หน้าแรก>สารอโศก

ฉี่...ใครคิดว่าไม่สำคัญ คำยืนยันจากนักดื่มปัสสาวะ


เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่มักจะพบเห็นสื่อมวลชน ไม่ว่าจะหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี นำเสนอเกี่ยวกับประโยชน์ ของน้ำปัสสาวะ เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งให้กับประชาชน ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ก็มีผู้ให้ข้อมูลว่า คืนวันที่ ๑ ก.ค.๔๖ น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ก็ได้พูดเรื่องนี้ผ่านทางทีวีด้วย ผู้ที่เล่าให้ฟังบอกว่ารายการดีมาก

ฉบับนี้ได้ข้อมูลจากมติชนรายวัน เชิญติดตามได้เลยค่ะ

สาระดีมีประโยชน์ใน"ฉี่"
น.พ.บรรจบ ซึ่งศึกษาเรื่องดื่มน้ำปัสสาวะมานาน ระบุว่าในคนปกติปัสสาวะจะมีสีเหลืองอ่อนๆ จนถึงขาวใส ถ้าปริมาณปัสสาวะน้อยจะข้น และมีสารในนั้นมากกว่าปัสสาวะใส ส่วนผู้ที่เป็นโรคดีซ่านปัสสาวะจะมีสีเหลืองขมิ้นถึงน้ำตาล และคนที่เป็นโรคไตหรือโรคทางเดินปัสสาวะจะขุ่นหรือเป็นสีแดง มีเลือดปนออกมาด้วย

ส่วนรสของปัสสาวะของคนปกติจะเป็นรสเค็มๆ ถ้าปัสสาวะเข้มมากอาจมีรสขมนิดๆ ซึ่งสิ่งที่กินเข้าไปก็มีผลต่อสีและรสของปัสสาวะด้วย

ดร.ฟารอน นักชีวเคมีได้วิจัยสารต่างๆของปัสสาวะ ๙๕% เป็นน้ำ ๒.๕% เป็น Urea ๒.๕% เป็นสารอื่นๆ ที่น่าสนใจกว่าก็คือ มีสารอื่นๆในปัสสาวะ ได้แก่ เอ็นไซม์ : Amylase(diastase), Lactic dyhydrogenate(LDH), Leucine amino-peptdase(LAP) และ Urokinase มีฮอร์โมน : Catecholamines, 17-Catosteroids, Hydroxy steroids, Erythropoietine, Adenylate cyclase, Prostaglandin, ฮอร์โมนเพศและอินซูลิน เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้มีผลที่ดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น Urokinase เป็นสารละลายในลิ่มเลือดรักษาเส้นเลือดอุดตัน โรคเลือดจาง

ฮอร์โมนเพศ และ Insulin : เป็นฮอร์โมนประเภทเสริมสร้าง (anabolic hormones) ช่วยสร้างความกระชุ่มกระชวย ผิวพรรณดี ลดรอยย่นและความหย่อนยาน สร้างสุขภาพจิตที่ดี ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันกระดูกผุ ซึ่งคนที่เป็นน้อยๆอาจนำมาด้วยอาการปวด ตามเนื้อ ตามตัว คนที่เป็นเบาหวาน ยังได้อินซูลินเข้าไปเสริม จากน้ำปัสสาวะด้วย และช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย

Melatonin : พบในปัสสาวะตอนเช้า สารนี้ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความกระวนกระวายหลับสบาย

Urea : เป็นสารขับปัสสาวะ เป็นสารต้านอักเสบ ต้านไวรัสและแบคทีเรีย ผิวหนังอ่อนเยาว์ ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีในทางเดินอาหาร ของผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารอีกด้วย

Uric acid สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง

พระดุษฎี เมธังกุโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ จ.ชุมพร กล่าวว่า จากประสบการณ์ของญาติโยม และพระ ที่ได้ดื่มปัสสาวะ แล้วเล่าให้ฟังว่า การดื่มน้ำปัสสาวะนั้นต้องมีวิธีการดื่ม คือต้องดื่มตอนเช้า หรือ ตอนตื่นนอน โดยดื่มในช่วงกลางของปัสสาวะ นอกจากนี้ โยมผู้หญิงบางคนเป็นหวัด รักษาหมอ นานถึง ๒ สัปดาห์ก็ยังไม่หาย เมื่อเห็นลูกสาวดื่มปัสสาวะรักษาอาการปวดเมื่อย จึงไปดื่มบ้างก็หาย ไม่ต้องกินยาอะไรอีกเลย และยังได้ให้ลูกสาวอีกคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดื่มน้ำปัสสาวะบ้าง ก็หายเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกมาก

บางคนก็นำปัสสาวะไปผสมกับขมิ้นกับน้ำมะขามเปียกพอกหน้า ก็ทำให้หน้าใสดี แต่อาตมาคิดว่า ตัวขมิ้นกับมะขามเปียกก็เป็นสมุนไพรที่ดีอยู่แล้ว

ผลดีอย่างหนึ่งของการดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคคือ ไม่ต้องเสียเงินเสียทองให้ใคร ไม่ต้องไปกิน ยาฝรั่ง ถ้าไม่ได้ผลก็สามารถเลิกได้ ที่สำคัญพระพุทธเจ้าก็อนุญาต ให้พระภิกษุ ฉันน้ำมูตรได้ เพื่อใช้รักษาโรค ซึ่งถ้ามองในแง่เชื่อมโยงกับหลักธรรม การดื่มน้ำปัสสาวะ ดังกล่าว ไม่ใช่ยาวิเศษอะไร

การดื่มปัสสาวะต้องดื่มทันที เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปปลอมปน แต่บางคน ก็เอาน้ำปัสสาวะไปแช่เย็น บางคนอยากทดลองแบบอื่นๆ อาตมาก็เห็นว่าดี เพราะเป็นการสร้าง ทัศนคติที่ดี อยากจะท้าหมอเหมือนกันว่า ที่ว่าไม่ดีเป็นพิษนั้น มีผลทดลองอะไรหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายจึงไม่ควรจะห้าม เพราะเป็นเรื่องคุณค่าทางจิตใจ แต่บางคนไปกล่าวอ้างว่า ปัสสาวะรักษาได้ทุกโรค อย่างเช่นโรคเอดส์ ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้คนหลงเชื่อมากเกินไป

ในสมัยโบราณ คนไทยเราใช้น้ำปัสสาวะ อยู่แล้ว เช่น ถ้าเด็กคนไหนผมบาง ก็จะเอาน้ำปัสสาวะ ของเด็ก คนนั้น ทาหัว ผมก็จะดกดำ หรือคนแก่บางคนตาฝ้าฟาง ก็จะนำปัสสาวะของเด็กเล็ก มาทาตา เพราะปัสสาวะของเด็กเล็กดี เนื่องจากกินนมแม่

ชาวบ้านใช้ปัสสาวะรักษาโรคมานานแล้ว ซึ่งก็ได้ผล เพราะชาวบ้านอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีปัญหา เรื่อง สารพิษ โดยเฉพาะพวกที่รักษาศีลและกินมังสวิรัติ พวกนี้ปัสสาวะ จะไม่มีสาร ตกค้างใดๆ ที่จะทำให้มีกลิ่นหรือรสชาติขื่นๆ เปรี้ยวๆ ส่วนการนำน้ำปัสสาวะไปผสมกับ สิ่งอื่นๆ ด้วยนั้น อาตมาคิดว่าน่าจะสู้ของแท้ๆจากธรรมชาติไม่ได้

อีกผู้หนึ่งที่สนับสนุนการดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อรักษาโรค คือ น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ท่านว่า การแพทย์ แผนจีน นำเอาฉี่เด็กทารก มาใช้เป็นยาอายุวัฒนะนานแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณ หรือเวลาที่เด็กโตคนไหน ผอมแห้ง แรงน้อย กินข้าวไม่ได้ เบื่ออาหาร ก็เอาฉี่เด็กเล็กๆมาให้กิน หรือเอาฉี่ของคนน้อง ที่อายุไม่ครบขวบ มาให้กิน

ปัจจุบัน ก็มีการเอาฉี่ผสมกับอะไรอื่นๆอีก เป็นเมนูแปลกๆ ซึ่งคิดว่าไม่มีอันตรายอะไร การดื่ม ปัสสาวะ ปฏิบัติกันมาทุกชาติ แต่เป็นการดื่มของตนเอง ยกเว้นของจีนเท่านั้น ชนชาติอินเดีย ก็นิยมดื่มน้ำปัสสาวะ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ส่วนการแพทย์แผนไทย ใช้น้ำปัสสาวะเป็นยากระสาย ใช้ดองเภสัชสมุนไพรได้หลายชนิด โดยที่น้ำปัสสาวะที่ดื่มกลับเข้าไป จะเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างสารต้านพิษขึ้นมา เหมือนการฉีดวัคซีน หรือพิษต้านพิษ

อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำปัสสาวะใช่ว่าจะดื่มกันได้ทุกคน และรักษาทุกโรคได้อย่างที่บางคนเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุขเองก็เคยออกมาเตือนแล้วเตือนอีก เพราะอาจได้รับโรคติดเชื้อ ที่ปะปน มาจากปัสสาวะได้ เช่น โรคโกโนเรีย หรือหนองใน โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น หากคนที่เป็นโรคดังกล่าวดื่มเข้าไป อาจเกิดโรคอื่นๆตามมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัสสาวะนั้น มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ ถ้านำไปผสมกับสมุนไพร ก็จะยิ่งอันตรายเพิ่มมากขึ้น เพราะสารแต่ละชนิด อาจทำปฏิกิริยากันได้

พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ พระธรรมทูตที่กำลังปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่มีประสบการณ์ตรง โดยเล่าว่า เดิมเป็นฆราวาส เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญา และศาสนา ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จึงลาออกมาอุปสมบท และ ได้ปฏิบัตินิสสัย ๔ และฝึกจิต เพื่อรับพลังธรรมชาติ ผลปรากฏว่าหายจากโรค มีชีวิตถึงปัจจุบัน จึงได้ออกเทศนาธรรม และสอนให้ผู้คนปฏิบัตินิสสัย ๔ มาจนถึงทุกวันนี้

พระรูปนี้ได้แนะนำการดื่มน้ำปัสสาวะว่า "ก่อนนอนให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเองสักครึ่งแก้ว เมื่อเข้านอนไปแล้ว ในระหว่างนั้นน้ำปัสสาวะจะเข้าไปหมักอยู่ในตัวเรา เมื่อกลางดึกหรือใกล้สว่าง เวลาลุกขึ้นมาปัสสาวะก็ให้เก็บดื่มอีกครั้ง การดื่มเที่ยวสองนี้มีความสำคัญมาก มีบทบาท ในการรักษาโรค เพราะได้ดื่มเข้าไปหมักในร่างกายหลายชั่วโมง เหมือนเอาพิษที่เราถ่ายออก ตั้งแต่แรก ส่งกลับเข้าไปหมัก กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารต้านพิษออกมา สารต้านพิษเมื่อขับออกมา ตอนใกล้รุ่ง เราดื่มเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง ก็คือตัวที่เข้าไปรักษาโรค"

นายกิตติกูล เสาร์มณี เจ้าของร้านกิตติกูล ซึ่งเคยป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ และเคยได้เข้ารับ การผ่าตัดในปี พ.ศ.๒๕๓๗ แต่ไม่หายกลับลามมาที่ช่องท้อง จึงได้ทดลองดื่มน้ำปัสสาวะ มาจนถึงปัจจุบัน เขาเล่าว่า "ยังมีโรคประจำตัวอื่นคือ ไซนัสอักเสบ ซึ่งเมื่อก่อนต้องพ่นยาเป็นประจำ ใช้นานจนกระทั่งเส้นเลือดฝอยแตกเป็นประจำ เลือดกำเดาจึงไหลออกบ่อยๆ จึงได้ทดลองใช้น้ำ ปัสสาวะในการรักษา โดยสูดเข้าไปไว้ในโพรงจมูกสักพักเดียว แล้วปล่อยออกมา ปรากฏว่า เลือดกำเดาหยุดไหล และอาการไซนัสอักเสบดีขึ้น จึงได้นำวิธีการนี้ไปแนะนำเพื่อนๆ หลายคนที่เป็นไซนัสอักเสบทดลอง และก็ได้ผลที่น่าพอใจ"

ที่ผ่านมาวงการแพทย์ต่างประเทศศึกษาเรื่องฉี่กันมาก เห็นได้จาก World Conference on Urine Therapy ที่จัดกันมาแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกจัดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ล่าสุดจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี เมื่อปี ๑๙๙๙ และจะมีการประชุมระดับโลกอีกครั้ง ในวันที่ ๑-๔ พฤษภาคมนี้ ที่ประเทศบราซิล

นอกจากนี้ งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ยังระบุว่าเมื่อดื่มปัสสาวะ จะทำให้มีสมาธิ จิตใจสดชื่นอารมณ์ดีขึ้น เพราะในปัสสาวะมีฮอร์โมนชื่อ "เมลาโนธิน" ซึ่งพบในปัสสาวะตอนเช้า และมีเอ็นไซม์ ยูโรไคเนส ที่ช่วยให้เลือดไม่แข็งตัว ในกรณีคนเป็นโรคหัวใจ

ในงานวิจัยดังกล่าวพบว่า ปัสสาวะแต่ละคนมีผลต่อการทำงานในร่างกายของเจ้าของเอง โดยจะทำหน้าที่เป็นวัคซีนธรรมชาติ เป็นตัวต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ทำให้เกิดความสมดุลกับฮอร์โมน และช่วยเรื่องภูมิแพ้ ไข้หวัด โรคกระเพาะ หอบหืด แม้กระทั่ง โรคมะเร็ง และโรคเอดส์ เป็นต้น

น.พ.ธรรมาธิกรี รัฐมหาราษฎร์ จากประเทศอินเดีย ยังได้ทดลองให้ผู้ป่วยจำนวน ๒๐๐ คน ดื่มน้ำปัสสาวะของตน และติดตามผลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้ข้อสรุปคือ

๑. เมื่อดื่มน้ำปัสสาวะ เซลล์ร่างกายจะสามารถขับออกซิเจนได้มากขึ้น และอัตราเผาผลาญ ในร่างกายจะสูงขึ้น

๒. ช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในผู้ป่วยทุกราย และปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด ก็สูงขึ้นด้วย ช่วยให้เกิดการบำบัดโรคและอาการเจ็บป่วยได้หลายกรณี ด้วยกลไกของเอ็นไซม์ ฮอร์โมน และเกลือแร่ทั้งช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้นอีกด้วย

เหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงคุณประโยชน์สารพัดของปัสสาวะ แต่ใช่ทุกคนที่ดื่มฉี่แล้วโรคทุกโรค จะหายขาด เพราะในร่างกายและในฉี่ของแต่ละคน ยังมีตัวแปรและมีองค์ประกอบอื่นอีกมากมาย ฉะนั้นทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ที่จะเชื้อเชิญให้หันมาดื่มปัสสาวะกัน เป็นเพียงการส่งผ่าน บางแง่บางมุมของฉี่ ที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึง หรือไม่รู้มาก่อน
- ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง -

พบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๔ กันยายน ๒๖๔๖ -