แม้เราเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ แต่ด้วยใจมั่นคงศรัทธาต่อศาสนา ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรม คำสอน ลดละตัดทอนอบายมุขสิ่งฟุ่มเฟือย เอาเวลาชีวิตกลับคืนมา พร้อมศักยภาพเต็มเปี่ยม ก่อเกิดเป็นพลังสร้างสรร เสียสละ

"ตลาดอาริยะปีใหม่" ก็นับเป็นหนึ่งในหลายๆงานที่เราทุ่มโถมกำลังกายใจ มอบสิ่งที่ดีงาม ให้แก่สังคม และเพื่อยืนยันพิสูจน์ทฤษฎี "ศาสนา คือ พลังรวมสังคม" เราได้ทำสิ่งมหัศจรรย์ ให้เกิดขึ้น ซึ่งนับเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาวอโศก ที่ต้องบันทึกไว้

พบกับรายละเอียดของเนื้อหา จากบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ได้ ณ บัดนี้

บรรยากาศงานปีใหม่ที่บ้านราชฯปีนี้มีอะไรต่างจากปีก่อนบ้างคะ ?

งานปีใหม่ซึ่งเป็นงานประจำปีของเราปีนี้ก็ดีขึ้น คือ มีความก้าวหน้าทั้งในด้านของบุคคล ของงาน และคุณภาพก็ดีขึ้น มีการขยายทั้งสถานที่ เพื่อจะให้สะดวกขึ้น ดีขึ้น รับคนได้มากขึ้น รับของได้มากขึ้น ปีนี้ใจของพวกเราทวีบุญยิ่งๆขึ้น ตั้งใจเสียสละมากขึ้น เพิ่มสินค้ามาขาย มากกว่าปีที่แล้วกว่า ๕ เท่า การจัดสถานที่ก็เรียบร้อย มีประโยชน์ใช้สอยได้เหมาะสม เตรียมงานทยอยขนสินค้ามากันตั้งแต่วันที่ ๑๐ ธันวากันทีเดียว ตั้งใจกันจริงๆ คนของพวกเรา ก็พัฒนาขึ้น เพราะมีความเข้าใจ มารวมกันช่วยกันมากขึ้น ผู้ที่จะไปช่วยงานตลาดอาริยะปีนี้ เริ่มต้นไปตั้งแต่วันที่ ๑๐, ๑๑ ธันวาก็ขนของเข้าไปใส่เต็นท์แล้ว จนเราตั้งเต็นท์แทบไม่ทัน

โดยเนื้อหาแล้วเป็นการพัฒนาคน พัฒนาสังคม โดยเฉพาะพัฒนาคนในหมู่พวกเรา การเตรียมงาน หมายถึง การพิสูจน์คนของพวกเราว่า จะมีจิตใจมาร่วมมือกันร่วมใจกันยิ่งขึ้นไหม จะมาช่วย ทำงานแค่ไหน เพราะเราไม่ได้จ้างด้วยเงิน คนของพวกเรา ก็จะมาแม้แต่ จะมีการบังคับมาก็ตาม ถ้าเราไม่ได้จ้างด้วยเงิน ก็เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า บังคับก็ยังบังคับ กันมาได้ แต่นี่เราไม่ได้ บังคับด้วยซ้ำ เป็นแต่เพียงการบอกกล่าว ขอร้องกันบ้าง ปลุกเร้าอะไร กันบ้างก็ตาม นอกจากนี้ปีนี้ ยังมีหินมาลงอีกมากมาย เพื่อตกแต่งสถานที่ หินหนักตันสองตัน บางก้อนก็หนักถึง ๕-๖ ตัน ต้องช่วยกันยก ช่วยกันย้าย จนกระทั่งเป็นไปได้เท่าที่มันจะเป็น

งานนี้ มีเรื่องที่เราได้พิสูจน์น้ำใจกัน นำเรือใหญ่ขึ้นบนโคกซึ่งอาตมาตั้งชื่อโคกนี้แล้วว่า "โคกใต้ดิน" ตั้งจากเรือ ที่เอาขึ้นไปตั้งไว้บนนั้นเด่นเป็นสง่า เรือลำนี้อาตมาให้ชื่อว่า "เรือโคกใต้ดิน" เป็นเรือเอี้ยมจุ๊น ลำใหญ่ที่สุด ในแม่น้ำเจ้าพระยา และของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ลักษณะเป็นเรือไม้ เราขนไปไว้บนโคกใต้ดิน โดยใช้แรงงานของพวกเรา ซึ่งมีคนไปร่วมงานทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งตัวจิ๋ว ทั้งคนแก่ แล้วเราก็ถ่ายภาพประวัติศาสตร์นี้ไว้ น่าดูอย่างยิ่ง ถ่ายทำด้วยของจริงวันเดียวเสร็จ แต่ตัดต่อ กันอีกหลายวัน ใช้กล้องวิดีโอถ่ายกัน ๑๐ กล้อง ต่างคนต่างถ่าย คนละมุม โดยไม่ได้วางแผน ต่างคนต่างแยกกันเลือกถ่าย ตามจุดที่แต่ละคนเห็นว่าสำคัญ ก็ได้ภาพต่างๆมา และมีกล้องภาพนิ่ง อีกประมาณ ๒๐ กว่ากล้อง

เรือลำนี้จะเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก มี ๖ ห้องเรียน ชั้นบนเป็น ห้องประชุม หรือห้องอเนกประสงค์ จัดงานอะไรก็ได้


พ่อท่านเรียกว่า "วันประวัติศาสตร์" แสดงถึงความสำคัญอย่างไร ?

เพราะเข็นเรือโดยใช้แรงคนเข็นขึ้นไป ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ดึงกันขึ้นไป เรือหนัก ๘๐ ตัน ขึ้นไปบนที่สูง ๕ เมตร และก็ขยับนิดขยับหน่อยไม่ใช่ง่ายๆ จะเคลื่อนไปซัก ๑ องศา ๕ องศา หรือ ๓๐ องศา ไม่ใช่ของเล่นนะ เพราะไม่ใช่โฟมแบบหนังจีน ทั้งภูเขาและก้อนหินเขาก็ใช้โฟม แต่ของเราเรียก "โฟมอโศก" เพราะเป็นของจริงแท้ๆ หินก็โฟมอโศก เรือลำใหญ่ก็โฟมอโศก ของหนักๆทั้งนั้น ไม่รู้กี่ตันต่อกี่ตัน ลากมาจากที่เดิม ซึ่งขนจากแม่น้ำเจ้าพระยา มาบ้านราชฯ เป็นเวลา ๒ ปีแล้ว และเราก็ไม่ได้โยกย้ายไปไหนซะที ตอนนี้ก็เลยโยกย้ายจากที่ๆมันอยู่ แค่เลื่อนมันลงจากที่เราตั้งไว้ ต้องใช้เวลาถึง ๒-๓ วัน มาวางไว้ข้างล่าง โดยมีลูกกลิ้งเหล็ก ที่หล่อไว้ เพื่อใช้เป็นวิธีเคลื่อนย้าย ให้มันอยู่บนลูกกลิ้งเหล็กที่มีความยาว ๔ เมตรครึ่ง เป็นลูกกลิ้งเหล็กหนาๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐ นิ้ว เลื่อนมาสู่ที่มันจะตั้งลำลองไว้ เพื่อลากขึ้นสู่ "โคกใต้ดิน" ระยะทางจากที่ตั้งลำลอง มาสู่จุดหมายก็ประมาณ ๒๐๐ เมตร จากทางราบ มาจนกระทั่ง ถึงทางเนินขึ้นไปสู่จุดสูงขึ้นจากพื้น ๕ เมตร โดยไม่ต้องใช้เครน ใช้ลากดันขึ้นไป โดยแรงงาน เหมือนสร้างปิรามิด ของพวกโรมัน แต่นี่เป็นโรมันอโศก ใช้เวลาเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่เช้า จรดเย็น มีเวลาพักกินข้าวหน่อยหนึ่ง นอกนั้นก็ถือว่าเป็นเวลางานทั้งหมด ถึงเราไม่ได้ใช้ แรงงาน คนดึงตลอดเวลา แต่ก็ต้องให้เขาเลี้ยวกลับลำเรือ เพราะมีทางโค้ง ซึ่งเลี้ยวยาก ต้องใช้แรงกล ปรับเคลื่อนย้ายของ ๘๐ ตัน มันไม่ใช่ธรรมดา กว่าจะเลี้ยวตั้งลำได้ ต้องใช้เวลา หลายชั่วโมง แต่เราใช้เวลาลากจริงๆ น้อยกว่าที่เรากลับลำให้มันตั้งมุม ที่เลี้ยวไปสู่จุด ที่เราต้องการอีก ดีนะที่มีแค่เลี้ยวเดียว ถ้ามีหลายเลี้ยววันเดียว คงไม่เสร็จแน่นอนเลย เวลาที่เราเริ่มต้น ๐๗.๐๙ น. เสร็จ ๑๖.๒๙ น.


เลือกวันนี้ มีฤกษ์ยามอะไรหรือไม่คะ ?

วันนี้คือ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๖ ไม่มีฤกษ์ยาม ดูที่ความพร้อม ความจริงเราอยากได้เร็วกว่านั้น แต่มันไม่พร้อม ตั้งลำก็ไม่เสร็จซะที มาตั้งลำเสร็จก็วันนั้นแหละ และพอดีมีพวกเรา มารวมพลอยู่ กันมากด้วย เพราะใกล้วันงาน มาลงของ มาเตรียมช่วยงานตลาดอาริยะ รวมกันแล้ว ก็มีคนมาเป็นจำนวนพัน


การคุมงานทำอย่างไร ?

ก็เป็นไปในลักษณะใครถนัดด้านไหน ก็ดูแลกัน ส่วนอาตมากำกับดูแลส่วนกลาง นอกนั้น ก็บอกกันเป็นลำดับๆไป คนนี้เชื่อฟังคนนั้น คนนั้นเชื่อฟังคนนี้ บอกกันไป โดยไม่ได้ซักซ้อม อะไรกัน เพียงแค่ค่อยกำชับกำชา กันไปบ้างเป็นช่วงๆ ให้ฟังคนนี้นะ กลุ่มนี้ฟังคนนั้นนะ อย่างนี้เป็นต้น

งานนี้ได้พิสูจน์อะไร ?

พิสูจน์ความสามัคคี น้ำใจที่พรั่งพร้อม และมีกันจริงแค่ใด มากแค่ไหน ความไม่ดันทุรัง ไม่มีใคร ตะแบง อาตมาเกรงอยู่อย่างเดียว ในการทำงานแบบนี้ คือในเรื่องของอุบัติเหตุ เพราะเราเล่นกับ ของหนักมาก แม้แต่แผ่นเหล็กที่ใช้รอง ลูกกลิ้งก็หนักๆทั้งนั้น แถมเคลื่อนขึ้นที่สูงอีกด้วย และ คนจำนวนมาก มีเชือกขาดด้วยนะ ก็กลัวจะเหยียบกัน กลัวจะล้มทับกัน ยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ แค่ถลอกปอกเปิกกันนิดๆหน่อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องสามัญ นอกนั้นก็ไม่มีอุบัติเหตุเลย อาตมาว่า เป็นการทำงานที่ประสบความสำเร็จดีที่สุด

อนาคตจะมีสิทธินับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกไหม ?

ไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก ไม่บังอาจ แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับเรา เราเป็นกลุ่มคนเล็กๆ พวกกระจอกๆ ทำได้ขนาดนี้ เราก็ภาคภูมิแล้ว

ถ้าพูดถึงวิวัฒนาการของชุมชน เช่น ความเป็นอยู่ของคนในชุมชนพัฒนาขึ้นไหมคะ?

อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ แม้ในพื้นที่บ้านราชฯเองปีนี้ต้นหมากรากไม้ พืชพันธุ์ธัญญาหาร เจริญขึ้นกว่าเดิม ขนาดงานเสร็จแล้ว พืชผักที่ปลูกอยู่เต็มพื้นที่ของเรา ที่ตัดมากินได้ ยังตัดมา ได้นิดเดียว มีเหลือเฟืออีกเยอะแยะ เช่น กะหล่ำปลี กำลังจะห่อยังห่อไม่ได้เท่าไร ใครไปจะเห็น ใบเบ้อเร่อๆ ทั่วทุกแห่ง จริงๆดินก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ทำไมพืชผักก็ขึ้นสวยงาม


ปีนี้มีความลงตัวมากน้อยแค่ไหนคะ ?

มีความลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ลงตัวกว่าทุกปี แต่เราก็มองจุดที่ควรพัฒนาขึ้น จุดใดที่บกพร่องก็แก้ไข พัฒนาขึ้น จนกระทั่ง เป็นจุดหลักถาวร จนดูดีแล้ว โดยไม่ต้องไปทำอีก จุดที่ต้องต่อ หรือ ขยายก็ยังมีอีก งานของเรายังมาก และยังต้องเหนื่อย

ปีนี้เราขยายอะไรๆมากขึ้นกว่าเก่า คนมางานก็ดูสะดวกขึ้น จนบางคนมองเผินๆจะรู้สึกว่า ปีนี้คนมา น้อยกว่าเดิม ความจริงคนไม่ได้น้อยลง อาตมาบอกได้ เพราะสินค้าปีนี้มากกว่าปีที่แล้ว ไม่ต่ำกว่า ๕ เท่า ขายหมดเลย แม้แต่หม้อไม่มีฝา ของมีตำหนิ ก็ยังขายจนเกลี้ยงเลย ปีกลายยังมีสินค้าเหลือ ทั้งที่สินค้าน้อยกว่านี้ ๕ เท่า แต่จะว่าไม่เหลือ ก็มีเหลืออยู่เจ้าหนึ่ง ขายกระติกน้ำแข็งเหลือ เพราะคนขาย หมดแรงขาย ขอปิดร้านก่อน มันเมื่อย ไม่ใช่ว่าขายไม่ออก นี่คือคำตอบ ปีนี้พลังซื้อ มีมากกว่าเก่าเยอะ แม้แต่เวทีชาวบ้านก็ขยายไปติดภูเขา และขยายใหญ่ออกไปอีก จึงแน่นอนว่า งานปีนี้ขยายกว้างขวางขึ้น เจริญขึ้น


พอเริ่มปีใหม่ก็มีเหตุร้ายๆเกิดขึ้น ไม่เฉพาะในบ้านเมืองเรา แต่เป็นสถานการณ์เลวร้ายทั่วโลก ผู้คนล้มตายมากมาย ด้วยสาเหตุต่างๆ มันบ่งชี้อะไร กราบขอให้พ่อท่านวิเคราะห์ด้วยค่ะ?

ก็ชี้ถึงความเสื่อมของคน ยิ่งเห็นชัดเจนว่า ความเสื่อมของคนที่เขาเองไม่รู้ว่าจะไปเมา ไปเอิกเกริก ไปคะนองเฮฮา หรือจะไปโหดร้ายแก่กันและกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของความไม่รู้ เป็นเรื่องของ อวิชชา เป็นเรื่องความเสื่อมของคน เพราะจิตของคนที่มีอวิชชา เป็นความโง่ แต่เขาว่าเขาฉลาดนะ แต่มันเป็นความโง่ ทางคุณธรรม ถ้าเขาไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรมนี้จริงๆ

เราจึงเห็นได้ว่า มันใกล้กลียุคเข้าไปทุกที ซึ่งเป็นเรื่องที่ห้ามยาก ประชากรก็มากขึ้น คนที่จะมา ช่วยพัฒนา ในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม หรือจะพัฒนามนุษย์จริงๆก็น้อย ซึ่งพวกเรา ก็ทำอยู่เต็มที่แล้ว ก็มีส่วนดีขึ้น เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นแก่นแกนขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างไร ก็มีอัตรา การก้าวหน้า ไล่ไม่ทันอัตราความเสื่อมของคน แต่ถึงไล่ไม่ทัน เราก็พยายามที่จะทำสิ่งดีนี้ เพื่อเป็นการถ่วงดุลให้เห็นว่า มนุษย์ไม่ใช่มีแต่ความเสื่อม ความโทรม ความเสียหาย อย่างเดียว เท่านั้น มนุษย์ยังมีความดี ความเจริญ ความประเสริฐอยู่ด้วย คนเหมือนกัน แต่ก็มีสิ่งแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งดีนี้ ทำขึ้นไป ได้เท่าไรก็ทำให้สุดฤทธิ์ เท่าที่จะทำได้

แต่เราเองคงคานไม่ไหว ตามที่อาตมาเข้าใจและรู้อนาคตบ้างก็คือ สังคมจะเกิดกลียุค หรือ สังคมจะเหลวไหล เพราะระบบโลกีย์หรือระบบทุนนิยม จะแข่งขันกัน เข่นฆ่ากัน และเขาก็ จะฆ่ากันจริงๆ จนตายกันไปเองทั้งคู่ อย่างที่อาตมาเคยอธิบายเคยพูดไว้ว่า ทุกคนเก่ง ทุกคนสามารถ เพราะฉะนั้น เมื่อเสือเจอสิงห์ เร็วทั้งคู่ ตูม! เจาะหัวใจ ตายด้วยกันทั้งคู่ คนเหล่านี้จะตายหมด

อาตมาเคยยกตัวอย่างให้ฟัง ในสนามรบ ศัตรูเขาก็ฆ่ากันไป แต่ว่าพวกเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น พวกเราจะเป็นพวกที่คอยช่วยเหลือ เป็นผู้ที่จะสร้างอาหารเลี้ยงเขาทั้งสองฝ่าย เป็นผู้ที่จะรักษา พยาบาลพวกเขา ใครจะเจ็บป่วยมาก็ช่วยเขาไป คนเหล่านั้นจะละเว้นพวกเรา จะไม่ฆ่าเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกด้านลบ ด้านแดงด้านน้ำเงิน ทั้ง ๒ ข้าง เขาจะชกกัน จะฆ่ากัน จะทำร้าย ทำลายกัน ฆ่ากันตายหมดทั้งคู่ ก็จะเหลือคนที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่เป็นคนช่วยเลี้ยงคน ทั้งสองฝ่าย เท่านั้น โลกก็จะเหลือคนอย่างพวกเราอยู่เท่านั้นเอง จะบอกว่าเราเองชนะ ก็คือ ชนะตรงนี้ ชนะตรงสุดท้าย แล้วพวกคนที่อยู่ในระบบโลกีย์ระบบทุนนิยมก็จะตายหมด แต่ถ้าจะถามว่า ถ่วงดุลพวกเขาได้ไหม? ไม่ได้หรอก ถ่วงความเป็นทุนนิยมไม่ได้หรอก แต่ความเป็นทุนนิยม จะอินเทนส์ยิ่งๆขึ้น จะรุนแรงขึ้น จะจัดจ้านยิ่งๆๆๆขึ้น จนเรียกว่า ร้าย ร้ายต่อร้าย ก็จะทำร้าย กันไปเอง นี่คือ อนาคตมันจะถึงที่สุดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าอาตมาพยากรณ์ คนอื่น เขาก็พยากรณ์ เหมือนกัน คำตอบของปราชญ์จะเห็นตรงกันหมดเลย ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เพราะฉะนั้น คนไหน เขาจะอยู่ส่วนร้าย ไม่ว่าจะร้ายในส่วนแดง หรือจะร้าย ในส่วนน้ำเงิน ก็ตามใจ ก็อยู่กับส่วนร้ายนั้น ไปตลอดกาลนาน ฆ่ากันตายเป็นเบืออย่างนั้นเอง นอกจากใครจะไม่เอา ก็มาอยู่ส่วนกลาง มาทางคุณธรรม มาทางที่จะเป็นคนประเสริฐ ไม่ต้องไปเป็นคนที่จะเป็นตัวร้าย ตัวทำลาย มาเป็นคนกลาง ที่มีจริยธรรมศีลธรรม ทุกศาสนาก็สอนคล้ายกัน พุทธศาสนา ที่ถูกตรง ก็สอนอย่างนี้


ต้องยอมรับแล้วว่า โลกได้เข้าสู่กลียุค
และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพราะโลกเสียสมดุลระหว่างความดีความชั่ว
บทบาทศาสนาไม่มีฤทธิ์แรงพอจะถ่วงดุลได้
แต่เราก็จะทำดีต่อไป
จนกว่าคนตาบอดจะเห็นได้
เป็นหน้าที่ของเรา
ของชาวอโศกทุกคน.

สารอโศก อันดับที่ ๒๖๗ ธันวาคม ๒๕๔๖