ติดหลับติดนอนมานาน
เป็นมารกิเลสตัวใหญ่
สำนึกรู้ตัวสู้ตาย
น่าอายหากอยู่ยอมมัน
พระโสณโปฏิริยปุตตเถระ
ในอดีตชาติของพระโสณโปฏิริยปุตตเถระนั้น
เคยสั่งสมบุญไว้แล้วในกาลก่อน แม้ในสมัยของ พระพุทธเจ้า
พระนามว่า สิขี ตอนนั้นเขาเป็นนายพรานป่า
ท่องเที่ยวหาอาหารไปในป่าใหญ่ อาศัยของป่าเลี้ยงชีพของตน
อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยวาสนาบารมีมาถึง
ได้มีโอกาสพบเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง
เขาบังเกิดจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้าสิขียิ่งนัก จึงได้นำเอาผลมะหาด(ผลกลมมีผิวขรุขระคล้ายขนุน
แต่เล็กกว่ามาก รสชาติเปรี้ยวๆหวานๆ) ถวายพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ด้วยมือทั้งสองของตน
จากการถวายผลไม้นั้นเอง ผลบุญนำพาให้ได้สุคติ(ไปในทางดี)
เขาไปเกิดในภพเทวดา(ผู้มีจิตใจสูง) และภพมนุษย์(ผู้มีจิตใจประเสริฐ)ทั้งหลาย
กระทั่งในชาติสุดท้าย. ..ได้เกิดเป็น บุตรของนายบ้านชื่อ
โปฏิริยะ ในเมืองกบิลพัสดุ์ของแคว้นศากยะ เขาได้ชื่อว่า โสณะ
เป็นผู้เฉลียวฉลาดมีความรู้ดี ได้เป็นเสนาบดีของพระเจ้าภัททิยะแห่งศากยวงศ์
ต่อมาพระเจ้าภัททิยะทรงผนวช ในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมแล้ว
เขาเกิดความคิดว่า
"แม้แต่พระราชาภัททิยะก็ยังทรงเห็นทางนี้ว่าประเสริฐสุด
จึงทรงผนวช ก็แล้วจะมีประโยชน์ อะไร แก่เราเล่า ที่จะอยู่ครองเรือน"
คิดดังนั้นแล้ว จึงสละจากเพศฆราวาส
ออกบวชตาม ได้เป็นภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา แต่เพราะนิสัย
เคยติดความสุขสบายมาก่อน จึงไม่ขวนขวายในการภาวนา(ทำให้เกิดมรรคผล)
เป็นผู้ยินดีในการหลับนอน แม้เฉลียวฉลาดแต่ปฏิบัติธรรมน้อย นอนมาก
ทำให้ไม่อาจบรรลุธรรมได้ ติดอยู่ในกิเลสถีนมิทธะ(ความง่วงซึม)อยู่เสมอ
มีอยู่คราวหนึ่ง พระศาสดาทรงประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวันวิหาร
คืนนั้นเองทรงทราบ อาการติดหลับ ของภิกษุโสณโปฏิริยปุตตะ ทรงปรารถนาจะช่วยเหลือ
จึงทรงแสดงโอวาทเตือนสติว่า
"ราตรีอันประกอบด้วยฤกษ์มาลินี(คือคืนที่ฟ้าเปิดเห็นดวงดาวขึ้นเป็นกลุ่ม
เหมือนพวงดอกไม้ เช่น ดาวลูกไก่) เช่นนี้ มิใช่เป็นราตรีที่จะมามัวหลับนอนเพลินอยู่
ราตรีฤกษ์ดีเช่นนี้ ย่อมเป็นราตรี ของผู้ปรารถนา ความรู้แจ้ง พึงกระทำความพากเพียรในธรรมโดยแท้"
ได้ฟังคำตรัสนั้นแล้ว ภิกษุโสณะก็ถึงกับสลดใจ
บังเกิดหิริ(ความละอายต่อการกระทำผิด) และโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อการกระทำผิด)ขึ้นภายในจิตใจ
ได้สำนึกรู้สึกตนขึ้น จึงอธิษฐาน (การตั้งจิต) ที่จะเผาผลาญกิเลสตน
ด้วยอัพโภกาสิกังคธุดงค์ (คือการอยู่ในที่กลางแจ้งเป็นวัตร) เพื่อแก้นิสัย
ความยินดีในการหลับนอน แล้วกระทำในวิปัสสนา(การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง)
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเอาไว้อย่างเด็ดเดี่ยวว่า
"เราขึ้นคอช้างเข้าต่อสู้ในสงคราม
ถ้าเกิดพลัดตกลงมาจากคอช้าง แล้วถูกช้างเหยียบเอา เราตายเสียในสงครามยังประเสริฐกว่า
มีชีวิตอยู่อย่างผู้แพ้จะประเสริฐอะไร"
เมื่อได้ตั้งจิตหนักแน่นจริงจังแล้ว
ก็ขวนขวายบำเพ็ญความเพียรในธรรมเป็นเครื่องตื่นอยู่เสมอ ในไม่ช้าก็สามารถบรรลุธรรม
ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแล้ว
ณวมพุทธ
ศุกร์ ๑๒ ก.ย.๒๕๔๖
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๒๙๔ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๑ หน้า ๑๗๔)