หน้าแรก>สารอโศก

 


งดเหล้าออกพรรษา

เมื่อก่อนยังไม่เจอธรรมะ ผมเองเป็นคนที่ติดสุรามาก (ตอนที่ดื่มอยู่ก็ไม่คิดว่าตัวเองติด) แต่พอจะหยุด จะเลิกสุรา จึงรู้ว่ามันทรมานมาก เริ่มแรกที่ผมจะเลิกได้ ก็อาศัยโครงการงดเหล้าเข้าพรรษา แต่ทำอยู่เองคนเดียว (ตอนนั้นยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ) โดยพึ่งรายการทุกข์ปัญหาชีวิต ของท่านจันทร์ ที่ฟังอยู่ประจำเป็นกำลังใจให้

พรรษาแรกรู้สึกลำบากมาก ต้องต่อสู้ทั้งตัวเองและเพื่อนสนิทมิตรสหาย ที่เคยกินเคยเมาด้วยกันมานาน ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่า เรากำลังทำอะไร บางคนก็หาว่าทิ้งเพื่อน บางคนก็ว่าเราขี้เหนียว บางคนยิ่งไปกว่านั้นด่าเสียๆหายๆเลยก็มี ผมเองก็อธิบายให้สำหรับคนที่เข้าใจได้เท่านั้น ส่วนที่รับไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปก่อน ขอให้ตัวเองตั้งใจให้ดี ต้องเข้มแข็งจริงๆ เวลาจะใจอ่อนก็นึกถึงครอบครัวบ้าง ลูกเมียเรานั้นเขาดีใจมากครับที่เราทำได้

พรรษาแรกผ่านไปโดยไม่ล้มเลย แต่พอออกพรรษา ใหม่ๆก็ยังเหนียมๆอยู่ เพื่อนฝูงก็จะพยายามให้เราถอนทุน คือ ให้ดื่มหนักกว่าเมื่อก่อน นานๆเข้าเราก็จมหนักตามเดิม ซึ่งก็นำความเสียใจมาให้ครอบครัวเหมือนเดิม หรือว่าอาจจะหนักกว่าเดิมอีกก็ไม่รู้แน่

แต่พอเข้าพรรษาปีต่อมา ก็งดเหมือนเดิมอีก โดยปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนเดิม ไม่ให้ล้มเด็ดขาด ผมทำอยู่หลายปีเข้า ต่อมาก็เริ่มฟังธรรมมากขึ้น อ่านหนังสือของชาวอโศก คบคุ้นกับพี่น้องผู้ปฏิบัติธรรมให้บ่อยๆ (มาฟังธรรมวันอาทิตย์ที่สันติอโศกด้วย) ก็ทำให้มีปัญญารู้ดีรู้ชั่ว ก็เลยตัดสินใจเลิกทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ พร้อมอบายมุขทุกๆอย่างหมดเลย

ปัจจุบันก็ถือศีล ๕ ละอบายมุขทุกอย่างมาก็หลายปีแล้ว จึงอยากเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่เข้าโครงการงดเหล้าเข้าพรรษาทุกๆท่านครับ

หลายอย่างที่ผมเองจะฝึกปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษา โดยเฉพาะเรื่องที่ยากๆ เช่น อาหาร ศีลแปดอย่างนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากจริงๆสำหรับตัวผม แต่ก็เพราะมีการเข้าพรรษานี่แหละ จึงทำให้มีผมในวันนี้

ทุกวันนี้ก็ทำได้สมบูรณ์แล้วหลายๆอย่าง ไม่ว่าเรื่องอาหาร การปฏิบัติศีลที่ว่ายากๆเมื่อก่อนนี้ ก็ผ่านมาได้ ๒ พรรษาแล้ว ก็ยังเหลือในขั้นละเอียดขึ้น เพื่อพัฒนาตัวเองก็จะพยายามต่อไปครับ
- อุดม อาสาสะนา จ.เชียงราย

*** ตอนนี้ออกพรรษาแล้ว ได้เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วเป็น โครงการ "งดเหล้าออกพรรษา"ก็ไหนๆทำดีมาได้แล้วตั้ง ๓ เดือน ทำดีต่อไปให้สุดๆสมบูรณ์ไปเลย - บ.ก.

สูตรเลิกสุรา
ทำให้จิตใจตระหนัก ตอกย้ำและเพิ่มพูนการปฏิบัติธรรม เพื่อมิให้ถดถอย หรือเสื่อมคลายลงไป คือรักษาสภาวธรรมให้นิ่ง คงอยู่สม่ำเสมอตลอดเวลา ตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนา

นอกจากนี้สังเกตหรือพิจารณาประเมินตนเอง เห็นว่ามีพฤติกรรมหรือระเบียบปฏิบัติประจำในการดำรงชีพเปลี่ยนไป จากปกติวิสัยเดิมดื่มสุราทุกเย็นค่ำ ทุกวันๆมานาน ๓๐ กว่าปี เป็นการดื่มสุราที่แทบจะไม่เกิดความเสียหายใดๆแก่ตนเอง ครอบครัว การงาน และสังคม แม้สุขภาพก็เอาใจใส่ดูแลสม่ำเสมอ แต่ถึงอย่างไรก็เสียทรัพย์ และเสียเวลา

หนังสือดอกหญ้าและสารอโศกเป็นโอสถที่สำคัญ ที่มีส่วนทำให้เกิดการปฏิรูปตัวเอง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องงัดเอาอิทธิบาท ๔ ขึ้นมาต่อสู้กับสุรา คนรอบข้าง คนใกล้ชิดสนิทสนม และเพื่อนร่วมสังคม ตั้งแต่ประมาณเดือนกันยายน ๒๕๔๕ ถึงปัจจุบัน คิดว่าชนะกิเลสและอบายมุขดังกล่าวได้ เพราะเหมือนๆกับว่าลืม ไม่คิดอยาก และไม่แตะต้องแม้แต่มองขวดเหล้า

กลยุทธ์ที่หยิบยกมาใช้ก็คือ สาระเนื้อหาจากดอกหญ้าและสารอโศก โดยรวมนั่นก็คืออดอาหารมื้อเย็น ทำให้ดื่มสุราขณะท้องว่างไม่ได้โดยปริยาย ในแต่ละมื้อเย็นของแต่ละวัน สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ สุขภาพ เวลา และค่าใช้จ่ายที่ลดลง
- อุกฤษ ทิพพะพาทย์ จ.นนทบุรี

*** อดอาหารมื้อเย็น ทำให้ดื่มสุราขณะท้องว่างไม่ได้ สูตรนี้มีผู้เลิกสุราได้แล้ว ใครสนใจเชิญทดลองดูได้ - บ.ก.

ประเทศชาติหลังหัก
ดิฉันต้องขอสารภาพผิดเลยนะคะว่า ตลอด ๑๐ ปีที่เป็นครูมา ดิฉันสอนเด็กนักเรียนมาตลอดเลยว่า ให้นักเรียนตั้งใจเรียน เพื่อต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน จะได้ทำงานสบายอยู่ในห้องแอร์

ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนเป็นครูจะสอนนักเรียนแบบนี้ เมื่อดิฉันได้รับสารอโศกและดอกหญ้าอ่าน จึงได้รู้ว่าครูอย่างดิฉัน "โง่จริงๆ" เพราะดิฉันสรุปตัวเองว่า สอนนักเรียนไปในทิศทางเดียว สอนไม่ให้นักเรียนรักท้องถิ่น สอนไม่ให้รักอาชีพที่บรรพบุรุษทำมา ซึ่งเป็นอาชีพที่มีอิสระไม่มีใครบังคับ และจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน สามารถปฏิบัติธรรมได้ดีด้วย

ที่ผ่านมาดิฉันสอนเด็กแบบที่กล่าวมาแล้ว และส่วนมากก็สอนแบบจินตนาการ เมื่อดิฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของชาวอโศกจึงรู้ว่า การปฏิบัติจริงเป็นสุดยอดของการสอนคน ถามว่าดิฉันเคยเรียนมาก่อนจะมาสอนนักเรียนหรือเปล่า? เคยค่ะ แต่ด้วยว่าระบบการศึกษาในประเทศไทย ค่อนข้างเน้นให้หนีอาชีพเกษตร เพราะลำบากตากแดด โดยหารู้ไม่ว่าอาชีพอื่นๆเป็นเพียง "มายา" และทำให้เกิดชนบทล่มสลายเหมือนทุกวันนี้

ใครไม่เป็นครูไม่ทราบหรอกค่ะว่า เด็กทุกวันนี้มีปัญหามากมาย จนบางทีเกินที่ครูจะแก้ไขได้ เพราะพื้นฐาน ทางบ้านปลูกฝัง เพราะ ครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด เมื่อศึกษาปัญหาของนักเรียน ที่มีปัญหาแล้ว ๑๐๐% มีปัญหาคือ ครอบครัวไม่อบอุ่น ถึงครูแก้ไขก็ช่วยได้นิดหน่อย สาเหตุของเด็กมีปัญหา คือ พ่อแม่ไม่ได้ อยู่ด้วย ไปทำงานที่อื่น ปล่อยลูกอยู่กับตา ยาย บางบ้านมีแต่ลูกอยู่ด้วยกัน พี่คนโตอยู่ ม.๓ น้องอีก ๓ คนอยู่ ป.๕, ป.๓, และป.๑ ตามลำดับ (เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่โรงเรียนดิฉันเองค่ะ) แล้วครูจะไปช่วยแก้ปัญหา ครอบครัว ในลักษณะนี้ได้เหรอคะ

และอีกสาเหตุคือ พ่อกับแม่ไปทำงานที่อื่น ตัวของพ่อแม่เองก็สร้างปัญหา ไปพบเห็นคนใหม่ก็เลิกร้างกันไป ปล่อยให้ลูกและตายาย เผชิญชะตากรรม อย่างไร้จุดหมาย และมืดมน

ทุกวันนี้ ดิฉันเปลี่ยนทัศนคติและสอนนักเรียนแบบใหม่ ให้พอใจในอาชีพเกษตร ค่อยๆแทรกเข้าไปในบทเรียน และให้มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพอิสระ และได้อยู่บ้านของตนเอง สำหรับตัวดิฉันเองถือว่า อาชีพเกษตร(ธรรมชาติ)แบบชาวอโศก ดีที่สุดค่ะ
- มณีประภา สกุลลักษณ์ จ.สุรินทร์

*** ไม่เปิดเผยให้รู้ หลายๆคนคงคิดไม่ถึงว่า แค่ชาวบ้านหนีอาชีพกสิกรรม หันไปทำอาชีพอื่นๆ ทิ้งชนบท เข้าสังคมเมือง จะมีปัญหาในครอบครัวชนบทถึงปานนี้เชียวหรือ แล้วถ้าปัญหานี้ยังแก้ไขไม่ได้ ประเทศชาติ จะหลังหักแน่ๆ เพราะบรรดากสิกรซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติล่มจมเสียแล้ว - บ.ก.

เปลี่ยนไฟใหม่
ผมได้ความคิดดีๆหลายอย่าง จากการอ่านหนังสือที่ส่งไปให้ ช่วยเตือนตนเวลาคิดอะไรไม่ออกด้วย ผมได้ความรู้จากหนังสือแล้วนำมาปฏิบัติ เช่น
๑. การกินอาหารมังสวิรัติ
๒. การทำกสิกรรมไร้สารพิษ ผมทำมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ หกปีนี้แล้ว ดินผมสมบูรณ์ขึ้น ยิ่งทำยิ่งมั่นใจ ดินตรงไหนยังไม่ดีก็ปรับปรุงไปเรื่อยๆ

ผมมั่นใจในการปฏิบัติธรรมะสายอโศก แล้วกล้าประกาศตัวเองในหมู่บ้าน จนคนในหมู่บ้านตำบลถาวรเขารู้กันไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน หรือระดับผู้นำในหมู่บ้าน หรือ อบต. ก็ตาม

แรกๆผมทำอยู่คนเดียว ครอบครัวเดียว สิ่งแรกนำมาทำคือ ข้าวกล้อง ผมลงทุนมากกับเครื่องสีข้าวกล้อง ลงทุนเขียนโครงการขอเงินกองทุนซิป ก็ไม่ได้ เพราะทำอยู่คนเดียว มีสมาชิกแต่ไม่รวมกันทำ เพราะเขาไม่เข้าใจ ยังอยู่แบบตัวใครตัวมันอยู่ จึงไม่เป็นการทำงานแบบรวมกลุ่ม จึงพลาดไป

ผมจึงซื้อเอง เครื่องสีข้าวกล้องแบบมือโยกหมุน ใช้กระด้งฝัด เวลามีงานประเพณีหมู่บ้าน เช่น งานประเพณี
แห่บั้งไฟ ผมก็เอาขึ้นโชว์ แต่ไม่เป็นที่สนใจเท่าใดนัก

ต่อมาก็ลงทุนซื้อเครื่องสีข้าวกล้องมาอีก เป็นโรงสีขนาดเล็ก ๓ หมื่น ๕ พัน สีข้าวซ้อมมือ ซื้อเครื่องหัวซุปเปอร์เก่าๆ มาดัดแปลงสีข้าวกล้อง ก็พอทำได้ ตั้งแต่ผมเริ่มปฏิบัติธรรมะสายอโศกมา ผมลงทุนลงแรงมาก กล้ามาก ไฟมันแรงครับ

แต่คนก็ยังเห็นความสำคัญน้อยมาก ผมก็น้อยใจ แต่ด้วยความเป็นนักปฏิบัติธรรมะ มีหนังสือธรรมะเตือนใจ ให้กำลังใจผมเสมอ ผมไม่ท้อ สู้ต่อ

ต่อมาก็มาจับปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ จริงๆก็จับมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ แต่ยังไม่ออกโชว์ พอมาปี'๔๖ โชว์เต็มที่ ออกงานขบวนแห่ประกวดบั้งไฟประจำหมู่บ้าน ปรากฏว่า ขบวนหมู่ผมได้ที่ ๑

ผมพยายามทำทุกอย่าง เพื่อช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคน เพราะผมมองเห็นว่า ทุกวันนี้มันเต็มไปด้วยสารเคมี สารพิษต่างๆเต็มไปหมด ไปไร่ไปนาก็ต้องระวังอันตรายจากสารพิษ ถึงเวลาที่จะรณรงค์และเอาจริง การที่ผมเอาจริง ไฟแรงมากๆ คำพูดก็แรง เขาก็กลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ ผมเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนผู้อื่น นำมาใช้ ก็พอไปกับเขาได้ (เขา)หมายถึงชาวบ้านทั่วไป และข้าราชการผู้นำหมู่บ้าน

ตอนนี้มี ธ.ก.ส. มาจัด โรงเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ ที่กลุ่มผมลงหว่านกล้าไปแล้ว สมาชิกบางส่วนที่ยังทำไม่ค่อยเก่ง ก็พากันไปซื้อปุ๋ยอินทรีย์ บังเอิญไปซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตราดินสมบูรณ์ เขาว่าจะมีการแจกน้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์ด้วย พอถึงเวลาแจกก็เจอคุณหนึ่งฟ้า นาวาบุญนิยมเข้าให้ โชคดีเหลือเกิน ต่อมาเจอคุณหนึ่งแก่น เจ้าของปุ๋ยด้วย เชิญมาพูดให้กลุ่มฟังเลย ได้ความรู้เรื่องปุ๋ยหมักชีวภาพมากมาย สมาชิกพอใจ จะได้ปุ๋ยอินทรีย์เอื้ออาทรของคุณหนึ่งแก่นด้วย
- ศุภชัย พิพ่วนนอก จ.บุรีรัมย์

*** ไฟแรงไป ก็จะเผาไหม้ทั้งตัวเองและคนอื่น ไฟอ่อนไป ก็เนิ่นช้ากว่าจะสุก ฉะนั้น ไฟต้องแรงพอดีๆ จึงจะเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านสูงสุด - บ.ก.

สิ่งสกปรกชิ้นสุดท้าย
การปฏิบัติของฉัน หลังจากงานอโศกรำลึกกลับถึงบ้าน ก็ตั้งใจกินข้าวมื้อเดียว เฉพาะวันพฤหัสฯและวันเสาร์ แต่ก็ตั้งใจได้แค่สามอาทิตย์เท่านั้น เพราะได้ไปรับจ้างดำนา และต้องดำนาตัวเองด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะให้กิเลสคือความอยากเข้าครอบงำ เพราะรู้สึกอ่อนเพลียมาก กินข้าวไม่ค่อยได้ ก็เลยปล่อยให้เสียความตั้งใจอันนั้น

ฉันยังทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อครอบครัว ทำอาหารที่ได้มาจากเนื้อสัตว์ ชิมอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ แต่ไม่ยอมกลืนลงท้อง เพราะจะติดความอร่อยของอาหาร ชิมแล้วก็เพื่อให้รู้รส แล้วก็เอาน้ำมาบ้วนปาก เอารสอาหารนั้นทิ้ง ที่ไม่ยอมกินก็เพราะสงสารสัตว์ และกลัวตัวเองติดรสอันนั้น

แต่ยังยอมให้ไข่เป็นสิ่งสกปรกชิ้นสุดท้ายเข้าร่างกายฉัน เพราะไข่นั้นทำอาหารได้สารพัดจริงๆ

ตอนนี้ก็ปลูกถั่วไว้กิน ได้ถั่วฝักยาวนี่แหละช่วยชีวิตไว้ ปลาร้าถั่วเหลืองก็ทำกินเอง ซีอิ๊วก็ทำกินเอง จึงไม่ค่อยเดือดร้อนมากเท่าไหร่ ขอบคุณมากค่ะ ในความกรุณาที่ส่งสารอโศกไปให้อ่านประจำ
- ดวงพร พิลาชัย จ.มหาสารคาม

*** ชาวอโศกไม่สนับสนุนการกินไข่ เพราะไข่เป็นลูกของสัตว์ มันรักและหวงแหนลูกของมัน แม้จะเป็นไข่ลมก็ตาม มันก็ถือว่าเป็นลูกของมัน - บ.ก.

ระงับโทสะได้ไว
ดิฉันเป็นผู้ที่ได้อ่านหนังสือสารอโศกกับดอกหญ้ามาก จึงได้อะไรมากกว่าใครๆในบ้านอยู่บ้าง ได้วิธีการระงับความโกรธจากพ่อท่าน แต่เพราะเป็นครอบครัวใหญ่ จึงมีสมาชิกในบ้านต่างเพศ ต่างวัย ต่างระดับสติปัญญากันพอสมควร ดังนั้นบ่อยมากมักจะเกิดโทสะ แต่ก็ระงับได้ไวกว่าแต่ก่อน ใช้เงินน้อยลง ในช่วงนี้ก็ได้รับประทานอาหารมื้อเดียว รู้จักให้อภัย และพยายามเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น

พูดเรื่องไร้สาระน้อยลง พูดว่าคนอื่นๆ ยังมีอยู่บ้าง เมื่อมีผลมาเกี่ยวข้อง หรือมีคนทำให้คนในสังคมเดือดร้อน แต่ก็จะคิดได้ไวขึ้นว่า เราไปยุ่งอะไรกับเขา ตัวเราเองก็ยังไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร

นอนน้อยลง พยายามไม่ให้อยู่ว่าง ทำงานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง รู้สึกว่าตัวเองใจสงบกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังมีรัก-โลภ-โกรธ-หลง อยู่มากพอสมควร นับว่าเป็นกุศลของดิฉัน ที่ได้สารอโศกและดอกหญ้าเป็นตำราสอนธรรมะให้ ในบางครั้งเมื่ออ่านแล้วทิ้งไว้บนโต๊ะ สมาชิกในบ้านบางคนก็คงอยากรู้อยากเห็น ได้หยิบไปอ่านบ้าง โดยเฉพาะลูกชายอ่านเรื่องรอยบุญรอยบาป แล้วยังนำมาเล่าให้ฟังด้วย เพราะบางครั้งดิฉันก็ยังไม่ได้อ่านถึงเรื่องนั้นเลย
- ศิริจิต อู่สำราญ จ.ลพบุรี

*** อย่าว่าแต่ระงับโทสะได้ไวเลย หลายๆอย่างที่เล่ามา ทั้งการกินอยู่ การหลับนอน การงานต่างๆล้วนทำได้ดีขึ้นทั้งนั้น โดยเฉพาะใจสงบกว่าเดิม นั่นแหละเป็นสุดยอดของความสุขเลย ซึ่งไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน จะได้มาด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น - บ.ก.

นี่แหละวิปัสสนา
ข้อปฏิบัติที่ได้จากการอ่านคือ พื้นฐานเป็นคนใจร้อน โกรธง่ายหายไว แต่พอได้อ่านหนังสือหลายๆเล่มของอโศก ทำให้รู้ว่าการดำเนินชีวิตอย่างแต่ก่อน ยังใช้ไม่ได้

ตอนนี้ก็ใจเย็นขึ้น เวลาโกรธก็จะตามทัน จะถามตัวเองว่า โกรธทำไม โกรธแล้วดีมั้ย คำตอบคือไม่ดีเลย ก็พยายามอยู่ค่ะ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะตามความโกรธได้ช้า แต่ก็อยู่ในใจ พยายามไม่แสดงออกมาทางกายและวาจา ก็มีบ้างที่หลุดในบางครั้ง

อาหารก็ฝึกทานวันละ ๒ มื้อ พยายามไม่ให้มีนอกมื้อ นอกจากน้ำเปล่า แต่ก็มีบ้างที่บางวันทานผลไม้นอกมื้อ ต่อไปก็จะพยายามลดให้อยู่ใน ๒ มื้อให้ได้ค่ะ
- จิตราภรณ์ แก้วทะชาติ กทม.

*** มีสติคอยจับกิเลสตนได้ ถามตัวเอง มีคำตอบที่ถูกธรรมให้กับตัวเอง(วิปัสสนา) แล้วลงมือสู้กิเลสเสมอๆ มีหรือที่กิเลสจะไม่ตาย ไม่มีเลย - บ.ก.

หัวใจน่ากราบ
ดิฉันได้รับหนังสือสารอโศกเล่มใหม่แล้ว และดอกหญ้าก่อนหน้านี้ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ตอนนี้ดิฉันก็ตัดพวกเพื่อนๆไปหลายคนแล้ว เพราะความคิดและการกระทำสวนทางกัน ดิฉันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร กับการไม่มีเพื่อน แต่กลับทำให้สบายใจขึ้นด้วยซ้ำ ถือคติที่ว่า ถ้ามีเพื่อนชั่วอิจฉาริษยา ไม่จริงใจ เห็นแก่ได้ ก็อยู่คนเดียวอย่าไปมีเพื่อนเสียดีกว่า

เวลาทุกข์ใจเหงาใจ ดิฉันก็มีมิตรดีที่แสนดี ที่ให้ดิฉันได้ในทุกเรื่อง ก็คือ "ดอกหญ้าและสารอโศก" ทุกท่านคือกำลังใจ ตัวอักษรทุกตัวก็คือกำลังใจของดิฉันด้วยถึงแม้ตอนนี้ดิฉันกำลังทุกข์ใจหนัก เกี่ยวกับ "ความรัก" เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของจิตใจคน ได้เห็นความจริง ความไม่เที่ยงของจิตใจมนุษย์ ขนาดทำใจเตรียมใจเรียนรู้มานาน ก็ยังต้องเสียใจหลั่งน้ำตาจนได้

ประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยฝึกใจ เรียนรู้ใจ(ไม่เคยปฏิบัติธรรม) ดิฉันจึงสงสารพวกเขาเหล่านั้นจริงๆ ที่ผิดหวัง บางคนฆ่าตัวตาย ดิฉันเห็นใจและเข้าใจจริงๆที่ได้ประสบพบแบบเขา ดิฉันฟังท่านจันทร์จัดรายการกรอกหูอยู่ทุกวัน ว่าเรื่องอย่างนี้มันเรื่องเล็กน้อย ขี้ปะติ๋ว ก็คงจะจริง ดิฉันเศร้าแค่ ๒ วัน วันนี้ก็หายแล้ว(วันที่ ๓)

ได้อ่านสารอโศก ได้รู้เรื่องราว ได้รับข่าวคราวพ่อท่าน ทำให้รู้ว่าพวกชาวอโศกทำงานกันอย่างหนัก ทั้งแรงกาย แรงสมอง พวกท่านเสียสละกันจริงๆ หัวใจของพวกท่านน่ากราบจริงๆ และที่ยิ่งน่ายกย่องบูชา สรรเสริญ เทิดทูนไว้เหนือหัวก็คือ "พ่อท่าน" ท่านช่างประเสริฐจริงๆ

มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันขัดแย้งกับเพื่อนชายรุนแรง ชนิดเสียงดังลั่นก็คือ เรื่องที่เขาด่าประณาม"พ่อท่าน" โดยที่ไม่ได้ศึกษา
เสียก่อน และดิฉันก็มีกฎเหล็กอยู่ ๓ ข้อ ๑ ในนั้นก็คือ ห้ามพูดลบหลู่วิพากษ์วิจารณ์ "พ่อท่านโพธิรักษ์และครูบาอาจารย์" เพื่อนชายของดิฉันเขาประเภท "รู้ธรรมะแต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะไงคะ" หลายๆเรื่องที่เขาคิดขึ้นมาเอง ก็มาตรงกับทางชาวอโศก ตรงกับพ่อท่านสอน เพราะเขา"คิดเป็น" แตกแยกคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด (เขาพูดแบบนี้เสมอๆ) แต่ดิฉันว่า "เขาก็ประเภทพวกอัตตามานะสูง พูดแต่ว่าไม่ยอมเสียเปรียบใคร จนใกล้คนเห็นแก่ตัวเข้าไปทุกที

ตอนนี้เข้าพรรษา ดิฉันก็ปฏิบัติเช่นทุกๆปีที่ผ่านมา ถือศีลกินมังสวิรัติ ตั้งใจปฏิบัติต่อเนื่องแม้ออกพรรษา แต่ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน

ทำอย่างไรถึงจะมีความรักที่แผ่ออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาล เหมือน"พ่อท่าน"ที่รักคนทั้งโลก แม้แบ่งปันให้พวกชาวอิรัก ที่พ่อท่านบอกว่า"เราต้องปฏิบัติอย่างเป็นสุขาปฏิปทา แม้หนักเหนื่อย แต่ก็เบิกบานได้ ดิฉันรู้สึกประทับใจจริงๆ

สุดท้ายนี้ ขอให้ทีมงานทุกท่านมีทุกข์น้อยที่สุด และขอเป็นกำลังใจให้ท่านทำสื่อดีๆเช่นนี้ตลอดไป และตลอดไป
- ลาวัณย์ (สมาชิกหมายเลข ๒๕๕๗๒๐)
(ป.ล. ดิฉันฝากแสตมป์บุญ มาให้ทางมูลนิธิด้วยนะคะ เพื่อจะได้ใช้เป็นประโยชน์สืบต่อไป จำนวน ๓๐ ดวง)

*** การที่ผู้ปฏิบัติธรรมมี"หัวใจน่ากราบ" ก็เพราะมีศีลมีการเสียสละได้จริงๆ แม้จะโดนด่าประณามก็ไม่โกรธแค้นเขา ให้อภัยเขาได้ เมตตาเขาได้ อย่างนี้แหละจึงน่าเคารพ น่ากราบ - บ.ก.

สังคมพุทธ
รู้จักอโศกจากหนังสือ(สารอโศก)มานานแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักด้วยตัวเองจริงๆสักที พอดีปีนี้มีโอกาสได้ขอร่วมไปกับโครงการของ ธ.ก.ส. ทันทีที่เริ่มเข้าสู่บริเวณราชธานีอโศก รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าสู่โลกอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกแห่งพุทธปัญญาชนจริงๆ แต่ความเป็นอยู่กลับเป็นธรรมชาติสามัญอย่างยิ่ง

ช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุมชนแห่งนี้ รู้สึกอบอุ่นและสบายใจมาก ถึงแม้จะทานข้าวเพียงวันละ ๒ มื้อ และไม่ใส่รองเท้า ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับตัวเองเลย

กิจกรรมก็มีการอบรมศีลธรรม วิชาชีพต่างๆทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และที่สำคัญคือการพบสมณะและสิกขมาตุ ได้ถามปัญหาและขอคำชี้แนะจากท่าน ในสิ่งที่ตัวเองยังมืดมนอยู่ในวังวนของวัฏฏะ ให้เห็นความจริงของชีวิตกระจ่างชัดขึ้น

ได้เรียนรู้การดำเนินชีวิตประจำวันของชาวชุมชนแห่งนี้ รู้สึกประทับใจมาก สมาชิกในชุมชนเขาก็มีทุกรุ่นทุกวัยทั้งชายหญิง มีโรงเรียน โรงพยาบาล ร้านค้า มีแหล่งผลิตครบวงจร เหมือนชุมชนข้างนอก แต่ที่ไม่มีเหมือนก็คือ สถานีตำรวจและยามรักษาการณ์ แต่ทุกคนก็อยู่กันได้อย่างสงบเรียบร้อย เพราะทุกคนมีศีลเป็นเครื่องป้องกันตัวเอง

ทุกคนมีความเคารพศรัทธา และปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระสัมมา-สัมพุทธเจ้าแท้จริง คอยดูแล ระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้คิดร้าย ทำร้าย และกล่าวร้ายต่อผู้อื่น ซึ่งต่างจากสังคมภายนอก ที่ต้องคอย ระมัดระวังคนอื่น ไม่ให้มาคิดร้ายทำลายตัวเรา ทั้งที่ต่างก็นับถือพุทธศาสนาเหมือนกันนั่นแหละ

สังคมภายนอกนั้นมีเหตุและปัจจัย(ตามกิเลส)ต่างๆมากมาย ที่ทำให้ต้องอยู่อย่างตามคนอื่น มองคนอื่น และเห็นคนอื่นอยู่ร่ำไป จนลืมที่จะมองตนเอง สำรวจตัวเอง แล้วก็ตกเป็นทาสของกิเลส เพราะมัวแต่ตาม(กิเลส)กันไปไม่สิ้นสุด

อิสระเสรีของสังคมภายนอก ก็คือ ได้ในสิ่งที่ตัวเอง"อยาก" แต่อิสระเสรีตามแบบของชาวพุทธแท้ กลับเป็น การทำจิตให้หลุดพ้นจากความ"อยาก"ทั้งมวล

สังคมที่ให้ด้วยใจ ย่อมเบิกบาน แจ่มใส และไม่วุ่นวายเหมือนสังคมที่ให้ด้วยกิเลส

ดีใจและปลื้มใจมาก ที่ประเทศไทยของเราได้มีชุมชนชาวพุทธแท้ สวนกระแสวัตถุนิยมเกิดขึ้นมา

กราบขอบพระคุณพ่อท่านและชาวอโศกทั่วประเทศ ที่ร่วมกันสร้างชุมชนแห่งนี้ขึ้นมา ขอให้มวลบุปผาอโศก บานสะพรั่งทั่วทั้งโลกา
- สาคร มากมูล จ.อุบลราชธานี

*** หากสังคมพุทธชุมชนไหน ได้ปฏิบัติตามธรรมที่พระศาสดาสอนไว้ดีแล้ว ไม่ต้องมาก แค่ศีล ๕ เท่านั้น สังคมพุทธนั้นจะมีแต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย - บ.ก.

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๔ กันยายน ๒๕๔๖ -