธิษฐาน อย่างแรงกล้าขึ้นว่า

"แม้ร่างกายนี้ของเราจะแตกทำลายไป เนื้อหนังของเราจะเหือดแห้งไป แข้งขาทั้งสองของเรา จะขาด หลุดร่วง อยู่ที่พื้นดินก็ตามที หากเรายังถอนลูกศร คือตัณหา (ความดิ้นรน ปรารถนา) ให้หลุดออกไปไม่ได้ เราจะไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่เอนกายนอน และจะไม่ออกจาก วิหารนี้เลย จงดูความเพียร และความบากบั่น มั่นของเราเถิด"

ในวันนั้นเอง ด้วยความเพียรสะสมบุญบารมีจนถึงที่สุด พระมุทิตเถระ ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในโลกแล้ว ได้บรรลุวิชชา ๓ (๑.ปุพเพนิวาสานุ-สติญาณ=รู้ระลึกชาติของกิเลสได้ ๒. จุตูปปาตญาณ = รู้การเกิดและดับของกิเลสได้ ๓.อาสวักขยญาณ = รู้ความหมดสิ้นไปของกิเลสได้) ได้กระทำกิจ ในพระพุทธศาสนา จบแล้ว

ณวมพุทธ
อังคาร ๑๒ ส.ค. ๒๕๔๖
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๓๓๔อรรถกถาแปลเล่ม ๕๒ หน้า ๖๑)

 

(สารอโศก อันดับที่ ๒๖๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖)