๒-๓
ปีที่ผ่านมา ผมกับลูกชายวัยสิบขวบไปทำบุญและเที่ยวพักผ่อนกัน
ที่จังหวัดทาง ภาคเหนือ หลังจาก พยายามหาโอกาส เรื่องเวลาที่พร้อมๆกัน
ระหว่างภรรยาและลูกสาววัยรุ่น อีก ๒ คน
ที่จบมหาวิทยาลัย และเพิ่ง เริ่มทำงานบริษัท เรา ๕ คนเคยอิสระ พอมีวันหยุด
พร้อมกัน เราจะออกต่างจังหวัด หาวัดที่สงบ ไปทำบุญปฏิบัติ
และฟังธรรมกับพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหรือพระที่ฉันมังสวิรัติ
แต่โอกาสเก่าๆแบบนี้เริ่มหายาก แต่ละคนในบ้านเริ่มมีภาระของตนเรื่องงานที่ทำ
เวลาหยุดไม่ตรงกัน หรือเวลาหยุดไปพร้อมกับคนทั้งประเทศ จราจรถนนหนทางรถราแน่น
ทำให้เกิดการแย่งกันไปแย่งกันกลับ อุบัติเหตุก ็เกิดขึ้นมาก และมีความรู้สึกเหมือนไปแย่ง
คนที่จำเป็น ต้องเดินทาง เพื่อกลับบ้าน ไปหาครอบครัว จริงๆ เราจึงพยายามเลี่ยงเดินทาง
ช่วงเวลานั้น
มาต้นปีคิดว่า คงจะหาเวลาที่ได้ไปพร้อมๆกันยาก
ภรรยาติดธุระบ้าง ลูกสาวบ้าง มีแต่ผม ที่อิสระ
เพราะไม่ใช่ มนุษย์เงินเดือน จึงรีบหาโอกาสเวลานี้ทำภารกิจที่คิดว่า
ควรจะทำ ไม่ประมาท คนเรา จะเดินทาง ท่องเที่ยว ต้องมีปัจจัยสำคัญพร้อมๆกัน
๓ อย่างคือ สุขภาพดีแข็งแรง มีเงินพอใช้จ่าย
และต้อง มีเวลาด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงลำบาก จึงชวนลูกชายซึ่งว่างพอดี
เราเอารถเก่าๆ เตรียมข้าวของ ไปทำบุญด้วยกัน
ออกจากกรุงเทพฯแต่เช้ามืด ขับรถไปเรื่อยๆ ได้พูดคุยเรื่องธรรมะต่างๆ
ดูธรรมชาติสองข้างทาง ใช้เวลา เกือบทั้งวัน ถึงสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่บนดอยเล็กๆมีพระชราอายุราว
๙๐ เศษรูปหนึ่ง ฉันอาหาร มังสวิรัติ และ ฉันวันละมื้อเท่านั้น เรามาถึงเกือบเย็น
ก็ขับรถขึ้นดอยอย่างช้าๆ ไม่ให้เสียงรถ ไปรบกวนพระ หรือผู้ที่กำลัง
ปฏิบัติธรรม
ทางขึ้นดอยเป็นทางเล็กๆ ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น
กุฏิ โบสถ์ เจดีย์เป็นแบบเรียบง่าย สะอาด ดูสบายตา น่าเลื่อมใส ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตมโหฬารหรูหราเกินไป
เราจอดรถ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างโบสถ์ และลงรถ เดินเข้าไป ในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปพระประธาน
และกราบหลวงปู่ ที่กำลังนั่ง อยู่เยื้องๆพระประธาน
ท่านมีรูปร่าง สันทัด ห่มจีวรสีกรัก สวมแว่นตาหนา ผิวพรรณผ่องใส น่าเลื่อมใส
แม้อายุใกล้ร้อย กราบท่านเสร็จ ผมและลูกชาย ขออนุญาตท่านพัก
และอยู่ เพื่อถวายอาหารมังสวิรัติกับปฏิบัติฟังธรรม กวาดบริเวณ รอบๆ
วัด และสวดมนต์ทำวัตรเช้า -ค่ำกับท่าน หลวงปู่ท่าทางใจดี กล่าวอนุญาต
ด้วยสำเนียง ภาคกลาง ปนสำเนียงภาคเหนือ
