กันยายน ๒๕๔๖ สัมมนาการศึกษาทางเลือก กลุ่มการศึกษาทางเลือกได้มาจัดการสัมมนาที่สันติอโศก (๕ ก.ย.) พ่อท่านได้มีโอกาส พบคณะอาจารย์ จากที่ต่างๆ ที่มาร่วมการสัมมนา ในครั้งนี้ จากการสนทนาตอบข้อซักถามทำให้เกิดคำคม ซึ่งต่อมาได้นำไปใช้ เป็นโศลกธรรมปีใหม่.... ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ข้อมูลการบันทึกเสียง และภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ได้สูญหายไปหมดทุกด้าน รับงานนอกมาก...ในไม่อบอุ่น พ่อท่านได้ไปเยือนศีรษะอโศก (๘ ก.ย.) พ่อท่านให้คำแนะนำ แก่ผู้ที่มีใจออกนอก ว่าอย่างไร? เหตุของการ ที่มีใจออกนอก พ่อท่านมองไว้เป็นอย่างไร? เตือนผู้ใหญ่ที่อาจเป็นเหตุหนึ่ง ทำให้เกิดผล มีใจออกนอกว่าอย่างไร? พ่อท่านให้หลักการ ทำร้านค้าใหม่ ว่าอย่างไร? การปฏิบัติธรรมตามฐานะ พ่อท่านตอบข้อสงสัยนี้ว่าอย่างไร? วันสันติภาพสากล ตรงกับวันที่ ๒๑ กันยายน ที่กรุงเทพฯ มีการจัดงานกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและ ที่หอประชุม โรงพยาบาลราชวิถี ขณะที่พ่อท่าน ยังจำพรรษาที่อุบลฯ และได้แสดงธรรมที่อุทยานบุญนิยม ตามหัวข้อ...สงบภายใน เพื่อสันติภาพโลก โดยอธิบายถึงสันติ อย่างที่ทั่วๆไป เข้าใจและทำกัน แล้วอธิบายสันติ อย่างที่พระพุทธเจ้าพาทำเป็นอย่างไร? การบริหารกายแบบจี้กง ได้มีผู้มาบอกเล่าถึงการบริหารกายแบบจี้กง แล้วฝากเรียนถามพ่อท่านว่า วิธีการอย่างที่กล่าวนี้ เป็นมิจฉาทิฐิหรือเปล่า? ทำแล้วจะเป็น ผลเสียหรือไม่? พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรกับการบริหารกายอย่างนี้ กินมังฯ-กินเจ เทศกาลเจปีนี้พ่อท่านพยายามผลักดันให้พวกเราใช้คำสั้นๆเรียกขานอาหารมังสวิรัติว่า ...มังฯ ให้เป็นที่นิยมติดปาก อย่างคำว่า...เจ และ จากเทศกาลเจนี้ พ่อท่านได้แสดงธรรม มีสิ่งใดที่น่าสนใจ เชิญติดตามได้จากเท็ปหรือซีดีบันทึกเสียง จากการแสดงธรรม ที่สันติอโศก(๒๘ ก.ย.) ส่งเสริม..การค้นคว้าเผาขยะพลาสติกไร้มลพิษแถมได้น้ำมัน พ่อท่านเป็นผู้นำที่ให้เกียรติ ให้โอกาสคน ได้คิดค้นประดิษฐ์ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ ต่อสังคม ไม่มองคนอย่างเผินๆ เพียงแค่พฤติกรรมภายนอก ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ว่าจะมีความรู้จริง คุณใจเดียว หรือชื่อทางการว่า ....เฉลิม บุญฤทธิ์ ซึ่งเท่าที่ทราบมา การศึกษาเพียงแค่ระดับประถมฯ แต่สามารถประดิษฐ์คิดค้น หลายสิ่งหลายอย่าง ที่เป็นประโยชน์ ล่าสุด สามารถเผา ขยะพลาสติก โดยปราศจากมลพิษ แถมได้น้ำมันที่นำเอามาใช้ประโยชน์ได้ทันที ซึ่งขอเวลาให้ฝ่ายวิชาการ รวมถึงผู้รู้หลายๆฝ่าย ได้ตรวจสอบความจริง ก่อนที่จะเปิดเผยสู่สังคมต่อไป ในรายละเอียดต่างๆนั้น ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้จากโอวาทปิดประชุมชุมชนปฐมอโศก(๒๙ ก.ย.) พ่อท่านบอกถึงความก้าวหน้า ของพวกเรา แม้จะได้คนมาน้อย แต่คนที่มา ก็มาด้วยหัวใจ ไม่ใช่ได้มาด้วยลาภยศอย่างทุนนิยม และเร่งรัดให้พัฒนาตนจะได้เป็นสนามแม่เหล็ก ที่มีแรงเหนี่ยวนำมาก พร้อมกันนี้ ได้เตือนว่า ต่อนี้ไป จะต้องหนัก แต่ต้องระวังช่วงนี้อย่าขยายงานใหม่ เพียงงานที่มีที่ทำอยู่ขณะนี้ที่มันพัฒนาเพิ่มขึ้น ก็หนักหนาอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น ในจะเปลี้ย และตายเสียก่อน
ผลปรากฏว่าภาษาไทยและคณิตศาสตร์ ค่าเฉลี่ยคะแนนของนักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก สูงกว่า ระดับประเทศ ทุกสังกัด.... สูงกว่าระดับประเทศสังกัด สช. ...และสูงกว่าระดับกรุงเทพสังกัด สช. ด้วย โดยเฉพาะ คณิตศาสตร์นั้น นำโด่งมาก คือได้ ๒๓.๐๐ ขณะที่ระดับประเทศ ทุกสังกัดได้ ๑๕.๖๒ ระดับประเทศสังกัด สช. ได้ ๑๘.๒๒ และระดับกรุงเทพสังกัด สช. ได้ ๒๐.๗๒ ส่วนคะแนนภาษาไทย นักเรียนสัมมาสิกขา สันติอโศกทำได้ ๒๒.๗๓ ขณะที่ระดับประเทศทุกสังกัดได้ ๑๘.๖๖ ระดับประเทศสังกัด สช. ได้ ๒๐.๐๐ ระดับกรุงเทพสังกัด สช. ได้ ๒๒.๕๒ ส่วนภาษาอังกฤษนั้น นักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก ยังคงได้ค่าเฉลี่ยสูงกว่า ระดับประเทศทุกสังกัด และระดับประเทศ สังกัด สช. แต่สู้ระดับกรุงเทพ สังกัด สช.ไม่ได้เท่านั้น คือระดับกรุงเทพสังกัด สช.ได้ ๒๘.๑๑ ขณะที่นักเรียน สัมมาสิกขา สันติอโศกได้ ๒๓.๖๐ ระดับประเทศ ทุกสังกัดได้ ๑๘.๑๒ ระดับประเทศสังกัด สช.ได้ ๒๓.๒๐ ครูฟังฝนได้บอกเล่าว่า...เราเพิ่งสอบปีที่ ๒ ปีแรกเด็กเราสอบตกหมดเลยค่ะ ทำให้เด็ก ม.๓ กลุ่มนี้ ต้องฟิตตัวเองค่ะ เขาคิดกันว่า ต้องเอาให้ดีกว่ารุ่นพี่ ที่ผ่านมา ซึ่งอันนี้คือผลการวัดคุณภาพการศึกษาระดับชาติ ถ้าเราได้สูงกว่าระดับประเทศ ก็เป็นที่น่าพอใจแล้วค่ะ ทำให้เด็ก มีความมั่นใจค่ะ จะเห็นได้ว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ถ้าเขาเอาจริงๆในลักษณะการศึกษาแค่ ๒๐ มาเรียนแค่ ๔ คาบ วันละ ๔ ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่โรงเรียนทั่วไป ทั้งประเทศ เรียนกันวันหนึ่งประมาณ ๗-๘ คาบ แล้วของเรา ๔ คาบต่อวันนี่ เทอมที่ ๒ นี่ เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวไปนี่ เอาจริงๆ แล้วมันไม่ถึง พ่อท่านแสดงความเห็นต่อ...."ไม่เป็นไร อาตมาว่าไม่ต้องไปเร่งอะไรมากหรอก ขนาดนี้เราก็ได้คะแนน สูงกว่าเขาอยู่แล้ว และเรายังได้ประโยชน์ ทางด้านสังคมศาสตร์ ด้านทักษะต่างๆด้วย เราไม่ต้องไปเอาโลดโดดเด่น แหม....ชนะขาดลอยเลย! ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ซึ่งถ้าเรามาเร่งส่วนนี้ แล้วเราชนะเขาจริง ส่วนอื่นจะขาดหรือเปล่า แต่ถ้าแน่ใจว่าศีลเด่นไม่ขาด เป็นงานไม่ขาด จะมาเร่งภาควิชาการ ให้สูงขึ้นไปอีกก็เอาเลย....." ครูฟังฝนบอกเล่าอีกงานต่อ.... งานนิทรรศการที่อิมแพ็คเมืองทองธานีค่ะ เขาเชิญเราไปในฐานะ เป็นกลุ่มโรงเรียน การศึกษาทางเลือก และ สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นสำนักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ เขาก็มาดูเราด้วยค่ะ นิทรรศการของเรามันไม่เหมือนของโรงเรียนอื่นเขาค่ะ ของเขาจะดูอลังการ มีดอกไม้ มีภาพมีอะไร ดูดีมากเลยค่ะ แต่นิทรรศการของเรา นี่ตรงข้าม กับโรงเรียน กรุงเทพมหานคร ซึ่งทำได้สวยและเด่นมากเลย เราก็จัดเป็นแบบชาวอโศกให้มากที่สุด เสร็จแล้วก็พาเด็กไปดู พอนั่งรถกลับมาก็ถามเด็ก ม.๕ ว่าดูแล้วได้อะไรบ้าง? ...ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่องอะไรหรอก เอ๊ะ..โรงเรียนที่เอามานี่ เป็นโรงเรียน ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วนะ นักเรียน จะไปคิดอย่างนั้นได้อย่างไร? ถาม ม.๔ ก็คล้ายกัน แล้วก็มาถาม ม.๒ ดิฉันรู้สึกว่า เด็กเริ่มวิเคราะห์เป็นว่า การศึกษาที่แท้จริง ควรเป็นอย่างไร? ส่วนบู๊ธของเรานี้ เรื่องการจัดการศึกษามันมีผลผลิต มันมีอะไรที่ครบพร้อมค่ะ ก็เลยดูอุดมสมบูรณ์ ซึ่งในนิทรรศการอื่นเนี่ย มันเป็น นิทรรศการความรู้.... ดอกไม้ประดับเยอะมาก รู้สึกว่าเด็กที่มาอยู่กับเรา เขาก็คิดเป็น จึงรู้สึกภูมิใจตรงนี้ค่ะ แม้จะเป็นงานระดับชาติ แต่เขาก็วิเคราะห์ออกว่า มันไม่มีอะไร เราจัดนิทรรศการให้เป็นของจริง ดูแล้วอุดมสมบูรณ์ มีเด็กเป็นธรรมชาติที่อยู่ตรงนั้น เป็นนิทรรศการ ที่เดินได้ ดูมีชีวิตชีวา บู๊ธอื่นไม่มีเด็กค่ะ ดิฉันได้ถาม คนที่มาเยี่ยมชมที่บู๊ธของเราว่า....เป็นยังไง ชาวอโศกเนี่ย สังคมข้างนอก เขายอมรับกัน ได้บ้างหรือยัง ดูเหมือนกระแส จะรับแล้ว แม้แต่พระ ก็ญาติดี ในขณะที่สังคมเปิดรับเรามากขึ้น แต่ก็ไม่ให้แสดงตัว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร? พ่อท่าน : มันเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นเรื่อง dialectic เป็นเรื่องปฏินิสสัคคะ เป็นเรื่องย้อนแย้งอยู่ในที ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้ว อัตตามนุษย์นี่ มันถือดี ถือตนมีลึกๆ อยู่ในตัวคนแท้ๆ เป็นกิเลสที่จริง ทีนี้ในสำนึกนอกหรือในสังคมเขารับแล้ว สำนึกนอก ก็เห็นแล้วว่าจริงนะ ต้องยอมรับว่าเขาดี แต่ไอ้ตัวในๆบอก .... ถึงดียังไงกูก็ต้องใหญ่กว่าเอ็งวะ.... มันเกิดการ conflict เกิดการตีย้อนอะไรกันอยู่ เพราะฉะนั้น การแสดงออกเต็มที่ สยบยอมอะไรทุกอย่าง มันก็ยังไม่เรียบร้อย ก็ยังมีจุ๊กจิ๊กๆ แล้วแต่ลีลาของใคร กระบิดกระบวน ไปตามกิเลส บางคน ก็ออกลีลานี้ นี่แหละกิเลส อัตตามานะ ก็มีอยู่จริง ใครอัตตามานะน้อย ยอมจริงๆ ศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ ก็มีไม่ออกมาแสดงบทบาท แต่ทีนี้มันยังไม่จริง นั่นหนึ่ง ถึงแม้ว่า ยอมจำนนแล้ว แต่กิเลสของท่านยังอยู่ในใน มันก็ต้องมีบทบาทออกมา..... ครูฟังฝน : หรือว่าผลงานมันยังไม่โดดเด่นพอ พ่อท่าน : อันนั้นมันก็เป็นค่าขององค์รวมด้วย ยังไม่เด่นพอ เวลายังไม่ยาวนาน เขายังมีพวก เขายังมีหมู่ เขายังทำอะไรๆ ของเขาได้ จึงยังเป็นพวกที่ ไม่ยอมรับ ความจริง แต่ถ้าถึงขั้นหมู่ฝูงเขายอมรับกันหมดแล้ว ตัวเองโดดเดี่ยว ถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆ เขาก็ต้องยอม นี่เขาคิดว่าเขายังมีพวกอีกเยอะ ครูฟังฝน : ดิฉันแน่ใจว่า สังคมมันแย่ลงเรื่อยๆ เพราะเท่าที่ดูแล้วการทำงานของพ่อท่าน.... ก้าวกระโดด พ่อท่าน : ก้าวกระโดดขนาดนี้ก็ยังไม่ทันเขาหรอก เพราะอัตราการก้าวหน้าของสังคมโลกโลกีย์นี้ มันมากกว่านี้เยอะ คิดดูสิ เราทำอยู่แค่เมืองไทย และก็อยู่ในกลุ่ม รักการศึกษา พวกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ประชาชนไทย ๖๓ ล้านคนนี่ จะมาใส่ใจ หรือมารับรู้ศึกษา ในวงการศึกษา กันบ้างเนี่ย จะมีถึงล้านคนไหม คุณลองไปถาม.... บอกอโศกคืออะไร เขาจะรู้จักไหม ไม่ต้องพูดถึงเนื้อหา พูดกันแค่ว่า ชื่ออโศกนี่คืออะไร อาตมาว่าอีก ๖๐ ล้านคน ไปถามได้เลย ไม่รู้หรอก ครูฟังฝน : ในความเห็นของพ่อท่าน การศึกษานี้คือวิถีชีวิตใช่ไหมคะ พ่อท่าน : ใช่ วิถีชีวิตมันต้องดำเนินไปตามความเข้าใจถึงความรู้หรือคุณธรรมของตนเองที่ได้แล้ว ครูฟังฝน : คนที่จัดการศึกษาคือวิถีชีวิต ก็ต้องเข้าใจวิถีชีวิตที่ถูกต้อง แต่การศึกษาของไทยเราที่ผ่านมา เราไปเรียน แบบตะวันตก เขาคิดว่า การศึกษา คือห้องเรียน ซึ่งเป็นการจำลองวิถีชีวิต เพราะฉะนั้น การศึกษาก็เลย ไม่ลงสู่วิถีชีวิตจริง พ่อท่าน : การไปเอาอย่างการศึกษาแบบตะวันตกนี่แหละคือความล้มเหลวอย่างระเนระนาด มันผิดการดำเนินชีวิต ที่ถูกต้อง เป็นการเอาคน ไปเข้ากล่อง ตัดขาดจากพวก นักเรียนนักศึกษา ในระบบการศึกษาทุกวันนี้ ตั้งแต่อนุบาลไปยันปริญญา เด็กไม่ได้สัมพันธ์ สังคมเลย ทำให้เด็ก ไม่รู้จัก บ้านช่องเรือนชานของตน ไม่รู้สังคมหมู่บ้านของตน ครูฟังฝน : มีผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน กทม. เขาสนใจบอกว่าโรงเรียน กทม. มีเยอะมาก เขาก็คิดว่า ที่นี่มีเนื้อหามากกว่า ก็เลยมาศึกษา เก็บรายละเอียด โดยจะนำไปเสนอร่วมกับโรงเรียนต่างๆ ในแต่ละปรัชญา เช่น โรงเรียนราชวินิจ เอาปรัชญาแบบอังกฤษมา โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก เป็นแบบไหน โรงเรียน ภปร. เป็นยังไง เขาจะนำเสนอว่า เป้าหมายในการผลิตเด็ก จะเป็นยังไง เขาบอกว่า โรงเรียนของเรามีข้อมูลอะไร เอาไปให้หมดเลย จะได้นำเสนอ ให้ผู้บริหารคนอื่น ดิฉันก็เอ๊ะ.... คิดถูกหรือเปล่า.... มันเหนื่อยมากค่ะ พ่อท่าน : เอ้า....เหนื่อยก็ต้องจำนนละตอนนี้ อาตมาไม่เหนื่อยหรือไง มันเหนื่อยจริงๆ ไม่มีเวลา แทบจะไม่ว่าง เดี๋ยวไอ้โน่นไอ้นี่ มามากขึ้น แต่มันก็เป็น เรื่องดีแล้วละ มันถึงยุค มันถึงโอกาส ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว เป็นโอกาสที่เราจะต้อง เสนอความจริง อันนี้เข้าเป้าก็ดีแล้ว ถ้าเผื่อว่าเขารับเราดีแล้ว แหม....เราทำเป็นเล่นตัวมากเกินไป ไม่ให้เขา ในขณะที่ให้ มันซับซ้อนอยู่ว่า เราจะให้เขา แต่เราจะรับเขาไม่ได้มาก ถ้าเรารับเขาได้มามาก มันจะมาทับถมเรา เพราะฉะนั้น อยู่ในฐานะที่เราให้ ถ้าให้มากไปก็เป็นภัยอีก ให้ไปกว้างๆ เขารู้กันมาก กรูเกรียวมาเราก็แย่อีก นี่เป็นความซับซ้อน มีเยอะเหลือเกิน อาตมาต้องระมัดระวังที่สุด ต้องเลือกให้และให้ตามกาละ ต้องประมาณการให้ เราเลือกให้ขนาดนี้ เราก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ครูฟังฝน :
ดิฉันคิดว่าไม่น่าจะให้ข้อมูลดีๆมากมายเท่าไหร่นัก สัมมนาการศึกษาทางเลือก เนื่องจากวันนั้นเป็นวันสัตตาหะที่จะครบ ๗ วัน หลังจากพ่อท่านพบคณะครูแล้ว พ่อท่านต้องรีบเดินทาง ไปขึ้นเครื่องบิน เพื่อกลับไปจำพรรษา ที่บ้านราชฯ ด้วยความรีบเกรงรถจะติด ข้าพเจ้าได้ฝากเรื่องให้คนหนึ่ง ช่วยไปบอกผู้ช่วยงานถอดเท็ป ให้ช่วยถอดชุดนี้ด้วย เมื่อกลับมาสันติอโศก คนที่ช่วย งานถอดเท็ป บอกไม่มีใครมาบอกให้ถอดเลย (หรืออาจจะมีคนบอกแต่ลืมก็ไม่ทราบได้) จึงตามไปถามงานนี้ จากฝ่ายเสียง ผลปรากฏว่า ได้ลบเสียงงานนี้ ในเครื่องคอมฯ ไปแล้ว เมื่อตามดูที่ฝ่ายบันทึกภาพ VDO ทราบว่าวันนั้น เขาลืมกดบันทึกภาพ ทั้งภาพและเสียงจึงไม่มี ส่วนฝ่ายจัดทำต้นฉบับ เพื่อเผยแพร่ทั้งเท็ปและ MD คือ สมณะกรรมกร กุสโล ซึ่งอยู่ที่ปฐมอโศก ได้บอกข้าพเจ้าว่า ไม่มี ไม่เห็น หาไม่พบ งานที่ว่านั้นเลย ฝ่ายเสียงที่สันติอโศก ไม่ได้ส่งงานนี้มาให้ที่ปฐมอโศกเลย เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก อะไรกันทั้งคนและเครื่องเทคโนโลยีที่ทรงประสิทธิภาพ ตั้งหลายเครื่อง หลายแบบ เหมือนนัดกันพลาดหมดเลย จำได้ว่าในวันนั้นช่วงพ่อท่านตอบข้อซักถาม มีคำคมเด็ดเกิดขึ้น ซึ่งต่อมาพ่อท่านให้นำมาใช้ เป็นโศลกธรรมปีใหม่นี้ ถ้อยคำนั้นคือ....ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ รับงานนอกมาก....ในไม่อบอุ่น อาตมาได้ยินมาว่าข้างในเนี่ย ตั้งแต่สมณะไม่ค่อยอยู่วัดไปทำงานแต่ข้างนอกไม่เอาภาระข้างใน ปล่อยให้สมณะ ที่ไม่ค่อยมีปฏิภาณ ซึ่งท่านจะเอาแต่สงบๆอยู่ ส่วนสมณะที่พอจะดูแลงานภายในได้ ก็ไปทำเก่ง ไปเอาภาระงานภายนอกมาก แต่ข้างในนี่ ท่านไม่เอาถ่าน อันนี้อาตมาว่าผิดแล้ว ข้างในเราต้องการความแข็งแกร่ง เพราะตอนนี้ข้างนอก เขาเฮละโล จะมาหาเราแล้ว ไม่จำเป็นต้องวิ่ง ออกไปหาข้างนอกมาก ถ้ายิ่งไปหาข้างนอกมาก คนมันจะมามาก แล้วข้างในเรา ยิ่งจะหลวมขึ้นๆๆๆ แล้วเราจะตาย สร้างแก่นในไว้ๆๆๆ แล้วข้างนอก เขาจะมาเอาเอง อย่าหลงทิศ หลงทาง จุดนี้สำคัญ แต่คนเรามักใหญ่ เห็นคนนี้คนนั้นก็น่าช่วยๆๆ แล้วใจมันจะออกไปข้างนอกมาก ซึ่งก็ดูดีโอ้โฮ.... ช่วยเขาได้มากๆๆ มันได้แพร่หลาย กว้างขวาง แล้วเขาจะมาช่วยเราได้มาก ข้างนอกเขาไม่ได้มาช่วยเราง่ายๆหรอก อบรมอะไรต่ออะไร ไปแล้วก็ตาม สร้างแก่นในไว้ๆๆ แกนของเราแข็งๆๆๆ แล้วจะมีความแข็งแรง สมรรถนะของพวกเราจะสูงขึ้น เพราะคุณงามความดีก็ตาม หรือความสามารถก็ตาม ยังจะสูงขึ้นได้อีกใช่ไหม เพราะฉะนั้น เพิ่มอันนี้เถอะ เพิ่มคุณธรรม....เพิ่มความสามารถ....เพิ่มสมรรถนะ.... เพิ่มความขยันของเรา แต่ละบุคคล ให้แข็ง ให้แน่น ให้เนียนขึ้น แม้แต่สมณะ ก็ควรจะมีคุณธรรม ให้สูงกว่านั้น เอาภาระขยันกว่านั้น สำหรับผู้ที่มีใจออก อาตมาอยากให้ทบทวนดูสิ ทบทวนให้มาก ไม่ใช่ว่าอาตมานำพามานี่แล้ว ก็มาหลง ของตนเอง อาตมาว่า มันดีจริงๆ มันอาจจะยากลำบาก ในแต่ละคน ที่กิเลสก็ยังมี เรายังปรับปรุงตนเองไม่ค่อยจะได้ แต่ถ้าไม่ได้ต่ำกว่า มาตรฐาน ไม่ได้เลวถึงขั้น ต้องไล่ออก เราก็ไม่น่าจะไป เพราะยิ่งเรามีมาตรฐาน คุณภาพของเราไม่สูง เรายิ่งจะต้องอยู่อบรมพัฒนาชีวิตตนเอง ไปข้างนอก มีแต่เรื่องกิเลส ไม่ได้อบรมอะไรนา ตัวใครตัวมัน จะเลวจะต่ำจะชั่วอย่างไร ก็อยู่กันไป แต่อยู่ที่นี่ พวกเราพยายาม เอาตาดูหูแลกัน แล้วก็พยายามช่วยกัน เอาภาระกันไป ส่วนคนมีปัญญาสูงจริง เขาก็จะไม่ออกไปจากที่นี่หรอก ออกไปให้มันลำบากทำไม อยู่ข้างนอก มันเหมือนแกะดำ จะอยู่จะทำอะไรก็ลำบาก มันไม่สอดคล้องกับเขา แต่อยู่ที่นี่เอ่อ.... มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา มันเป็นระบบเดียวกัน มันอยู่สะดวก กว่ากันเยอะ ผู้มีภูมิสูงแล้วจริง ไม่ออกไปจากหมู่หรอก โอกาสชีวิตหนึ่งๆของคนเรามีไม่มากเลยนะ เราไม่รู้ว่าตายจากชาตินี้แล้วชาติหน้าจะได้เจอหมู่กลุ่ม อย่างนี้อีกหรือไม่ ก็ขอติงเตือนผู้ใหญ่ ระวัง..!!! อย่าเห็นงานสำคัญกว่าคน เราต้องเห็นคนสำคัญกว่างาน อย่าไปหลงใหล งานข้างนอกมากเลย ข้างใน ใช่ว่า จะดีพร้อมแล้ว เต็มแล้ว งานเป็นเพียงสิ่งอาศัยของชีวิต พวกเรามีมักน้อยสันโดษแล้ว เพราะฉะนั้น งานที่พวกเรามี พอกินพอใช้ เราไปทำงาน ก็ไปทำเพื่อผู้อื่น ไปช่วยผู้อื่น แต่คุณภาพของคนในที่ต้องเจริญสร้างสรร ขยันขึ้น เป็นคนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน....." จากนั้นเป็นการตอบคำถามของนักเรียน ซึ่งมีคำถามคำตอบบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้.... ถาม : การทำบุญได้บุญทางไหน? พ่อท่าน : บุญแปลว่า ๑) ความดีงาม ๒) การชำระกิเลสหรือความชั่ว ๓) ทำตัวเราให้มีประโยชน์คุณค่า ๔) เป็นกุศลวิบาก ที่จะติดตัวไป ดังนั้น ที่ถามมาว่า การทำบุญได้บุญทางไหน ก็ได้ทางกรรมกิริยาและปัญญาที่รู้บุญว่า บุญคืออะไร แล้วทำให้ได้ตามที่รู้นั้น ถาม : พ่อท่านคะ วิบากของการกินจุบจิบคืออะไรคะ ? พ่อท่าน : โรคมาก เปลืองมาก เสียเวลามาก ช่วงบ่ายมีการประชุมชุมชนต่อด้วยรายการเอื้อไออุ่น มีคำถามเกี่ยวกับการสร้างร้านค้าใหม่ แทนร้าน "น้ำใจ" ที่ถูกลอบวางเพลิง เมื่อปีที่แล้ว พ่อท่านให้หลักของการสร้างร้านค้าใหม่ "เราควรค้าขายสินค้าของชุมชนและเครือข่าย เป็นหลัก ส่วนสินค้านอกชุมชน นอกเครือข่าย เราควรคำนึงถึงสาระ กับความมอมเมา อย่าไปคำนึงถึงความต้องการของลูกค้า ว่าขายดีคนนิยม ทั้งๆที่สินค้านั้น มันมอมเมา ไม่มีประโยชน์คุณค่า เราไม่ควรให้ลูกค้า มากำหนดเรา ในเรื่องสินค้า แต่เราควรเป็นผู้กำหนดลูกค้า ให้ซื้อสินค้าที่เราเห็นว่า เป็นประโยชน์ การค้าการตลาดของพวกเรามีหลักว่า ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ เสียสละ มีน้ำใจ อีกอันก็คือ พยายามอย่าให้เกิด การสร้างหนี้ ใครจะมาเอา สินค้าไปจากเรา จะต้องซื้อขาย เงินสด งดเชื่อ เราพยายามให้เกิดระบบ "เครดิตเหนือเครดิต" ทำให้มันได้ เพราะโลกทุกวันนี้ มันเลวร้าย ก็เพราะระบบสินเชื่อ ระบบหนี้ การซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ทำให้เกิดการฆ่าแกง เลวร้ายทุจริตกัน ที่สำคัญก็คือ มันทำลาย ดีมานด์ (demand- ความต้องการของผู้ซื้อ )และซัพพลาย (supply-ของที่มีขาย) ไม่ให้ตรงตามความเป็นจริง ต้องแปรปรวนไป ตามเล่ห์ต่างๆ ของคน การซื้อขายเงินสด จะทำให้เกิดการตรวจสอบการใช้สอยที่จำเป็นจริงๆ ไม่เกิดการซื้อเอาไปสะสม กักตุน ทำให้เกิดการเน่าเฟ้อ เกิดความเสียหายได้....." ถาม : ตอนนี้คนหนุ่มสาวรู้สึกว่ารับงานเยอะมากจนไม่มีเวลาให้แก่การศึกษา พ่อท่าน : เป็นเพราะการรับงานนอกมากเกินไปของผู้ใหญ่ ศีรษะอโศกจะไปไม่รอด เพราะรับงานนอกมาก เบรกไม่อยู่ ตอนนี้ เราต้องมาเร่ง ภายในของเรา แทนที่จะไปหลงงานนอก ซึ่งต่อไป งานมันจะมีมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่หมดหรอก งานนอกมากเกิน มันทำให้แกนของเราแย่ ถาม : แล้วที่พ่อท่านบอกว่าปฏิบัติธรรมไปแล้วทำงานไปด้วย มันต้องปฏิบัติธรรมแล้วทำงาน ไปด้วยหรือคะ พ่อท่าน : การปฏิบัติธรรมของพุทธคือการทำงานแล้วอ่านใจทันที อ่านให้รู้ใน.....สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ที่เป็นมิจฉา แล้วแก้ให้เป็นสัมมา ไม่มีอันใดที่บอกว่าไม่ต้องทำงาน สังกัปปะ ก็กรรม วาจาก็กรรม อาชีพก็กรรม ในมรรคองค์ ๘ คือ ทางปฏิบัติ ที่จะไปสู่นิพพาน ปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องอ่านใจให้เป็น จิตมันจะแววไวเป็นมุทุภูตธาตุ เมื่อกระทบสัมผัสแล้วก็ลดละกิเลสในจิต พร้อมกันนั้น ก็ทำงานไปด้วย แต่เราก็ต้อง ประมาณตนเอง ว่าเราจะรับผิดชอบงานได้มากแค่ไหน ถ้าไม่ไหว งานมันมากมันหนักเกิน ที่ตนจะอ่านจิตทัน ก็ต้องบอกกัน แบ่งเบาลง นี่คือ มัชฌิมาปฏิปทา ถาม : ที่ศีรษะอโศกตอนนี้หนุ่มสาวก็ออกไปเรื่อยๆ คือไม่มีพลังที่จะรวมกัน งานที่ ม.วช. แต่ละคนรับกันไว้ ก็เยอะ คิดที่จะรวม เพื่อสร้างกระบวนการกลุ่ม แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะงานที่ทำอยู่ก็เยอะ ก็เลยแบ่งรับแบ่งสู้ คนที่สู้ได้ก็สู้ไป คนที่สู้ไม่ได้ ก็ถอยหนีครับ แล้วก็ถอย กันไปเรื่อยๆ พ่อท่าน : ที่พูดมานี่แสดงว่ามันไม่สมดุล งานมากเกินตัวแล้ว ต่อไปก็ต้องตาย เมื่องานมากขึ้น แต่คนก็ออกไป มากขึ้นๆ รับงานมากๆ อย่างนี้ อย่านึกว่าเจริญนะ คนเรามันหลงงานได้นะ อันนี้ก็ดี อันนี้ก็น่าทำ งานเราต้องเลือกรับให้พอเหมาะ เราต้องประมาณคน และงานที่เราจะรับมาให้ดีๆ พวกเราเอง ไม่ได้ทำงานอย่างโลกย์ๆ ทำเพื่อจะได้เงินเยอะๆ พูดถึงเรื่องเงิน ก็ขออยากจะเตือนว่า ระวังโรคเห็นเงินตาโต จะบรรลัยเอาง่ายๆ เราไม่ได้ทำงานเพื่อเงินนะ เราทำงานเพื่อสร้างคน อีกอย่างที่พวกเราทำงานอยู่นี่ เป็นกลุ่มหมู่สังคม เป็นกิจการออกไป มันเป็นผลดีต่อตัวเรา ดีต่อวัฒนธรรม ดีต่อสังคมจริงๆ แต่พวกเรา ไม่พยายาม มองผลดีต่างๆ เหล่านี้ มันดีชนิดที่โลกเขายังทำไม่ได้เหมือนเรา มันเป็นนวัตกรรม เป็นสิ่งดีที่ประหลาด ถ้าคุณไม่เกิดปัญญาว่า ....เอ่อมันดียังไง ตัวเราก็ไม่เกิด ความภาคภูมิใจ....อบอุ่นใจ....ชื่นใจ....ดีใจว่าเราได้ทำสิ่งดีๆให้สังคม จิตมันก็อ่อนแอ เพราะเราไม่มีปามุชชะ (ความยินดีในงาน) หรือมีแล้ว ก็หลงฟูใจ แต่เราควรรู้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งดีจริงๆต่อสังคม เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ต่อสังคม อันนี้จะเป็นกำลังใจ ซึ่งเราเอง ไม่ถึงกับโลกย์ๆ โลกีย์ที่เขาต้องได้สรรเสริญ ได้ลาภ ยศ เป็นเครื่องฟูใจ แต่พวกเรามันไม่มีอย่างนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจ มันก็จะกลายเป็นห่อเหี่ยว ....แข็ง แล้วก็อ่อนแอ จึงอยากให้พวกเรา ทบทวนให้ดีๆว่า สิ่งนี้เป็นคุณค่าต่อตัวเราเอง ต่อวิบาก ต่อสังคมโลก เป็นการเสียสละ สร้างสรรอย่างไร เราไม่ได้เอามาเสพบำเรอ ไม่ได้เอาเปรียบ เอารัดใครเลย ที่เราทำอยู่นี่เป็นบุญแท้ๆ ทำแล้วให้ ทำแล้วสละออก ถ้าอย่างนี้ไม่ภาคภูมิ ไม่อบอุ่นใจ ก็ไม่รู้ว่าเราจะ....โง่ไปถึงไหน ถาม : การปฏิบัติธรรมตามฐานะคืออย่างไรครับ พ่อท่าน : การปฏิบัติให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทาตามหลักของพระพุทธเจ้าก็คือ ต้องตั้งตนอยู่บน ความลำบาก แล้วกุศลธรรม จึงเจริญยิ่ง ส่วนการปฏิบัติตามสบายนั้น อกุศลธรรมเจริญยิ่ง สมใจกิเลสมันก็เบาสบาย เพราะฉะนั้น มัชฌิมาของพระพุทธเจ้า จึงต้องตั้งตน อยู่บนความลำบาก ไปในทิศทางฝืน ดังนั้นตัวใครก็ตัวใคร ต้องดูตัวเองให้ดีๆ แต่อย่าให้ถึงขนาดฝืนเกิน ต้องประมาณให้ดีๆ ตามฐานะ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน แต่ต้องมีการอดทน ข่มฝืน สุดท้ายก่อนเดินทางกลับบ้านราชฯพ่อท่านได้ให้โอวาทปิดรายการ จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้.... "....เราได้ดีมาขนาดนี้แล้ว สังคมก็ตอบรับเรามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราจะตายก่อนแน่ ถ้ารับงานมามากเกิน ทำให้เราแตก กระสานซ่านเซ็น จริงๆแล้ว ธรรมะของ พระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติจนเกิดผลแล้วก็จะเกิดความแข็งแรง ตั้งมั่น ยั่งยืน....." วันสันติภาพสากล วันนี้ที่อุทยานบุญนิยมก็มีผู้มาทำบุญเหมาจ่ายให้แจกอาหารฟรีทั้งร้าน โดยเห็นตัวอย่างที่ดีนี้ จากอาทิตย์ที่ผ่านมา (๑๔ ก.ย.) อีกทั้งในวันนี้ ก็เป็นวัน สันติภาพสากลด้วย พ่อท่านจึงแสดงธรรมในหัวข้อ "สงบภายใน เพื่อสันติภาพโลก" โดยทั้งสองอาทิตย์นี้ ได้ส่งสัญญาณเสียง ผ่านโทรศัพท์ ไปออกอากาศ ที่วิทยุบัวกลางมูล ของบ้านราชฯด้วย แต่เทคนิคของระบบเสียง ยังไม่ดีนัก จากบางส่วนที่พ่อท่าน ได้แสดงธรรมดังนี้.... "วันนี้อาตมามาเทศน์ที่อุทยานบุญนิยม อยู่ที่ถนนศรีณรงค์กับถนนเทพโยธีนี่ สองสายตัดกัน ตรงหัวมุม เลยลงไปโน่น ก็จวนข้าหลวง (ผู้ว่าฯ) อุทยานบุญนิยมนี่ เป็นที่พยายามที่จะเป็นแหล่ง สนับสนุนส่งเสริม เพื่อที่จะสร้างวัฒนธรรมไทย หรือสร้างวัฒนธรรม ที่มีธรรม ที่มีศาสนา เป็นแกนของชีวิต คนทุกวันนี้ห่างเหินศาสนาห่างเหินธรรมไปมากแล้ว ก็เลยเดือดร้อนเพราะทิ้งศาสนากันทั่วโลก ไม่ได้ศึกษา เอาเนื้อหาศาสนา มาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าศาสนาไหนๆ ไม่นำพาเนื้อแท้ ก็เลยเอาแต่เปลือก เพราะกิเลสมันนำพาให้ไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เสร็จแล้ว ก็ทะเลาะเบาะแว้ง แย่งชิง ฆ่าแกงกันข้ามประเทศ ทีนี้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์คือไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย สงบสันติ ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม ก็อยากจะเป็น อย่างนั้นกันทุกคน แต่จิตวิญญาณนี่ มันมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน เป็นตัวผลักดันให้ไปหาทุกข์ หาเรื่องวุ่นวายเดือดร้อน ไม่สันติ ไม่ว่าสังคมใด ก็ต้องการสันติภาพ ต้องการความสงบ วันนี้ ๒๑ กันยายน องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นวันสันติภาพสากล โดยมีโครงการ สงบพบโลกใหม่ เขาจัดกันที่กรุงเทพฯ วันนี้ ๙.๓๐ น. เขาจะลงทะเบียนกัน ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เอาหอประชุมใหญ่ ของโรงพยาบาลราชวิถี เป็นแหล่งจัดงาน ๑๐.๐๐ น. จะแนะนำโครงการ สงบพบโลกใหม่ กล่าวเปิดงานโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ ของนายกรัฐมนตรี ๑๐.๔๐ น. ท่านจันทร์ หรือ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ แห่งมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ก็จะเป็นผู้แสดงธรรม ในเรื่องความหมายของ สัญลักษณ์โครงการ ๑๑.๔๐ น. เนคเกอร์ เดอมาลา คาจาเรีย ผู้อำนวยการบรามากุมารี ชื่อย่อ บีเค มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก ประจำภาคพื้นออสเตรเลียกับเอเซียแปซิฟิค จะเตรียมเข้าสู่ ความสงบภายใน หรือ อินเนอร์พีซ เข้าสู่ความสงบ คือเราจะหยุดสงบ นั่งสมาธินั่นแหละ จะหยุดหลับตานิ่งเลย สงบปาก สงบคอ สงบทุกอย่าง หายใจอย่างเดียว ไม่กระดุกกระดิก ภายใน ๑ นาที ชาวอโศกเราทำกันมานานแล้ว หยุด ๑ นาทีทุกเที่ยงวัน ก็มาจากองค์การของบรามากุมารีนี่แหละ เป็นคนมาชวน แนะนำให้ทำอย่างนี้ เราก็เห็นดีด้วย ก็เลยรับมาทำ จากวันนั้นถึงวันนี้ เราก็ทำมาตลอด ๒๐ กว่าปีแล้ว วันนี้เขาจะมาฟื้น ให้มันกว้างขวางทั่วโลก เขาจะมีรถออกตระเวน ประกาศทำกัน เป็นโครงการ สงบภายใน สู่สันติภาพโลก เขาตั้งชื่อว่าอย่างนั้น พอเที่ยง ๕ นาที ก็จะมีการบรรเลงดนตรีพิณแก้ว ชวนให้มีความสงบภายในกัน....ว่าอย่างนั้น เที่ยงครึ่ง ก็พักกลางวันกัน บ่ายโมงครึ่ง ก็มีศานติคีตา โดยอาจารย์เตือนใจ ศรีมารุต เจ้าของรายการโลกใบจิ๋วจะเป็นผู้ดำเนินรายการ บ่ายสองโมง ก็จะมีการเสวนา พลังความคิดสร้างชีวิต และโลก คริสโตเฟอร์ เดรค ผู้แทนของบรามากุมารี ประจำองค์การสหประชาชาติ แล้วก็บาทหลวงวิชัย โภคทวี ประธานคณะกรรมการ คาทอลิก เพื่อความยุติธรรม และสันติ แล้วก็มี พลอากาศตรีนายแพทย์บุญเลิศ จุลเกียรติ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพล มีคุณศุภพงษ์ กฤษณากาล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทระยองเพียวรีฟายเออร์จำกัด เวลา ๑๕.๑๐ น. จากเสียงสู่ความสงบ โดย รามจิตติ หงษ์สกุล ลีโอ พุฒ ทูล หิรัญทรัพย์ วีรพงษ์ ทวีศักดิ์ แล้วก็มีป่าน มีมิตร ของวงชิลิ แล้วก็นักร้องกิตติมศักดิ์ บ่ายสามโมงสิบนาที บ่ายสี่โมงครึ่ง เสียงแห่งความเงียบ แล้วก็ สิบเจ็ดนาฬิกา การสงบจิตเพื่อโลก ๑๗ นาฬิกา ๓๐ จุดแสงแห่งสันติ เขาจะจุดกันอย่างไร อาตมานึกภาพไม่ออก แล้ว ๑๘ นาฬิกาเป็นจบรายการ นี่เป็นงานทางกรุงเทพฯเขาจัดกัน สังคมก็ช่วยกันเพื่อหาวิธี ทำอย่างไรให้เกิดสันติภาพ อิสลามเขาแปลว่าสันติภาพโดยตรง ความหมายของธรรม หรือเนื้อหาแท้ ในความสงบสันตินี่ มันเป็นเรื่อง สุดยอดของมนุษยชาติ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาไหนๆ เขาก็เหมือนกันแหละ แต่อยู่ที่ว่า วิธีทำอย่างหนึ่ง แล้วความสันตินี่ จะสันติอย่างไร อาตมาจะพูดในความหมายสันติของพุทธ มันมีความลึกซึ้ง มากมายเลย การปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็เพื่อสันติ ทีนี้สันติง่ายๆพื้นๆเบื้องต้นน่ะทุกคนเข้าใจ สันติ คือ นิ่งๆ หยุดๆ เงียบๆ ไม่วุ่นวาย ไม่อึกทึกครึกโครม ก็เลยเข้าใจง่ายๆ สันติก็คือนิ่งๆ หยุดๆ ก็เลยมาทำ ที่กายกรรมให้หยุด เพราะฉะนั้น วิธีทำส่วนมากตื้นๆ ทำสันติก็เลยพยายามที่จะหยุด กายเขาก็ไม่กระดิก นั่งสงบ นั่งนิ่งๆ ปากก็ไม่พูด ไม่ออกเสียง แต่ก็ยังได้รับเสียง ได้รับรูป ทวารทั้ง ๕ ข้างนอกเขาก็พยายามจะสงบกัน ก็เลยพยายามที่จะเอาจิตใจนี่ เข้าไปสู่จุดกลาง ไม่ให้ได้รับรู้อะไร จากทวาร ๕ ข้างนอก ก็เลยกลายเป็นการสะกดจิต พยายามที่จะให้จิต มันเข้าไปสู่ภพภายใน เข้าไปสู่ภวังค์ แล้วก็หยุด หนักเข้า จิตก็สำรวมได้ จิตก็เข้าไปอยู่ในจิต เรียกว่าอยู่ในภพหรือภวังค์ ไม่รับรู้ข้างนอก กายสัมผัสไม่รับรู้ ตาก็หลับแล้ว หูก็ตัด ตัดความสัมผัส ข้างนอก เขาก็ถือว่า ลักษณะนี้คือ การทำความสงบชนิดหนึ่ง แล้วก็รู้กันง่าย ทำกันมานาน เรียกว่าทำสมาธิสู่ความสงบ สมาธิอย่างนี้ รู้กันทั่วโลก ทำกันทั่วไป สามารถที่จะบังคับจิตหยุดนิ่ง หยุดฟุ้งซ่าน มาสู่ความสงบได้ดีพอสมควรเหมือนกัน แล้วความสงบหมายเอาแค่ไหนล่ะ ผู้เข้าใจตื้นๆก็เข้าใจ สงบคือหยุดมันเลย ก็เลยสุดโต่งไปทางหยุด กายกรรมก็หยุด ก็เลยมีปฏิภาณว่า ถ้าอย่างนั้น คนไหนอยากสงบ อยากมีสันติภาพก็ต้องหยุด ทำให้มนุษย์นี่ขาด แทนที่จะมีอิริยาบถ ที่สามารถสร้างสรร สงบแบบนี้ เป็นรูปธรรมชัด แต่มันหลีกลี้ หนีออกไปโดดเดี่ยว ไม่เกี่ยวกับใคร หนีสังคม จึงไร้ประโยชน์ หยุดเกินขอบเขต พระพุทธเจ้านั้นค้นคว้าถึงสันติภาพเหมือนกัน ท่านก็เรียนรู้มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จนตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า ไอ้สงบแบบนี้ ท่านก็รู้ แล้วท่านก็รู้จัก วิธีการสงบ หรือการสร้างสันติที่ลึกซึ้งอย่างวิเศษ เป็นการทำสันติที่ต้นขั้วเลย ท่านว่าเหตุแห่งการไม่สันติ มันอยู่ที่กิเลส ตัณหา อุปาทาน นี่ตัวโกง เป็นตัวร้ายกาจเลย พระพุทธเจ้าก็จับเคล็ดอันนี้ได้ แล้วเรียนรู้เข้าไปถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน เข้าไปถึงปรมัตถ์ แล้วไปจับอาการ ของกิเลสได้ กิเลสไม่ได้อยู่ที่ขนม ไม่ได้อยู่ที่เพชรพลอย กิเลสอยู่ที่ ใจของใครของมัน ร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้านี่เรียกว่า คูหาสยัง เรียกว่าถ้ำ ให้จิตวิญญาณมันอยู่อาศัย อยู่ในคูหาสยังนี้ เรียกว่า มโน หรือวิญญาณ หรือจิต ตัวนี้เป็นธาตุรู้ หรือธาตุรับรู้ เรียกว่าธาตุวิญญาณ หรือธาตุจิต แล้วกิเลสมันอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อาคันตุกะ แปลว่าแขก ท่านพุทธทาส แปลว่าแขกจร อาตมาว่า มันไม่ใช่แขกจรหรอก แขกประจำทีเดียวแหละ มันยึดจิตวิญญาณเราอยู่ไม่ออกเลย มันก็อยู่ในก้นบึ้งของจิต เรียกว่า อนุสัยหรืออาสวะ ท่านแปลอนุสัยว่า มันนอนเนื่อง อาสวะแปลว่าเครื่องหมักดอง เหมือนยีสต์น่ะ มันเป็นเชื้อ แล้วมันก็จะแตกตัว ขยายตัวอยู่เรื่อย ไม่หยุดนิ่ง ส่วนใครจะหยั่งเข้าไปรู้อนุสัยอาสวะนี่ได้ ก็ต้องฝึกฝนธรรมของพระพุทธเจ้า เรียนรู้อาการ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่วิติกกมกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส เข้าไปจนกระทั่ง ถึงอนุสัยกิเลส หรือกิเลสเบื้องต้น กิเลสเบื้องกลาง กิเลสเบื้องสุดท้าย ต้องเรียนรู้ฆ่า ตั้งแต่มันตัวใหญ่ๆ หยาบๆ จนกระทั่ง ตัวเล็กๆอนุสัย คนที่ตามกิเลสอย่างนี้ จับตัวมันแม่น จึงจะฆ่าตัวมันได้ จนไม่เหลือตัวมันเลย เรียกว่าไม่เหลืออัตตา ไม่เหลืออาสวะ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราอย่างนี้ว่าเหตุนี่แหละมันทำให้เราไม่สันติ ทีนี้อาตมาอยากจะขยายความ....สันติของพระพุทธศาสนา เป็นอย่างไร? สันติของพุทธศาสนาคือ ความสงบเพราะกิเลสมันตาย จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ ที่มีความเก่ง ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด สร้างสรร คิดอะไร ต่ออะไรได้เก่ง สังกัปปะคือการนึกคิด ดำริ เป็นสัมมาสังกัปปะ วาจาพูดก็พูดได้เก่ง กัมมันตะ การกระทำ ทุกกาล ทุกอย่าง อาชีวะประกอบอาชีพได้ดี เพราะฉะนั้น การทำจิตสงบของพระพุทธเจ้า จึงไม่ได้ไปนั่งสะกดจิต หรือสันติของพระพุทธเจ้านั้น ท่านปฏิบัติมรรคองค์ ๘ สัมมาทิฐิ เป็นประธาน สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ๗ ตัวนี่ สัมมาทิฐิเป็นประธาน แล้วจะมีสัมมาวายามะ คือความพยายาม กับสัมมาสติ เป็นขุนศึกห้อมล้อม หรือขุนศึกคู่ใจของสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิคือ ความเห็น ความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง แล้วก็พยายามเสมอเลย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้ได้ แล้วระมัดระวังความคิด หรือสังกัปปะ ระวังวาจาคือคำพูด ระวังการกระทำทุกอย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วก็ระวังตรวจสอบอาชีพ ขณะทำอาชีพอยู่ ระมัดระวังทุกเวลาทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้า มรรคองค์ ๘ นี่ครบครัน ปฏิบัติสันติเพื่อสันติของท่านนี่ครบหมดเลยทุกทวาร ไม่หลับตา รู้ความเป็นไปของมนุษยชาติ แล้วก็เรียนรู้กุศล-อกุศล เพราะสันติของพระพุทธเจ้า ไม่ได้หยุดนิ่ง กายกรรมมี แคล่วคล่องว่องไว ทำงานทำการชำนาญ สร้างสรรสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่ดีงาม ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า สันตินี่ท่านหมายเอากิเลสสงบ กิเลสตายเกลี้ยง สงบเพราะกิเลสไม่มี เมื่อปฏิบัติมรรคองค์ ๗ มันก็จะสั่งสมลงเป็น สัมมาสมาธิ คือจิตตั้งมั่น ....แข็งแรง ....มั่นคง เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติกิเลสลดลงเรื่อยๆๆ จิตก็จะแข็งแรง โดยไม่ต้องหนีสังคม อยู่กับสังคม รับรู้ทุกอย่าง แต่อยู่เหนืออำนาจ ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น....ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่เป็นทาสสิ่งเหล่านี้ นี่คือ สันติของพุทธ วันสันติภาพสากลวันนี้ อาตมาก็ได้เทศน์คร่าวๆเท่าที่มีเวลา พวกเรามาสนใจธรรมะเถิด แล้วฝึกฝนช่วยตัวเราเอง ให้หลุดพ้น เป็นคนหมดบาป เป็นคนสร้างสรร ประโยชน์ จะอยู่เย็นเป็นสุขสันติอย่างแท้จริง โทษภัยน้อย ศัตรูน้อย มีแต่บุญ จะมีคนยอมรับ นับถือยกย่อง บูชาขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะทำให้สังคม เป็นขบวนการกลุ่มที่อบอุ่น อย่างชาวอโศกเรานี่ไม่รวย เรามาจน คือเราไม่มาเห็นแก่ตัว ไม่มาสะสมกอบโกย แต่จะพยายามสร้างสรร เสียสละ ขอให้ทุกคนที่เป็นชาวพุทธ จงหันกลับมาหาธรรมะของพระพุทธเจ้าเถิด ศึกษาให้เป็นสัมมาทิฐิ แล้วจงปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ให้แก่ชีวิต ของตนๆ มันจะเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านไปในโลกเลย ก็ขอให้ทุกคนปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ได้มรรคได้ผล ของธรรมะนั้น ทั่วถ้วน ทุกคนเทอญ....." การบริหารกายแบบจี้กง การบริหารเริ่มจากการยืนแบบไทเก๊ก ย่อเข่าลง แล้วขย่มตัวนิดๆ ลิ้นกดเพดาน รวบรวมจิต ให้อยู่กับตัวเอง เมื่อจิตสงบใจเป็นสมาธิ จิตใต้สำนึกของแต่ละคน จะทำงานบอกให้กายเคลื่อนไหว ไปตามส่วนที่ร่างกายมีปัญหา หรือบกพร่อง จากวิถีชีวิต ในแต่ละวัน ซึ่งบางคน อาจจะเหวี่ยงแขน.... หมุนคอ.... หมุนเอว....บิดตัวซ้ายขวา....หรืออาจจะรำ.... หรืออาจจะกลิ้งตัวไปมา.... หรือกระโดด กระตุกตัวไปข้างหลัง ซึ่งแต่ละคน จะเคลื่อนไหวไป ต่างๆนานา ไม่เหมือนกัน ตามจิตใต้สำนึกของแต่ละคน จะสั่งให้ทำ ผู้บอกเล่าให้ข้อมูลต่อไปว่า....ในขณะเคลื่อนตัวนั้นก็มีสติรู้ตัวตลอด ขณะเดียวกัน จิตใต้สำนึกก็สั่งการให้เคลื่อนไหว ไปตามส่วนที่ร่างกาย รู้สึกบกพร่อง อาจารย์ที่สอนเป็นดอกเตอร์ เขาศึกษาการแพทย์ทางเลือกหลายๆทาง และศึกษาอโศกบ้าง มีพวกเราไปวิจารณ์ ให้อาจารย์ฟังว่า วิธีการบริหารกายอย่างนี้ ถือเป็นโมหะ ทำให้อาจารย์รู้สึกไม่สบายใจ โดยส่วนตัวผู้บอกเล่าเอง ขณะทำก็ได้ประโยชน์ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า ในระยะยาว จะเป็นผลเสียหรือไม่ ถ้าจะหยุดทำตอนนี้ ก็หยุดได้ ไม่รู้สึกว่าติดอะไร พ่อท่านแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า "มันไม่ถึงกับเป็นมิจฉาทิฏฐิอะไร เป็นการสะกดจิตตนเอง อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ถ้าเกิดสมาธิจิตจริงๆ ก็จะไม่เป็นผลเสียอะไรหรอก ที่จะเป็นผลเสียก็คือ คนที่มีอุปาทานจิต แล้วไปทำให้มันเกิดเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ใช่สมาธิจิตจริง ซึ่งคนที่จะเกิดสมาธิจิตจริงๆ จะมีน้อย ส่วนใหญ่แล้ว เป็นอุปาทาน เรื่องของพลังงานจิตที่เกิดจากสมาธินั้นมันสามารถที่จะทำให้เกิดให้เป็นอะไรได้ต่างๆนานา แม้แต่สิ่งที่ วิจิตรพิสดารกว่านี้ ก็ย่อมทำได้ เพียงแต่ มันไม่ใช่เรื่อง ที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ ส่วนใครจะใช้กับการบริหารกายแล้วได้ประโยชน์ก็ทำไปไม่เสียหาย แต่ถ้าใครจะบริหารกาย ก็บริหารกาย ในท่าต่างๆ โดยตรงเลย ไม่ต้องใช้การสะกดจิต ในแบบต่างๆนั้น มาอาศัยก็ดีกว่าแน่...." กินมังฯ....กินเจ "ในวาระของเทศกาลกินเจ อาตมาพยายามให้ใช้ภาษาเรียกกันใหม่ เรียกเจนี่ เขาเกี่ยงงอน เขาบอกว่าไม่จริง พวกคุณกินมังสวิรัติไม่ใช่กินเจหรอก คุณยังกินหอมกินกระเทียม ยังกินกุยช่าย กินผักชี เพราะว่าเจนี่เขางดเว้น กระเทียมไม่กิน ทั้งๆที่กระเทียม มีธาตุอาหาร ที่ให้ประโยชน์ คุณค่าต่อร่างกายมหาศาล อาตมาก็ยังไม่รู้กระเทียมมีโทษอะไร นอกจากว่ากินไปแล้วกลิ่นมันจัด กินไปแล้วมันติดกลิ่น ก็จริง คุณกินอะไรก็ติดรสติดกลิ่น ติดทั้งนั้นติดสัมผัส กินข้าวมันก็มีสัมผัส กินอะไรมันก็มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งนั้นแหละถ้าจะว่ากันไปแล้ว ข้อสำคัญต้องปฏิบัติเรียนรู้เพื่อที่จะละต้นเหตุในจิตกิเลสของเรา ถ้าดับกิเลสได้หมดแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก อยู่เหนือมัน ไม่ได้ติด รูป รส กลิ่น สัมผัส ไม่ได้ติดมันจริงๆ หมดอุปาทาน จะกินกระเทียมก็กินได้ จะกินเนื้อก็กินได้ ถ้าคิดว่าเราควร อาตมาจะกินเนื้อสัตว์รับรองไม่อ้วก บางคนอ้วกนะ มันมีอุปาทานซ้อนอยู่ในจิต บอกว่าเอาเถอะสิ่งนี้ควรผลัก ส่วนนี้ควรดูด นี่คือกิเลสลึกๆอยู่ในจิตคน พอดูดจัดๆมันก็ติดจัดล้างยาก พอผลักจัดๆมันก็จะไม่รับเอาเลย เมื่อไม่รับเอาเลยพอมีสัญญาณอะไรนิดมาปั๊บมันผลักเลย ผลักขนาดอ้วกออกไม่รับ เป็นปฏิกิริยา เป็นผื่น เป็นแดง เป็นไข้ป่วยเจ็บอะไรก็แล้วแต่เป็นได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่เรียนรู้ และก็ไม่ล้างให้มันสะอาด ให้มันเป็นกลาง รับก็รับได้ ไม่รับก็ไม่รับ ให้อาตมาดื่มเหล้าเดี๋ยวนี้ก็ดื่มได้ ถ้าเผื่อจะต้องดื่ม แต่ก็เห็นว่า มันไม่มีความจำเป็นอะไร ที่เราจะต้องไปดื่มเหล้า อาตมาก็ไม่ดื่ม ถ้าจะเป็นยา เอาอึแทน ได้ไหม เอาอึแทนเหล้าได้ อาตมาก็จะดื่มอึแทนเหล้า ไม่จำเป็นต้องไปดื่มเหล้า เพราะมันเป็น ตัวอย่างไม่ดี แต่ถ้าสุดวิสัยจริงๆ ต้องดื่มเหล้า ถ้าไม่ดื่มตาย แล้วยังไม่ควรตาย ถ้าสมควรตาย ก็ตายไปเถอะ ไม่ต้องไปดื่มแก้เก้อให้มันบำบัดอะไรหรอก ตายก็สมควร ตายแล้ว มันทำอะไรไม่ได้แล้วนี่แก่แย่ ไม่มีประโยชน์ อยู่ไปก็หนักคนอื่น ตายก็ตาย แต่ถ้ามันสมควรจะอยู่ ก็อยู่ อยู่ก็ยังเป็นประโยชน์ ต่อโลกเขาได้ จำเป็นจะต้องดื่มเหล้า แล้วจะหาย อาตมาก็ต้องดื่ม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวินัย มีตัวอย่างเยอะ ภิกษุบางรูป มีความเดือดร้อน จำเป็นจะต้องฉันเนื้อ ฉันเป็นยา ต้องฉันเลือดเป็นยา พระพุทธเจ้า ก็ทรงอนุญาต ดื่มได้ ฉันได้ หรือคนผีเข้าจะต้องกินเนื้อคน ในสำนวนพระวินัยว่า อย่างนั้นนะ ท่านก็ยังบอกว่าให้เขากินเพราะมันผีเข้า ต้องกินเนื้อ มันจำเป็น มันสุดวิสัย ถ้ากินแล้ว มันจะดีขึ้น แก้ไขอันนี้เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่ถ้าไม่สมควรก็ไม่ต้อง อย่างอาตมา ให้ไปกินเนื้อสัตว์ อาตมาไม่กินหรอก ไปกินทำไมเหม็นคาว ใครว่าเนื้อสัตว์ไม่คาว โอ.... จะต้อง ใช้หอม ใช้กระเทียม ตะไคร้ ข่า ใส่เครื่องเทศหลายๆอย่าง ขนาดใส่มันยังคาวอยู่เลย ถ้าไม่เรียนรู้อย่างลึกซึ้งในธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วนี่จะพาซื่อจนกระทั่งเพ่งโทษกันไปมา ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเข้าใจดีๆก็จะรู้ว่า....คนฐานะอย่างนี้ต้องอนุโลมปฏิโลม ก็ต้องเป็นไป ตามควร ขณะนี้อยู่ในช่วงเกาอ่วงเจ [เทศกาลกินเจ ๙-๑๐ วัน] เรื่องเจเรื่องมังสวิรัติ ตอนนี้อาตมา จะใช้ภาษา ให้เรียกสั้นๆว่า...มังฯ เอาคำว่า...มังฯนี่มาแทนคำว่า...