หน้าแรก>สารอโศก

 

แถลง

บทบาทของ สะใภ้ใหม่ กับ สะใภ้แก่

นับวันๆงานของชาวอโศกก็จะมีมากขึ้น แม้งานหนักไม่เคยฆ่าคน แต่เด็กของเราที่ถูกผู้ใหญ่ใช้งานหนัก ก็อยากจะ ไปร้องเพลงว่า อยากฆ่าคนที่ใช้เขาทำงานหนักอย่างสาหัสสากรรจ์

งานหนักหรืองานเบาก็อยู่กับว่าเรามีวิธีคิด วิธีทำ มีมุมมองต่องานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้อย่างไร? ถ้าเราทำในบทบาท ของสะใภ้เก่า, สะใภ้แก่ หรือเป็นบทบาทของแม่ผัวเองเลย แน่นอน งานย่อมหนักหน้า หนักหลัง หนักทั้งคนรอบข้าง รอบตัว มั่วไปหมด

เพราะสะใภ้แก่หรือแม่ผัวนั้นย่อมรู้ดีไปทุกเรื่อง ชอบกำหนด คอยควบคุมคนอื่นไปทุกเรื่อง ไม่รู้จักการให้เกียรติหรือ ไว้วางใจใครง่ายๆ(ยกเว้นคนที่มีนิสัยคล้ายๆตัวเอง) จึงต้องแบกทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด(ยกเว้นความรู้สึกของคน) ที่ต้องลุยทำงานทั้งวัน ก็เพราะวางใจไม่ได้ กลัวจะทำดีไม่ได้สมใจตัวเอง จึงเป็นการทำงานที่แสนหนัก เพราะมาก ไปด้วยอัตตา ไม่ใช่เมตตา

ชาวอโศกทำงานศาสนามาด้วยการชูธงของเมตตาธรรม พ่อท่านจึงกำหนดให้บุญญาวุธหมายเลข ๑ คืออาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป้าหมายหรือธงชัยของมังสวิรัติก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง ทั้งคนกินมังฯ และคนขายมังฯ จะเกิดความสุขได้ ก็เพราะเราเจริญเมตตามากกว่าเจริญอัตตา

เมื่อเห็นคนอื่นทำผิดพลาด บกพร่องขึ้นมา ผู้ที่เป็นสะใภ้ใหม่ ที่มีความเจียมเนื้อเจียมตัว ก็จะให้อภัย เจริญเมตตา แต่สะใภ้แก่หรือแม่ผัว ก็จะอาละวาดว้ากเพ้ย เหมือนเกิดกรณีที่เด็กอาชีวะตีกัน มีทั้งตายคาที่และบาดเจ็บเป็นร้อย ผู้ใหญ่ที่จัดงานออกมาใส่เด็กทันทีว่า "พวกสมองควาย"

แต่ก็มีตัวแทนเด็กๆ ออกมาโต้ตอบว่า พูดอย่างนี้ได้ไง แสดงว่าพูดจากสมองควาย และตอนจัดงานทำไม ไม่ใช้สมองคนคิดเสียก่อนว่า ถ้าจัดแบบนี้แล้วเด็กจะต้องตีกัน แสดงว่าผู้ใหญ่จัดงานจัดแบบสมองควาย !

ใครที่ปากจัดกว่าคนนั้นก็เป็นดังสะใภ้แก่ แต่คนที่เป็นสะใภ้ใหม่ก็จะคิดแก้ปัญหา ด้วยการเจียมตนและมองตน อย่างลึกซึ้งถึง ๓ ชั้นด้วยกัน

๑. เมื่อเห็นกรรมกิริยาของใครที่เป็นดังสมองควาย ก็จะเจริญเมตตา สงสารเห็นใจเขาและนึกขอบคุณ เขาด้วยซ้ำไปที่มาช่วยเป็นครู เป็นตัวอย่างอย่างสำคัญให้เรา เราก็จะได้ไม่ต้องไปทำร้ายๆอย่างนั้น

๒. นักปฏิบัติธรรมย่อมเพ่งมองตน และแก้ไขที่ตน ดังนั้นการแก้ปัญหาสมองควาย จึงต้องแก้ที่ตัวเราก่อน ผู้ใหญ่ ที่มองว่า เด็กสมองควาย จริงๆ แล้วผู้ใหญ่อาจมีสมองควาย ก้อนใหญ่กว่าเด็กก็ได้ คนที่สามารถมองอะไรได้ลึกซึ้ง ย่อมมองเห็นสมองควายหรือกิเลสที่มีอยู่ในตน และแก้ไขที่ตนเองก่อน (รู้อะไรก็ไม่สู้รู้อวิชชา ล้างกิเลสตัณหา ของตน ให้ม้วยมอดเป็นยอดดี)

๓. คนที่เป็นสะใภ้ใหม่ เมื่อถูกว่าสมองควายก็จะสามารถเก็บเอาประโยชน์มาใช้ตามข้อที่ ๑ คือเป็นครูของเรา และเราได้ฝึกเจริญเมตตา

และประโยชน์ข้อที่ ๒ คือได้ล้างสมองควายที่ยังหลงเหลือในตน และประโยชน์ข้อที่ ๓ คือ จะทำให้เราได้ทำแบบฝึกหัด เพื่อการบรรลุธรรม เป็นเครื่องทดสอบว่าเราสามารถอยู่เหนือผัสสะหรือจิตหวั่นไหวมากน้อยแค่ไหน

ดังนั้น ผู้ที่ทำงานแบบสะใภ้ใหม่ก็จะเกิดความยินดีปรีดาอย่างอภิเชษฐ์(appreciate) กับการงานที่ทำอยู่ แม้งาน จะหนัก มากแค่ไหน ก็ทำไปด้วยความเบากาย เบาใจ ด้วยจิตที่เมตตา เพราะเราเองก็ยังมากด้วยอวิชชา แล้วมีหน้าไปว่าคนอื่นสมองควายได้อย่างไร ?

ทุกๆคนจึงน่าสงสารด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวฉันผู้ไม่ต่างอะไรกับกากเดนแห่งอวิชชา

คณะผู้จัดทำ