เราได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่พักใหญ่
ลูกชายผมบังเอิญสังเกตเห็น แขนซ้ายหลวงปู่ มีบาดแผล
รอยเย็บ นับร้อยเข็ม จึงเข้ากราบขอขมาขออนุญาตถามถึงแผลนั้น
ท่านยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า
มนุษย์เวลาร้าย สัตว์ทั้งโลกก็สู้มนุษย์ไม่ได้ สัตว์ที่ว่าดุว่าร้าย
มันทำร้ายคน หรือสัตว์อื่น ก็ไม่เกินสิบเกินร้อย แต่มนุษย์มีสมองที่เหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย
สามารถจับมาใช้งาน จับมาฆ่า แม้มนุษย์ด้วยกันเอง เวลาทะเลาะหรือขัดผลประโยชน์กัน
ก็คิดสร้างอาวุธร้ายแรง ประหัตประหาร ได้ทีละ เป็นแสน เป็นล้าน ทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง
ยังไม่พอ ยังไปทำลายสัตว์ ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม
อื่นๆ ที่ไม่ได้ไปรู้ด้วยเลย เรายังเรียกโลกใบนี้ว่า โลกมนุษย์ ที่จริงมนุษย์มีน้อยกว่าสัตว์อื่นๆ
ท่านหยุดจิบน้ำแล้วเล่าต่อ ท่านเป็นคนภาคกลาง
สมัยหนุ่มเคยเป็นพรานป่า ล่าสัตว์ป่า จับจระเข้ขาย รู้ธรรมชาติ
เกี่ยวกับจระเข้เป็นอย่างดี ชอบอิสระท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ชอบผูกมัด
ผูกพันกับใคร แม้กับเพศ ตรงข้าม เที่ยวหาจับจระเข้ป่าขายตามฟาร์มจระเข้ต่างๆ
เพื่อนำไปฆ่าขายเนื้อขายหนัง หรือหาไข่ จระเข้ ไปขาย เพื่อไปฟักเพาะเป็นลูกจระเข้ขาย
ทำมาหลายปี ก็ยังดีเงินส่วนหนึ่งยังไปทำบุญบ้าง จิตหนึ่ง ก็ยังใฝ่
ในบุญกุศลอยู่ แม้อาชีพมันจะเป็นบาป
จนล่วงเข้าวัยกลางคน ได้ถูกขอร้องจากเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่ง
ขอร้องให้ไปช่วยดูแลฟาร์ม ท่านก็รู้สึก กำลังเริ่มถดถอย ก็บอกขอลองทำดูก่อน
ยังไม่รับปากจะทำให้ ตลอดเหตุการณ์ ก็ปกติ จนวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์ม
จระเข้ไปซื้อเหมาบ่อจระเข้แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของอีกแห่ง ไม่มีประสบการณ์
เห็นรายได้ดีก็ทำบ้าง พอขาดทุน เลยขาย เจ้าของฟาร์มจระเข้ที่ท่านอยู่
ก็ให้ท่านพร้อมลูกน้อง ช่วยไปจับจระเข้ในบ่อ ที่มีร่วม ๒๐-๓๐ ตัว ก็เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ
พร้อมลูกน้อง ไปจับขึ้นมาจากบ่อเกือบหมด เหลืออยู่ตัวเดียว ตัวมันใหญ่
ยาวมาก คงเป็นแม่พันธุ์ ตาบอดข้างเดียว
ท่านพยายามเอาปลาทะเลสดโยนไปล่อให้มันขึ้นมาใกล้ขอบดินของบ่อ
เพื่อจะได้จับมัน แต่มันก็ลอยตัว นิ่งๆ ไม่สนใจ กับปลาที่โยนให้ ท่านตะโกนให้ลูกน้อง
เอาซี่โครงไก่ ของโปรดมัน มาเข่งใหญ่ และเริ่มโยนลงไป ๒-๓ ครั้ง แต่ดูมันไม่สนใจ
ลองโยนลงที่บนดิน ขอบบ่อ เพราะจระเข้บางตัว ไม่ชอบกินเหยื่อในน้ำ แต่จะกิน
บนดิน ขอบบ่อ มันดูเมินเฉย กับซี่โครงไก่นับสิบชิ้น ที่โยนลงน้ำ และที่บนดินขอบบ่อ
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ท่านกลัวว่าน้ำในบ่อจะเสีย
ก็ให้คนงานเอาสวิงด้ามยาวๆ ช้อนซี่โครงไก่ออก ส่วนที่อยู่บนดินขอบบ่อ
ท่านลงไปเก็บเอง พลางคิดว่า มันคงไม่สบาย จึงไม่มีแรง และไม่อยากกินอาหาร
เดี๋ยวค่อยหา วิธีอื่น ก็เดินเก็บซี่โครงไก่ทางนี้ที ทางโน้นที เดินลาดลงใกล้น้ำทุกที
ด้วยความประมาท รวมกับ การที่คิดว่า รู้นิสัยจระเข้ดี เก็บจนเกือบถึงขอบน้ำ
ทันใดนั้น ไม่มีใครคาดคิด...
จระเข้ตัวใหญ่ลอยคอเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่มีใครสังเกต เข้ามาถึงขอบดิน
ที่ท่านก้ม เก็บซี่โครงไก่อยู่ วิบากกรรมก็ตามทัน มันกระโจนทะลึ่งพรวด
ขึ้นเหนือน้ำ อ้าปากตะครุบ งับแขนซ้าย กระชากและดึงตัวท่าน ลงใต้น้ำทันที
ขณะนั้นท่านยังมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าจระเข้จะดึงเอาเหยื่อที่ใหญ่กบดานใต้น้ำ
เพื่อให้เหยื่อ ขาดอากาศหายใจ และตาย แล้วจึงสะบัดเหยื่อไปมา พร้อมกระชากเหยื่อให้ขาด
เพื่อกลืนกิน ถ้าเหยื่อ ไม่โตนัก งับพอกลืนได้ มันก็จะกลืนทันที ท่านได้แต่นึกถึงบุญกุศล
ที่เคยทำมาบ้าง และพยายาม รวบรวมสติ รอเวลาที่จระเข้ มันจะสะบัด แขนท่านให้ขาดแล้วค่อยกลืน
ก่อนที่มันจะเปลี่ยน มางับส่วนอื่น จะได้รีบว่ายน้ำหนี คิดว่า ถึงคราวตาย
ก็ต้องตาย
ขณะนั้นท่านรู้สึกว่า จระเข้มันปล่อยแขนที่งับไว้
คิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนมางับส่วน ร่างกายที่ใหญ่กว่า และ งับได้ถนัดกว่า
เลยถือโอกาสนั้น รีบทะลึ่งพรวด ขึ้นจากน้ำ และว่ายเข้าฝั่ง เหลือบเห็นน้ำรอบๆ
เต็มไปด้วย เลือดสีแดงฉานไปทั่ว เห็นภาพรางๆบนฝั่ง
เจ้าของฟาร์ม เล็งปืนยาว มาที่ตรงใกล้ๆท่าน คล้ายกับว่า จะยิง จระเข้
สติสัมปชัญญะ ที่ใกล้หมด ท่านโบกมือห้าม เห็นคนอื่นๆ ถือมีดปืนผาหน้าไม้
เต็มไปหมด ผู้คนอื้ออึง แล้วความรู้สึกต่างๆ ก็วูบสนิท ท่านถูกส่งโรงพยาบาล
เกือบสิบกว่าวัน ที่ท่าน ไม่รู้สึกตัว และมารู้สึกตัว ภายหลัง
มีคนมาเล่าให้ฟัง ลูกน้องหลายคนช่วยกันเอาไม้ตีกระทุ่มน้ำไล่มัน
แล้วมีคนอื่นๆ มาช่วยประคองท่าน ขึ้นจากน้ำ แล้วส่งโรงพยาบาล ท่านถามถึงจระเข้ตัวนั้น
ขอร้องอย่าไปทำร้าย หรือฆ่ามันเลย เพราะท่าน ประมาทเอง มานึกได้ทีหลังว่า
จระเข้บางตัว มันไม่ชอบ กินเหยื่อตาย อาจถูกฝึก หรือเคยชิน กับการกิน
เหยื่อเป็น หรือที่เคลื่อนไหวได้ แต่ทุกคนบอกว่า เจ้าของฟาร์มได้ยิงมัน
และจับมันขึ้นมาแล่ ฆ่าเดี๋ยวนั้นเลย ท่านบอก รู้สึกสลดใจมาก ที่เป็นสาเหตุให้จระเข้ตัวนั้นถูกฆ่าอย่างทารุณ
ระหว่างรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม
๔ เดือน ท่านมาทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา และอาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาชีพ
หนึ่งที่เป็น มิจฉาวณิชชา คือ การเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่า
ท่านได้อ่านหนังสือธรรมะ ฟังวิทยุ รายการธรรมะ จากเตียง คนไข้ข้างๆ
เกิดคิดอยากบวช แผ่ส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ ที่เคยก่อเวร สร้างกรรมกันมา
ท่านได้อ่าน หนังสือเล่มหนึ่ง เป็นคำกล่าวของหิโตปเทศ กล่าวไว้กินใจมากว่า
"เมื่อผู้จะกินเนื้อเขา ควรตระหนัก ให้ได้ว่า
เราและผู้ที่เรากินนั้นผิดกัน ผู้กินจะได้ความอิ่มเอม ก็ชั่วขณะ และ
ผู้ที่ต้อง เสียเนื้อไป ได้รับทุกข์ ถึงชีวิต"
คำคมที่กินใจ จำผู้แต่งไม่ได้ กล่าวไว้ว่า
"สิ่งเดียวที่มนุษย์รักที่สุดคือ ชีวิต แต่จะเกลียด ที่สุดคือ
ผู้เอาชีวิต ของตนไป แล้วไฉนจึงมาคิดทำลายล้างชีวิต ให้สิ้นไปเสียเช่นนี้เล่า"
"ฆ่าสัตว์ได้โทษ ฆ่าความโกรธได้บุญ"
"ชีวิตนี้คือทางผ่านเท่านั้นเอง
แต่ชีวิตที่แท้จริง ได้รอเราอยู่เบื้องหลังความตายนี้แล้ว"
นี่คือสิ่งดลบันดาลใจให้ท่านคิดไม่เบียดเบียน
หรือมีส่วนส่งเสริมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกต่อไป หลังจาก ออกจาก โรงพยาบาล
ท่านได้สละเพศฆราวาส บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา และ ฉันมังสวิรัติ ฉันวันละมื้อ
ลูกชายผมกราบ พูดเสริมต่อหลวงปู่ว่า
"ผมก็รับประทานอาหารมังสวิรัติตามพ่อ ได้เคย ฟังเท็ปของ อาจารย์
พันธุ์เลิศ บูรณศิลปิน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของพ่อ สอนอยู่แม่โจ้
เป็นอดีต รัฐมนตรีเกษตร เจ้าของ สวนส้ม วังน้ำค้าง ก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ
เคยพูดว่า "เราไม่กินเนื้อสัตว์ เราไม่ตาย
ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ สัตว์ตาย และ สัตว์จะตายไปเรื่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า
จนกว่าเราตาย มันก็ต้องตายอีกมากมาย เพื่อมาฉลอง งานศพเรา"
ลูกชายผมกราบเรียนถามท่านเรื่องการกินเจ
เห็นพระบางรูปพูดว่า กินเจไม่ได้บุญหรอก หลวงปู่ยิ้ม อย่างอารมณ์ดี
และพูดว่า ก็แล้วแต่ใจของแต่ละคน เรากินเองเราก็ควรรู้เองว่า จิตใจเรา
รู้สึกอย่างไร ถึงพูดว่า ไม่ได้บุญ แต่ก็คงไม่ไปสร้าง หรือส่งเสริมบาป
ยิ่งการฆ่าเพื่อเอามากิน บาปอยู่ที่คนทำ กรรมก็อยู่
ที่คนกิน ปาณาติบาตฯ เป็นศีลที่ พระบรมศาสดาของเรา ทรงบัญญัติเป็นข้อแรก
เวลาเรา ถูกมีดบาด เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่สัตว์ที่ถูกจับมาฆ่า
เจ็บถึงตาย หากหยุดได้ หยุดเถอะ หยุดเบียดเบียน หรือส่งเสริม การฆ่าสัตว์
เพื่อเอาเนื้อมาขายกัน
เวลาเรามีคนรัก ใครพรากเอาคนที่เรารักไป
เราเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าโศกเสียใจแค่ไหน ถ้านับกองกระดูก ที่เราพรากชีวิตเขาไป
ก็คงมีความสูงกว่าตัวตนของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียง
กรีดร้องขอชีวิต เสียงแห่ง ความทุกข์ยาก เราต้องหยุด หยุดความอยาก
ของกายใจปากเราก่อน ชีวิตเขาอย่าไปทำลาย อย่าไปกิน เลือดกินเนื้อเขา
เป็นหนี้กรรม ชดใช้กันไป ชดใช้กันมา ตราบใดเรายังไม่หลุดพ้น การเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏสงสารนี้ อย่ามีการจองเวร จองกรรมอีกเลย ชาตินี้ไปฆ่ากินเนื้อเขา
ชาติหน้าเขาก็มาทวงคืน ความเมตตา อย่าคิดแค่สงสาร
เมตตาต้องออกมาจากใจ จากกาย จากวาจา ไม่ใช่แค่การสวดมนต์ แผ่เมตตา
ปล่อยสัตว์ แต่ก็ยังกินมัน
ดินให้กำเนิดชีวิต ให้กำเนิดพืชผักธัญญาหารผลไม้นานาชนิดมากมาย
เสมือนฟ้าดินให้กำเนิด เรากิน บริโภคพืช เพาะปลูกส่งเสริมแพร่พันธุ์ต่อไปได้
แต่เนื้อสัตว์ มันมีพ่อมีแม่ เป็นแดนเกิดของมัน ไม่มีพ่อแม่ ที่ไหนหรอก
ที่ให้กำเนิดลูกแล้วให้คนอื่นฆ่ากิน มันไม่ยินดีหรอก แต่มันพูดไม่ได้
เวลาคนฆ่ามัน ก็มัวแต่ จะเอาเลือด เอาเนื้อมัน คิดแต่ว่าจะมาทำอะไรกิน
ไม่ได้ไปสังเกตดวงตาที่ร่ำไห้ น้ำตาที่ไหลพราก ประหนึ่ง ขอชีวิต หูไม่ได้ยินเสียง
หรือได้ยิน แต่เคยชินเสียง ที่มันร้องโหยหวนขอมีชีวิต เพื่ออยู่กับ
ครอบครัว พ่อแม่ หรือ ลูกเมีย หรือ พี่น้องมัน คิดซิ!
เราตัวคนเดียว กินทำไมหลายชีวิตนัก ทั้งที่กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อตาย
ท้ายสุดก่อนค่ำ จะสวดมนต์ทำวัตรค่ำ
ท่านให้โอวาทเราว่า "การทำความดีนั้นทำไม่ยากเลย
ที่ยากเพราะ ไม่คิด จะทำมากกว่า"
และเมตตาสอนอีกว่า
"อย่าประมาท ให้รีบทำความดี จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เรากินมังสวิรัติเรารู้เอง
ใครจะพูด อย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แผ่เมตตาให้เขา
ใครทำกรรมใดไว้ ไม่มีใครหนีพ้น เราคงได้แต่หวังดี และ ปฏิบัติ ตัวของเราเอง
เป็นตัวอย่าง ซึ่งดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นคำ" คืนนั้นเราอยู่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ
ด้วยจิตใจ ที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยปีติสุข
-
ล.พุทธิธาร -
(สารอโศก อันดับที่
๒๖๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖)