ตอน....นวัตกรรมแห่งการปกครอง กับ ความเสื่อมของสังคมและสังขาร
ต่อจากหน้า ๑


ถาม : การที่ไปนั่งขายของอยู่นี่เป็นโลกียะหรือเปล่าครับ

พ่อท่าน : ปฏิบัติโลกุตระได้เลย การนั่งขายของนั่นแหละ ปฏิบัติให้ได้มรรคผลตามมรรคองค์ ๘ ซึ่งมีข้อหนึ่งคือ สัมมาอาชีวะ ปฏิบัติลดละ ในการประกอบอาชีพนั้นๆ แล้วอ่านกิเลสออก ลดกิเลสได้ ก็ไปนิพพานจากการขายของนั้นเอง ขายของเป็น สัมมาอาชีวะ ขัดเกลากิเลสได้จริง

ปฏิบัติธรรมของพุทธไม่ใช่มานั่งหลับตา นั่นเข้าใจผิดกันมานานแล้ว เพราะเข้าใจผิดอย่างนี้ ศาสนาพุทธ ถึงไม่มีประโยชน์ ต่อสังคมเลย แต่นี่เรากำลังมีประโยชน์ต่อสังคม และอโศกกำลังจะตั้งตัว นี่ขนาดพวกเรา นะเนี่ย ยังถามอย่างนี้ อาตมาสอนมาตั้ง ๓๐ ปียังงงๆอยู่เลย แล้วข้างนอกมันจะเป็นยังไง..หา ไปนั่งขายของ นั่นแหละโลกุตระ ไปเดินขายนั่นแหละโลกุตระ นั่งคิดเงินอยู่นี่นั่น คือโลกุตระ คืออ่านจิต ทันไหมล่ะ คุณจะทำอะไรอยู่ ก็ทำประโยชน์ตนขั้นโลกุตระได้ คือกิเลสเกิดขึ้นมา ในขณะทำงาน กับเงินทอง ขณะขายของ ขณะทำงานอื่นๆ กำลังร้องเพลงก็ได้กำลังทำอะไรที่มันเป็นไปอยู่ ได้ทั้งนั้น

ถาม : ถ้าเราหลงงานล่ะคะ
พ่อท่าน : หลงงานก็เสร็จน่ะสิ หลงไปติดงานเป็นกัมมารามตา มันก็พาตกต่ำ จะไปหลงมันทำไมล่ะงาน งานมันก็เป็น สิ่งที่สร้างสรร ทำประโยชน์คุณค่าก็ทำมันไป

๑. มันเป็นประโยชน์คุณค่า
๒. มันเป็นองค์ประกอบของการปฏิบัติธรรม เป็นสอุปนิโส เป็นสปริกฺขาโร เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบ เหตุและองค์ประกอบนั้นก็คือ... ทิฏฐิ...สังกัปปะ...วาจา... กัมมันตะ... อาชีวะ... วายามะ... สติ ๗ สภาพนี่แหละ เป็นสอุปนิโส เป็นสปริกฺขาโร เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบ ในการปฏิบัติให้เกิด เอกัคคตาจิต
เกิดสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไปอ่านดู ในมหาจัตตารีสกสูตรสิ หรือเอา สมาธิพุทธ เล่มนั้น มาอ่านเลยก็ได้

ไปขายของนี่เป็นโลกียะหรือโลกุตระก็ได้ โลกุตระอยู่ในนั้นแหละ เออ.... อาตมาตายไม่ลง เลยนะเนี่ย ๓๐ ปีแล้ว พูดมาอธิบายมา ยังไม่ค่อยจะได้เรื่องเลย แต่พวกเราได้ ค่อยได้โดยปริยาย ได้โดยที่อาตมา พาทำไป โดยที่พวกคุณ ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก เพราะมันซับซ้อนลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททสา (เห็นได้ยาก) ทุรนุโพธา(รู้ตามได้ยาก) แต่มันก็ได้ตามที่นำพาไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเข้าใจให้มันถูก ให้เป็นสัมมาทิฏฐิให้ชัด เมื่อชัดมันจะทำได้ดีได้เร็ว ขายเป็นอาชีวะ ก็ต้องพิจารณาให้เป็น ว่าจะทำใจ ให้เกิด สัมมาอาชีวะ ภายนอกคืออย่างไร โดยเฉพาะภายในอย่างไร นี่เป็นผลโลกุตระ เมื่อทำได้ พูดก็เป็น สัมมาอาชีวะ คิดก็เป็น สัมมาอาชีวะ เดินยืนนั่งนอน ทุกอิริยาบถ กัมมันตะก็เป็นอาชีวะ....เป็นเหตุที่จะปฏิบัติ สัมมาสมาธิ ทั้งนั้น หรือว่าไปทำสัมมาอาชีพใดๆ ก็เป็นสัมมาอาชีวะ ก็เป็นเหตุในการสั่งสมสัมมาสมาธิทั้งนั้น การเมือง ก็เป็นเหตุ ให้นักการเมือง ปฏิบัติสัมมาอาชีพด้วย เป็นเหตุ เป็นสอุปนิโส เป็นสัมมาอาชีพ ที่สั่งสม สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุติ บรรลุโลกุตร

ถาม : การฝึกที่จะได้มุทุภูเตนั้น มันจะต้องตั้งตนอยู่ในความลำบาก แล้วก็ต้องต่อสู้กับทุกข์ ฝืนใจตัวเอง ส่วนมากเราจะไม่ค่อยสู้กับทุกข์ กับการฝืนใจขณะทำงานน่ะค่ะ

พ่อท่าน : ใช่ ต่อสู้กับทุกข์ต้องฝืนใจตัวเอง ต้องอ่านจิตตัวเองให้ทัน ตัวนี้เราไม่ชอบ นี่แหละตัวทุกข์ แล้วเมื่อรู้จักทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่ชอบเพราะอะไรวิจัยเข้าไป และที่เรากำลัง ทำกรรมอันนี้ กำลังมี ผัสสะ เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์คุณค่า เป็นสิ่งที่ดี หรือว่าเป็นสิ่งที่ เป็นอกุศล เหตุที่เราชอบ .... ไม่ชอบนี่ เพราะเราโง่นะ ต้องซัดเราเอง

คนเราชอบอิริยาบถใดก็ตาม ชอบที่จะทำให้สมใจ มันเป็นภพเป็นชาติชนิดหนึ่ง เราก็อยากทำ อย่างนั้น พอเขาให้มาทำอย่างนี้ เราก็เอาความชอบ....ไม่ชอบ ที่เป็นกิเลสประจำตัวของเรา เข้าไปอ่าน เข้าไปเลือก ไม่ชอบไม่อยากทำ คุณเลยไม่ได้พิจารณา แล้วไอ้ที่เขาจะให้ทำ มันเป็นกุศลหรืออกุศล มันดีหรือไม่ดี มันจำเป็น ด้วยซ้ำไป....ใช่มั้ย? ต้องทำสิ! เรานี่แหละ! ถนัดงานนี้ด้วย เขาให้เราทำด้วย อย่าวิ่งหนี จงอ่านกิเลสซ้อนอยู่ตรงนั้น นี่แหละตั้งตน อยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง แต่ถ้าทำตามใจ มันก็เป็นภพ ไอ้นี่เราก็ไม่ชอบ เราก็ไปทำตามที่เราชอบนั้นแหละ! ยถาสุขัง โข เม วิหรโต อกุศลธรรมเจริญยิ่ง

ถาม : ในพุทธสถานส่วนกลางนี่ รู้สึกว่าจะต่อสู้กับกระแสของโลกีย์ไว้เยอะ จนบางที มันมากกว่า ข้างนอก บางทีเอ... มันไม่ควรที่จะเป็นแบบนั้น แต่มันก็ต้องต่อสู้ ถ้าไม่ชนะโลกุตระก็ไม่เกิด

พ่อท่าน : ข้างนอก ไม่มีหมู่มีกลุ่มที่เป็นพุทธบริษัทที่เข้าขั้นโลกุตระ ไม่มีองค์ประกอบ ไม่มีอุปนิสา ไม่มีปริกขารา หากคุณอยู่ข้างนอกคุณก็ทำตามใจคุณ หรือสิ่งแวดล้อม ไม่ช่วยคุณเลย คุณก็เป็นอย่าง โลกย์ๆ คุณอยู่กับโลกียะอันนั้น ไม่ใช่เสนาสนะสัปปายะ ไม่ใช่บุคคลสัปปายะ ไม่ใช่อาหารสัปปายะ ไม่ใช่ธัมมสัปปายะเลย อีกกี่ชาติๆ ก็จะจมอยู่กับโลกีย์ อย่างนั้นๆ ไปตลอด แต่อันนี้คือสนามของเสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ คืออาหาโร หรือปริกขาโร คือสิ่งที่ทำให้เราอาศัย ที่จะพัฒนา ที่จะปฏิบัติ อยู่ตลอดเวลา และเป็น ธัมมสัปปายะด้วย ได้ทั้งบทปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คนเตือน คนให้ข้อคิด คนบอก คนสอน คนแนะ โอ้ย....หูแฉะ ขนาดฆราวาส ยังสอนกัน น่าดูเลย หลายคน จนบางทีรำคาญ ใช่ไหม เฮ้อ!....หาที่ไหนได้ ข้างนอกมันไม่มีหรอกคุณเอ๊ย! เชื่อเถอะ! อยู่ข้างนอกนี่ ว้าเหว่ ไม่มีธรรมะ ขอยืนยันเลย ไม่ใช่ปฏิรูปเทสวาสะ ไม่ใช่สถานที่ควรอยู่

ถาม : ทำไมคนเราถึงเกิดมาอยากได้ อยากดัง อยากมี

พ่อท่าน : นั่นสิ! ทำไมมันถึงโง่นัก! เมื่อไหร่มันจะโง่เสร็จสักทีล่ะ! ไม่ต้องอยากนั้นน่ะ....มันจะได้ อาตมาทำงาน ทางศาสนา นี่บอกจริงๆเลยว่า อาตมาไม่ได้อยากดังเลย แล้วอาตมาไม่กลัวว่า อาตมาจะไม่ดัง คุณเชื่อไหมว่า อาตมาจะดัง (....เชื่อ) อาตมาไม่ดังตอนนี้ อาตมาตายไปนี่ จะต้องดังรู้เปล่า พูดจริงๆนะ เพราะว่าอาตมา ทำงานอะไรๆพวกนี้เอาไว้ มันจะต้องเอามาใช้ ในสังคม อาตมาเข้าใจอย่างนั้น จะว่าหลงตัวเองก็แล้วแต่ สังคมไม่มีอะไร จะใช้หรอก ต้องเอาของ พระพุทธเจ้านี่มาใช้ และอาตมาขอยืนยันว่า พระพุทธเจ้าพาทำ พาลด พาไม่เห็นแก่ตัว พาเลิกกิเลส พาที่จะช่วยสังคม ช่วยมนุษยชาติ มันก็เป็นไปได้บ้างแล้ว เป็นจริงอยู่ขนาดนี้ แล้วมันก็จะดีขึ้น คนที่พาทำอย่างนี้ให้แก่สังคมนี่ มันไม่ดัง มันจะเป็นยังไง อาตมาไม่กลัวเลยว่า จะไม่ดังนะ เขาจะด่ายังไงก็ให้เขาด่าไปเถอะ อาตมาก็ตรวจสอบว่า เขาด่าเรื่องอะไร ถ้าเขาด่า เรื่องผิดๆ อาตมาก็ใช้ ปัญญา ตรวจสอบ เอ้ย!.... ช่างมันเถอะ เขาด่าเราผิดๆ ด่าอาตมาเป็น เดรัจฉาน อาตมาจะไปเต้นทำไม อาตมาไม่ได้เป็น เดรัจฉาน สักนิดหนึ่ง....ใช่มั้ย? เดรัจฉาน หมายความว่า เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือโง่เง่า อย่างเดรัจฉาน ก็ตาม อาตมาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย อาตมาจะไปตื่นเต้นอะไร คนด่า....ด่าไม่รู้ความจริง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ แล้วมาด่า อาตมาเป็น เดรัจฉาน....น้อ คนละเรื่องเลย อาตมาจะไปตกใจ ตื่นเต้นอะไร


สังขารเสื่อม
๑ ส.ค. ๔๖ หลังฉันแล้วเดินทางไปพบหลายหมอ รายแรกพบอาจารย์หมอฟัน ท.พ.หาญณรงค์ พิทยะ ที่คลินิก แถวสุขุมวิท เนื่องจากมีอาการเหงือกบวม หมอฟ้ารักเกรงว่าจะมีอาการติดเชื้อ ฝีมือ ของหมอฟ้ารักเอง อาจไม่ถึง จึงนิมนต์พ่อท่าน มาหาอาจารย์ของหมอฟ้ารักจะดีกว่า หลังจากหมอหาญณรงค์ตรวจดูแล้ว แจ้งให้พวกเรา ทราบว่า.... ยังไม่มีอะไรร้ายแรง เหตุที่เหงือกบวม มาจากการแปรงฟันของพ่อท่านเอง พ่อท่านถู แรงไป ทำให้เหงือก ตรงโคนฟันร่น อีก ๒ เดือน ค่อยมาตรวจดูใหม่ ถ้าเหงือกปิดได้เอง ก็ไม่ต้องเย็บเหงือก เพื่อปิดรูโคนฟัน เพราะหากยังมีช่องมีรู จะทำให้เชื้อแบคทีเรียลงไปที่รากฟันได้ แล้วคราวนี้จะยุ่ง

ออกจากตรวจดูฟันที่สุขุมวิท เดินทางต่อไปที่ ร.พ.วิชัยยุทธ เพื่อให้หมอตรวจดูเข่าซ้ายที่มีอาการ กระตุก เจ็บในๆ ไม่ใช่ที่ผิวๆ ซึ่งเข่าซ้ายนี้พ่อท่านเคยมีอาการร้อนๆในๆเข่าเมื่อนั่งทำงานนานๆ อาจารย์หมอ น.พ.ดิเรก อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ ๗๑ ปี เชี่ยวชาญโรคกระดูก ดูหมอ มีอัธยาศัยดี บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ตัวหมอ ให้ฟัง.... หมอได้ติดตามสมเด็จฯ ไปออกหน่วย ทำประโยชน์ ตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องขาเทียม ช่วยให้หลายๆ คน ที่เดินไม่ได้.... เดินได้ บางคนเดินไม่ได้ ตั้งแต่เกิด ก็มาเดินได้ นอกจากนี้ คุณหมอยังเล่าว่า เคยมา สันติอโศก เมื่อ ๒๕-๒๖ ปีที่แล้ว ได้มาฟังธรรมและได้ฝึกนอนกระดานแผ่นเดียวด้วย สำหรับการตรวจ กระดูกเข่า หลังการดูแผ่น ฟิล์ม X-RAY บริเวณข้อเข่าทั้งอดีตและปัจจุบัน หมอดิเรก อธิบายว่า.... เข่าไม่ได้เสื่อมมาก ไม่น่ากลัว เป็นความเสื่อม ตามวัยธรรมดา และไม่ใช่สาเหตุ ที่จะทำให้มีอาการ กระตุกๆ และร้อนๆ ในเข่า อายุพ่อท่านขนาดนี้ กระดูกที่ดูจาก ฟิล์ม X-RAY ก็นับว่าดี ไม่มีอะไรน่าห่วงเรื่อง กระดูกเข่า จากนั้น คุณหมอดิเรก ได้ส่งต่อให้หมอที่เชี่ยวชาญ เรื่องระบบประสาทสมอง และไขสันหลัง มาตรวจต่อ

หลังจากหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องระบบประสาทฯได้ตรวจแล้วอธิบายว่า....ปกติดี ไม่ใช่อาการ ที่มีเหตุมาจาก ระบบประสาทฯ แน่นอน เพราะถ้าเป็นเหตุจากระบบประสาทฯ จะมีอาการ แปล๊บๆ บริเวณผิวๆ ไม่ใช่ข้างใน อย่างนี้ และจะมีอาการ เป็นบริเวณ แนวพาดยาวเฉียงๆ (คุณหมอลากนิ้ว ให้ดูประกอบคำ อธิบาย) ไม่ใช่กระตุกๆ เป็นจุดบริเวณอย่างนี้ แต่การสื่อประสาทก็มีเสื่อมบ้าง ตามวัยเป็นธรรมดา เนื่องจากการเคาะ ตรวจดู การทำงาน ของระบบประสาท เคลื่อนไหว [motor nervous system] พบว่าบางจุดตอบรับไม่มาก ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ร้ายแรงไม่น่ากลัวอะไร

คุณเพ็ญเพียรธรรมได้ถามหมอว่า....การทำโยคะ ท่านั่งกดทับขาหลายๆท่า อาจเป็นสาเหตุ ทำให้พ่อท่าน มีอาการกระตุกร้อนในเข่าได้หรือไม่?

คุณหมอได้แสดงความเห็นเรื่องการทำโยคะอย่างน่ารับฟังยิ่งว่า บางท่าถ้าผู้ฝึกใจร้อนเกินไป ก็จะเกิด การบาดเจ็บ เกิดผลเสียได้ ด้วยเคยมีผู้ป่วยที่เส้นยืดเกินไปจากการทำโยคะ ทำให้มือตก ถ้าได้ทำโยคะ มาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่กระไร ด้วยกล้ามเนื้อ ได้เตรียมความพร้อม มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว แต่สำหรับ ผู้มีอายุ มากแล้ว กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก มันดัดยาก หมอจึงไม่เห็นด้วยในบางท่า และถ้ารีบร้อนฝึกทำให้ได้ เกินความสามารถ ของร่างกายที่จะยืด-ปรับได้ทัน จะกลายเป็นผลเสีย มากกว่า

๑๔ ส.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก ในห้องทำงาน หลังจากตรวจแก้งานเอกสารให้คุณรินธรรมเสร็จ พ่อท่านบอก มีอาการเจ็บตึ้บๆที่ราวนมซ้าย เป็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้ยังคงมีอาการเช่นนั้น เพียงแต่ย้าย มาเจ็บตึ้บๆ ที่บริเวณ กลางอก ทั้งๆที่ไม่ได้ออกกำลังหรือทำอะไรที่จะเป็นสาเหตุ ให้เกิดอาการอย่างนั้นเลย ข้าพเจ้า ได้โทรศัพท์ แจ้งให้หมอพจน์ทราบ โดยหมอได้ซักถาม อาการ อื่นๆจากพ่อท่านด้วยกว่า ๑๐ นาที แล้วสรุปว่า เป็นอาการของปลายประสาทอักเสบ ไม่ใช่อาการ ของหัวใจ และแนะนำให้ฉันยา Vioxx ที่ได้รับจาก หมอดิเรก ร.พ.วิชัยยุทธ จากนั้น หมอพจน์ ได้คุยกับ คุณใบลานเรื่องยา ที่จะถวายระงับอาการให้พ่อท่านได้ฉัน

เวลาเย็นคุณเพ็ญเพียรธรรมโทรมาสอบถามอาการ และแสดงความเห็นว่า อยากจะนิมนต์ พ่อท่าน ไปตรวจกับหมอหัวใจที่ ร.พ.สรรพสิทธิ์ฯหรือคลินิกในอุบลฯก็ได้ ไม่น่าจะมองข้าม ข้าพเจ้าให้ คุณเพ็ญเพียรธรรม ติดต่อปรึกษาหมอพจน์ ครู่ต่อมาคุณเพ็ญเพียรธรรม โทรมาแจ้งว่า หมอพจน์ เห็นว่าไม่จำเป็น เพราะการตรวจหัวใจต่างๆทำมา ๓ ครั้งแล้ว ล่าสุด ก็เพิ่งจะตรวจมา ไม่นานนี้เอง ก็ยังไม่พบ อาการใดๆ

๑๕ ส.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านบอกอาการเจ็บตึ้บๆที่อกน้อยลง หลังจากที่ฉันยา เมื่อวาน ข้าพเจ้าจำได้ว่า เรื่องอาการปลายประสาทอักเสบนี้ พ่อท่านเคยมีอาการที่หลังเท้า หลายปีมาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าตอนนั้นฉันยา Vioxx นี้หรือเปล่า

๑๖ ส.ค. ๔๖ เนื่องจากได้รับรายการวิตามินต่างๆที่หมอพจน์จัดถวายพ่อท่านในช่วงนี้ (ช่วงอื่น ก็จะเปลี่ยนไป ตามเหตุปัจจัย) จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ญาติธรรมได้ทราบโดยทั่วกันดังนี้
๑. Bio C ๒ เม็ด....ช่วยเติมภูมิต้านทานร่างกาย
๒. Occuplex ๑ เม็ด....บำรุงตา
๓. Cal-Mag-Zinc ๑ เม็ด....บำรุงกระดูก
๔. Bio Flavonoid ๑ เม็ด....ช่วยให้เนื้อเยื่อผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นได้ดี
๕. Selenium ๑ เม็ด....เพิ่มภูมิต้านทาน
๖. Haerobin ๑ เม็ด....บำรุงเลือด
๗. B 50 ๑ เม็ด....ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท
๘. E 200 IU. ๒ เม็ด....ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด
๙. Kelp ๑ เม็ด [Iodine...สกัดจากต้นไม้ทะเล]....ช่วยเสริมธาตุไอโอดีนจากธรรมชาติ
๑๐. Mega Gold [Multivit & Mineral]....วิตามินรวมและเกลือแร่
๑๑. Prince-B B 1-6-12 เข้มข้น ๑ เม็ด....ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท
๑๒. Folic acid ๒ เม็ด....ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
๑๓. Co.Q10 ๑ เม็ด....ช่วยสร้างพลังงานในเซลและเพิ่มภูมิต้านทาน

ด้วยที่ผ่านๆมามักมีญาติธรรมที่หวังดี นำวิตามินอาหารเสริมในรูปแบบต่างๆ มาถวายพ่อท่าน เช่น แคลเซี่ยม หรือ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติอย่างน้ำมันงา อันเนื่องจากข่าวที่ได้ยินมาว่า พ่อท่าน มีอาการที่เข่า จึงเข้าใจเอาว่า คงมีปัญหา จากกระดูกข้อเข่าเหมือนอย่างที่ตนเป็น และตนได้ใช้ ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นแล้ว รู้สึกว่าดี ก็เลย นำมาถวาย ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีความรู้อะไร มากหรอก มีเพียงจิตใจ ที่ดีอยากให้สังขารพ่อท่านแข็งแรง ด้วยความเข้าใจ พื้นๆว่า แคลเซี่ยม บำรุงกระดูก น้ำมันงามีแคลเซี่ยม จะช่วยให้กระดูกข้อเข่า ของพ่อท่านดีขึ้นได้

ปัจฉาฯเองก็ไม่ได้เฉลียวและไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ เมื่อญาติโยมที่ดูจะมีความรู้นำมาถวายก็รับ อีกทั้ง ผลิตภัณฑ์ ก็ดูน่าเชื่อถือ บรรจุภัณฑ์ก็ดูดีน่าไว้ใจ ฉลากกำกับก็มีภาษาอังกฤษ ดูมีมาตรฐาน ยิ่งญาติโยม ยืนยันตัวเอง กินแล้ว ดีขึ้นจริงๆ เหตุต่างๆ เหล่านี้ทำให้ปัจฉาฯ ก็คิดเอาว่า ถวายพ่อท่าน ก็คงไม่มีผลเสีย อะไรหรอก เพื่อฉลองศรัทธานั้นหนึ่ง สองพ่อท่าน น่าจะได้ลอง แบบนี้ดูบ้าง เผื่อจะดีขึ้น เนื่องด้วยเห็น พ่อท่าน ฉันวิตามิน ที่หมอพจน์ จัดมาหลายปี ไปหาหมอมา ก็หลายคนแล้ว แต่พ่อท่าน ก็ยังมีอาการที่เข่าอยู่

จากประสบการณ์บอกให้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องเราตัดสินใจเองได้ แต่เรื่องอย่างนี้ ควรให้หมอ หรือ ผู้ที่เขามีความรู้ มากกว่า ตัดสินใจว่าควร....ไม่ควรอย่างไร แม้เราจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องเคารพ ให้เกียรติ ผู้ที่สนใจศึกษา มีความรู้มากกว่าเป็นผู้พิจารณาตัดสิน ผิด-ถูก....ดี-ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของผู้รู้ ในสายงานหน้าที่นี้เขาได้พิจารณาแล้ว

หมอพจน์เป็นผู้ที่เอาใจใส่ติดตามบันทึกเก็บข้อมูลอาการเจ็บป่วยของพ่อท่าน มานานกว่า ๑๕ ปีแล้ว ก่อนข้าพเจ้า จะมาทำหน้าที่ปัจฉาฯ ด้วยซ้ำ ประสบการณ์วิชาชีพที่มี รวมถึง ความศรัทธา เอาใจใส่ดูแล อย่างต่อเนื่อง มาตลอด ก็น่าจะเป็นสิ่งรับประกันได้ว่า ดุลพินิจของหมอ น่าเชื่อถือ มากกว่าใคร อาการโรค บางอย่าง ที่หมอพจน์ ไม่มีความชำนาญ หมอพจน์จะปรึกษาถาม หรือ แนะนำ ติดต่อ หมอที่เชี่ยวชาญโรคนั้นๆ ให้ก่อนมาอธิบาย ให้ความรู้ในโรค .... อาการของโรค และ การรักษา โดยเฉพาะเรื่องวิตามิน หมอศึกษา และใช้กับตัวเอง มานาน หมอจึงรู้ผลิตภัณฑ์ วิตามิน อาหารเสริม ชนิดใดที่สมควรถวายให้พ่อท่าน ผลิตภัณฑ์ใด ไม่สมควร บางอย่าง ที่มีผู้นำมาถวาย เมื่อยังไม่มี ข้อมูลว่าเป็นผลเสีย หมอก็ให้เป็นดุลพินิจ ของพ่อท่านเอง ที่จะฉันหรือไม่ ด้วยวิตามิน เท่าที่หมอจัดให้ พ่อท่านก็บ่น อยู่บ่อยๆว่ามาก

วิตามินที่หมอจัดถวายนั้นหมอจะเลือกที่สกัดจากธรรมชาติล้วน แคลเซี่ยมก็จัดให้มีอยู่แล้ว น้ำมันงา แม้จะมาจาก ธรรมชาติที่สด แต่น้ำมันงา มีไขมันด้วย ร่างกายไม่สามารถเลือกเอา แต่แคลเซี่ยม ไขมันไม่เอา ดังนั้น หากฉันน้ำมันงา พ่อท่านจะมีน้ำหนักเพิ่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่ หมอพจน์ เห็นว่า พ่อท่านไม่ควรน้ำหนัก มากไปกว่านี้ เนื่องด้วยทุกวันนี้วิตามินและอาหารเสริม กลายเป็นเรื่อง ธุรกิจ จึงควรระมัดระวัง ศึกษา รายละเอียด ให้ดีๆ อย่าเพิ่งหลงเชื่อ โฆษณาเกินจริง ส่วนที่ ญาติธรรม ซื้อหากันมา โดยไม่ได้ศึกษา ส่วนประกอบ และที่มาของ ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ผลที่คาดว่า จะได้อาจไม่ใช่ ก็คงได้แต่อนุโมทนาทาน แล้วก็จัดสรร ให้กับผู้ที่ สมควรต่อไป และอยากจะ ขอเตือนญาติธรรม ที่อาจคิดเลียนแบบ ซื้อหาวิตามินมาใช้กับตัวเอง ตามอย่างที่หมอจัด ถวายให้พ่อท่านนั้น แทนที่จะดีอาจเกิดผลเสียได้ ด้วยองค์ประกอบ ของร่างกาย รวมถึงวิถีชีวิต การงานที่ต่างกัน เนื่องจากพ่อท่านใช้สมอง ในการทำงาน มากกว่าเราๆท่านๆ การจัดหา วิตามินใดๆถวาย หมอจึงดูองค์ประกอบ ของชีวิต และส่วนที่สรีระ ของพ่อท่าน มีปัญหา หรือ บกพร่อง อยู่บ่อยๆ เป็นสำคัญ ในการพิจารณา ซึ่งหมอได้เก็บข้อมูล สังเกตพ่อท่านมานาน ที่สำคัญ วิตามิน บางอย่าง จัดให้ เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น ไม่ได้ประจำตลอด มีบางตัวเท่านั้น ที่จัดให้ประจำ สรุปคือการจัดวิตามิน ถวายพ่อท่าน ไม่ตายตัว เปลี่ยนไป ตามเหตุปัจจัย ในแต่ละช่วงเวลา แต่วิถีชีวิตรวมถึง สภาพร่างกาย ของญาติธรรม หลายคน ไม่ขาด หรือ มีปัญหาอะไร ที่จะต้อง ซื้อหาวิตามิน บางอย่าง มาเสริม เสียเวลา เสียเงินเปล่าๆ โดยไม่จำเป็น และถ้าวิตามิน ที่มีขายกัน ดาษดื่นนั้น ไม่ได้มาตรฐาน แทนที่จะเกิดผลดี อาจกลับกลาย เป็นผลเสียได้

เป็นเรื่องที่ก็รู้กันโดยทั่วว่า พ่อท่านเป็นเป้าสายตาที่ชาวอโศกสนใจมากที่สุด ยามที่พ่อท่าน ป่วย....เจ็บ....ไอ ที่อุบลฯ ไม่ใช่แค่สันติฯ.... ปฐมฯจะรู้เท่านั้น เชียงใหม่และตรังก็รู้เช่นกัน อีกหน่อยเทคโนโลยี ก้าวหน้า มากขึ้น ไอที่อุบลฯ... ก็คงได้ยิน ไปถึงเชียงใหม่ด้วย เมื่อรู้ข่าว... หลายคนก็อยากมีส่วนร่วม อยากช่วยให้พ่อท่าน หายเร็วๆ ใครมีความรู้... ใครมีประสบการณ์อะไร ก็แนะนำ นั่นๆนี่ๆมา ดีที่ไม่มีใคร มาเจ้ากี้เจ้าการ จะต้องฉัน อันนี้.... ต้องออกกำลังอย่างนี้ ให้ได้ดังใจตัวเอง ไม่เช่นนั้น พ่อท่านก็คงลำบาก ปัจฉาฯก็อึดอัด

หลายวันก่อนพ่อท่านไอ ไม่นานยาแก้ไอต่างๆทยอยกันมา.... มะแว้งกับน้ำผึ้ง.... มะขามป้อม กับสมอ.... น้ำข้าวร้อนๆ ชามหนึ่ง.... เกลือ.. ยาอมแก้ไอตราตะขาบ ทุกคนที่นำมาถวาย ล้วนยืนยัน สรรพคุณที่ตนไอ ใช้แล้วหาย ผู้ที่นิยมธรรมชาติ หรือ นิยมสมุนไพรก็คงมีอีก หลากหลายสูตร ด้วยเกรง ผลข้างเคียง หากใช้ยาแผนปัจจุบัน ขณะที่การแพทย์ แผนปัจจุบัน มองการไอมาจาก หลากหลายสาเหตุ การแก้ไข จึงต้องหาเหตุ ให้ได้ก่อนให้ยา หรือ ทำการรักษา ไม่ใช่.... ไอปั๊บ ก็ยาขนานเดียวนี้แหละใช้ได้เลย จากการติดตามพ่อท่าน ไปพบหมอ หลายต่อหลายครั้ง ทำให้รู้ว่า การไอมาจาก เรื่องของภูมิแพ้ก็ได้.... ทางเดินหายใจส่วนบน.... ทางเดินหายใจส่วนล่าง.... หรือ ได้รับเชื้อไวรัส ที่เรียกว่าไข้หวัด ทั้งหมดนี้มีโอกาสเป็นได้ทั้งนั้น

ถ้าการไอนั้นมาจากการติดเชื้อ การแพทย์แผนปัจจุบันก็จะให้ยาฆ่าเชื้อก่อนแล้วจึงให้ยา ละลายเสมหะ ร่วมกับ ยาลดน้ำมูก และยาลดการอักเสบ วิธีการนี้ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ทรมาน นานเกินไป หายได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีผล ข้างเคียง ในระยะยาวอย่างไร หรือไม่ข้าพเจ้าไม่รู้

ตัวอย่างล่าสุด(๑๘ ก.ย.) พ่อท่านมีอาการไอ มีผู้นำยาอมตราตะขาบฝากปัจฉาฯถวาย พ่อท่านก็รับไป อมทันที ข้าพเจ้า ออกจะแปลกใจ ด้วยหมอพจน์เคยบอกหลายครั้ง เรื่องยาอม หรือยาแก้ไอ ต่างๆที่ขายกัน ดาษดื่นนั้น หมอพจน์ไม่ไว้ใจ ในส่วนประกอบ เพราะเคยมีรายงาน การวิจัยเกี่ยวกับยาแผนโบราณทั้งจีน และไทย พบสาร สเตียรอยด์ ที่ให้ผลดีระงับ การปวดเจ็บ ได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นผลเสีย ในระยะยาว หมอพจน์จึงกำชับนัก กำชับหนา ว่าไม่ควรฉัน แต่ครั้งนี้ พ่อท่านรับมาฉัน อย่างง่ายๆ อาจเป็นเพราะ พ่อท่านไม่ได้จำ คำกำชับนั้น หรืออาจ ไม่ได้คิดอะไรมาก ใจมุ่งอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ เมื่อปัจฉาฯ ยื่นให้ ก็รับเอาไปฉันเลย หรือ พ่อท่าน อาจจะลองดู หรืออาจคิดว่ายังไม่เป็นอะไรมากแค่ การระคายคอธรรมดา จึงรับมาอม ให้ชุ่มๆ คอ เดี๋ยวก็คงหาย อมอยู่หลายครั้ง จนช่วงสาย ก็ยังมีอาการไออยู่ ข้าพเจ้า จึงติดต่อ คุณใบลาน ที่เป็นพยาบาล ให้โทรประสาน กับหมอพจน์ สองวันต่อมา (๒๐ก.ย.) หลังจากฉันยา ตามที่หมอ แนะนำ พ่อท่านมีอาการดีขึ้น ไอน้อยลง.... เสียงที่ผิดปกติ เริ่มดีขึ้น ทำให้วันรุ่งขึ้น (๒๑ก.ย.) พ่อท่านสามารถไปเทศน์ที่อุทยานบุญนิยมได้ อย่างนี้ต้องถือว่า ยาแผนปัจจุบันได้ผล ๓ วัน ก็เกือบปกติ เสมหะน้อย น้ำมูกก็น้อย ไม่ต้องทรมานนาน

ถ้าใช้ยาสมุนไพรหรือโดยธรรมชาติไม่ใช้อะไรเลยปล่อยให้มันหายเองก็เชื่อว่าหายได้ เพียงแต่ ต้องใช้เวลานาน อาจจะ ๑๐ วันขึ้นไปหรืออาจจะเป็นเดือนก็ได้ ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทาน และ ความใส่ใจ รวมถึงความรู้ ที่จะดูแล ตนเอง ของผู้นั้นเป็นอย่างไร

พูดถึงเรื่องนิยมธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ ที่มาจากธรรมชาติ มีเรื่องที่น่าจะได้ศึกษากันให้ดีๆ เช่น น้ำหมักชีวภาพ ที่เราทำกัน ถ้าเพียงแค่ใช้ซักผ้าหรือใช้กับพืชผลไร่....นา....สวนก็คงไม่กระไร การใช้ดื่ม และทำดีท็อกซ์ด้วยนั้น พึงระมัดระวัง มีเรื่องจริงที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งจากสองกรณี

กรณีแรก สมณะเบิกบาน ธัมมนิยโม ใครๆต่างรู้กันว่าท่านศึกษาสนใจเรื่องสุขภาพมากกว่า สมณะรูปใด ฟังข่าวเรื่อง สุขภาพทุกวัน ใครพูดถึงเรื่องสุขภาพอย่างไร เป็นต้องได้เอามาฟัง ไม่ใช่รอบเดียว หลายรอบ ฟังซ้ำแล้ว ซ้ำอีก รวมถึงการจดบันทึก ข้อมูลต่างๆ แม้แต่การทำ ดีท็อกซ์ ก็ทำรายละเอียด บันทึกตรวจดู อุจจาระ ที่ถ่ายออกมาเป็นอย่างไร ตวงวัดปริมาณ ที่นำเข้า และ ถ่ายออก เป็นอย่างไร ราวกับนักวิจัย ทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ปาน ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ อาหารการกิน ก็พิจารณาคัดสรร แต่ที่เป็นประโยชน์ หาใครที่จะเอาใจใส่ จริงๆจังๆ อย่างท่านยาก ท่านทำดีท็อกซ์มาหลายปีแล้วตั้งแต่ยุคชีวจิตเริ่มๆฮิต ตอนนั้น อาทิตย์ หรือสองอาทิตย์ ทำทีหนึ่ง มายุคหมออารีย์ ที่เน้นดีท็อกซ์ เป็นสำคัญท่านก็ทำมากขึ้น อาทิตย์ละ ๓ วัน เพียงแต่ของท่าน จะมีการใช้ น้ำหมักชีวภาพร่วมด้วย ทั้งดื่มและใช้สวนล้างลำไส้ ต่อจากน้ำกาแฟ ผลปรากฏว่า เม็ดเลือดขาว (WBC) ต่ำกว่าปกติ มากที่สุดในรอบ ๑๐ ปี อาการตับ ของท่านแย่ลง คือเอ็นไซม์ บอกสภาพเซลล์ตับ ถูกทำลาย ทั้งระดับลึก (SGOT) และ ระดับผิว (SGPT) สูงกว่าปกติมาก หรือ ถูกทำลายมาก นั่นเอง เดิมท่านเป็นไวรัสตับอักเสบ บี. มานานหลายปีแล้ว เมื่อตรวจเลือดล่าสุด พบความทรุดต่ำ ของตับ ท่านสันนิษฐานว่า หนึ่ง อาจมาจากการใช้น้ำหมักชีวภาพ ทั้งดื่ม และ สวนล้างลำไส้ ซึ่งน้ำหมักชีวภาพนั้น ท่านก็ทำเอง เรื่องความสะอาด รับประกันได้ ของท่าน สะอาดมาก ทุกขั้นตอน และทุกอย่าง สอง อาจมาจาก การทำดีท็อกซ์ ท่านจึงหยุดหมด ทุกอย่าง เรื่องดีท็อกซ์ หันมาทำตามคำแนะนำ ของหมอเปี่ยมโชค โดยบอกเล่าถึงข้อสันนิษฐานสังเกตว่า ก่อนนี้วันไหน ที่ทำดีท็อกซ์ จะรู้สึกสดชื่น กระปรี้ กระเปร่า แต่วันไหนที่ไม่ได้ทำจะรู้สึกมึนๆหัว เข้าใจว่า เหมือนคนติดคาเฟอีน

กรณีที่สองคือข้าพเจ้าเอง แต่ก่อนการเช็ดล้างทำความสะอาดเลนส์แว่นตาก็ใช้แชมพู ที่พยาบาล แผนกตา เคยแนะนำ และ ใช้มานานแล้ว ไม่พบปัญหาใด พอน้ำหมักชีวภาพมาแรง จึงลองเปลี่ยน มาใช้เช็ดล้าง ทำความสะอาด เลนส์แว่นตา ด้วยคิดเอาว่า น้ำหมักชีวภาพ มาจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี น่าจะปลอดภัย ผลปรากฏว่า เลนส์แว่นตาเป็นฝ้าดวงๆ และ ขุ่นมัวเรื่อยๆ เมื่อนำไป เปลี่ยนที่ร้าน ผู้เชี่ยวชาญ การตรวจวัด สายตา บอกกับข้าพเจ้าว่า น้ำหมักชีวภาพโดยตัวของมันเอง ก็มีเคมีธาตุอยู่ ทางที่ดีควรใช้ น้ำยาล้างจาน อย่างอ่อนๆ เช็ดล้างทำความสะอาด คราบไขมันต่างๆ จะดีกว่า เพราะโดยคุณสมบัติ ของน้ำยาล้างจาน จะเช็ดล้าง ออกง่าย ไม่หนืดเหนียว ล้างออกยาก อย่างแชมพู อีกตัวอย่างหนึ่ง การทำความสะอาด ขวดน้ำพลาสติกใส ที่ใส่น้ำกาแฟ หลังการทำ ดีท็อกซ์แล้ว ใช้น้ำหมักชีวภาพ แช่แล้วเช็ดล้างขวดน้ำ ปรากฏว่าขวดเริ่มมีสีขุ่นคล้ำ เมื่อหันกลับ มาใช้ น้ำยาซักล้าง ที่พวกเราทำ โดยไม่มีน้ำหมักชีวภาพผสม ผลก็คือ ขวดน้ำไม่ขุ่นคล้ำ เช่น การใช้น้ำหมักชีวภาพอีก จากตัวอย่างแว่นตา และขวดน้ำใส ที่เกิดผล ดังกล่าวนั้น เมื่อใช้น้ำหมัก ชีวภาพ ทำความสะอาด ข้าพเจ้าคิดเอาว่า น้ำหมักชีวภาพ คงมีความเป็นกรด สูงกระมัง และ เกิดความไม่แน่ใจว่า หากพวกเรานำมาดื่ม หรือใช้สวนล้าง ลำไส้ใหญ่นั้น ต่อไปเรื่อยๆ จะเกิดผลเสีย ต่ออวัยวะภายใน อย่างที่ท่านเบิกบาน ธัมมนิยโม ประสบหรือไม่

ทั้งสองกรณีข้างต้นนี้ ยังไม่อาจสรุปยืนยันชัดเจนว่า น้ำหมักชีวภาพจะมีผลเสียต่อร่างกาย ของผู้ที่ นำมาดื่ม หรือ ทำการสวน ล้างลำไส้ใหญ่จริง เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และ เป็นข้อมูลหนึ่ง สำหรับผู้ที่ใช้ รวมถึงผู้ที่ กำลังคิด จะใช้ ได้เอาไป พิจารณาสังเกต เพื่อการเรียนรู้ อย่างถูกต้อง ต่อไป โดยเฉพาะ ผู้นำไปเผยแพร่ ในวงกว้าง พึงระมัดระวังให้มาก

๒๒-๒๖ ส.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก มีการอบรมค่ายแกนนำสุขภาพเครือข่าย คกร. โดยมีผู้เข้า อบรม จำนวน ๕๒ คน ล้วนเป็น ญาติธรรมวงใน จาก ๙ เครือข่ายที่เป็นศูนย์อบรม เกษตรกร ที่พักชำระหนี้ กับ ธ.ก.ส. เพื่อเป็นครูฝึก การอบรมแกนนำ เกษตรกร ธ.ก.ส. ตามกิจกรรม ค่ายสุขภาพ ๗ อ.

ตัวอย่างรายการที่มีการอบรมในค่ายนี้....เรียนรู้เรื่องธาตุอาหาร....ยาสมุนไพรตามธาตุ.... ดีท็อกซ์ ชุดใหญ่.... ออกกำลังกาย ตามธาตุ.... การปรับสมดุลโครงสร้าง และอิริยาบถบำบัด.... เรียนและ ฝึกปฏิบัติเรื่อง การบำบัดแผนไทย อบ ประคบ ย่าง ฯลฯ.... การพัฒนาจิตวิญญาณรุ้ง ๗ สี และ จักระทั้ง ๗.... ที่สำคัญขาดไม่ได้ก็คือ การฟังธรรม จากหัวข้อ ที่ตั้งมา คือ.... อ.อารมณ์.... อ.อิทธิบาท

พ่อท่านไม่ได้ร่วมรายการต่างๆด้วย เพียงมาแสดงธรรมทำวัตรเช้า ๒๕ ส.ค. และร่วมฟัง การบรรยายสรุป และ ประเมินผล การสัมมนา ในครั้งนี้ รวมถึง ให้โอวาทปิดการอบรม ค่ายแกนนำสุขภาพ จากบางส่วน ที่น่าสนใจดังนี้.....

"ประเด็นสำคัญ เราจะทำตัวเองอย่างไรให้ชาวบ้านช่วยตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งหมอ พยาบาล ไม่ต้องพึ่ง ตลาดร้านค้า และแม้แต่ ต้องมาพึ่งเราอีก ส่วนปรัชญาของทุนนิยมนั้นสร้างตนเอง ให้ชาวบ้านมาพึ่ง เพื่อตน จะเป็นผู้มีอำนาจอิทธิพล แต่บุญนิยม ให้ชาวบ้าน พึ่งตนเองได้ เราต้องรู้วิธีให้เขาช่วยตนเองได้รอด ได้ง่าย ได้เร็ว แข็งแรง เป็นอิสระ

สำหรับการไปรักษาคนอื่น เขามีกฎหมายเอาผิดได้ ในฐานะที่เราไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ อาตมา ยังไม่เชื่อ ในพวกเราว่า จะมีความรู้ ไปรักษาคนอื่นได้จริง อย่าเพิ่งอ้าขาผวาปีก ไปรักษา คนอื่นเขา ความรู้กับ ความสามารถ ของเรา ยังไม่พอ เมื่อมันมีเรื่องของกฎหมาย และชีวิต ของคน เราจึงไม่ควร อ้าขา ผวาปีก ออกไปรักษา คนนอกๆทั่วๆไป

เรื่องสุขภาพบุญนิยมหรือบุญญาวุธหมายเลข ๔ นั้นเราเพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ ยังไม่ทันกี่เดือนเลย แล้วเรา จะออกไป สู่สังคมแล้ว มันจะเก่งไป จึงอยากให้พวกเราศึกษาให้ดีๆ ในหมู่เราเอง ก็ยังไม่มี ข้อสรุป ที่ชัดเจน ยังขัดแย้ง กันอยู่ภายใน ทั้งสังคมวงนอกเอง ก็ยังมีที่เห็นพวกเรา เป็นตัว สกั๊งค์ ของสังคม นี้ย่อมแสดง ให้เห็นว่า เขายังไม่ไว้ใจพวกเราอยู่เลย

ดังนั้น เรื่องการรักษาพยาบาลชาวบ้านหรือสังคมภายนอก ให้ตัดไปได้ก่อน แต่การให้ความรู้ เรื่องการดูแล รักษา สุขภาพ ย่อมทำได้ เพียงแต่ระมัดระวัง อย่าไปทำพฤติกรรม ที่มีลักษณะ อาสารักษา...."


สังคมเสื่อม
๑๑ ส.ค. ๔๖ ที่สีมาอโศก จากรายการเอื้อไออุ่นมีคำถามหนึ่งถามเกี่ยวกับกรณีที่นักร้องดัง ประสบ อุบัติเหตุ เป็นข่าวดัง ไปทั่วประเทศ แม้ในสังคมวัดก็ได้รับการรายงานข่าวนี้ คือ

ถาม : การประสบอุบัติเหตุของนักร้องดัง บิ๊ก ดีทูบี แล้วมีเด็กวัยรุ่นจำนวนมาก ไปร้องไห้ คร่ำครวญ ที่โรงพยาบาล ที่กำลังดูแลรักษา

พ่อท่าน : ก็ธรรมดาธรรมชาติของคนอินโนเซ็นท์ (innocent) หรือคนยังรู้ไม่พอ ยังเด็กๆ ยังเยาว์อยู่ ยังไม่มีปัญญา จะบอกว่าโง่ ก็ไม่ได้ทีเดียว เพราะว่ายังเด็กอยู่ เป็นไปตามวัย เพราะฉะนั้น ที่ไปร้องห่ม ร้องไห้ ก็เด็กๆ รุ่นๆทั้งนั้นแหละ

ถาม : ถ้าพ่อท่านมีโอกาสแนะนำเด็กๆพวกนี้ พ่อท่านจะแนะนำอย่างไรคะ

พ่อท่าน : เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา บิ๊กเขารับผลวิบากของเขาเป็นอย่างนี้ และมีคนช่วยเขา อย่างเต็มใจ เต็มที่ หมอเขาก็ดูแล เป็นพิเศษอยู่แล้ว คนที่น่าสงสารกว่านี้ แต่ไม่มีใครดูแลอย่างนี้ ก็มีอยู่เยอะไป

ถ้าจะว่าไปแล้ว อาชีพอย่าง บิ๊ก นี่เป็นอาชีพซวยในทางธรรม เพราะบาป มันเป็นเงินมหรสพ ได้เงินเกิน เฟ้อ หรือได้เปรียบเกินสัจจะ จึงเป็นหนี้ ตามวิบากกรรม อาชีพอย่าง บิ๊ก ไม่ใช่อาชีพ ที่น่าชื่นชมเลย เพราะทำอย่างนี้ แค่นี้ แค่บันเทิง เริงรมย์ ไม่ได้มีสาระ อะไรนักหรอก มอมเมามาก เป็นมหรสพแท้ๆ เป็นชาวนรกปหาสะ เมื่อรับเงินทองมาก มูลค่าล้น เฟ้อ เกินคุณค่า จึงเป็นหนี้ เป็นบาป แต่คนไม่เข้าใจ ง่ายๆหรอกเรื่องนี้ คนอวิชชา ก็เลยไปหลงใหล คลั่งไคล้ คนที่ไปหลงใหล คลั่งไคล้สิ่งที่ไร้สาระคือคนโง่ มีอวิชชาอยู่ เท่านั้นเอง เด็กๆ อาตมาจะไม่โทษ เท่าไหร่ เพราะยังเยาว์ ยังวัย แต่ถ้าผู้ใหญ่แล้วโง่แน่ๆ อวิชชาแน่ๆ เด็กๆชาวอโศกเรา คลั่งไคล้ อย่างนี้มีไหม ไม่มีหรอก แต่เด็กๆ พวกนั้น เขาไม่หยุดไม่ยั้ง พ่อแม่ห้ามไม่ฟัง แล้วก็ไปกัน แต่เด็กๆ อโศกเราไม่ไป เพราะเด็กๆ พวกเรามีปัญญา ไม่ได้เยาว์วัยอินโนเซ็นต์เหมือนพวกเขา มีวุฒิภาวะ มากกว่าเขา มากกว่า ผู้ใหญ่หลายคน

๑๕ ส.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก เช้านี้ฟังการรายงานข่าว มีประเด็นที่ฝ่ายรัฐและฝ่ายค้าน ถกเถียงกัน ด้วยเรื่อง ที่ฝ่ายรัฐ ให้สินเชื่อ คนระดับรากหญ้า ด้วยหวังกระตุ้น ให้มีการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ ในระดับ รากหญ้า ซึ่งจะช่วย ลดภาระ หนี้สูญ NPL และจะทำให้เกิด การเติบโต ทางเศรษฐกิจ โดยองค์รวม ขณะที่ฝ่ายค้าน เห็นว่า เป็นการเพิ่มหนี้ ในระดับรากหญ้า

พ่อท่านแสดงความเห็นว่า "การเพิ่มสินเชื่อให้คนระดับรากหญ้า มิใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ตราบใด ที่คนยังมีความคิด อย่างทุนนิยม ยังอยู่ในวังวนของบริโภคนิยม ยังไม่รู้จักกิเลส และ การลดละกิเลส ถ้าคนยัง ไม่มักน้อย สันโดษ การแก้ปัญหา ด้วยการสร้าง ระบบใหม่ หรือ การแก้ไข ระบบเก่าๆ ยังมิใช่การช่วยคน ระดับรากหญ้า อย่างแท้จริง"

ต่อมาหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖ ได้ขึ้นข้อความหน้าปกว่า....หนี้ คือ วิธีสร้างทุกข์ และทำลายสังคม ซื้อขายเงินสด งดเชื่อ คือ เครดิตเหนือเครดิต

๑๘ ส.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก จากบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรมทำวัตรเช้า พ่อท่านได้พูดถึง ประโยชน์ ของการค้า "เงินสดงดเชื่อ"
๑) จะทำให้เราลดภาระเรื่องบัญชี
๒) จะลดเล่ห์เชิงต่างๆ
๓) จะทำให้ดีมานด์(ความต้องการ)และซัพพลาย(เสบียง ของที่มีอยู่)ตรงต่อความเป็นจริง
๔) เศรษฐกิจต่างๆจะเกิดการสูญเสียน้อยลง ลดทั้งวัตถุดิบ แรงงาน ทุนรอน เวลา
๕) จะเกิดความคล่องของการเงิน สินทรัพย์และวัตถุดิบ
๖) เศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น
ผู้สนใจรายละเอียด ติดตามได้จากเท็ปบันทึกเสียง

๒๗ ส.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก ตั้งแต่เช้ามีการรายงานข่าวเรื่องดาวอังคารโคจรมาใกล้โลกมาก ในวันนี้ ไม่ว่าจะโทรทัศน์..... วิทยุ.... หนังสือพิมพ์ ช่องไหนๆหรือฉบับใดๆ ต่างล้วนให้เฝ้าดู ปรากฏการณ์นี้กันอย่างคึกคัก

พ่อท่านได้เปรยแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า "เป็นเรื่องของมงคลตื่นข่าวโดยแท้....."

ก่อนจำวัดที่เรือ พ่อท่านขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือเพื่อดูดาวอังคารบ้างเหมือนกัน โชคดีท้องฟ้า ที่บ้านราชฯ คืนนี้โปร่ง ปราศจาก เมฆหมอก มองไปทาง ทิศตะวันออกเห็นดาวสีแสดสว่าง และใหญ่กว่า ดวงอื่นๆ จึงเข้าใจว่า นั่นคือ ดาวอังคาร ตามที่สื่อต่างๆ ถ่ายทอด บอกลักษณะ และตำแหน่ง ให้ประชาชนได้รู้มาแต่เช้า พ่อท่านและ ปัจฉาฯ ยืนดูอยู่ไม่ถึง ๕ นาที ก็ลงจาก ดาดฟ้าเรือมานอน

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้จากบางส่วนของโอวาทปิดประชุมชุมชนปฐมอโศก(๒๑ ส.ค. ๔๖) "....มาถึงวันนี้ เราซึ่งเป็น หมาน้อยธรรมดา ของสังคม แต่ทำไมสังคมยอมรับดีขึ้น ก็เพราะความจริง ของพวกเรา ที่ได้พิสูจน์ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ทำให้พวกเขาจำนน ไม่รับก็ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ขอให้พวกเราตั้งใจ และ ทำให้ดีขึ้น หวังว่าสัจจธรรมที่เรามี เราเป็น นี่แหละจะเข้าไปกอบกู้สังคม สังคมไม่มีทางไปแล้ว สิ้นท่าแล้ว ต้องมาเอาคุณธรรม ของมนุษย์ อย่างแท้จริง เป็นคนลดโลภ โกรธ หลง ได้จริง เป็นอาริยบุคคล ขึ้นไปจริงๆ เกิดสังคม เกิดวิถี การดำเนินชีวิต เกิดวัฒนธรรม เกิดระบบระบอบสังคม เกิดความเป็นอยู่ที่สงบสุข มีสมรรถนะ สามัคคี ปราศจากอกุศล ที่สังคมพึงได้ พึงเป็น อย่างแท้จริง อาตมามั่นใจในอันนี้เท่านั้นว่า จะช่วยสังคมได้ แม้จะช่วยได้ไม่หมด ๖ พันล้านคนก็ตาม

ตอนนี้เราต้องสร้างแกน สร้างแก่นไว้ให้ข้นๆ เป็นหัวยาไว้ จะได้ช่วยสังคมมนุษยชาติได้ ความจริง แม้มีน้อย เขายังจำนนได้ ถ้าเรามากกว่านี้ งามกว่านี้ เขาก็ยิ่งจำนน ทางโน้นเขาทุกข์เขาแย่ เขาต้องมา เอาทางนี้ ไม่มีทางเลือก ทางที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบแล้วนี้เป็นทางที่ดีที่สุด ก็ขอให้พวกเรามั่นใจ และพยายาม พากเพียร เพิ่มเติมขึ้น ขมีขมันเข้า ไม่เช่นนั้น จะไม่ทัน อีกสัก ๕๐ ปีข้างหน้า จะมีอะไรงามๆ ให้ดูอีกเยอะ เราจะได้ดูอะไรดีๆก่อนตาย ก็นับว่า เป็นบุญของชีวิต"

และแถมด้วยบางส่วนของโอวาทปิดประชุมพาณิชย์บุญนิยม (๔ ส.ค. ๔๖) "....ชีวิตเกิดมา ไม่มีอะไรเลย นอกจากเราจะเป็น ประโยชน์คุณค่าแก่มนุษยโลกเท่านั้น ทุกวันนี้ แม้อาตมาจะเหนื่อย ก็ไม่รังเกียจ เพราะเข้าใจว่า คนปุถุชน ก็ต้องต่อต้าน ที่ยึดจัดจิตแรง ก็ถึงขั้นทำร้ายเรา เราเลี่ยงให้พ้นก็แล้วกัน เพราะเขา ไม่พอใจ กิเลสเขา ก็เป็นธรรมดา เขาไม่ผิด เพราะเขาเป็นเช่นนั้นแท้จริง อาตมาจึง ไม่หนักใจเลย เพราะเข้าใจว่า ปุถุชนคนเรา ก็ต้องเป็นอย่างนั้น คนเกิดมาในโลกนี้ถ้าไม่เป็นตัวบาป คุณก็ควรเป็นตัวบุญ เพราะในโลกีย์ มันเป็นบาปกัน แทบจะทั้งสิ้น ยิ่งทุกวันนี้ระบบทุนนิยม บริโภคนิยมจัดจ้าน เขาก็สร้างหนี้ สร้างเวร อยู่ทั้งนั้น ไหนๆ ก็เกิดมาเป็นคน อย่างนี้แล้ว ก็ให้เข้าใจถึงจิตให้ได้ ฝึกธัมมวิจัยให้เป็น แล้วคุณจะสบายใจว่า เหนื่อยทำไม คุณต้องพยายาม ทำตัวเอง ให้เป็นอาริยะ เป็นอรหันต์ให้ได้ เป็นหลักประกันของสัจจะ ถ้าคุณจะเกิดมาอีก คุณไม่เอาเปรียบใครแน่ แต่จะมา สร้างบุญ ถ้าคุณไม่อยาก มาวนเวียนในโลกนี้อีก คุณก็เลือกไปปรินิพพานได้

อาตมาไม่มีปัญหาเลยถ้าเขาจะไม่สรรเสริญไม่ยอมรับ เราได้ทำดีทำถูกต้องแล้ว เท่านั้นก็จบ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้มามันก็หลอก คนหลงได้ ไม่มีอะไรเป็นทรัพย์แท้หรอก

อาตมาไม่รับตำแหน่งอาตมาก็ทำงานได้ คนมีตำแหน่งทำให้มันเท่ากับตำแหน่งก็แล้วกัน ไม่ได้เป็น ผู้จัดการ ทำให้มันยิ่งกว่า ผู้จัดการ จะเป็นไรไป ระวังบาปก็แล้วกัน ทำไม่สมกับตำแหน่ง....."

- อนุจร. -
๒๗ ส.ค.๔๖

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๕ ตุลาคม ๒๕๔๖ -