เจ ในอนาคต ไม่ต้องเรียกว่า เจหรอก ใช้เจแล้วคนเข้าใจว่าเป็นอย่างหนึ่งใช่ไหม มังฯก็อีกอย่างหนึ่ง มันต่างกันนะ เขาจะกินเจ ๙ วัน เขาไม่เอานะจานชามที่ใส่เนื้อสัตว์มาแล้วนี่ไม่ได้เลย ล้างให้สะอาดก็ไม่ได้ต้องซื้อใหม่ เขาเข้มงวดจริงๆ หม้อไหที่ต้องทำอาหารเจต้องชุดใหม่ แล้วเขาจะเก็บของเขาเอาไว้ ไม่เอามาทำ อาหารเนื้อสัตว์อีก ๑๑ เดือนกว่าหรือ ๓๕๘ วัน ล่อเนื้อสัตว์ ๙-๑๐ วันเท่านั้นที่กินเจ บุญญาวุธหมายเลข ๑ คืออาหารมังสวิรัติ ต่อไปพยายามช่วยกันเรียกนะกินมังฯ อาตมา ตั้งชื่อ ร้านอาหารมังสวิรัติ ที่สหกรณ์บุญนิยมตลาดวารินฯ ข้างหลังเคยทำเป็น ร้านอาหาร มังสวิรัติ ชื่อร้านบัวบูชา เอาชื่อเก่ามาใช้ ที่ร้านเก่าโน่นไม่ขายแล้ว มาตั้งที่นี่ก็เลยเอาชื่อเก่ามา เสร็จแล้ว เขาบอกว่าตั้งใหม่นี่ จะทำแบบใหม่ อาตมาไม่เล่าเรื่องละ เหตุอะไรถึงต้องตั้ง มันจำเป็น จะต้องตั้งขึ้นมา มันมีเหตุทางการ เขาเกิดจัดการติดต่ออยู่ที่ที่เช่าเขา เป็นที่ของ การศึกษา ทางโรงเรียนเขา อาตมาคิดว่างวดนี้ตั้งชื่อใหม่ก็ดี คณะทำงานของพวกเราบอก จะจัดแบบขายบุฟเฟ่ต์ แบบที่สันติฯ เพราะคนเรามันน้อย ก็เลยเอาวิธีนี้แหละดี ตั้งชื่อ เอาบุฟเฟ่ดี เอาชื่อมังฯ ก็เลยได้ชื่อร้านว่า...มังฯบุฟเฟ่ต์ อาตมาว่าเอ้อ...เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ฟังเท่ๆ มังฯนี่ ก็เขียนว่ามัง แล้วก็มี ฯ (ไปยาลน้อย) อย่าไปเขียน มัง ไม่มีไปยาลน้อย ประเดี๋ยว เขาจะบอกว่า มังอะไร และถ้าอธิบายก็อย่าพูดแค่ มังสะเฉยๆ ต้องยาวไปให้ครบว่า มังสวิรัติ ถ้ามังสะก็เนื้อสิ! คือ ไปยาลน้อยนี่ มันละไว้ในฐานที่เข้าใจ คือคำว่า มังสวิรัติเต็มๆ มัง นี่แล้วก็ ฯ (ไปยาลน้อย) แล้วก็บุฟเฟ่ต์ ไม่ใช่ภาษาไทยทั้งคู่ มังฯก็ไม่ใช่ บุฟเฟ่ต์ก็ไม่ใช่ เอามารวมกันตั้งเป็นชื่อเฉพาะ คิดๆดูว่า... เอ๊....ใช้ภาษาไทยดีไหม ก็คิดไม่ออกว่า จะเอา ภาษาอะไร.... มังฯตักเอง ฟังแล้วยังไงๆ ทะแม่งๆ ร้านมังฯตักเอง มันยังไงๆ ก็เลย ตั้งชื่อ ร้านว่า.... มังฯบุฟเฟ่ต์ นี่ยังไม่ได้ลงมือจัดร้านเลย เพราะคนไม่ว่าง ตอนนี้ไปขายเจ ที่ร้านอุทยานบุญนิยม ในช่วงเทศกาลเจนี่ คงเป็นร้านที่ขายเจ ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย เปิดขายตั้งแต่เช้ามืดถึงทุ่มหนึ่ง ขายดี พอผ่านไปเยี่ยมเขา บ่นเมื่อย เมื่อยจริงๆ เลยไม่ได้พัก ไม่ได้หยุดเลย มันยืน ไม่ได้นั่งเลย บอกกินข้าวเมื่อไหร่ สี่โมงเย็น ทำยังไงได้ เมื่อน้ำขึ้น ตอนนี้ต้องรีบตัก อาตมาก็ถามต่อว่า เมื่อยแล้วจะหยุดไหมล่ะนี่ เสียงตอบขรม... ไม่หยุดๆ บุญญาวุธหมายเลข ๑ ที่อาตมาทำมาทุกวันนี้ก็ได้รับผลตื่นตัว กันมากทีเดียว ที่จังหวัดอุบลฯ นี่ก็ขายเจกัน เยอะเลย แล้วเขาไปซื้อวัตถุดิบ ที่อุทยานบุญนิยม เอาไปขายตามร้าน ขายแพงกว่าเรา แต่ก็มีคนซื้อกันดี ร้านของเราเป็นร้านที่โลกีย์เลียนแบบไม่ได้ เพราะของเรา มันเหมือนตลาด มันน่าสนุก โอ้โฮ....มันอบอุ่นคับคั่ง ร้านของเรามีคนทำงาน ตั้งแต่เด็กอายุ ๖ ขวบ แม่ลูกอ่อน อุ้มลูกอายุ ๕ เดือนไปนั่งทำงานด้วยก็มี คนอื่นช่วยกันดูแลไป ตามเรื่อง ตามราว นอกนั้นก็มีเด็กๆของพวกเรา แกก็สนุกสนานไป คนได้เรื่องก็ได้เรื่อง คนไม่ได้เรื่อง ถึงจะเล่นมั่ง ก็ถือเป็นการเรียน นี่เป็นการศึกษา อย่างที่นายกฯ ทักษิณต้องการ เป็นการศึกษา ที่เขาตั้งชื่อว่า.... การศึกษาในฝัน นี่เราทำแล้วนะ แล้วเด็กของเราเนี่ยก็มีคุณภาพขึ้นมาจริงๆ ตัวเล็กตัวน้อย ก็ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ ซนบ้างนิดๆหน่อยๆ มีตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแก่ ที่นั่งประจำทำงาน จะลุกทีก็มีคนประคอง นั่งแล้วก็ทำ จะเด็ดผัก จะหั่นนั่นนี่ตามฐานะ ที่ทำได้ ไม่มีที่ไหน ทำได้อย่างนี้หรอก คนงานมันเยอะ ถ้าคิดค่าแรงหมดนั้นนะ โอ้โฮ ! ขาดทุน ยับเยิน ขายก็ขายถูก ชามละ ๑๐ บาท แม้จะขายได้มากอย่างนั้นก็ตาม ถ้าจะคิดค่า แรงงานจริงๆ ค่าโสหุ้ยอะไร จริงๆนะ...ขาดทุน บุญนิยมแท้ๆต่ำกว่าทุนแน่นอน แต่อาตมาว่า นี่แหละมันได้คน ได้วัฒนธรรม ได้วิถีการดำเนินชีวิต ได้อะไรต่ออะไรขึ้นมา ซึ่งเป็นการศึกษา เป็นการฝึกฝน เป็นการปฏิบัติชีวิต ฝึกฝนการดำเนินชีวิต เด็กๆเขาก็จะซึมซับ เขาก็จะรับรู้ วัฒนธรรมรับรู้ความเป็นไป ทำอะไรต่ออะไร มันเป็นกลุ่มก้อน เป็นชุมชน ที่มีพฤติกรรมแท้ ทุกคนทำแล้ว มันมีจิตวิญญาณ ซึมแทรกเข้าไป ในกายกรรม วจีกรรม ที่ปฏิบัติที่ประพฤติ อยู่ของคน พลังงานทางจิตนี่มันมีจริง พลังงานทางจิต ที่ไม่มีกิเลสแฝงที่เราเรียกว่า...จริงใจ มันสะอาด ไม่มีเล่ห์ออกมาจริงๆ อย่านึกว่า พลังงานทางจิต ไม่มีกระแส แต่ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถที่จะวัดกระแสอันนี้ได้ เขาจึงยังไม่รู้ค่าของมัน อย่างที่อาตมา พูดแล้ว พลังจิตที่มีกระแสสะอาดมันมีจริง เพราะฉะนั้น ในการซึมซับ ในการที่จะถ่ายเท เข้าไปออสโมซิส ซึ่งกันและกัน ในมนุษย์ด้วยกัน เกิดการไหลเวียน แทรกตัวเข้าไป โดยเขาไม่รู้ แต่มันเป็นความจริง สิ่งอย่างนี้ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเผื่อว่ามีแก่นแกน มีคณะบุคคล มีจิตวิญญาณจริง มันก็จะสร้างสรร ถ่ายทอดเสริมกันไป...." ต่อจากนี้ไปพ่อท่านได้อธิบายเหมือนกับให้คนใหม่ฟัง....มนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อให้พิสูจน์ จากสรีระ แล้วได้กล่าวถึง ประโยชน์ทางกายภาพได้แก่.... สุขภาพดี.... เศรษฐกิจดี และ ผลทางจิตภาพคือ.... ได้บุญ.... เกิดเมตตา.... ได้ความเจริญ ทางจิตวิญญาณ ผู้สนใจรายละเอียด ติดตามได้ จากเท็ปบันทึกเสียง ส่งเสริมการค้นคว้า....เผาขยะพลาสติกทั้งไร้มลพิษแถมได้น้ำมัน แรกทีเดียวคุณเฉลิมคิดว่าคงต้องเอาน้ำมันที่ได้นี้ไปกลั่น หรือหาส่วนผสมอื่นใดก่อน จึงนำเอามาใช้ประโยชน์ได้ แต่เมื่อคุณเฉลิมได้ทดลอง นำไปใช้กับเครื่องตัดหญ้า ในวันรุ่งขึ้น (๓๐ ก.ย.) ผลปรากฏว่า ก็ใช้ติดเครื่องตัดหญ้าได้เลย โดยไม่ต้องไปผสม หรือสกัดอะไร เพิ่มเติม เพียงแต่สีน้ำมันที่ได้นั้น ยังไม่สวยงาม อย่างที่ขายตามปั๊มน้ำมันต่างๆ เท่านั้น การสาธิตครั้งนี้มี คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ คุณสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง และดร.สมมาตร อิชโรจน์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ ซักถาม และ จดบันทึก ดูการพูดคุย เหมือนเขาจะรู้เรื่อง เข้าใจกัน ในปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้น พ่อท่านเอง ก็เหมือนจะรู้เรื่อง เข้าใจอยู่บ้าง จึงพูดคุยกันไปได้ ส่วนข้าพเจ้าฟังยังไงๆ ก็ไม่รู้เรื่อง แต่ก็เอาใจช่วยอยู่ อยากจะให้เกิด ผลสำเร็จจริงๆ จะได้เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษย์ อย่างมหาศาล ผลที่ได้ชัดๆก็คือ ๑. กำจัดขยะที่จะล้นโลกอยู่แล้ว ๒. ไม่มีมลพิษใดๆ เล็ดลอดออกมา ทำลายบรรยากาศเลย ๓. ได้น้ำมันและแก๊สเป็นผลพลอยได้ นอกจากนี้ก็ยังมีการพูดถึงเครื่องผลิตไฟฟ้าที่คุณเฉลิมทำมาหลายปีแล้ว เคยทดลอง จ่ายกระแสไฟฟ้า ในชุมชน ปฐมอโศกบ้างแล้ว แต่ยังมีข้อแก้ไขเพิ่มเติมอยู่ จึงยังไม่แล้วเสร็จ ที่จะใช้งานได้ถาวร การที่คุณเฉลิมคิดทำเครื่องผลิตไฟฟ้า ก็เนื่องมาจากค่าไฟฟ้า ของปฐมอโศก นับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เดิมคุณเฉลิมทำเครื่องเผาหรือทอดขยะ โดยปราศจาก มลพิษ ได้แก๊สมีเทน และถ่าน เป็นผลพลอยได้ ซึ่งเครื่องเผา หรือทอดขยะที่ผลิตได้นั้น เป็นเครื่องขนาดเล็ก ใช้เผาหรือทอดขยะ ครั้งละ ๑๐๐ กก. จึงทำให้คุณเฉลิม คิดผลิต เครื่องเผา หรือทอดขยะขนาดใหญ่ ที่เหมาะกับการใช้งานของชุมชน โดยไปหาถังบรรจุ แก๊สเหลว ขนาดใหญ่หนัก ๑ ตันและ ๒ ตัน แต่เมื่อมีงานเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า เข้ามาแทรกก่อน ทำให้เครื่องเผาหรือทอดขยะขนาดใหญ่ จึงยังไม่ได้ดำเนินการ แต่อย่างใด อนึ่งการทำเครื่องผลิตไฟฟ้านี้ก็มีความเสี่ยงและอันตรายสูง ได้ยินมาว่าครั้งหนึ่ง เพลาเหล็ก ขนาดใหญ่ เกือบหลุดจากแกน ขณะที่เครื่องกำลังทำงาน เพลาเหล็กกำลังหมุนเร็ว เนื่องมาจาก น๊อตที่แกนกลางเกิดหลุด ผู้ร่วมงานคนหนึ่ง วิ่งออกมาแล้ว แต่คุณเฉลิม ต้องเสี่ยงตาย วิ่งเข้าไปปิดสวิทต์เอง ทำให้ไม่ค่อยมีใคร อยากจะเข้าไปช่วยงานนี้เท่าใดนัก อีกทั้งคุณเฉลิมเอง ก็ไม่ค่อยจะไว้ใจใคร ในขั้นตอนการทำงานบางอย่าง แม้แต่ลูกชาย คุณเฉลิมเองก็เถอะ คุณเฉลิมต้องทำต้องดูเอง จึงดูเหมือน คุณเฉลิมหวงแหนความรู้ อีกทั้งทำให้งาน เหมือนมีผลคืบหน้าช้ามาก อาจไม่ทันใจของพวกเราหลายคน เช่นงานอื่นๆ แม้แต่เครื่องเผาหรือทอดขยะที่ทำได้ผลมาแล้ว แทนที่จะนำมาใช้งานไปด้วย ขณะที่งานทำ เครื่องผลิตไฟฟ้า ก็ทำไป จะได้ทำให้ชาวชุมชน เห็นผลงาน ในสิ่งที่คุณเฉลิมทำได้แล้ว ว่ามีประโยชน์ เผื่อจะได้กระตุ้น แรงบันดาลใจ ของหลายคน ที่จะได้เข้ามาช่วยงานคุณเฉลิม ที่ทั้งยาก...ใหญ่...หนัก...และอันตราย อย่างที่กล่าวแล้วว่า คุณเฉลิมไม่ไว้ใจใคร ในขั้นตอน การควบคุมความร้อน และความดัน ด้วยเคยมีข้อผิดพลาดเกิดการระเบิด เมื่อหลายสิบปี มาแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาร่วมงาน ในชุมชนปฐมอโศก ดังนั้นเครื่องเผาหรือทอดขยะ ที่ทำได้ผล แล้วนั้น จึงไม่ได้นำมาทำประโยชน์ตามที่ควรจะเป็น อีกอย่างที่ทำให้ดูเหมือนงานประดิษฐ์นี้ไม่เจริญเท่าที่ควรก็คือความไม่ไว้ใจใครของคุณเฉลิม จากการที่มีคนนอก ทราบข่าวนี้ แล้วนำนักวิชาการ มาช่วยดูเรื่องการผลิต ตามหลักวิชาการ ทั้งหาทุนมาช่วย ในการทำงาน คุณเฉลิมเกรงว่า เขาจะเป็นทุนนิยม ที่จะมาฉวยเอา สิ่งประดิษฐ์นี้ ไปทำเป็นธุรกิจของตน ดังนั้นการประสานงาน ประสานความช่วยเหลือ ทั้งจากภายนอก และภายในหมู่ชาวอโศก จึงไม่เกิดเท่าที่ควร ปัจจัยสำคัญ อาจมาจาก ท่าทีของคุณเฉลิม ที่ไม่ไว้ใจใคร และเหมือนหวงแหน ความรู้ ซึ่งเป็นเรื่อง น่าเห็นใจ ด้วยเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย อีกทั้งสังคมทุกวันนี้ จะหาผู้ที่ทำอะไร โดยไม่หวังผลประโยชน์ ตอบแทน เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง อีกปัจจัยหนึ่งอาจมาจากคนภายนอก ที่มายังไม่เชื่อในความรู้ และความสามารถ ของคุณเฉลิมนี้ว่า จะทำได้ผลจริง ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน พ่อท่านนั้นข้าพเจ้าเดาใจไม่ถูกว่าจะเชื่อในความรู้และความสามารถของคุณเฉลิม มากน้อย แค่ไหน แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนมาก ก็คือพ่อท่าน เป็นคนให้เกียรติ และให้โอกาสคน เป็นผู้นำ ที่ส่งเสริมการวิจัย และการประดิษฐ์คิดค้นต่างๆ ไม่มองคน อย่างเผินๆ เพียงแค่พฤติกรรม ภายนอก ที่ดูแปลกไปจากคนอื่น แม้คนนั้น จะไม่ได้ถือศีลปฏิบัติธรรม คำพูดคำจา ก็เหมือน จะคุยโว โอ้อวด ตัวอย่าง กรณีของคุณเกษม ที่คิดค้นเครื่องต้นกำเนิดพลัง ที่อาศัยหลัก ของแรงโน้มถ่วงของโลก มาใช้ในการประดิษฐ์ คิดค้น ซึ่งเป็นการนำเอา พลังงานจาก ธรรมชาติ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผลิตกระแสไฟฟ้า ครั้งนั้น คุณเกษมคิดสร้าง เครื่องสูบน้ำ โดยจะสูบน้ำ จากแม่น้ำภราดรภาพ (ชื่อเรียกสระน้ำหลังภูเขาที่ปฐมอโศก) ขึ้นไปบนภูเขา เพื่อทำเป็นน้ำตก โดยไม่ใช้ไฟฟ้า และน้ำมันใดๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ทำไม่ได้ดังที่คิด แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อคุณเกษมกลับมาใหม่ พ่อท่านก็ยังคงเอื้อ ให้โอกาส ให้ใช้สถานที่ รวมถึงสิ่งของต่างๆ ในการทดลองคิดค้นของคุณเกษมต่อ ซึ่งต่อมา ก็ยังไม่สำเร็จอีก แล้วคุณเกษมก็ออกไปอีก หากคุณเกษม จะกลับมาคิดค้นทำอีก ก็เชื่อเหลือเกินว่า พ่อท่านก็คงเอื้อ ให้โอกาสอีกเป็นแน่ นอกเสียจากว่า คุณเกษม จะไปทำ เรื่องเสียหายมา หรือเข้ามาทำเรื่องที่ไม่สมควร ละเมิดกติกา และวัฒนธรรมของชุมชน เช่นนี้ก็คงให้อยู่ไม่ได้แน่ ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้จากโอวาทปิดประชุมชุมชนปฐมอโศก(๒๙ ก.ย.)ดังนี้..... "พวกเราต้องรู้ตัวว่าก้าวหน้า จนพวกเราต้องเร่งรัดพัฒนาตนเอง คนเพิ่มน้อย คนเพิ่มช้า เพราะคนที่จะเข้ามา ไม่ง่าย ทุนนิยม จะใช้ทรัพย์ ลาภ ยศ เพิ่มคน แต่บุญนิยมของเรา คนจะมาด้วยหัวใจ มีการถ่ายเวียน ทางจิตวิญญาณ ทางพฤติกรรม เป็นลัทธิเปิด ให้แต่ละคน ศึกษาเลือกเฟ้นเอา ถ้าต้นทางต้นตระกูลอย่างพวกเราทำไว้ดีๆ เข้มข้นเป็นหัวเชื้อ เป็นสนามแม่เหล็ก ที่มีแรง เหนี่ยวนำมาก เด็กรุ่นต่อๆมา ก็เอาอย่างตามได้ ที่บ้านราชฯ อาตมาดูแล้วก็จะเป็นต้นแบบได้ ที่ศีรษะอโศกก็ค่อนข้างโบราณ ซึ่งพวกเรา ในอนาคต คงจะดี จะมีการพัฒนาไปโดยลำดับ ซึ่งปฐมอโศก เป็นชุมชนต้นแบบ ส่วนจะมี คุณภาพเป็นหนึ่งหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา อีกเรื่องหนึ่งคือ เราไม่ให้ทั้งปฐมอโศก ทั้งราชธานีอโศก เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่เช่นนั้นพังแน่ๆ สรุปแล้วตอนนี้เราจะต้องหนัก ก็ต้องระวัง อย่าไปเพิ่มงาน อย่าไปรับงานนอกมามากนัก ทำงานใน ให้เข้มข้น ถ้างานมาก งานหนัก จะเปลี้ย แล้วเราจะตายเสียก่อน เราจะมีพลังพิเศษ เราจะขยันเพิ่มขึ้น มีอิทธิบาท ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เพิ่มขึ้น เราได้ทำงาน เราได้สร้างคุณค่า ประโยชน์ ทุนนิยม เขาเอาสิ่งแลกเปลี่ยน กลับคืนมาหมด แต่พวกเรามีคุณค่าประโยชน์ต่อสังคม เราได้บุญได้กุศลเต็มๆ คุณได้อยู่แล้ว เงินเราได้มา ก็ไม่ใช่ของจริง แต่กุศลวิบากตามไปได้ เป็นของจริงกว่าตั้งเยอะแยะ เพราะฉะนั้น อย่าท้อแท้ อย่ามิจฉาทิฐิ คิดให้ถูกสัจจธรรมให้ได้ อาตมาพูดความจริง เป็นสัจจธรรม อย่าไปเผลอไผล มองผิดมองพลาด แม้เราจะไม่ได้ เหมือนอย่าง ชาวโลกเขา แต่เราได้สัจธรรมแน่นอน ขอให้ทุกคน มีกำลังแข็งแรง มีปัญญาที่จะรู้จักความจริง เบิกบาน ร่าเริง มีกำลังใจ สร้างสรรกัน ต่อไป....." - อนุจร - - สารอโศก อันดับที่ ๒๖๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ - |