กรรมตามสนอง

ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากฝากถึงท่านผู้อ่านทุกท่านว่า ชนผู้ประมาทอยู่ย่อมยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ ย่อมมีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นประสบทุกข์ทรมาน หากมิได้สั่งสมบุญมาบ้างแล้ว ย่อมหาสำนึกในการกระทำของตนนั้นมิได้ ข้าพเจ้าโชคดีดังเรื่องที่จะเล่าให้ฟังโดยย่อ ดังนี้.....

ข้าพเจ้าเกิด ณ ใต้ร่มจิกข้างโรงนาเมื่อหน้าหนาวปี ๒๕๒๕ เป็นปีจอ วันพุธที่ ๘ แรม ๘ ค่ำ เดือนธันวาคม เมื่อเป็นเด็กข้าพเจ้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย จำได้เคยป่วยครั้งเดียว จนโตเริ่มเห็นการฆ่าสัตว์เป็นเรื่องควรทำ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะฆ่าเพื่อความสนุก ฆ่าเพื่อเป็นอาหาร แต่ก็รู้สึกสนุกเมื่อได้ทำ ยิงนก ยิงกะปอม(กิ้งก่า) ลงเบ็ดตกปลา

ข้าพเจ้ามีชื่อเสียงในหมู่เด็กรุ่นเดียวกัน รวมทั้งโตกว่าและเด็กกว่า ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหาปลา หากบ หาใครเทียบมิได้เลย ข้าพเจ้ารู้สึกสุขใจอิ่มใจยามได้หากบหาปลา ไม่ว่าจะใช้ไฟส่อง ฉมวกแทง ลงเบ็ด กบติดเบ็ดบางตัวกระเพาะทะลักออกมานอกปาก หักขากบ-เขียดนับจำนวนไม่ได้ จากอายุ ๖ ขวบเป็นต้นมา ปลาตัวไหนเบ็ดติดปากก็ดีไป บางตัวเบ็ดเกี่ยวตา บางตัวโชคร้ายกลืนเบ็ดลงคอ ข้าพเจ้าก็ดึงเบ็ดออกมาเลย เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไรข้าพเจ้าไม่รู้ ชาวบ้านทั่วหมู่บ้านก็ว่าดี นี้แหละการมีมิตรสหายอันชี้ไปในทางเสื่อม

และแล้วในวันอันข้าพเจ้าไม่เคยคาดคิด ข้าพเจ้าถูกกำแพงอิฐบล็อคบ้านคุณยายถล่มลงทับ ถีบตัวพ้นแต่ขาขวาที่ยั้งถีบตัวออกมาชักไม่ทัน อิฐได้ทับต้นขา กระดูกแตกละเอียด กล้ามเนื้อฉีกขาด แน่นอนต้องถูกตัดขา แต่บุญยังมีคุณตาเป็นหมอกระดูก รักหลานคนนี้มากใครแตะมิได้ แต่ไม่อาจห้ามกรรมมิให้แตะได้ คุณตาตั้งสติกำหนดจิตระลึกคุณแห่งครูอาจารย์ บัดนี้ถึงคราวจะต้องใช้วิชาแล้ว ที่สุดข้าพเจ้าก็มิได้ถูกตัดขาขา ด้วยวิชาของคุณตาที่ช่วยรักษาขาไว้ให้ได้ ความทรมานมันทำให้ข้าพเจ้าได้สำนึก (ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๑ ขวบ) แต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่ข้องเกี่ยวกับกบเขียดอีกเลย ไม่นานโต๊ะเรียนก็ล้มทับปากข้าพเจ้าอีกเพราะเพื่อนแกล้ง ทุกคนตะลึงเพราะคิดว่าโต๊ะจะทับอกข้าพเจ้า ด้วยเหตุใดไม่ทราบมันทับโดนริมฝีปากด้านล่างเป็นแผลเล็กแต่ลึก เหมือนโดนเบ็ดเกี่ยวเย็บได้ ๑ เข็ม แต่ความลึกทำให้เกิดแผลเป็นติดปากมาจนถึงวันนี้ ทำให้ริมฝีปากล่างหนากว่าเมื่อก่อนมาก

ข้าพเจ้ายังไม่เข็ดยังยินดีในการหาปลาและยิงนกยิงกิ้งก่าอยู่ สายตาข้าพเจ้าดีมาก มองเห็นสัตว์ในที่ไกลได้ ในขณะที่เพื่อนยังไม่เห็น อายุ ๑๓ และ ๑๔ ปีข้าพเจ้าได้บวชสามเณรฤดูร้อน เมื่อสึกแล้วไม่ยิงนกกับกิ้งก่าอีกเลย ด้วยก่อนบวชก็ไปล่ากับเพื่อนคราวนั้น ได้นกกับกิ้งก่ามาก รู้สึกตกใจสะเทือนใจ ตั้งใจว่าแต่นี้ไปจะไม่ล่าไม่กิน ไม่ฆ่านก กิ้งก่าอีกตลอดชีวิต แล้วก็ออกบวช(บรรพชา) ๕๒ วัน เปิดเทอมก็สึก จากนั้นก็ไม่ได้บวชเณรอีกเลย แต่จิตสำนึกยังฝังใจอยู่ว่า เราสงสารสัตว์เหล่านั้น

ไม่นานเลยอายุ ๑๕ ปี ข้าพเจ้าเริ่มสายตาสั้นชัดเจน แล้วก็พร้อมอกพร้อมใจกันสั้นลงอย่างรวดเร็วทั้งสองข้าง เอียงด้วย อายุ ๑๖ ต้องตัดแว่นตาใส่ และอายุช่วงนี้เองกรรมเริ่มตามทัน ข้าพเจ้าป่วยทุกๆ ๗ วัน ตามบันทึกเดิมคือทุกๆสัปดาห์ต้องป่วย หายป่วยไม่เกิน ๕ วันก็ป่วยอีก บางครั้งเว้นวันหรือสองวันเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าเริ่มสำนึกอีกครั้ง หลังจากไก่ชนที่ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ ๓๔๕ ตัว ป่วยตายเหลือ ๕ ตัว ข้าพเจ้าสะเทือนใจในความตาย ตนเองฆ่ามามาก น่าหวาดหวั่นใจนัก ข้าพเจ้าตั้งจิตเมื่ออายุ ๑๗ ปี ว่าจะไม่ฆ่าสัตว์อีกตลอดชีวิต เว้นไว้แต่เหตุสุดวิสัยในงานกสิกรรม อีกทั้งข้าพเจ้าตั้งจิตเพิ่มว่า จะไม่กินเนื้อโคกระบือตลอดชีวิต เพราะสำนึกในคุณแห่งสัตว์เหล่านี้ ที่ช่วยข้าพเจ้าทำนามานาน แต่เนื้อสัตว์อื่นยังกินอยู่ จากนั้นไม่นานท่านสมณะนาไทกับท่านสมณะกลางดินไปเยี่ยมบ้านข้าพเจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้ารู้จักชาวอโศกได้เพียงไม่กี่เดือน น้องสาวก็เรียนที่สัมมาสิกขาราชธานีอโศก ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักชาวอโศก ชนเหล่านี้ไม่กินเนื้อสัตว์ ด้วยมานะ-ที่ว่าตนเองไม่ฆ่าแล้วจะกินก็ไม่น่าจะผิด ไม่ต้องทำตามชาวอโศกก็ได้ แต่ก็เริ่มกินมังสวิรัติเป็นบางมื้อ เจเขี่ยบางมื้อ ความป่วยที่เป็นกิจวัตรเริ่มลดลงเหลือเดือนละครั้งบ้าง เว้นเดือนบ้าง ข้าพเจ้าปล่อยเวลาผ่านไปด้วยมานะถึง ๒ ปี เมื่ออายุ ๑๙ ปี (คือที่ตนทำอยู่นั้นทั้งหมดคิดเองตั้งใจเองทำเองไม่มีใครสอน เลยมีมานะว่าตนแน่แล้วไม่สนใคร) ข้าพเจ้าไม่อยากให้บิดามารดาฆ่าสัตว์

วันหนึ่งข้าพเจ้ากล่าวกับบิดามารดาว่า ท่านอย่าได้ฆ่าสัตว์เลย ท่านทั้ง ๒ พูดออกเคืองๆว่า ถ้าไม่ฆ่าแล้วลูกจะกินอะไร...!?! ความสะเทือนใจมาเยือนอีกครั้ง ช่วงนี้ข้าพเจ้าเริ่มมีอาการภูมิแพ้ เริ่มคิดหนัก สุดท้ายปลงใจ แต่นี้ไปลูกจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกตลอดชาตินี้และชาติไหนๆ จนกว่าจะถึงความพ้นทุกข์ โดยอธิษฐานในวันเข้าพรรษาที่บ้านราชฯ พร้อมตั้งจิตไม่โกรธ บิดามารดาท่านก็ชอบยั่ว ชอบยัวะ อยู่ประจำ นานวันผ่านไปเมื่อเห็นข้าพเจ้าเอาจริงท่านก็เชื่อ ข้าพเจ้าภูมิใจบิดามารดา ไม่ฆ่าเพื่อเราอีก ท่านก็ไม่มีอะไรแย้งข้าพเจ้าได้อีก จวบจนวันนี้ข้าพเจ้ายิ่งภูมิใจ เมื่อบิดามารดากินมังสวิรัติบ้าง เจเขี่ยบ้าง ปลาบ้าง อานิสงส์ของข้าพเจ้ากับน้องสาวมีผลพอควร วันนี้ข้าพเจ้าใจเย็นกว่าเดิมมาก เหลือแต่ปากที่ยังออกเสีย(....ต้องจัดการ.....)

แต่กรรมไม่เคยหนีห่างข้าพเจ้าเลย ยังจ้องคอยเอาคืนอยู่เสมอ.... เมื่อข้าพเจ้าไปปฐมอโศกอยู่กับกลุ่มเพื่อนบุญ วิบากได้ช่อง ข้าพเจ้าเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว เจออากาศอย่างนั้น และอาหารมันๆ ซวยระลอกใหม่ป่วยอีก สามวันดีสี่วันไข้

ด้วยอานิสงส์ของความอดทนจึงดูไม่หนัก แต่ความจริงหนักเอาการ มันเล่นงานคอข้าพเจ้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทอนซิลอักเสบคออักเสบตลอด บวมตลอด จนวันนี้อาการก็ทรงๆทรุดๆดีๆหายๆ ข้าพเจ้าสำนึกตลอด ว่านี้แหละหนอกบและปลาที่ติดเบ็ดเขาทรมานเช่นนี้ เรายินดีที่ได้ชดใช้วิบาก มาเถิดเรายินดีรับ มาเถิดเราจะอดทนรับ.....

ท่านทั้งหลายข้าพเจ้าขอฝากไว้ ท่านใดก่อเวรอยู่จงหยุดเถิด อย่าได้ประมาทเลย เมื่อวิบากตามทัน หน้าที่เราคือชดใช้วิบาก จะให้ดีจงหยุดทำบาป-ชั่ว-เวร-ภัยเถิดเพื่อลดกำลังวิบาก....

- ณรงค์ พิลาน้อย

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ -