หัวใจพ่อ
ลูกรัก...พ่อได้อ่านจดหมายของคนโรงงานแล้ว
รู้สึก SAD(เศร้า) มันเป็นความผิด(ความโง่)ของพ่อเอง ที่ทำให้ลูกพ่อ
ต้องลำบาก มาเป็นขี้ข้ารับใช้ ทำงานหนัก แถมยังไม่ได้รับค่าแรง กินก็อดๆอยากๆ
พ่ออ่านจดหมายแล้วรู้สึกสงสารลูกมาก จนน้ำตาไหล จิตใจก็เศร้า
ทำอย่างไร จะให้ลูกของพ่อมีความสุข พ่ออยากจะกราบขอโทษลูก ที่ทำให้ลูกต้องลำบาก
เพราะพ่อแท้ๆทำให้ลูกได้มาอยู่โรงงาน ทำงานหนักรับใช้หัวหน้างาน ที่สั่งงานให้ทำ
พ่อทำไมไม่ส่งลูกไปเรียนเป็นนักศึกษา ตามโรงเรียน ทำไมให้มาอยู่โรงงาน
พ่อคิดว่า ที่นี่ดีที่สุด ถึงอย่างไรหากพ่อจะบอกกับลูกว่า
"พ่อรักลูก" ลูกก็คงไม่เชื่อ
เพราะความจริงมันฟ้อง รักลูกทำไม ไม่หาเงิน ส่งลูกเรียน ทำไมให้ลูกมาอยู่โรงงาน
จริงๆแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน หมู หมา กา ไก่ ฯลฯ
ไม่มีสัตว์ตัวไหน ที่ไม่รักลูกของตัว พ่ออยากจะบอกลูกว่า พ่อเป็นคน
พ่อมีความรู้สึกนึกคิด มีสติปัญญามากกว่าสัตว์ ทำไมล่ะ พ่อจะไม่มี
ความรัก ความปรารถนาดีต่อลูก กับลูก ทำไม???
!!! พ่อทำให้ลูกต้องลำบาก แทนที่ลูกจะได้เรียนได้ศึกษา กลับได้มา อยู่โรงงาน(ตามที่ลูกขนานนามเอง)
ใช้แรงงานเพียงเพื่อแลกกับข้าวอาหารพอประทังชีวิต บางทีก็ได้กินอาหารที่เหลือ
จนจะเสียแล้ว
ลูกเอ๋ย พ่อก็ไม่อยากจะบังคับและยัดเยียด
ความรู้สึกของตัวเองให้ลูกอีกแล้ว เพราะความรู้สึกของพ่อที่รู้สึกเอง
เข้าใจเอง เห็นเอง ซึ่งบางทีก็ไม่มีใครเห็นด้วย ที่ผ่านมาพ่อพยายามเหลือเกิน
ที่จะให้คนที่พ่อรัก เคารพ เทอดทูน บูชา ได้รู้ ได้เห็น ได้เป็น อย่างที่พ่อเข้าใจ
ต่อไปพ่อจะฝึกตัวเองให้รักลูก รักใครๆอย่างอิสระเสรีบ้างละ จะไม่พยายามยัดเยียดความรู้สึกให้ใคร
จะพยายามเข้าใจผู้อื่น ให้เวลาให้โอกาส ให้ความรัก ช่วยเหลือในสิ่งที่ช่วยได้
เท่าที่ผู้รับจะรับได้
ตอนนี้ลูกก็เริ่มจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
พ่อก็คงจะสบายใจมากขึ้น คิดว่าพ่อก็คงจะให้ชีวิตอิสระกับลูกยิ่งๆขึ้น
ชีวิตส่วนตัวของลูก ก็คงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่อก็คงจะเฝ้าดู ให้กำลังใจ
ให้คำปรึกษา ขอให้ลูกเป็นอิสระทางความคิด ใช้สิทธิทาง ความคิด อย่างเต็มที่
ถ้าหากมีปัญหา พ่อคือพ่อ ที่พร้อมจะช่วยลูกๆทุกคน
พ่อเองเป็นคนหัวเก่าหัวโบราณ ตั้งแต่เกิดพ่อก็เจอแต่สังคมสิ่งแวดล้อมแคบๆ
ป่าเขา ชนบท กันดาร ไร้การศึกษากว้างไกล สังคมเมื่อก่อนคับแคบจริงๆ
พ่อไม่รู้เรื่องสิทธิ เสรีภาพอะไรมาก การศึกษาพ่อจบป.๔ แต่ตอนนั้นพ่ออ่านหนังสือได้แค่
ก.ข.ก.กา อ่านได้ตามตัวอักษรสะกด ก-า กา ก-ำ กำ เท่านี้ เขียนยังไม่ได้เลย
จะให้เขียน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ต้องใช้เวลาเป็นวัน และต้องดูตัวอย่างด้วย
ทุกวันนี้พ่อก็พอเขียนได้แล้ว วันหนึ่งก็เขียนได้ ๔-๕ หน้ากระดาษ
ลูกรัก...พ่อไม่เข้าใจคำว่า
เรียน คำว่า ศึกษา คืออย่างไร
เป็นอย่างไร นักเรียน นักศึกษาเป็นอย่างไร
พ่อรู้แต่ว่าชีวิตพ่อ ตั้งแต่จำความได้จนถึงวันนี้ มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิต
ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่ม เป็นผู้ใหญ่ ได้อะไรไปบ้างอย่างไร
เป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไร ตรงไหน ทำอย่างไร จะให้อยู่อย่างเป็นสุข ชีวิตผิดพลาดไปแล้วก็เป็นทุกข์เจ็บปวด
เสียดายเวลา ที่ผิดพลาดไปเสียดายความรู้สึกที่ไปสร้างความทุกข์ให้ตัวเอง
พ่อเกิดมาเมื่อสังคมไม่ได้พัฒนาอย่างทุกวันนี้
พ่อเป็นคนสองโลก โลกเก่า(ยุคโบราณ) พ่อเกิดมาได้เห็น(เป็น)
คนโบราณ วิถีชีวิตคนโลกเก่า สมัยนั้นมีความเป็นอยู่ที่ลำบากมาก เสื้อผ้าอาหารบ้านเรือน
ไม่มีมากอย่างทุกวันนี้ เสื้อผ้า กางเกงต้องทอเอง ตัดเอง เย็บเอง พ่อแม่ก็ต้องทอ-ตัด-เย็บให้ลูกๆ
ปีหนึ่งหรือสองปีถึงจะมีเสื้อผ้าใหม่สักครั้งหนึ่ง ไม่มีเสื้อผ้าสะดวก
สบาย เหลือใช้อย่างทุกวันนี้
เด็กไปโรงเรียนบางคน (ส่วนมาก) ไม่ได้ใส่เสื้อ
ใส่กางเกงเก่าๆขาดๆ บางคนก็ไม่ได้ใส่เลย เปลือยกายล่อนจ้อน ไปโรงเรียน(ยุคสมัยนั้นเด็กอายุ
๑๒-๑๓ ขวบ ยังไม่รู้เรื่องเพศ ไม่อาย ไม่มีความรู้สึกเรื่องกามนัก
ยังแก้ผ้าอาบน้ำไล่เล่นกัน
ผู้หญิงผู้ชายสนุกสนาน ไม่รู้เรื่องเพศสัมพันธ์ อะไรเลย)
พูดถึงเรื่องอาหาร คนโลกเก่า ยุคสมัยโบราณ
ยังกินข้าววันละสองมื้อเป็นปรกติ สำหรับคนรวย
ส่วนคนจนอย่างพ่อ อย่าว่าแต่ไม่ได้กินข้าวสองมื้อเลย บางวันไม่ได้กิน
บางวันได้กินแต่ข้าวโพด(ข้าวสาลี) หน่อไม้ (สมัยนั้นจึงมีคำพูดว่า
"หน่อไม้ออกแล้วไม่อดตาย") บางครั้งก็เป็นเดือนเป็นอาทิตย์
ได้กินแต่ข้าวต้มใส่หน่อไม้ (ข้าวสารหนึ่งกำมือต่อหน่อไม้หนึ่งหม้อ)
จะได้กินข้าวอิ่มเต็มท้องบ้าง ก็ต่อเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว (เดือนตุลาฯ-มีนาฯ)
ถึงเดือนเมษาฯ ก็เริ่มกระเหม็ดกระแหม่ ผลไม้รึ! คนโลกเก่า สมัยนั้น
ไม่รู้จักหรอก ทุเรียน มังคุด แอปเปิ้ล องุ่น ลองกอง ลางสาด ฯลฯ ได้กินแต่ผลไม้ตามป่า
ตามฤดูกาล เช่น มะแฟน มะโจก มะเดื่อ มะไฟ มะม่วง มะเม้า มะกอก มะนะ
มะเกว๋น ฯลฯ
พ่อได้เห็นได้ประสบกับคนสองโลกสองสมัย
ได้รู้ได้เห็นสัจจะชีวิตว่า คนไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน คนโบราณคนสมัยใหม่
ก็ล้วนแล้วแต่วกวนอยู่กับความดิ้นรนแสวงหา แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอารัดเอาเปรียบกันไม่จบ
พี่น้องกันแท้ๆ พ่อแม่กันจริงๆ ก็ยังชิงแย่งกัน อิจฉาริษยาฆ่ากัน
ความสุข ความทุกข์ ความผิดหวัง สมหวัง ยังมีอิทธิพลครองโลกอยู่
พ่อเห็นจริงยิ่งกว่าจริงก็คือว่า
ชีวิตคนเราจะมีความสุขความทุกข์อยู่ที่วิธีคิด
ถ้าคนคิดเป็นก็จะเห็นคุณเห็นค่า ชีวิต ก็จะมี ความสุข ความสุขความทุกข์มิได้ผูกอยู่กับความรู้
หรือการได้เรียนได้ศึกษาจบมหา-วิทยาลัย ความสุขความทุกข์ มิได้ขึ้นอยู่กับ
การเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน เป็นเจ้านายขี้ข้า เช่นเดียวกับคนดีกับความดี
ก็มิได้หมายความว่า คนดี-ความดี คือเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้านาย เป็นขี้ข้า
คนดีนั้นจะมีความดี ความดีก็จะเป็นความสุขของ คนดี คนดีก็มิได้เลือก
ชั้นวรรณะ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ก็สามารถเป็นคนดีได้
เครื่องหมายของความดีคือ ความอดทนมั่นคงแข็งแรง คือคุณค่าทางสภาวะจิตใจ
ความเข้าใจแท้ๆจริงๆ
ลูกรัก พ่อได้รู้เข้าใจได้ เห็นเข้าใจจริง
ความเป็นจริงในโลกทั้งสองนี้ และพ่อก็ได้เห็นถึงความสุขความทุกข์ของคนในโลกทั้งสอง
เห็นคนสมัยโบราณ ต่างก็มีความสุข ความทุกข์เท่าเทียมคนในยุคพัฒนา จริงๆแล้ว
ความสุขความทุกข์นั้น มีทุกยุคทุก สมัยจะไม่มีวันสิ้น
ดัชนี้ชี้ให้เห็นถึงความสุขความทุกข์
อีกอย่างก็คือโลกโลกีย์กับโลกโลกุตระ จะรู้ได้จากความคิดความเห็นนี่แหละ
ยกตัวอย่างเช่น การเรียนหรือการศึกษา ชีวิตทั้งชีวิตนี่แหละคือการเรียนการศึกษา
ชีวิตนี้มีแต่ศึกษาเรียนรู้ แล้วก็ทำ ทำไปก็ยังต้องศึกษา เรียนรู้ไปอีกๆๆ
พัฒนาการกระทำและก็เรียนรู้ไปด้วย ผลก็จะเป็นความสุขความทุกข์ให้ได้รู้อีก
ความสุขก็ยังต้องแยก ออกเป็น คุณ-เป็นโทษ-เป็นบุญ-เป็นบาป
ทุกข์ก็เป็นคุณ-เป็นโทษ-เป็นบุญ-เป็นบาป (คุณก็คือ บุญ คือ โลกโลกุตระ
โทษก็คือ บาป คือโลกโลกียะ) คนเราทำงานหนัก มีอุปสรรคมากก็ย่อมเป็นทุกข์แน่ๆ
แต่ทว่าทุกข์นั้นเป็นคุณเป็นบุญ ก็มีความจำเป็น ที่ต้องทนอยู่ ทนสู้
ทนทำ เมื่อเข้าใจแล้ว ความทุกข์ก็เป็นความสุขอีกนัยหนึ่งจริงไหม?
พ่อยังรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ที่ลูกมีความละเอียดรอบรู้ วิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์แยกแยะ สิ่งที่เป็นเป้าหมาย
อุดมการณ์ได้ แต่ลูกอาจยังไม่เข้าใจว่า จุดหมายปลายทางกับระยะทางระหว่างเดินนั้น
ไม่ใช่อันเดียวกัน หรือมิใช่สิ่งเดียวกัน สิ่งที่เรา กำลังทำอยู่
ลูกต้องเข้าใจว่าเรากำลังทำอยู่ ยังไม่เสร็จ เรากำลังเดินอยู่ ลูกต้องเข้าใจว่า
เรากำลังเดินอยู่ ยังไม่ถึงจุดหมาย ปลายทาง ลูกอย่าท้อสิลูก
เรากำลังเดินทางไปทุกระยะ หากเราท้อและยอมเลิกกลางทาง เราจะไม่มีโอกาส
ได้เห็นจุดหมาย ปลายทางแน่ๆ
ลูกรักเอ๋ย....ชีวิตคนเราเมื่อประสบความเหนื่อยยากลำบาก
ทุกคนมีสิทธิ์ท้อได้ เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ เมื่อเจออุปสรรค ความไม่ชอบใจ
ความไม่ถูกใจ ความไม่เข้าใจ แม้แต่ความรักก็เป็นอุปสรรค และอุปสรรคนี่แหละเป็น
การพิสูจน์ ความมั่นคง แข็งแรงของความเป็นคน ลูกเอ๋ย!
เราจะแพ้บ้าง ท้อบ้าง ถอยบ้าง ได้รับบาดเจ็บบ้าง ก็ให้รู้รักษา อย่าปล่อยให้จิตใจไร้ความหวัง
คิดสิ่งใดขอให้ใจมีพลังต่อสู้ ขอเพียงเราคิดใฝ่หาหนทางแห่งความสำเร็จให้ชีวิต
ผิดพลาดก็อย่าง ซ้ำเติมตัวเอง อย่าทับถมตน จนหมดพลังสิ้นหวัง ปลูกจิตคิดสู้อยู่เสมอ
ขอให้ลูกมองในสิ่งที่เกิด พลัง เสริมกำลังสร้างสรร
ฝึกมอง(คบหา) สิ่งที่ให้เรา ได้อาศัยช่วยให้เราเจริญ เกิดสติปัญญา
สุดท้ายนี้ พ่อขอให้ลูกรับรู้ไว้ว่า
พ่อนี้ รักลูก ปรารถนาดีต่อลูกเสมอ พ่อแม่ทุกคนย่อมรักลูก เป็นห่วงลูกยิ่งกว่าใครๆในโลก
ฉะนั้นพ่อแม่ทุกๆคนจึงชักนำ เคี่ยวเข็ญ ยัดเยียดสิ่งที่พ่อแม่แต่ละคนเห็น
รู้สึก เข้าใจว่าดี ว่าถูก ให้ลูกตัวเองเสมอๆ พ่อก็คนหนึ่งแหละ ที่พยายามให้ลูกได้รู้ได้เห็น
ได้เป็น เหมือนดังที่พ่อเข้าใจ รู้เห็นว่าดีว่าถูก
ลูกรัก....หากเป็นความผิด พ่อก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า
พ่อผิดเอง ที่ทำให้ลูกต้องลำบาก ก็ขออโหสิกรรมให้พ่อด้วย
เพราะพ่อ เห็นว่า นี้ดี นี้ถูกจริงๆ การเรียนอย่างนี้ การทำงานอย่างนี้
พ่อเห็นว่าวิเศษแท้ ประเสริฐยิ่งถ้าทำได้ และ พ่อก็ยัง พยายาม ทำอยู่
และจะพยายามต่อๆไป ลูกอาจไม่เชื่อว่า พ่อรักลูก และปรารถนาดีต่อลูก
ก็ไม่เป็นไร ลูกมีความเชื่อมั่นในตัวเองก็ดีแล้ว แต่ขอ ให้คิด ให้ดี
คิดให้ถูก คิดให้ตรง คิดให้เป็น พ่อก็ไม่ได้น้อยใจเสียใจอะไร แม้แต่ลูกจะไม่เรียกพ่อก็ไม่เป็นไร
พ่อก็ยิ่งเข้าใจ ตัวเอง มากขึ้น ลูกจะเรียกคุณหรือเรียกอะไรอื่น ก็สุดแท้แต่ลูก
ส่วนพ่อเองก็ได้อ่านจิตอ่านใจตัวเองว่า เมื่อลูกไม่เรียกหรือไม่นับว่าพ่อนั้น
จะถือสาไหม จะน้อยใจไหม ก็ไม่นะ ก็ยังรู้สึกว่า ตัวเองก็ทำหน้าที่บกพร่องอยู่
เป็นพ่อก็ทำหน้าที่พ่อไม่ดี เป็นพ่อที่ทอดทิ้งลูก ปล่อยให้ลูกต้องลำบาก
ไกลห่างลูก แม้นจะมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่
ที่ต้องทำต่อลูก
วันนี้พ่อเขียนยาวหน่อย เนื่องจากพ่อก็อยากคุยกับลูกอยู่แล้ว
พ่ออยากจะบอกลูก อยากจะให้ลูกเข้าใจและ อยากจะขออภัย ที่พ่ออาจผิดพลาดไปหลายเรื่องหลายครั้ง
อาจทำให้ลูกไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วย เกิดการถือสา อืดอัดขัดเคือง บางเรื่องพ่อก็รู้
บางเรื่องพ่อก็ไม่รู้ อาจทำซ้ำแล้วซ้ำอีก พ่อก็เห็นจริงว่า คนเราผิดพลาดได้
ก็ขอบอกลูกว่าหากลูกเห็นหรือรู้สึกไม่ชอบ ที่พ่อทำอย่างนั้นอย่างนี้
ลูกก็ช่วยบอกพ่อได้ พ่อจะรับฟังเพื่อพิจารณา
จดหมายของลูกที่เขียนถึงพ่อ
พ่อก็ต้องอ่านหลายๆรอบ เพื่อให้เข้าใจทุกคำความ พ่อจะได้ตอบลูกได้ถูก
จดหมายที่พ่อเขียนให้ลูกนี้ พ่อจงใจเขียน
มันเป็นเหมือนสมบัติ เหมือนเพชรพลอยที่พ่อจะให้ลูกได้ ขอให้ลูกเก็บไว้
รักษาไว้ วันนี้มันอาจไม่มีค่าอะไร แต่มันอาจเป็นประโยชน์ในวันหน้า
เพียงแต่ขอให้ลูกอ่านทบทวนบ่อยๆ ยิ่งถ้าหากพ่อตายไปหรือเป็นอะไรไป
ไม่มีพ่อแล้ว จดหมายที่พ่อเขียนให้แต่ละฉบับนั้น
คือหัวใจพ่อ คือสมบัติจากพ่อ จะมีค่าหรือไม่นั้นลูกจะรู้เอง
รักและปรารถนาดี
พ่อ
๑๗ ส.ค.๒๕๔๖
(จากพ่อไพร
จริยา ภูผาฟ้าน้ำ ถึงลูกชายสิงห์ธรรม จริยา ศีรษะอโศก)
(สารอโศก
อันดับที่ ๒๖๓ สิงหาคม ๒๕๔๖)
|