หน้าแรก>สารอโศก

- ฝั่งฟ้าฝัน -

นี่แหละความรัก


".....อาจเป็นเพราะเราคู่กันมาแต่ชาติไหน จะรัก....รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจของกันและกัน" ฟังเนื้อ เพลงนี้ที่เคยโด่งดังมาก ในสมัยอดีตเกือบ ๑๐ ปีที่แล้ว "เป็นลมหายใจของกันและกันจริงหรือ?"

ดิฉันเป็นคนที่ชอบสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกวัน ไปร่ำเรียนที่เมืองนอกเมืองนาก็ปฏิบัติเหมือนเดิม ทุกวัน แต่ไม่มีโอกาสได้ทำบุญ ดิฉันไปเรียนทางด้านเทคนิคการแพทย์ที่อเมริกา เรียนทางด้านนี้ดิฉันทำงานเจาะเลือด และได้ค่าจ้าง จึงไม่ค่อยต้องเสียค่าเล่าเรียน พอมีรายได้ก็ไปเที่ยวตรงโน้นตรงนี้ทั่วอเมริกา เที่ยวได้ระยะหนึ่งก็เกิดความคิดขึ้นมา "ว่า เอ๊ะ!ทำไม เราสบายและสะดวกขนาดนี้ คงจะกินบุญเก่ามากไปรึเปล่า?"

เพื่อนชวนกลับประเทศไทย (ไปอยู่ ๒ ปี) ดิฉันคิดทบทวนและไม่อยากขัดใจเพื่อน กลับก็กลับ และตั้งใจว่ากลับประเทศไทยครั้งนี้ จะไม่ หวนมาอเมริกาอีก จะนำวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา ไปช่วยประเทศชาติบ้านเมืองดีกว่า

ขากลับดิฉันและเพื่อนไม่บินตรงมาประเทศไทย แต่เดินทางท่องยุโรป สถานที่ไหน ประเทศไหนที่ว่าสวยที่สุด ดิฉันและเพื่อนก็จะไป เที่ยว เช่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ แปลก....สิ่งที่ไปท่องดูท่องเที่ยวมาอย่างสนุกสนาน พอเครื่องบินมาจอดเทียบท่า อากาศยานดอนเมือง จิตสำนึกดิฉันมันก็บอกว่า มันสุขสนุกสนานดีที่สุดแค่นี้เหรอ? มันน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้ ณ วันนี้ดิฉันยืนอยู่ ดอนเมือง เมื่อวานยืนอยู่ปารีส เอ๊ะ!นี่มันสมมุติของโลกนี่นา....จิตใจดิฉันตอนนั้นอยากอ่านหนังสือ ธรรมะมากที่สุด เปรียบเหมือนคนที่กำลังคอแห้งกระหายน้ำ อยากดื่มน้ำนั่นแหละ

เมื่อถึงบ้าน ดิฉันก็ถามคุณพ่อว่า "พ่อมีหนังสือธรรมะให้อ่านไหม?" คุณพ่อก็ขนหนังสือมาให้อ่าน "กฎแห่งกรรม" เป็นเล่มที่ ดิฉันอ่านเล่มแรก ก็รู้สึกดีขึ้น เหมือนคนได้ดื่มน้ำจากการกระหายน้ำ แต่ก็ยังอยากที่จะดื่มน้ำอีก จึงถามคุณพ่ออีกว่า "มีหนังสือธรรมะอีก ไหม?" พ่อบอกว่า "มี....ชุดมองด้านในของหลวงปู่พุทธทาส"

ได้มาดิฉันก็นั่งอ่าน รู้สึกดี ทำให้เข้าใจเรื่องของจิตใจ ส่วนเรื่องกฎแห่งกรรมอ่านแล้วก็คิดได้ว่า ใช่!ทุกคนเกิดมาล้วนมีกรรม และเป็นไป ตามกฎแห่งกรรม หนังสือของท่านพุทธทาสรู้สึกว่า การมีความสุขความทุกข์มันเกิดมาจากจิตใจของเรา ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ที่ร้านธรรมะบูชา หน้ากระทรวงมหาดไทย

ซื้อมาอ่าน ดิฉันมีความสุขในการอ่านหนังสือธรรมะ ในช่วงที่ศึกษาอ่านหนังสือ ดิฉันไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหนทั้งสิ้น พอจิตใจได้ธรรมะ ก็เหมือนคนที่ได้ดื่มน้ำเต็มอิ่ม ไม่คอแห้งกระหายน้ำอีกแล้ว มีเรี่ยวแรงที่จะทำสิ่งต่างๆต่อไป

จากการอ่านหนังสือธรรมะ ทำให้ดิฉันได้ข้อสรุปว่า ศาสนาพุทธไม่ได้งมงายนะ ไม่ใช่พรหมลิขิตหรือสวรรค์บันดาล ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ คือเป็นทุกๆศาสตร์รวมกัน (ในความคิดของ ดิฉันนะ)

ดิฉันสามารถเข้าใจธรรมะได้ระดับหนึ่ง และก็เริ่มทำงาน แต่ก็ยังชอบอ่านหนังสือธรรมะ จนวันหนึ่งคุณแม่บอกว่า "อ่านหนังสือ อย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย" ดิฉันก็ว่า "เออ!ก็ดีเหมือนกัน" คุณแม่ก็เลยชวนไปวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ไปกราบท่านฤาษี ลิงดำ สมัยโน้นไม่มีอะไรมาก มีศาลาอยู่หลังหนึ่ง สภาพจะพังแหล่มิพังเเหล่ และท่านเองก็ไม่ค่อยสบาย แต่ท่านก็ออกมาเทศน์ให้ฟัง "คนถ้าไม่มีศีล ๕ ก็หมดสิทธิ์เกิดเป็นมนุษย์อีก" ดิฉันฟังแล้วก็น่าคิด จากนั้นท่านพานั่งสมาธิ(เจโตสมถะ)

กลับจากวัดท่าซุง ดิฉันก็ไม่กล้าตบยุง และฝึกนั่งสมาธิหลังกลับจากที่ทำงาน เป็นการทำให้จิตเราสงบ ไม่ฟุ้งซ่านกับสิ่งที่ได้ยิน อยู่กับลม หายใจในการนั่งสมาธิวันละ ๑ ชั่วโมง ดิฉันก็ฝึกทำเช่นนี้ทุกวัน

ปลายปี พ.ศ.๒๕๑๗ คุณแม่ซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณป้าสำอางค์ ได้นิมนต์พ่อท่านมาฉันอาหารที่บ้าน สมัยนั้นมีพระรุ่นแรกๆคือ ท่านสิริจันโท ท่านโกวิโท ฯลฯ มาทั้งหมด ๙ รูป สิ่งที่ดิฉันทึ่งคือ ท่านฉันทุกอย่างอยู่ในบาตรของท่าน แต่ปกติพระที่เคยมาบ้าน เวลาฉันจะ มีถ้วยชามเยอะมาก ซึ่งเรียกว่า คณะโภชนา

ก่อนฉันพ่อท่านก็จะแสดงธรรมก่อน ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์นะ ให้สร้างพระในตน(ตัวเรา) เพราะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เสกอิฐหินดินปูน เวลาไปไหนพระพุทธเจ้าท่านก็จะเทศน์สอนเป็นอนุสาสนี-ปาฏิหาริย์(เสก) ให้คนบรรลุพระโสดา บัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์

ทึ่ง! ดิฉันทึ่งมากมาย ท่านย้ำว่า ถ้าคุณทำศีล ๕ ละอบายมุข และมั่นคงในพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ ก็จะ เป็นพระอริยะเบื้องต้นได้ เป็นพระโสดาบัน โดยไม่ต้องไปขอนั่นขอนี่ ไม่มีใครมาดลบันดาลให้ตัวเราได้ นอกจากกรรมของ ตัวเราเองพอเปิดโอกาสให้ถาม ดิฉันและสามีก็ซักไซ้ว่า "ท่านคะ ทำไมอาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสุกรมัทวะ(มีผู้แปล ผิดว่าเนื้อหมูอ่อน) แล้วทำไมบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์" ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า "ไม่ใช่ ที่แท้มันเป็นชื่อของเห็ดชนิด หนึ่งที่หมู ชอบกิน" ดิฉันก็ไต่ถามไปหลายๆอย่าง

ก่อนที่ท่านจะมาฉันอาหารที่บ้าน ดิฉันได้อ่าน"คนคืออะไร?"มาก่อนแล้ว พอมีโอกาสขับรถไปส่งท่าน จึงได้เรียนถามท่านว่า "พ่อ ท่านคะ ทำอย่างไรเราถึงจะมีจิตใจที่สงบราบเรียบ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นโดยไม่ต้องขึ้นๆลงๆ หรือเดี๋ยวสบายใจเดี๋ยวหงุดหงิดใจ อะไรทำ นองนี้ค่ะ" ท่านก็ตอบว่า "ปฏิบัติธรรมสิ" ดิฉันก็มองหน้าสามี ในความคิดของดิฉัน ปฏิบัติธรรมคือการละทิ้งทุกอย่าง แล้วออกบวช แต่ ดิฉันก็ไม่ได้ ถามท่านมากไปกว่านี้

จากนั้นเป็นต้นมา ก็ไปฟังธรรมที่สันติอโศก ไปทุกอาทิตย์ ไปบ่อยๆ ผมก็สั้นขึ้น เสื้อผ้าก็เริ่มจะเป็นโทนสีเรียบๆ เพราะเสื้อผ้าที่ตาม แฟชั่นก็แต่งไม่เข้ากันกับผมสั้น หน้าตาก็เริ่มไม่แต่ง พอจะซื้ออะไรที่เป็นแฟชั่นนิยม ก็จะถามตัวเองว่า "ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ไหม?" ส่วนการกินอาหารมังสวิรัติ เริ่มตั้งแต่วันที่ได้สนทนากับพ่อท่านเป็นต้นมา

จากการเริ่มปฏิบัติตัวดังกล่าว พอเลิกงานจะไปซื้อโน่นซื้อนี่ ก็ไม่ไปแล้ว เพราะจะกินอะไรก็ไม่ได้(ไม่มีมังสวิรัติ) เมื่อไม่ได้ไปเที่ยว เวลา ก็เหลือ เงินก็เหลือ และน้ำหนักตัวก็ลดลง ผลดีของการปฏิบัติธรรมเห็นผลได้ทันตา ทีวีที่เคยติดหนังติดละคร ดูแล้วก็มอง เห็นคนนี้ขี้โลภ คนนี้ขี้อิจฉา ก็เลยทำให้การดูละครหมดอรรถรส ไม่สนุกแล้ว ก็ไปดูข่าว มีแต่ข่าวฆ่ากัน สังคม บันเทิง โอ้ย!ไม่มีอะไรน่า ดูแล้ว ปิดทีวียกออกจากห้องไปเลย

เวลา(ซึ่งเท่ากันทุกคน)เหลือมากขึ้น ดิฉันก็อ่านหนังสือธรรมะหลังเลิกงาน เพื่อรอกลับบ้านพร้อมกับสามี พอถึงบ้านก็ไม่ได้กินอาหารเย็น เพราะลดมื้ออาหารลง จาก ๓ มื้อเหลือ ๒ มื้อ ดื่มนมก่อนนอน ก็พยายามลดให้เหลือเพียงน้ำเปล่า

พ่อท่านเทศน์ว่า คนที่แต่งงานแล้วไม่มีบุตร เป็นบุญอย่างยิ่ง ป่วยการกล่าวไปไยกับคนไม่แต่งงานเลย ดิฉัน ก็บอกสามีว่า ไม่ต้องมีแล้วลูก ช่างมันเถอะ พระพุทธเจ้าบอกเป็นบุญแล้วที่ไม่มี เพราะว่ายุคนี้มันอันตรายมาก จะมีลูกได้ไง ทั้ง ๑๔ ตุลาฯมหาวิปโยค จะเหมือนพนมเปญแตกรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเกิดพุงป่องแล้วต้องวิ่งหนี ลองคิดดูซิ และสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เดี๋ยว ๖ ตุลาฯก็มาอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชาติปิทุกขา การเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป เดี๋ยวลูกเกิดมาในสังคมอย่างนี้จะลำบาก เดี๋ยวเด็กโตเดินกันเป็นคู่ๆ แล้วลูกเราจะเป็นอย่างไร เห็นเด็กๆเดินออกมาจากโรงแรมม่านรูด ถ้าเป็นลูกเราจะทำอย่างไร ไม่แล้ว ไม่เอาแล้ว ขอถือศีล ๘ แล้วกัน

จากนั้นดิฉันกับสามีก็อยู่กันแบบพี่แบบน้อง ต่างคนต่างดูแลกันเหมือนพี่ดูแลน้อง เพราะเขาเหมือนพี่ชาย อายุมากกว่า อยู่มาวันหนึ่งดิฉัน ขออนุญาตไปฟังธรรม อยากรู้ว่าที่ตื่นตี ๓ น่ะ ทำวัตรท่านเทศน์อะไร พี่ชาย(สามี) ก็อนุญาต "ไปเลย ไป ๗ วัน ไม่ครบไม่ต้อง กลับ"

ดิฉันก็นั่งรถไปเอง ขณะนั่งรถก็ได้เห็นภาพชีวิตของคน ที่ดิ้นรนในการเลี้ยงชีพ กว่าจะทิ้งภาระมาได้ มันช่างยุ่งยากจริงหนอ ดิฉันเห็น อะไรก็พิจารณาตลอด วิเคราะห์ตลอดทางว่า เขาจะทำเพื่ออะไร ดิ้นรนกันเพื่ออะไร และตัวดิฉันจะดิ้นรนเพื่อ อะไร?

