- ฝั่งฟ้าฝัน -

ฝึกตนสู่บัณฑิตแท้


แม้นชีพม้วยสิ้นดินหรือสิ้นชาติ
ก็มิอาจปิดกั้นฝันยิ่งใหญ่
มุ่งเข้าสู่เส้นทางมรรคาลัย
รัตนตรัยคือฝัน...อันเรืองรอง

อดีตที่ผ่านไปเมื่อหวนระลึกถึง นั่นคือบทเรียนของชีวิต ผิดแก้ไขพลาดปรับปรุงใหม่ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป จนกว่า จะสิ้นลมหายใจ......

เมื่อปี ๒๕๒๕ ข้าพเจ้าเป็นนิสิตอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ชีวิตเป็นไปตาม กระแสโลก ไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิด การท้าทายในชีวิต และแล้ว.....วันหนึ่ง หลังจากเรียนเสร็จ ข้าพเจ้าเดินผ่านตึก (จำชื่อไม่ได้ อยู่ระหว่างหอประชุมเล็ก เพื่อไปโรงอาหาร ๑)

ทำไม? มีคนแต่งตัวแปลกๆ มาเยอะจัง ใส่เสื้อม่อฮ่อม กางเกงขาก๊วย รองเท้าก็ไม่ใส่ หัวก็เกรียนๆ ด้วยความสงสัย บวกกับอยากรู้อยากเห็น ว่ามาจากไหน ก็เลยเดินเข้าไปดูสิ่งต่างๆ ที่นำมาโชว์ เดินอ่านโศลกธรรมต่างๆ สะดุดคำๆหนึ่ง ของนิทรรศการ "อบายมุขหายนะแห่งชีวิต" ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้า ก็หลงไปกินสูบ ดื่มเสพย์มาก่อนเหมือนกัน อ่านแล้วก็เห็นด้วยกับโทษภัยของอบายมุข ประทับใจมากๆเลย ยิ่งทำให้ข้าพเจ้า อยากรู้จักกลุ่มคนที่แต่งตัวแปลกๆ กลุ่มนี้มากขึ้น

จึงเข้าไปสอบถามที่โต๊ะรับสมัครสมาชิก ในความรู้สึกแรกๆก็กล้าๆกลัวๆ พอได้เข้าไป พูดคุย สอบถาม ทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น กับแนวทางการปฏิบัติ ของชาวพุทธที่แท้จริง ข้าพเจ้าจึงสมัครเป็นสมาชิก กลุ่มรามบูชาธรรม ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา......

ข้าพเจ้าเริ่มกินอาหารมังสวิรัติและฝึกหัดถือศีล ๕ ศีล ๘ ข้าพเจ้าเรียนอยู่ คณะบริหารธุรกิจ สาขาโฆษณา จากการที่ได้รู้จัก ชาวอโศก และฝึกปฏิบัติตาม แนวทางนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตมากขึ้น

การศึกษาเล่าเรียนมันเป็นเพียงส่วนรองของชีวิต อันดับหนึ่งของชีวิตและสำคัญที่สุด คือเรื่องของศาสนา ศาสนาเป็นเอกและเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับทุกชีวิต ที่จะพาตัวเอง ให้มีความสุข คือการมีทุกข์ ให้น้อยลง

ข้าพเจ้าใช้เวลาในการเรียนค่อนข้างนาน เพราะพ่อแม่ยังอยากเห็นความสำเร็จ ของข้าพเจ้าอยู่ ซึ่งในใจข้าพเจ้า คิดว่า มันไม่ได้เป็น แก่นสารสาระสำคัญ ให้กับชีวิตเลย จึงหนักไปทางทำกิจกรรมกับกลุ่มรามบูชาธรรม ก่อนจะจบ ปีสุดท้าย ข้าพเจ้ากับรุ่นพี่ ไปเปิดร้านอาหารมังสวิรัติที่ MBK (มาบุญครอง) การทำอาหาร ไร้เลือดเนื้อชีวิต ของเพื่อนร่วมโลก เป็นเรื่องที่หนักและยาก แต่ข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้ และได้เข้าใจ จึงนำมาเปรียบเทียบ ว่าชีวิตคน ที่ไม่ได้ใฝ่ธรรมะ กับชีวิตของคน ที่ใฝ่ธรรมะ ความอดทนอดกลั้น จะแตกต่างกันมากๆ

ความสุขของคนทั่วๆไป คือ กิน สูบ ดื่ม เสพย์ ตามอารมณ์ ที่ปรารถนา แต่ความสุข ของผู้ใฝ่ธรรมะ คือการพยายามฝึกฝืน ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งปวง ข้าพเจ้าได้ ทำงานเรียนรู้ และเปรียบเทียบใช้เวลา ๘ เดือนกว่า จึงตัดสินใจ เข้าวัดเมื่อเรียนจบ

ปี ๒๕๓๐ ข้าพเจ้าหันหลังให้ทางโลกมุ่งสู่ทางธรรมอย่างเต็มตัว แม้ทางบ้าน จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่จากการที่ข้าพเจ้า เปลี่ยนพฤติกรรม หลายๆอย่าง เช่น ใส่เสื้อผ้าปะแล้วปะอีก เก่าแล้วเก่าอีก ด้วยคิดว่า ควรใช้ทรัพยากรของโลก ให้น้อยที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนมีคุณค่ามากขึ้น

การแต่งตัวให้มอซอซอมซ่อ เป็นการวัดโลกธรรมของตัวข้าพเจ้าว่า จะมีจิตใจหวั่นไหว กับสายตาผู้คน มากน้อยแค่ไหน หรือจิตใจมั่นคง มากน้อยเท่าใด โดยเฉพาะ ไม่ใส่รองเท้าด้วย ข้าพเจ้าแต่งชุดเต็มยศ ของชาวอโศก เพื่อไปพิสูจน์ใจ ของตัวข้าพเจ้า ว่าทางบ้าน จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?

สายตาที่มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของพ่อ....ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหว....เท่าไหร่..... ข้าพเจ้าก้มลงกราบเท้าคุณพ่อ ท่านมีอาการตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับมากขึ้น เข้าใจแนวทาง การปฏิบัติของเรามากขึ้น ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด ก็ตาม...

การเข้าวัดของข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจมาบวช ตั้งใจมาฝึกตนเอง แต่ด้วยอานุภาพ ของหมู่กลุ่ม สิ่งแวดล้อมที่ดี ตัวข้าพเจ้า ก็เจริญขึ้นด้วยศีล จึงทำให้ตัดสินใจ "บวช" แต่แล้วก็มี เหตุการณ์ เกิดขึ้น ก่อนที่ข้าพเจ้าจะบวช

"กรณีสันติอโศก" แรกๆข้าพเจ้ากลัวและท้อถอยมาก เพราะการโจมตีจากสื่อต่างๆ แต่พอได้ฟังได้อ่าน กลับเกิดอาการฮึดสู้ขึ้นมา รีบพยายามรักษาอาการที่ป่วย ในช่วงนั้นให้หาย เพื่อจะเข้าส่วนกลาง เป็นพลังของมวลหมู่ และเพื่อพิสูจน์ว่า "ชาวอโศกนี่แหละ คือทิศทาง ที่ถูกต้อง ในการปฏิบัติ" แม้ว่าจะถูกจับติดคุก ข้าพเจ้าก็จะติดคุกด้วย จากการได้ถือศีล ปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของชาวอโศก ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าสงบขึ้น จากที่เป็นคน เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย ก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เย็นขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่น มากขึ้น การเห็นใจเข้าใจ บุคคลอื่น เป็นการลดตัวลดตน ที่เอาแต่ใจของตัวเราเป็นที่ตั้งนั่นเอง

นี่แหละเส้นทางชีวิตที่ข้าพเจ้ามั่นใจ ศีลจักคุ้มครองคนที่ปฏิบัติศีล ถึงแม้ว่าในช่วงของ กรณีสันติอโศก จะถูกเปลี่ยนชุด ให้ไปใส่สีขาวเหมือนแม่ชี แต่ความดีและศีล ไม่ได้เปลี่ยน ไปตามชุด ศีลและการปฏิบัติ ตามแนวทาง ของพระพุทธองค์ ก็ยังคงอยู่กับข้าพเจ้า และคนอื่น ในเส้นทางสายนี้เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนชุด จะทำให้คน ที่ไม่เข้าใจ ดูถูกบ้าง เยาะเย้ย ถากถางบ้าง กลับทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจ มากยิ่งขึ้นว่า "พวกเราทำถูกแล้ว พวกเราไม่ได้ทำสิ่งชั่วร้าย หรือผิดศีลผิดธรรม ประการใด"

การบวชเป็นสมณะเป็นสาวกของพระพุทธองค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชุด แต่ขึ้นอยู่กับ การประพฤติปฏิบัติ ตามคำสอน ของพระพุทธเจ้าต่างหาก..... อานิสงส์ในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมีจริง เพราะยังมีญาติโยม ใส่บาตรทุกเช้า แม้จะนุ่งห่ม ชุดขาวก็ตาม เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน ข้าพเจ้าก็ทนได้กับสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสร้อน -เย็นของสภาพอากาศ สิ่งเหล่านี้คือบททดสอบในการปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติที่จะสามารถ อ่านจิต จับอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลงได้ดี คือ การปฏิบัติ ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า

การปฏิบัติธรรมคือการทบทวนเวลาที่ผ่านไป เรื่องทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ในแต่ละวัน ทบทวนเพื่อปรับปรุงแก้ไข กรรมของตัวเราเอง ในแต่ละวันให้ คิดดี พูดดี ทำดี ให้ยิ่งๆขึ้น ตรวจสอบตัวเองทุกวัน ว่าพากเพียร ได้มากน้อยเท่าใด..... ดั่งคำตรัสของ พระพุทธเจ้าที่ว่า

"หลักสำคัญของพระธรรม คือ การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยการมีขันติ เอาชนะใจตนเอง ด้วยการ ขจัดราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดสิ้น ให้ประพฤติชอบ ไม่เบียดเบียนใคร ทั้งทางกาย วาจา ใจ ต้องรู้จักบังคับใจตนเอง ไม่ให้หลงงมงาย ในกิเลส ตัณหา ทั้งปวง จะต้องไม่ลืมว่า สรรพสิ่งในโลกเป็น อนิจจัง..."

- สมณะลานบุญ วชิโร -


กิริยาบ่งบอก พันธุ์กรรม
จิตใจบ่งชี้นำ พาเกิด
วจีคือผลกรรม ตัวตน เราเฮย
ละชั่ว-ทำดีเถิด เชิดให้ พ้นเวร

สารอโศก อันดับที่ ๒๖๗ ธันวาคม ๒๕๔๖