กว่าจะถึงอรหันต์ โดย...ณวมพุทธ
พระยสทัตตเถระ


ปัญญาทราม เพ่งโทษ ยามฟังธรรม
จิตเจ้ากรรม ทำเสื่อม จากธรรมนั้น
พอกลับจิต คิดดี รู้ตัวทัน
จิตก็พลัน แจ่มแจ้ง ปัญญางาม

ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าปทุมุตตระนั้น พระยสทัตตเถระได้เกิด อยู่ในตระกูล พราหมณ์ ได้ร่ำเรียนสำเร็จในศิลปวิชาของพราหมณ์แล้ว ก็ละเว้นกามทั้งหลาย ออกบวช เป็นฤาษี อยู่ในป่าบำเพ็ญเพียร

วันหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งบุญเก่า ฤาษีได้พบกับพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ซึ่งสูงสุด กว่าสัตว์โลกทั้งปวง ได้บังเกิดจิตเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ถึงกับวางสิ่งของในมือ ทำผ้าเฉวียงบ่าแสดงความ-เคารพ แล้วน้อมประคองอัญชลี กล่าวสรรเสริญ ชมเชยพระพุทธเจ้าว่า

"ข้าแต่พระมุนี พระองค์ทรงกำจัดความมืดมิด ที่หมักหมมไปด้วยโมหะ (ความหลงผิด) จนหมดสิ้น ทรงแสดงแสงสว่างแห่งพระญาณ (ความรู้แจ้งในสัจธรรม) ทรงยกโลกนี้ ขึ้นได้แล้ว สิ่งที่ยอดเยี่ยมในโลกนี้ทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดเปรียบปานกับพระญาณ ที่เป็นเครื่อง พาพ้นโลกของพระองค์ได้ โลกจึงขนานพระนามพระองค์ว่า พระสัพพัญญ ู(ผู้รู้แจ้งทุกสิ่ง) ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่ ผู้ทรงทราบ ธรรมทั้งปวง ผู้หมดอาสวะ (กิเลสที่หมักหมมในสันดาน) สิ้นเกลี้ยงแล้ว"

ด้วยพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์ เคารพในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงได้ท่องเที่ยวไป ในเทวโลก (โลกของผู้มีจิตใจสูง) และมนุษยโลก (โลกของผู้มีจิตใจประเสริฐ)

กระทั่งได้ไปเกิดในยุคสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม เกิดอยู่ในตระกูลมัลลกษัตริย์ ซึ่งปกครอง แบบสามัคคีธรรมในแคว้นมัลละ ได้นามว่า ยสทัตตะ เมื่อเติบโตเจริญวัย ได้ไปศึกษา ยังเมืองตักกสิลา พอสำเร็จศิลปะทั้งปวงแล้ว ก็เที่ยวจรไปกับปริพาชก (นักบวชพวกหนึ่ง ในชมพูทวีปชอบสัญจรไปที่ต่างๆ เพื่อแสดงทรรศนะปรัชญา ทางศาสนาของตน) ชื่อว่า สภิยะ

วันหนึ่ง ได้มีโอกาสพบกับพระผู้มีพระภาคเจ้าในเมืองสาวัตถี พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแก้ปัญหา ที่สภิยปริพาชกถาม ขณะโต้วาทะอยู่นั้นเอง ยสทัตตะก็นั่งฟังไป เพ่งโทษไป อดคิดในใจไม่ได้ว่า

"เราจะแสดงโทษในวาทะของพระสมณโคดม"

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้สภาวะจิตของเขา ครั้นได้ประทานโอวาท แก้ปัญหาให้ สภิยปริพาชก สิ้นสงสัยแล้ว จึงได้หันไปตรัสกับ ยสทัตตะว่า

"คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดเพ่งโทษ ฟังคำสอนของเราตถาคต ย่อมเป็นผู้ห่างไกล จากสัทธรรม (ธรรมะที่ดีแท้ของผู้มีสัมมาทิฐิ) เสมือนฟ้ากับดิน ฉะนั้น

คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดเพ่งโทษ ฟังคำสอนของเราตถาคต ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เสมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น

คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดเพ่งโทษ ฟังคำสอนของเราตถาคต ย่อมเหี่ยวแห้งในสัทธรรม เสมือนปลาในน้ำน้อย ฉะนั้น

คนมีปัญญาทราม มีจิตคิดเพ่งโทษ ฟังคำสอนของเราตถาคต ย่อมไม่งอกงาม ในสัทธรรม เสมือนพืชเน่าในไร่นา ฉะนั้น

ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองดีแล้ว ฟังคำสอนของเราตถาคต ย่อมทำอาสวะทั้งปวง ให้สิ้นไปได้ โดยรู้แจ้งธรรมอันทำให้กิเลสไม่กลับกำเริบได้อีก สามารถบรรลุความสงบ อันยอดเยี่ยม เป็นผู้ทำกิเลสสิ้นเกลี้ยงแล้วปรินิพพาน"

จบโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยสทัตตะได้สติรู้ตัว บังเกิดความสังเวช ในความคิดของตน และเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งขึ้น จึงขอบวชเป็นภิกษุ อยู่ในพระพุทธศาสนา แล้วกระทำความเพียรยิ่ง เจริญวิปัสสนา (ฝึกอบรมปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง) ไม่นานนักก็ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์องค์หนึ่ง ได้กระทำกิจ ในพระพุทธศาสนาจบแล้ว

- ณวมพุทธ -
จันทร์ ๑๒ ม.ค.๒๕๔๗
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๓๔๔ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๒ หน้า ๑๒๕)

สารอโศก อันดับที่ ๒๖๗ ธันวาคม ๒๕๔๖