ช่วงดิฉันทำงานอยู่ ได้เห็นคุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งเปิดคลินิกถึง ๒ คลินิก และมีไร่อ้อยอีก วันหนึ่งท่านเดินมาหาพร้อมกระเป๋าเจมส์บอนด์ "โอ้ย!นี่ช่วยนับเงินให้ผมหน่อย ผมไม่มีเวลาเลย" พอเปิดออกมาดู เงินก็เต็มกระเป๋าเลย แต่เป็นใบที่หงิกงอหมดเลยทั้ง กระเป๋า "ผมไม่มี เวลาแม้จะกินข้าว" มืออีกข้างของหมอถือไก่ย่างเอามากิน

ดิฉันเห็นแล้วก็นึกปลง "คุณหมอไม่มีเวลาขนาดนี้ ไปทำมันทำไมล่ะคะ เงินเดือนคุณหมอก็ตั้งเยอะ มีคลินิกอีก ๒ คลินิก แล้วยังมีไร่อ้อย ซึ่งต้องขับรถไปดู" ดิฉันก็ปลงหลายอย่าง ไม่เหมือนดิฉันได้ตื่นเช้าฟังธรรม ฟังธรรมเสร็จไปทำงาน กลับ จากทำงานข้าวเย็นก็ไม่ต้องกิน มีเวลาอ่านหนังสือ คุยกับสิกขมาตุ แสนจะสบาย ดิฉันเปรียบเทียบแยกโลก แยกธรรม

หลังจากครบ ๗ วัน สามีก็มารับ ในใจก็อยากฟังธรรมต่อ เพราะพ่อท่านเทศน์สอนถึงพระพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน จึงขอสามีอยู่ต่ออีกสัก ๒-๓ วัน สามีก็อารมณ์ไม่ดี "ปฏิบัติธรรมที่ไหนก็ได้" เขาก็คงจะรู้สึกว่า เรานี่มานานแล้วนะ ไม่เห็นใจเขาอะไรประมาณนั้น ๗ วันแล้วยังไม่ยอมกลับ พอมารับขออยู่ต่ออีก

กลับก็กลับ ดิฉันก็นิมนต์พระอโศกรูปหนึ่งให้เทศน์โปรดสามี เพราะดิฉันอยากอยู่ต่อฟังเทศน์ให้จบ ท่านก็บอกเขาว่า "ที่นี่เป็นสถาน ที่สัปปายะ อาหารสัปปายะ คนสัปปายะ คุณก็ทำบุญมาเยอะ ทำไมไม่เสียสละให้เหมือน พระเวสสันดร ล่ะ" ตกลงสามีก็อนุญาตให้อยู่ และพระท่านก็พูดต่อว่า "ถ้าคุณจะไปวนอยู่ในโลกอีกเป็นล้านๆรอบก็ตาม คุณก็ต้องมาทิศทางนี้"

ดิฉันสะดุดใจ....คงจะหมดเวรหมดกรรมกันมั้ง ปรากฏว่าสามีเขาไปลาพ่อท่าน "พ่อท่านครับ ผมขอทำสุดยอดปาฏิหาริย์ ครับ ผมขอถวายพ่อท่าน ตลอดกาลครับ" ดิฉันกราบขอบคุณเขา และจากวันนั้นดิฉันไม่ได้กลับอีกเลย

แต่ดิฉันกลับไป สะสางสิ่งต่างๆหนึ่งวันเขาก็ร้องห่มร้องไห้ ดิฉันก็บอกเขาว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่พลัดพรากจากกัน นี่ก็ไม่ได้ตายจาก กัน ไปเยี่ยมเยียนกันได้ คุณบอกว่ารักฉันมากที่สุดไง ชีวิตก็ให้ได้ ทำไมฉันไปเดิน ตามทางพระพุทธเจ้าทำไมจะให้ไม่ได้ล่ะ" เขาก็ยิ้มทั้งน้ำตา "น้องไปก่อน แล้วพี่จะตามไป" จนบัดนี้ ๒๐ กว่าปี เขาก็ยังไม่ ตามมา!

สิ่งที่ดิฉันสำนึกจะต้องทำการเสียสละในชาตินี้ ก็คือดิฉันจะต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้เป็นบุญกุศลแก่ ทั้งพ่อแม่ และตัวอดีตสามีที่ยกให

รักเอย รักเอย รักเอย
รักที่เคยถูกหลอกว่าหวานชื่น
เคยถูกปลูกฝังให้จำกล้ำกลืน
ให้หวานชื่นขื่นขมสมหลอกลวง

น้อมนมัสการยิ่ง
สิกขมาตุ รินฟ้า

พุทธสถานปฐมอโศก